WARNING

    เนื้อหาต่อไปนี้ เกิดขึ้นในปีค.ศ.1911-1930 ของจีน (โดยประมาณหรือทันสมัยกว่านั้น) ในขณะนั้นสังคมยังไม่ตระหนักถึงสิทธิความถูกต้องของผู้หญิง หากผู้อ่านท่านใดเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร ขอให้พิจารณาความเป็นจริงตามช่วงเวลาเหล่านั้น อีกทั้งมีความรุนแรงทางคำพูด การกระทำ มีการทำผิดขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของประชาชนชาวไทยและความเป็นมนุษยธรรม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ ผู้เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิงทางอารมณ์เท่านั้นค่ะ ไม่มีการสนับสนุนให้ลอกเลียนแบบหรือส่งเสริมเกิดขึ้นในชีวิตจริง

 



 

   ในบ่ายของวันหนึ่งในฤดูเหมันต์  หิมะเริ่มตกลงมาปกคลุมไปทั่วทั้งนครช่างไห่ให้ทั่วทั้งเมืองกลายสีขาว อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ เหมาะแก่การจิบน้ำชาให้อุ่นคอคลายหนาวให้ร่างกาย   โรงเตี๊ยมในเขตการค้าเจ้อเจียงคึกคักเป็นพิเศษ  หากแต่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมสร้างด้วยไม้ทั้งหลังผ่านชั่วอายุคนจนเข้าขั้นเก่าแก่แห่งนี้กลับไม่มีเสียงของผู้คนมารบกวน มีแต่เสียงเตียงไม้หลังเก่าดังอี๊ดอ๊าด  ยามสองกายบนเตียงเคลื่อนตัวเข้าหากันในจังหวะที่รัญจวนหอมหวาน และร้อนเร่าราวกับจะเผาหิมะด้านนอกให้แหลกเป็นจุณ

   “ฮึก ..อืม พี่ต้าเหว่ย อ๊า… อ๊ะ! อ๊า..า”

    เสียงหวานรำพรรณชื่อเจ้าของร่างกายกำยำสมดั่งชายชาตรีที่ชื้นเหงื่อ   เนื่องจากสะโพกสอบกำลังกระเด้าท่อนเนื้อเข้าหาโพรงสวรรค์คับแน่น  และอุ่นร้อนจนไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คลั่งได้  มือหนากดเรียวขาขาวแยกออกจากกันจนหัวเข่าแนบไปกับเตียงเผยให้เห็นช่องทางรักสีดอกเหมยเบ่งบานรับท่อนเนื้อของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  ยิ่งทำให้หื่นกระหาย 

   ต้าเหว่ยกัดฟันแล้วเร่งไสกายระรัว โพรงอุ่นขมิบตอดรัดแน่นขนัดก่อนต่างฝ่ายต่างเกร็งเมื่อเสร็จสม แต่ต้าเหว่ยยังคงคุมสติได้ดี เขารีบถอนแก่นกายขนาดเขื่องออกจากช่องทางสีสวย รีบขยับขึ้นไปชักรูดแก่นกายหลั่งสายธารสีขาวขุ่นใส่ริมฝีปากรูปกระจับที่อ้ารอรับอยู่อย่างรู้งาน

   “อ่าห์ ..ซี๊ดด กลืนให้หมด”

   เด็กสาวพยักหน้าพร้อมกับพยายามกลืนลงไป  มิหนำซ้ำยังเอาใจเขาด้วยการดันตัวขึ้นมาแล้วอ้าปากกลืนแท่งเนื้อที่ยังแข็งตัวอยู่เข้าโพรงปากจนสุดคอ นัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับไปด้วยน้ำตาหลับพริ้มยามขยับริมฝีปากรูดรั้ง  และรัวลิ้นหยอกล้ออยู่ภายใน   อดไม่ได้เผลอกระเด้าริมฝีปากช่างเอาใจจนรู้สึกว่าธารแห่งความสุขนั้นปลดปล่อยออกไปจนหมด ลิ้นเล็กไล่เลียเก็บตั้งแต่โคนเนื้อจรดปลายครอบริมฝีปากดูดดุนตรงส่วนหัวอีกครั้ง  แล้วละออกมาทั้งหอบหายใจ

   “อืม.. อื้อ—อ”

   โกยอากาศเข้าปอดได้ไม่เท่าไรต้าเหว่ยก้มลงมาประกบจูบดุดันอีกครา เรียวลิ้นหนาสอดเข้ามาในโพรงปากเพื่อกระหวัดลิ้นของเธอไปดูดดุน  ระคนไม่มีจุดสิ้นสุดความกระหายในกามอารมณ์ มือเล็กพยายามดันไหล่กว้างออก  แต่ยิ่งเปิดทางให้อีกฝ่ายรวบมือทั้งสองข้างของเธอไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วตะโบมจูบลงมาหนักหน่วง

  ปึง

   “สวี่เหว่ยตงหมดหน้าที่ของแกแล้ว”

    นึกขอบคุณเสียงสวรรค์ที่เข้ามาห้ามทำให้ต้าเหว่ยหรือสวี่เหว่ยตงหยุดการกระทำอุกอาจ แล้วยอมละออกไปอย่างหัวเสีย   ร่างสูงใหญ่ลงจากเตียงหยิบกางเกงมาสวมตามด้วยเสื้อคอจีนสีขาวหม่นมาสวมลวก ๆ ท่าทางเหมือนจะหัวเสียมาก   แต่ท่าทีตอนเดินผ่านร่างบางของหญิงวัยกลางคนตัวกลับหดเล็กปะติ๋วเดียว   เสียงส้นสูงลงส้นกับพื้นไม้ดังเข้ามาใกล้  ตามมาด้วยชุดคลุมตัวบางทาบลงมาบนไหล่ของร่างบางที่กึ่งนั่นกึ่งนอนอยู่บนเตียง ดวงตากลมช้อนมองเห็นเจ้าของใบหน้าสวยยิ้มหวานมาให้

   “คุณหนูเองก็ควรจะรีบจัดการตัวเอง..ก่อนที่นายท่านหลิวจะมาดื่มน้ำชารอบบ่ายที่นี่”

   พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นแต่โดยดี กระชับชุดคลุมสีแดงเลือดนกเดินเข้าห้องน้ำในตัวซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ แหวกม่านประตูลูกปัดห้อยระย้าเข้ามาด้านในเห็นเครื่องทำน้ำอุ่นได้ถูกเตรียมไว้ให้แล้ว  เหลือแค่เปิดใส่อ่างไม้ก็เท่านั้น จัดแจงเปิดน้ำเองแล้วกลับมาส่องกระจกเงาสีเหลืองทอง 

   ร่นชุดคลุมลงเผยให้เห็นคอระหง ลาดไหล่บอบบางที่แสนภูมิใจ  ไล่ต่ำลงมาบนหน้าอกมีเนินกระดูกไหปลาร้านูนขึ้นมาอย่างสวยงาม ทรวงอกเต่งตึงขนาดค่อนไปทางเกินตัวที่สูงเพียงร้อยห้าสิบกว่าเซนติเมตรเท่านั้น มือเล็กลูบยอดมนสีแดงเรื่อบนเต้าอิ่มของตนเอง   เหตุที่มันแดงขนาดนี้มาจากการโดนรังแกมานับชั่วโมง ไม่ต้องก้มดูช่องทางตรงหว่างขาก็พอจะรู้ว่ามันคงแดงไม่ต่างกัน ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักเดินกลับไปหย่อนเท้าลงอ่างไม้รูปวงกลมที่มีน้ำเต็มกว่าครึ่ง  เริ่มจัดการทำความสะอาดร่างกายของตนเองทันที

 

   “เดินเร็ว ๆ สิพี่เจีย”

    หลังจากออกมาทางด้านหลังของโรงเตี๊ยม ร่างบางเอ่ยกำชับพี่เลี้ยงให้เดินเร็วขึ้นท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาหนักขึ้นจากขามา เจียฉวี่เร่งให้ทันทูนหัวตัวน้อย อุ่นใจขึ้นมาเมื่อคุณหนูของหล่อนคว้ามือหล่อนไปจับไว้  แล้วรีบเดินไปพร้อมกันแต่เพราะความเร่งรีบจึงไม่ทันระวัง   ทำให้ชนกับร่างสูงของใครอีกคนจนคุณหนูล้มลง เจียฉวี่เองเซไปตาม ๆ กัน

   “โอ้ย!”

   “คุณหนู! คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”

    คนที่เข้าถึงตัวร่างบางก่อนเสียงของเจียฉวี่เป็นร่างสูงของคู่กรณี   ร่างบางถูกประคองให้ยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงเก็บกระเป๋าส่งให้   มือเล็กยื่นออกไปรับเป็นจังหวะให้ทั้งคู่ได้มองตากันราวกับโลกหยุดหมุน   หัวใจดวงน้อยกระตุกแปลบขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลุบตาลงไม่กล้าสบกับดวงตาคมนั่น   

   รับกระเป๋ามาแล้วรีบดึงมือเจียฉวี่เดินเลี่ยงออกมา   โดยไม่ทันได้รับคำขอโทษจากร่างสูง  และไม่ทันได้สังเกตว่าผ้าเช็ดหน้าที่ผูกกับกระเป๋านั่นร่วงลงพื้นใกล้กับเท้าของใครอีกคน  ที่เขาทำได้แค่เพียงเก็บผ้าผืนเล็กขึ้นมาแล้วมองตามจนต่างคนต่างลับสายตา
 

   คฤหาสน์สกุลหลิว

   “ฉันบอกแกว่าไม่ให้ออกไปข้างนอก  แล้วทำไมแกยังดื้อด้านออกไปอีก”

   เสียงของผู้เป็นพ่อดังขึ้นทันทีที่ร่างบางก้าวเข้ามาในตัวบ้านหลังโอ่อ่า    ใบหน้าหวานแดงก่ำจากพิษความหนาวกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้งยิ่งบันดาลโทสะให้ประมุขของบ้าน   เจียฉวี่ก้าวเข้ามายืนบังหน้าไว้ด้วยความรักเจ้านาย

    “เจียฉวี่ผิดเองค่ะ  นายท่านอย่าได้ว่าคุณหนูเลย”

    “ฉันควรจะลงโทษบ่าวหรือนายมันดี”

    หลิวซิ่งผิงแสร้งเอ่ยถามพลางมองปฏิกิริยาของลูกสาวคนเล็กที่ยังคงนิ่งเฉย  ในขณะที่พี่เลี้ยงอย่างเจียฉวี่คุกเข่าลงตรงหน้าร้องขอให้ลงโทษตนแทนลูกสาว  ใกล้วันแต่งงานอยู่แล้วแต่ยังเทียวออกไปเดินเล่นไม่ยอมเก็บตัว

   “เจียฉวี่ลุกขึ้น ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมต้องมีคนโดนลงโทษ”

   “หลิวซืออิ๋ง!”

    “ไปกันเถอะเจียฉวี่  ฉันอยากนอนบนที่นอนอุ่นๆ จะแย่แล้ว”

    ว่าโดยไม่มองหน้าพ่อแม้แต่น้อย ร่างบางจูงมือพี่เลี้ยงเดินผ่านผู้เป็นพ่อไปด้วยหน้าตาเฉยเมย   ผิดกับหลิวซิ่งผิงโกรธจัดทำท่าจะเดินตามไปสั่งสอนให้เด็กน้อยรู้ความ   แต่หลิวซือหนี่ว์วิ่งเข้ามาห้ามเสียก่อนตามสัญชาตญาณของคนเป็นแม่

    “คุณพี่ปล่อยลูกไปเถอะค่ะ แกคงอยากเที่ยวเล่นก่อนจะเข้าพิธีแต่งงานเท่านั้นเอง...อีกอย่างถ้าตีลูกเข้านายใหญ่คงไม่ชอบใจเป็นแน่   ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ”

     “ฉันเห็นแก่นายใหญ่นะ ไม่งั้นลูกเธอเจ็บตัวจนกว่าจะจำได้แน่ว่าฉันเป็นพ่อมัน”

     ร่างสูงของซิ่งผิงสะบัดมือภรรยาออกแล้วเดินจากไป   ทิ้งให้ซือหนี่ว์ยืนเหนื่อยใจระหว่างลูกสาวกับสามีที่นานเท่าไรก็ไม่ลงรอยกันเสียที

 

     “คุณหนูไม่น่าพูดแบบนั้นเลย   ไม่น่ารักเลยนะคะ”

     “พี่เจียเลิกพูดแล้วเข้ามาในผ้าห่มได้แล้วน่า หนาวจะแย่...เร็วสิ”

      เจียฉวี่ล็อกประตูห้องเสร็จแล้วหันมองก้อนผ้าห่มบนเตียงกว้าง   มือเล็ก ๆ กวักเรียกสุดท้ายหล่อนก็ดุคุณหนูไม่สำเร็จเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา   ยอมเดินไปขึ้นเตียงนุ่มของเจ้านายมุดตัวเข้าไปซุกในผ้านวมผืนเดียวกัน   ร่างบางขยับเข้ามากอดตัวหล่อนไว้   ศีรษะทุยตามซบลงมาบนไหล่เหมือนลูกแมวตัวน้อย ๆ มาอ้อนขอความอบอุ่น เจียฉวี่พ่ายแพ้เหลือเกิน  จึงไม่ยากที่คุณหนูจะได้รับการกอดตอบจากหล่อน

    “อุ่นเนอะ”

    “ค่ะ อุ่นมากเลย”

     “นี่..พี่เจียจำผู้ชายเมื่อกี้ได้หรือเปล่า”

     หลิวซืออิ๋งหมายถึงร่างสูงที่เดินชนกันในตรอกเซี่ยงหมี่ แม้เป็นเสี้ยวหนึ่งของเวลาที่ได้มองใบหน้าของเขา แต่หัวใจของเธอจำได้แม่น   ไม่ว่าจะเป็นคิ้วทรงสวยบ่งบอกว่ามีอำนาจและราศีผู้นำ ดวงตาคมแต่เรียบนิ่งไม่ต่างจากฤดูหนาวของช่างไห่    จมูกโด่งเป็นสันคมสวย   สุดท้ายคือริมฝีปากอิ่มหนาได้รูป   เพียงแค่นึกถึงอีกคราหัวใจเจ้ากรรมเต้นรัวเหมือนตอนได้สบตาเขาเลย

     นี่กระมังหลุมพรางของความรัก …ที่ใครต่างก็พูดถึงว่าปีนขึ้นมายากหนักหนา

      “ไม่ทันได้มองหน้าเขาเลยค่ะ แต่ตัวสูงกว่าพวกเรามากเลย   ดูจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับคุณหนูนะคะ”

       “หนูไม่เคยเห็นเขามาก่อน พี่เจียพอจะคุ้นหน้าเขาบ้างไหม”

        “ไม่เลยค่ะ แต่คงเป็นคุณชายของเศรษฐีแถวนี้แหละค่ะ พวกคนรวยชอบส่งลูกไปเรียนกับพวกฝรั่ง  อาจจะเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกก็ได้”

        ในยุคสมัยของเมืองท่าที่กำลังรุ่งเรือง ช่างไห่ถือเป็นนครปารีสแห่งตะวันออกเศรษฐกิจรุ่งโรจน์เรียกนักลงทุนเข้ามา   หลายอย่างเติบโตรวมถึงฐานะของคนบางกลุ่ม   พอมีเงินก็ส่งลูกไปเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนา

        แต่อภิสิทธิ์นั้นก็ได้แต่ลูกชายเท่านั้นแหละ

        ซืออิ๋งถอนหายใจออกมา เปิดผ้าห่มมองเพดานสูงนั้นอย่างล่องลอย    ในหัวมีแต่คำว่าเสียดายที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ช้าไป   เพราะอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าเธอต้องเข้าพิธีแต่งงานเสียแล้ว

        “เฮ้อ อยากได้ผู้ชายคนนั้นจัง”

        “ให้ตายเถอะค่ะคุณหนู พูดอะไรไม่น่ารักเลย”


 

TBC

#อภิรมย์เรือนสาม on TWITTER





 

TALK
สวัสดีค่ะ ปกติลงนิยายในReadAwrite กับ ธัญวลัย ใครผ่านมาเห็น ฝากตัวด้วยนะคะ