ไลเลมเป็นเด็กที่หัวช้าไปหน่อยในสายตาของเหล่าผู้ใหญ่ และเป็นยัยมืดมนจนเด็กรุ่นเดียวกันยังไม่ค่อยเห็นหัว ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงอยู่อย่างเงียบสงบ ต่อให้มีแผลเต็มตัวแค่ไหน ต่อให้ใส่ชุดเก่าขาดมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครคิดจะสงสัยอะไรไปมากกว่า ‘อะ แผลเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ’ หรือ ‘รอยเย็บชัดขนาดนั้นยังใส่ได้อีกเหรอ’ เพราะสิ่งเหล่านี้นั้นเห็นได้จนชินตามาเสียตั้งแต่ไลเลมยังเป็นเพียงแค่เด็กหญิง 

 ส่วนเรรินนั้นตรงกันข้ามทุกอย่าง มีความน่ารักสดใสสมวัย ทั้งหน้าตาและบุคลิกล้วนโดดเด่นน่าจดจำ ผู้ใหญ่ก็เอ็นดูในความเฉลียวฉลาดเกินวัย เด็กรุ่นเดียวกันก็สนใจเพราะเป็นคนที่มีความพึ่งพาได้แทบทุกอย่าง เป็นนักเรียนดีเด่นที่ถูกยกเป็นแบบอย่าง ด้วยเหตุนี้เรรินจึงอยู่อย่างวุ่นวายไม่น้อย ครูก็ไว้ใจในความหัวไวให้ร่วมกิจกรรมทางวิชาการอยู่เสมอ เพื่อน ๆ ก็มาปรึกษาเรื่องเรียนประจำ สิ่งเหล่านี้เรรินเจอตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงจนชินไปแล้ว

“เรริน~ ช่วยสอนเราหน่อยดิ การบ้านวิชาคณิตอะ” เนลี่ หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเข้าหาเรรินทันทีที่ถึงเวลาพัก

“ช่วยดูรายงานวิทย์ให้เราด้วย มีตรงไหนต้องแก้อีกมั้ย” จากนั้นเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นก็เริ่มรุมล้อมเรริน

“คาบชมรมว่างมั้ย มาช่วยเป็นบัดดี้เราที” แล้วพื้นที่แถวหน้าห้องเรียนก็เต็มไปด้วยกลุ่มนักเรียนที่ลุกจากที่นั่งตัวเอง

“โครงงานเราโอเครึยัง เราแก้ตามที่เรรินบอกแล้วนะ”

“พรุ่งนี้ไปแข่งด้วยกันอีกมั้ย เอาให้ทุบสถิติไปเลย”

“รุ่นพี่ฝากมาน่ะเรริน ว่าชมรมเรายินดีต้อนรับเสมอ”

ไลเลมที่นั่งฟุบอยู่หลังห้องมองความวุ่นวายขนาดย่อมนั่น ต้องขอบคุณเรรินที่ทำให้พื้นที่หลังห้องแสนแออัดโล่งขึ้นมาชั่วขณะ ตอนนี้นอกจากเธอก็มีกลุ่มเด็กผู้ชายประจำห้องห้าคนที่สุมหัวเล่นเกมกัน ซึ่งก็ห่างกันพอควร ไลเลมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ส่วนกลุ่มผู้ชายนั้นอยู่ริมประตู ความห่างของโต๊ะเรียนสามโต๊ะก่อเกิดเป็นพื้นที่โปร่งโล่งสงบ เพราะเจ้าของโต๊ะที่ชอบส่งเสียคุยกำลังรอคิวให้เรรินช่วยงาน

“โจทย์ข้อนี้มันสับขาหลอกน่ะ ถามหา Y แต่ต้องการ X ต่างหาก” เรรินเองก็เริ่มเคลียร์คิว ‘ที่ปรึกษา’ ที่แทบจะแห่มาทั้งห้อง

“ดูบทที่เจ็ดสิ เอาเนื้อหาท้ายบทมาใส่เพิ่มก็ได้นะ”

“โทษที ไม่ว่างอะ มีนัดกับแม่”

“ดีแล้ว ๆ แค่ตกแต่งอีกนิดหน่อยก็ส่งครูได้เลย” 

“พอแล้วละ เบื่ออะ ไว้วันหลังละกันนะ”

“ฝากบอกกลับด้วย ว่าง ๆ ถ้าไปช่วยได้จะไปอีกนะ”

ไลเลมที่กะจะหลับสักงีบ ถูกเสียงจอแจเหล่านั้นลอยเข้าหูจนตาสว่าง พอมองนาฬิกาห้องก็พบว่าเวลาผ่านไปสิบนาทีแล้ว แถวปรึกษาของเรรินยังยาวอยู่เลย และมีแววว่าจะอยู่กันแบบนั้นจนหมดคาบพัก

“เฮ้อ~” เด็กสาวถอนหายใจออกมา เพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดทำให้เธอต้องทนสัปหงกมาตั้งแต่คาบแรก

ถึงจะช่วยบรรเทาความทรมานจากการเจ็บปวดของแผลที่ปูดบวม แต่สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้ยิ่งเพิ่มความทรมานในอีกรูปแบบหนึ่งให้ไลเลม การพยายามต่อสู้กับความง่วงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ยิ่งเป็นความง่วงที่เกิดจากฤทธิ์ยาไม่ใช่การอดนอนตามปกติ ไลเลมก็เริ่มรู้สึกจะบ้าขึ้นมาทุกที

“นี่ ริน” เพราะงั้น เด็กสาวจึงทำตัวบ้าบิ่นสุด ๆ ด้วยการเดินเข้าไปกลางวงนั่นซะเลย

“เธอน่าจะมาด้วยนะ พวกรุ่นน้องน่ะอยากจ—“ ตามด้วยการขัดบทสนทนาของหนึ่งในเพือนร่วมชั้น

“ไปร้านค้าด้วยกันหน่อยสิ” ทั้งเรรินและเพื่อนร่วมชั้นหันมามองไลเลมเป็นตาเดียวกัน...ด้วยสายตาที่ต่างกันออกไป

“ได้ ๆ งั้นขอตัวก่อนนะ” เรรินลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น นัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายสดใส

 เด็กสาวหันไปบอกลาเหล่าผู้มาขอคำปรึกษา แล้วเข้ามาคล้องแขนไลเลมก่อนจะพาเดินออกจากห้องเรียนไป ทว่ายังไม่ทันจะพ้นประตูห้องดีนั้น...

“อะไรเนี่ย เสียมารยาทชะมัด คุยกันอยู่ก็เข้ามาสอด” ...เสียงจากเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็ลอยไล่หลังไลเลมที่อยู่รั้งท้าย เด็กสาวนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาไม่พอใจที่น่าคุ้นเคย ก็เพราะเธอเจอมาบ่อยแล้วสิ

 แต่ไลเลมก็ไม่สนใจจะกลับไปแก้ตัว ส่วนหนึ่งเพราะเธอผิดจริงและอีกส่วนคือการกระทำของเรรินที่ลากตัวเธอมาเสียเร็วรี่จนแทบจะพาวิ่ง พอพ้นหน่าชั้นเรียนห้องอื่นจนมาถึงบันไดตึกเรียนที่ไม่มีคนอยู่ เรรินก็หยุดลง

“จะบ้าตาย พวกเอ็งอะสิไร้มารยาท” แล้วเด็กสาวก็บ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอันเดือดดาล

“เวลาพักแท้ ๆ ยังไม่ทันเก็บโต๊ะเลย ก็เข้ามาเกาะแข้งเกาะขากันอีกแล้ว” เรรินเริ่มเดินลงบันไดไปพลางกระแทกเท้า

“สมควรแล้วที่จะได้คะแนนกันแค่นั้น ตอนเรียนไม่ตั้งใจกัน มาสนใจกันตอนพักจะยัดทันได้ไง ความรู้ไม่ใช่ขนมนะไอ้พวกโง่” ไลเลมแกะแขนเรรินออกแล้วเปลี่ยนเป็นจูงมือแทน เพราะเด็กสาวเดินตามการกระแทกเท้าไม่ทัน

“ชมรมก็ด้วย ที่ฉันไม่เข้าไม่ใช่เพราะไม่มีชมรมที่ดีพอ แค่อยากได้เวลาว่างโว้ย! เรียนก็เหนื่อยพอแล้วยังต้องมาสอนพวกเอ็งอีก” พอเดินลงมาได้ชั้นหนึ่ง เรรินก็เริ่มใจเย็นขึ้นมาหน่อย

“ขอบใจนะที่มาช่วยกันอีกแล้ว ถ้าเลมไม่มาคงได้นั่งอยู่แบบนั้นจนหมดเวลาพักอะ” เรรินซาบซึ้งใจเพื่อนรักอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่เธอเจอเหตุการณ์แบบนี้จนแทบเป็นกิจวัตร ไลเลมก็จะเข้ามาช่วยเธออยู่หลายครั้ง ถึงจะแบบอ้อม ๆ หน่อยแต่ก็ทำให้เรรินได้ปลีกตัวออกมาพักบ้างเสียที

 ถึงจะทำให้ถูกเขม่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยพื้นฐานแล้วไลเลมนั้นเป็นตัวตนที่ไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ และยังสนิทกับกับเรรินที่สุดในห้อง แม้จะเป็นสิ่งขัดแย้งนิด ๆ ที่คนมืดมนแบบนั้นมาสนิทกับคนป็อปปูล่าร์แบบนี้ได้ แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยที่ทุกคนเมินไลเลมไปและเก็บไว้ในใจเงียบ ๆ เพราะเกรงใจเรริน

“ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากพักเฉย ๆ อยู่ในห้องแบบนั้นไม่ได้หลับสักที” ไลเลมพูดไปตามจริง ถึงเธอจะเห็นใจเรรินที่ไม่มีเวลาพักเลยเข้าไปช่วยบ้างแต่ก็ไม่ทุกครั้ง 

ส่วนหนึ่งเพราะเธอเองก็ไม่ค่อยอยากเป็นเป้าให้เพื่อนร่วมชั้นหมั่นไส้เพิ่ม ก็เลยปล่อย ๆ ไปบ้างให้เรรินเผชิญชะตากรรมเอาเอง แต่ถ้าเห็นวี่แววว่าจะไม่จบก่อนหมดเวลาพัก หรือปัญหาส่วนตัวของไลเลมเองเช่นตอนนี้ที่ง่วงตาปรือ เด็กสาวถึงจะกล้าลากเพื่อนสาวออกมาจากฝูงคนเหล่านั้น

“ฮ่า ๆ งั้นซื้อขนมเสร็จค่อยไปหาที่นอนกัน เหลือเวลาตั้งสิบเจ็ดนาทีแหนะ” เรรินมองนาฬิกาข้อมือ เวลาพักนั้นมี 30 นาที เหลือเกินครึ่งขนาดนี้ยังพอได้งีบสักตื่น

“นอนเลยไม่ได้เหรอ ง่วงจะตายแล้วเนี่ย” ไลเลมโอดครวญ ดวงตาสีเขียวเข้มนั้นชักจะปรือจนเกินฝืน

“ไม่ได้ ฉันหิวจะตายแล้วเนี่ย” เรรินเมินเสียงเพื่อนสาวแล้วลากเข้าร้านค้า นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายลุกวาว

 ใช้เวลาไปอีกสามนาทีในการรีบเลือกขนมที่อยากกิน เรรินก็พาไลเลมไปนอนพักใต้ต้นไม้ที่อยู่มุมเงียบสงบไม่ค่อยมีคนผ่าน สาวน้อยทั้งสองต่างใช้เวลาพักที่เหลือของตนอย่างเต็มที่ คนหนึ่งกินขนมให้หายอยาก อีกคนหลับให้หายง่วง