เขาว่ากันว่าถ้าฝันถึงสะพานข้ามแม่น้ำอย่าคิดจะเดินข้ามไปเด็ดขาด เพราะนั่นอาจหมายถึงการเดินทางข้ามผ่านไปสู่ปรโลก ยมทูตจะมารับตัวไปและดวงวิญญาณจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก!

เป็นคนโชคดีมาเกือบทั้งชีวิตแต่ไม่เคยคิดว่าฝันบ้า ๆ นั่นจะเกิดขึ้นกับ ‘จิน คาร์เตอร์’ อัลฟ่าผู้มากไปด้วยเสน่ห์และความสามารถ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้วงฝันหนึ่งแล้ว

 

น่าจะฝันล่ะมั้ง…

 

รอบด้านรายล้อมไปด้วยผืนนภากว้างใหญ่สีน้ำเงินไล่เฉดจากเข้มไปอ่อน สะท้อนดวงดาราประกายพราวระยับราวกับอยู่ใกล้ทางช้างเผือกเพียงเอื้อม ขอบฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาจนไม่อาจรู้ได้ว่าไกลแค่ไหน นอกจากผนังท้องฟ้าแล้วยังมีกำแพงต้นไม้สูงใหญ่ที่ยอดต้นถูกลมพัดใบไม้ลิ่วล้อลมไปมา ยิ่งสูงลมก็ยิ่งแรง แต่ระดับที่จินยืนอยู่เพียงพัดเบา ๆ ให้สดชื่นเท่านั้น สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือแม่น้ำใสสะอาดเส้นใหญ่สายหนึ่งไหลกั้นขวางตรงหน้าเขา มันสะท้อนแสงจากธรรมชาติพร่างพราวคล้ายเป็นแม่น้ำแห่งอัญมณี กลางลำน้ำใหญ่มีสะพานไม้กว้างราว ๆ ห้าเมตรเชื่อมไปอีกฟากที่ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุด ซึ่งจินไม่มีทางลองเดินไปดูอย่างแน่นอน

 

แล้วจะอยู่ทำไมล่ะ วิ่งสิ!

 

จินหันหลังวิ่งออกห่างจากบริเวณสะพานพิศวงนั่น พละกำลังที่มีและความเร็วที่เขาสามารถทำได้เขางัดมาใช้ทั้งหมด แต่ด้วยเหตุนั้นมันทำให้เขาเหนื่อยและหอบแฮกจนตัวโยน ชีพจรเต้นเร็วเกือบหลุดออกมาจากอก ยิ่งผ่านไปหลายนาทีเข้าสปีดในการวิ่งก็ค่อย ๆ ลดลงจนเปลี่ยนเป็นเดินในที่สุด เมื่อหันหลังไปมอง…

 

สะพานยังอยู่ที่เดิม บัดซบ!!!

 

“อะไรวะ ไม่ออกห่างสักเมตรเลยเรอะ!”

 

“จิน คาร์เตอร์”

 

เสียงปริศนาสะท้อนก้องกังวานรอบทิศหาต้นตอของเสียงไม่ได้ เป็นเสียงทุ้มนุ่มของชายวัยหนุ่ม ดูเป็นคนมีความอ่อนน้อมแต่กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียงดุดัน ราวกับฝืนเปลี่ยนนิสัยตัวเองก็ว่าได้ ตอนที่หันกลับมาจินถึงได้พบ เบื้องหน้าเขาเป็นชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง สวมชุดคลุมผ้าลื่นสีดำรัตติกาลแทบจะกลมกลืนกับท้องฟ้ายามราตรี คนคนนี้สวมหมวกจากเสื้อคลุม ปิดบังครึ่งหน้าท่อนบนจนมิดชิด อีกทั้งลำตัวก็ถูกปกปิดไปจนถึงปลายเท้า โผล่พ้นเนื้อผ้ามาเพียงใบหน้าขาวซีดครึ่งล่างตั้งแต่ส่วนปลายจมูกไปจนถึงคางเท่านั้น

 

บรรยากาศรอบตัวผู้มาใหม่ทั้งขมุกขมัวและชวนขนลุก จินไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เดาไว้กลาย ๆ ว่าไม่ใช่ ‘คน’ ทั่วไปอย่างแน่นอน

 

“คุณ...เป็นใคร? ”

“จิน คาร์เตอร์ อายุสามสิบปี เกิดวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม เพศชายอัลฟ่า ข้อมูลนี้ถูกต้องไหม”

คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันหลังได้ยิน ก่อเกิดความระแวงชายตรงหน้าไม่น้อย “ทำไมถึงรู้จักผม”

“สาเหตุการตายคือถูกมีดแทงระหว่างลงจากรถ เสียเลือดมากจนถึงแก่ชีวิต”

“หา? พูดอะไรของ…”

 

คำพูดของเขาขาดห้วง ราวกับมีภาพเหตุการณ์บางอย่างฉายแวบเข้ามาในหัว เป็นชายแปลกหน้าแต่งตัวด้วยชุดสีดำมิดชิดตั้งแต่หมวกจรดรองเท้า เขาทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ พุ่งเข้ามาหาจินและใช้มีดจ้วงท้องหลังจากทันทีที่ลงจากรถ

 

ภาพเหตุการณ์ที่เห็นทำให้หนังศีรษะชาวาบ ยิ่งไปกว่านั้นจินเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขาโปร่งแสง มองทะลุผ่านร่างได้ราวกับกระจกใส เขาเบิกตาเล็กน้อย เกิดความสับสนว่านี่จะเป็นฝันซ้อนฝันหรือไม่ แต่มันน่าจะเป็นฝันสิ! ในความฝันใครก็สร้างจินตนาการได้ทั้งนั้น!

 

“ถึงเวลาของนายแล้ว”

“…”

“ข้ามสะพานไปซะ”

“เดี๋ยว ๆ ผมขอยืนอยู่ตรงนี้สักแป๊บนะ เดี๋ยวผมก็ตื่นละ ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนเจ็ดโมง”

 

น่ากลัวแค่ไหนก็คงจะเป็นแค่ฝัน อย่าใส่ใจ เมื่อรู้ตัวว่าฝันแล้วก็ให้รอจนกว่าจะตื่น ว่าแล้วจินก็กอดอกรอคอยเวลา น่าเสียดายที่ในฝันไม่มีนาฬิกาเลยสักเรือน อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเขาต้องรอคอยอีกนานแค่ไหน

 

ชายปริศนากล่าวเสียงเยียบเย็น “นายไม่มีโอกาสตื่นอีกแล้ว นายตายแล้วจิน คาร์เตอร์”

“ไม่เอาน่า ฝันก็คือฝัน โอ๊ย! คุณฟาดหัวผมทำไม!”

“เจ็บไหม? ”

“เจ็บสิ!”

“ยังเป็นฝันอยู่ไหม”

“ก็ฝันน่ะ...สิ…”

 

ความเจ็บจากการถูกตบเมื่อครู่ ไหนจะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีสะพานนั่นเป็นความรู้สึกจริง ๆ ที่จินสัมผัสได้เองทั้งหมด โดยไม่ใช่การจินตนาการหรือการสร้างความเหนื่อยล้าจากในฝัน

 

“ผมตัวโปร่งแสงแต่ทำไมคุณฟาดผมได้…”

“ฉันฟาดวิญญาณได้”

“…”

 

ถ้าอย่างนั้น เขาตายจริง…?

 

คล้ายกับจินจะรู้สึกตัวอยู่แล้วตั้งแต่ที่เห็นสะพานและนึกถึงความเชื่อนั้นได้ แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคำว่า ‘เขาตายแล้ว’ เข้าจริง ๆ จิตใจก็หวาดหวั่นราวกับมีกลุ่มก้อนน่ากลัวแทรกเข้ามา ความกลัวนานัปการโถมใส่จนใจหายวูบก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่อกและบริเวณท้อง จินก้มมองก็พบร่องรอยของเลือดกองหนึ่งเปลี่ยนให้เสื้อครึ่งล่างแดงฉานอย่างน่าสยดสยอง

 

จินเลื่อนมือหนาแตะรอยเลือดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ราวกับของเหลวสีแดงนี้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ จึงมีทั้งความแฉะและเหนียวเล็กน้อยติดที่ปลายนิ้ว ทั้งยังส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง มือทั้งสองสั่นระริก ความสูญเสีย สิ้นหวัง และหวาดกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่จริง…

 

“ผม…ตายแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ”

“ผู้ที่ชะตาขาดแล้วเท่านั้นถึงจะได้มายืนจุดนี้ นายตายแล้ว”

จินถามเสียงเบาหวิว “งั้นคุณเป็นใคร ยมทูต…? มารับตัวผมเหรอ”

“ใช่ มารับตัวนาย”

“พาข้ามไปฟากนั้น? ”

“ใช่”

“ถ้าไม่ข้าม”

“ก็ไม่ถือว่าเป็นคนตาย”

จินชะงักกับคำตอบของอีกฝ่าย สมองประมวลผลได้ภายในสามวินาที

“งั้นผมไม่ข้าม ไม่ข้ามก็เท่ากับไม่ตาย”

“แต่ก็จะหลุดจากมิตินี้ไม่ได้เหมือนกัน”

ไม่ว่าอย่างไรชายชุดคลุมก็จะยัดเยียดให้จินเป็นคนตายให้ได้ เขาพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่สงบความคิดฟุ้งซ่าน จ้อง ‘ยมทูต’ พักหนึ่งก็ถามเสียงห้วน

“แล้วมีวิธีที่ทำให้ผมกลับไปมีชีวิตได้อีกไหม”

“มี” เห็นจินทำตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง ยมทูตก็กล่าวต่อ “ยังจำสกาย แฮริสได้สินะ”

 

ความหวังที่สะท้อนในดวงตาสีน้ำเงินเข้มค่อย ๆ ดับวูบลงหลังได้ยินชื่อสกาย แฮริส เพียงแค่นึกถึงเด็กคนนั้นจินก็หน้ายุ่งยกมือนวดขมับเบา ๆ ตามสัญชาตญาณแล้ว

 

สกาย แฮริส หนุ่มอัลฟ่าวัยยี่สิบตอนต้น รู้จักกับจินมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นลูกชายของนักแสดงชื่อดังที่โลดแล่นอยู่ในวงการมายามานานกว่าสี่สิบปี ด้วยความที่คฤหาสน์สุดหรูของครอบครัวแฮริสใช้กำแพงรั้วเดียวกับบ้านสองชั้นของจินเลยได้ผูกมิตรกันมาตั้งแต่สมัยที่พ่อจินยังมีชีวิตอยู่ แต่หลายปีมานี้จินไม่ค่อยไปมาหาสู่กับบ้านแฮริสเพราะเขาย้ายไปเรียนต่างประเทศ พอกลับมาก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดิมแต่เปลี่ยนไปอยู่เพนต์เฮาส์ใกล้กับที่ทำงานแทน จะได้ยินข่าวคราวฝั่งนั้นบ้างก็จากปากจิอากิ โอเมก้าหนุ่มเพื่อนสนิทของจิน

 

ภาพลักษณ์ของอัลฟ่าในสายตาทุกคนจะต้องเป็นคนที่คุณสมบัติเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง ฐานะ ชื่อเสียง ความสามารถ ไปจนถึงหน้าตาทางสังคม แต่เด็กสกายนั่นไม่ใช่ ตั้งแต่เล็กก็เป็นเด็กที่ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว เล่นคนเดียว ไม่ค่อยพูดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ชอบวอแวอยากเล่นกับจินแค่คนเดียว วันไหนที่พ่อชวนจินแวะไปเยี่ยมบ้านแฮริส เด็กน้อยที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้าก็จะยิ้มแย้มอารมณ์ดีและวิ่งโร่มากอดราวกับได้เจอฮีโร่ของเขา

 

แรก ๆ จินก็ยอมเล่นกับเด็กคนนี้ แต่เด็กบ้านั่นเอาแต่ใจเก่งที่หนึ่ง สมัยประถมสกายเคยกระทั่งงอแงให้จินนอนค้างที่บ้านเพราะไม่อยากให้จินไปทำการบ้านกับเพื่อน หรือเคยถึงขั้นไปหาจินถึงที่ชมรมด้วยตัวคนเดียวเพื่อเรียกร้องให้จินโดดซ้อมไปดูการ์ตูนกับเขา หลายครั้งหลายคดีเข้า วีรกรรมของสกายก็ทำให้จินได้ฉายาว่าจอมล่อลวงอัลฟ่าเด็ก

 

ถามจริง ๆ เถอะนะ เขาล่อลวงเหรอ เด็กมันวิ่งมาหาเอง เขาอยากจะไล่แต่ก็เกรงใจพ่อเด็กมันน่ะสิ ทุกวันนี้ก็ยังฝังใจกับการตามติดเป็นเงาของเด็กนั่นอยู่เลย

 

จินลอบมองยมทูตด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล

 

“พูดถึงสกาย แฮริสทำไม”

“เขาจะเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการกลับไปมีชีวิตอีกครั้งของนาย ถ้านายเปลี่ยนให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นได้ฉันให้สัญญาว่าจะไม่พานายมาที่นี่อีกจนกว่านายจะหมดอายุขัย”

“…” จินขบคิดชั่วครู่ก่อนชี้นิ้วทั้งสองข้างไปยังสะพานข้ามแม่น้ำ “งั้นผมไปเลยแล้วกัน”

“เฮ้! ไม่สนใจข้อเสนอนี้หรือไง นายจะไม่ตายนะ!”

 

ก็เห็นอยู่หรอกว่ายมทูตแทบเหงื่อตก น้ำเสียงหลุดความสุขุมตอนที่จินปฏิเสธข้อเสนอ แต่พอคิดว่าต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสกายอีกเขาก็ปวดหัวตุบ ๆ เหมือนไมเกรนจะขึ้นแล้ว จินขยี้ผมตัวเองจนยุ่งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

 

“ก่อนที่ผมจะตกลงเรื่องสัญญา บอกผมหน่อยว่าทำไมต้องเป็นสกาย ส่งไปทำภารกิจอื่นไม่ได้เหรอ เข้าดันเจี้ยนหรือปราบมารก็ได้เอ้า ผมไม่เคยมีประสบการณ์แต่ผมพร้อมเรียนรู้”

“...”

 

ยมทูตร่างทมิฬยืนนิ่งไม่แม้แต่จะขยับหรือส่งเสียงตอบ จินคิดว่าตัวเองพูดจาลบหลู่ฝ่ายนั้นมากเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็นถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ อาจไม่ชอบที่มนุษย์มาพูดล้อเล่นด้วยก็ได้ หากแต่ความเป็นจริงยมทูตแค่ไม่เข้าใจคำว่า ‘ดันเจี้ยน’ เท่านั้นเอง

 

อย่างไรนี่ก็เป็นทางเดียวที่ทำให้จินกลับไปมีชีวิตได้เหมือนเดิม ในเมื่อไม่ได้คำตอบ เขาก็ทวงถามผลประโยชน์ที่ตนจะได้แทน

 

“คุณจะให้ผมกลับไปมีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ เหรอ”

“อืม”

“ถ้าผมไม่ทำตามสัญญา เมินไอ้เด็ก…เมินเด็กสกายนั่นล่ะ”

“นายก็จะตายทันที”

“ไม่เห็นยุติธรรมเลย!”

 

ยมทูตลอบผ่อนลมหายใจเบา ๆ “อย่าคิดจะเอาแต่ได้ ในเมื่อนายทำตามสัญญาไม่ได้ก็ต้องคืนวิญญาณของนายให้กับโลกนี้”

จริงอย่างที่ยมทูตว่า สัญญานี้มีแต่จินที่ได้กับได้ ถึงจะต้องเจอเรื่องปวดหัวอย่างการเข้าไปพัวพันกับสกาย แฮริส แต่แลกมากับชีวิตของเขาหนึ่งชีวิตก็นับว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว

“ขอถามอีกข้อ มีกำหนดระยะเวลาไหม”

“แน่นอนอยู่แล้ว ภายในหนึ่งปี ถ้านายทำไม่ได้ก็ตาย”

“เฮ้ย เวลาปีเดียวจะพอหรือไง สันดาน…นิสัยมนุษย์มันไม่ได้แก้ง่าย ๆ เหมือนเดินไปซื้อขนมตามร้านสะดวกซื้อนะ”

ชายชุดคลุมเผยยิ้มน่าสยดสยอง

“ถ้ามันง่ายแบบนั้นจะคุ้มกับชีวิตของนายได้ยังไงล่ะ”

“…”

จินขนลุกชูชัน กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก

“เอาล่ะ ตอบมาได้แล้วจิน คาร์เตอร์ จะตกลงทำสัญญาหรือเปล่า”