ตอนที่ 2 เวทมนตร์ในม่านราตรี
 

 

อาชาสีดำยกสองขาหน้าส่งเสียงร้องขึ้น ด้วยบังเหียนถูกดึงรั้งให้หยุดลงกะทันหัน

ดวงตาสีนิลก้มลงกะซวกสบประสานในความมืด ภาพเงาร่างของชายหนุ่มสะท้อนกับแสงจันทร์ขับให้รอบข้างดูเลือนรางกว่าความเป็นจริง เขาพบว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ซึ่งยังคงกุมบังเหียนไว้แน่น หากแต่ดวงตาฉายแววประหลาดใจอยู่ในที

ลู่ผิงจวินชะงักงัน เขาไม่คาดคิดว่าเพียงกระโดดจากกำแพง จะมาพบกับสถานการณ์ประหลาดแบบนี้ได้

“ศิษย์พี่ เด็กนี่…”

ใครบางคนเอ่ยขึ้นไม่ห่าง เสียงย่ำเท้าม้าใกล้เข้ามาเล็กน้อย

ยังไม่ทันที่ชายร่างสูงจะได้ตอบ พลันปรากฏเงาดำสายหนึ่งตรงมุมสุดทางถนน แม้เพียงชั่วขณะ แต่อดีตจอมมารอย่างลู่ผิงจวินก็สังเกตเห็น และ ดูเหมือนเจ้าคนข้างตัวจะชะงักไปชั่วครู่ เขาขมวดคิ้วเหลือบมองลู่ผิงจวินเล็กน้อย ก่อนจะกระตุกบังเหียน ควบม้าไล่ตามไปอย่างดุดัน

ท่านจอมมารได้แต่เกาะเสื้อของเจ้าคนข้างตัวนั่นไว้อย่างเสียไม่ได้ ขืนตกจากหลังม้าด้วยร่างกายเช่นนี้ ไม่อยากนึกเลยว่าสภาพจะน่าสมเพชขนาดไหน เขายังไม่อยากเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์จอมมารที่ถูกจารึกไว้ว่า ตกม้า ตาย!

เด็กชายขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่น ใบหน้าแทบจะกระแทกกับแผงอกกว้าง ขณะม้าพุ่งตัวไปเบื้องหน้า ลู่ผิงจวินได้ยินเสียงโลหะกระทบกันบางๆ คล้ายกับอีกฝ่ายห้อยอะไรบางอย่างไว้ใต้สาบเสื้อ ทั้งยังได้ยินเสียงคนควบม้าตามมาติดๆ ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าคนที่เอ่ยปากพูดเมื่อครู่ เนื่องจากคนตรงหน้าแทบจะบดบังทัศนียภาพโดยรอบ จึงเห็นเพียงกีบเท้าม้าลิบๆ เท่านั้น

เมื่อเงยหน้าขึ้น จากมุมมองของเขา เห็นแต่เพียงปลายคางได้รูป ดวงหน้าเรียบนิ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย สายตามองตรงไปเบื้องหน้า แทบไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เพียงแต่ยามหักเลี้ยวกะทันหัน อีกฝ่ายยังคงยกมือขึ้น จับยึดเขาไว้

ด้วยความสงสัยทำให้ลู่ผิงจวินทนเงียบไม่ไหวจึงเอ่ยออกไป “พวกเจ้าจะไปไหน”

“ทนไว้ก่อนนะ เจ้าหนู พวกข้ากำลังรีบ ไว้เดี๋ยวจะพาเจ้ากลับมาส่ง” เสียงอันดังขึ้นไม่ห่างนั่น ดูเหมือนจะเป็นคนที่ควบม้าตามมาติดๆ

ไม่ทันไรม้าทั้งสองก็ควบมาถึงพื้นที่รกชัน เต็มไปด้วยพงหญ้าขึ้นสูง คล้ายกับไม่มีผู้คนผ่านทางมานานแล้ว สุดปลายสายตา ปรากฏเป็นบ้านไม้ผุๆ คล้ายจะเป็นกระท่อมร้าง เงาร่างสีดำนั่นพุ่งตัวเข้าประตูไปอย่างฉับพลัน

“เการุ่ยเซิน ฝากด้วย” ยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี ลู่ผิงจวินก็ถูกจับเหวี่ยงออกไปทางอีกคน ขณะตัวเขาพลิกตัวลงจากหลังม้า พุ่งตัวออกไปในชั่วพริบตา

“อั๊ก” ท่านจอมมารถูกรับไว้ได้อย่างสวยงามราวกระสอบทรายตัวน้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็สร้างความบอบช้ำให้กับสภาพจิตใจของเขาไม่น้อย

...ไอ้หมอนั่น!!... เขาเพ่งมองเงาหลังที่ไล่ตามบุคคลปริศนานั้นไปอย่างเคืองแค้น

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าเการุ่ยเซินรับเขามาอุ้มกระชับให้มั่น ก่อนกำชับเสียงกระซิบ “เงียบไว้นะเจ้าหนู”

“ปล่อยข้า” แม้ลู่ผิงจวินไม่คิดจะร่วมมือกับเจ้าพวกนี้ จึงทำท่าราวกับตวาดสั่งการ แต่เขายังคงลดเสียงลงจนใกล้เคียงกับเสียงกระซิบอยู่บ้าง

“รอเสร็จงานแล้วจะปล่อย เกิดเจ้าวิ่งพล่านไปมา พวกข้าจะเดือดร้อนเอา”

ใครมันจะวิ่งพล่านไปมา หา!

หลังจากไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ จากกระท่อมร้างนั้น ผ่านไปสักพัก ชายคนแรกก็เดินออกมา ทำมือให้พวกเขาเข้าไปใกล้

ได้เการุ่ยเซินทำหน้าฉงน แต่ก็อุ้มลู่ผิงจวินตามเข้าไปภายในกระท่อมร้าง นอกจากพวกเขาสามคนแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาของบุคคลที่สี่ รอบข้างมีเพียงเศษหินดิน เศษฟางเก่าๆ และฝุ่นกระจัดกระจาย ตามผนังไม้ผุๆ ทั้งสี่ด้านไม่มีหน้าต่าง ส่วนหลังคา แม้จะดูคล้ายจะพังมิพังแหล่ แต่ดูแล้ว ไม่น่าจะมีใครซ่อนตัวหรือมุดออกไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ได้

คนทั้งสามกวาดตามองรอบๆ ก่อนที่เการุ่ยเซินจะเอ่ยถามขึ้น “มารนั่นเล่า?”

“หายไปแล้ว”

“หายไปแล้ว?”

สุดท้ายลู่ผิงจวินก็ดิ้นจนหลุด กระโดดผึงลงไปยืนบนพื้น เขาเดินไปสัมผัสมุมหนึ่งของเศษกองฟาง ปัดออกเบาๆ พบว่าบนพื้นนั้น มีลวดลายแปลกๆ จากถ่านสีดำ คล้ายเพิ่งถูกวาดขึ้นไม่นานนัก ทั้งยังถูกกลบฝังด้วยเศษดินและกองฟาง หากไม่สังเกตให้แน่ชัด พวกเขาคงไม่อาจรู้ว่ามีลายนี้อยู่

“นั่นอะไร…” คนทั้งสองย่อตัวลงมองสิ่งที่ลู่ผิงจวินค้นพบ เด็กชายตัวน้อยปัดเศษฟางออกอีกหลายส่วน

เมื่อไม่พบอะไรไปมากกว่านี้ เการุ่ยเซินก็หมดความสนใจไปอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตาม มารนั่นเข้ามาในนี้ไม่ผิดแน่ แต่กลับหายตัวไปแล้ว ศิษย์พี่คิดเห็นอย่างไร?”

ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่คนนั้นเดินไปเคาะข้างผนังไม้ผุๆ เศษฝุ่นบางส่วนร่วงกราวลงมา “ที่นี่ไม่เสถียรนัก หากพังออกไป น่าจะหลงเหลือร่องรอยบ้าง อีกทั้ง ข้าลองสำรวจดูแล้ว ไม่พบทางออกอื่นนอกจากประตูที่เราเข้ามา...”

เการุ่ยเซินกอดอก เอียงคอ “เช่นนั้นจะหายตัวไปได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”

ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรต่อ เขาเพียงแต่หันมามองทางลู่ผิงจวิน

ท่านจอมมารปัดฟางออกเพียงราวๆ สี่สวนจึงรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว หลังลุกขึ้น ปัดมือเล็กๆ นั่น เขากวาดสายตามองลวดลายนั้นอีกครั้ง ก่อนยกมือแตะคางครุ่นคิด… ลวดลายนั้นเป็นรูปวงกลม รัศมีราวครึ่งเมตร ภายในวงนั้นสลักอักขระกวัดขดวนเกาะเกี่ยวกันอย่างวิจิต ตัวอักษรเหล่านี้ สำหรับเขาแล้ว นับว่าคุ้นยิ่งกว่าคุ้น นั่นคืออักขระเวทมนตร์ ที่เขาใช้เขียนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ไม่ผิดแน่ นี่คือวงเวทเคลื่อนย้ายสถานที่

วงเวทถูกเขียนขึ้นอย่างประณีตก็จริง แต่กลุ่มไอมนตร์ลอยฟุ้งกระจาย ทั้งยังดูขาดๆ เกินๆ เจ้าคนที่ใช้เวทนั่นคงไม่รู้จักกลบไอมนตร์ตัวเอง อาจเพราะเป็นมือใหม่ หรือตั้งใจกันแน่?

เพียงแต่…

ลู่ผิงจวินเหลือบมองคนทั้งสองเล็กน้อย

...เจ้าพวกนี้ดูจะไม่รู้เรื่องเวทมนตร์ หรือสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด? ...

แต่เดิม เวทมนตร์เป็นเรื่องพื้นฐานซึ่งคนทั่วไปที่พอมีอันจะกิน น่าจะศึกษาไว้บ้างอยู่แล้ว การที่เจ้าพวกนี้ ที่ดูจากการแต่งกายก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ กลับไม่รู้เรื่องเวทมนตร์เลย นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก แต่ก็อย่างว่า เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ทั้งยังไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขาแม้สักเสี้ยว เขาจึงไม่คิดเข้าไปจุ้นจ้านหาเหาใส่หัว

ท่านจอมมารยกมือปัดๆ อากาศธาตุเบื้องหน้า ไล่กลุ่มไอมนตร์ฟุ้งนั่นไป แม้จะไม่ได้ผลอะไรเลยก็ตาม ก่อนจะเดินออกไปทางประตู แต่กลับถูกเจ้าคนปากมากนั่นหิ้วคอเอาไว้

“เจ้าจะไปไหน เจ้าหนู”

ลู่ผิงจวินพ่นลมหายใจอย่างรำคาญใจ “เจ้าจะรั้งข้าไว้ทำไม ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้า ถูกไหม?”

“ข้าบอกแล้วว่าจะพาเจ้ากลับ เขตนี้ยามค่ำคืนอันตราย เจ้าอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านอีก เข้าใจหรือไม่?”

ชายหนุ่มอีกคนกระโจมขึ้นม้า จับบังเหียน มองมาทางพวกเขา “เจ้าพาเด็กนั่นไปส่ง ข้าจะไปดูศพ” พูดจบก็ควบม้าจากไปโดยที่พวกลู่ผิงจวินยังไม่ได้ตอบอะไร

เการุ่ยเซินพาเด็กน้อยขึ้นนั่งบนหลังม้า “บ้านเจ้าอยู่ไหน ข้าจะพาไปส่ง”

“ตามเจ้านั่นไป” ลู่ผิงจวินพูดอย่างวางท่าราวกับสั่งการ

ชายหนุ่มเกาหัวแกรก บอกตามตรงคือเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านเจ้าหนูนี่อยู่ตรงไหนกันแน่ เขาผ่านย่านชานเมืองมาก็จริง แต่พื้นที่แถบนั้นดูแล้วคล้ายกันไปหมด ยิ่งไม่นับว่านี่เป็นยามวิกาล ซึ่งทัศนียภาพมีจำกัด ให้เขาหลับหูหลับตาพาไปคงส่งไม่ถึงที่ ส่วนเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ยอมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ยังคงกอดอกมองมา ทั้งยังเลิกคิ้วน้อยๆ ราวกับกำลังชักถามว่าเหตุใดยังไม่ไปอีก ในที่สุดเขาจึงได้แต่กระตุกบังเหียน ตามศิษย์พี่ไปอย่างเสียไม่ได้

พวกเขาเดินทางเข้าไปในป่าลึก ยามค่ำคืนร้างไร้ผู้คน ดูวังเวงวิเวก รอบข้างมืดสนิท แต่ดูเหมือนเการุ่ยเซินจะยังพอมองเห็นทางรางๆ จากแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมารำไร

“เมื่อกี้พวกเจ้าบอกว่าจะมาดูศพ เล่ารายละเอียดมาสิ” เด็กน้อยในอ้อมแขนเอ่ยถามขึ้น

ไม่รู้ทำไม เการุ่ยเซินรู้สึกว่าเด็กนี่ดูไม่เหมือนเด็กทั่วไปนัก แม้ยามพูดถึงศพ ยังคงดูสงบนิ่งราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ จะว่าสงบเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเทียบกับร่างกายเล็กจ้อยนั่นแล้ว กลับดูราวกับเด็กน้อยกำลังวางท่าทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เการุ่ยเซินจึงอดรู้สึกขบขันไม่ได้

“เจ้าอย่ารู้เลย ไม่ใช่เรื่องน่าฟังนักหรอก” ถึงอย่างไร เการุ่ยเซินก็ไม่คิดดึงคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่พาเขามาด้วยนี่ก็เสี่ยงจะโดนศิษย์พี่โมโหอยู่แล้ว “เฮ้อ รอพบศิษย์พี่ เขาคงพาเจ้ากลับบ้านได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็อย่าบ่ายเบี่ยงอีกเล่า ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากกลับนัก? บ้านเจ้าไม่ดีหรือ” เการุ่ยเซินคิดคาดเดาไปว่า หรือที่บ้านเขาจะมีบุพการีใจยักษ์ ชอบใช้งานทุบตีบุตรหลาน เด็กนี่จึงไม่อยากกลับกัน แต่ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะทันได้พูดอะไร ทั้งสองคนชะงักขึ้นมาพร้อมกัน ไม่ไกลจากจุดนั้น เขาได้ยินเสียงดาบ และเสียงการต่อสู้

เการุ่ยเซินขมวดคิ้ว ก่อนจะกระตุกบังเหียน เร่งขึ้นหน้า

“เดี๋ยว!” ลู่ผิงจวินดึงอกเสื้ออีกฝ่าย ทั้งยังพยายามคว้าบังเหียนให้หยุดม้า แต่เการุ่ยเซินเร่งรีบไปหน่อยจึงไม่ทันได้สังเกตมือเล็กๆ นั่น

เมื่อม้าควบผ่านจุดๆ หนึ่ง ลู่ผิงจวินชะงักนิ่ง รู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว สิ่งที่เขารับรู้ เจ้าคนข้างตัวไม่ได้รู้สึกสักนิด ว่าตอนนี้พวกเขาได้เข้าสู่อาณาเขตเวทมนตร์ของใครบางคนเข้าแล้ว ลู่ผิงจวินขมวดคิ้วอย่างครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่มีผู้ใช้เวทคนไหนรู้สึกสบายยามที่อยู่ในอาณาเขตของผู้อื่น แต่เขาไม่เคยรู้สึกว้าวุ่นแบบนี้มาก่อน นั่นเพราะ ร่างนี้มีเวทมนตร์อ่อนด้อยเกินไป กระทั่งอาณาเขตเวทมนตร์เท่านั้นยังทำให้รู้สึกกดดันได้

ลู่ผิงจวินยิ้มหยัน ดูเหมือนสภาพของเขาในเวลานี้ เรียกว่าเลวร้าย คงไม่เกินไปนัก

ไม่นานหลังผ่านเส้นเขตแดนมา รอบข้างเริ่มปรากฏหมอกหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงการต่อสู้ที่เริ่มแจ่มชัดคล้ายกับใกล้เข้าไปทุกขณะ เการุ่ยเซินจึงตั้งใจจะเร่งฝีเท้าแม้ในทัศนียภาพอันเลวร้าย

“ยังไม่หยุดอีก!” หนนี้ท่านจอมมารตัวน้อยถองศอกใส่อีกฝ่ายเท่าที่แรงจะอำนวย ก่อนคว้าบังเหียนมา ดึงรั้งอย่างแรงให้ม้าหยุดลงกะทันหัน ชายหนุ่มตกใจชะงัก กำลังจะต่อว่าเจ้าเด็กดื้อสักหลายคำ พลันพบว่าเบื้องหน้าพวกเขาที่ควรจะเป็นผืนป่าทอดยาว กลับกลายเป็นผาชัน หากขยับขึ้นหน้าไปอีกเพียงครึ่งก้าว ทั้งม้าทั้งคน คงได้ลงไปกองกันอยู่ใต้หน้าผา

“อย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้วในอาณาเขตคนอื่น ไม่เคยมีใครบอกหรือ” ลู่ผิงจวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาหันกายตั้งใจจะลงจากม้า แต่ขากลับสั้นเกินไป จนต้องเกาะไว้แน่นค่อยๆ ยื่นขาลงไปด้วยท่วงท่าที่ไม่น่าดูนัก

เการุ่ยเซินซึ่งตอนแรกขมวดคิ้ว เห็นดังนั้นเลยได้แต่ส่ายหน้านึกขัน ก่อนจะยื่นมือไปอุ้มเขาลง “เจ้าบอกว่าอาณาเขต มันคืออะไร เจ้ารู้อะไรงั้นหรือ เจ้าหนู”

“เลิกเรียกข้าแบบนั้นได้แล้ว ชื่อของข้าคือลู-- ลู่ผิงจวิน” ท่านจอมมารเอ่ยนามของร่างนี้อย่างเสียไม่ได้ “มีใครบางคนเล่นตลกกับพื้นที่แถบนี้ไงเล่า”

เสียงการต่อสู้ยังมีมาให้ได้ยิน แต่มันดังมาจากทางหน้าผาที่ไม่น่าจะมีคนอยู่ได้

เการุ่ยเซินเองก็มองไปทางด้านนั้น “นี่คล้ายกับสิ่งที่อยู่ในเมืองอู๋หมิง แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีที่แบบนั้นในเขตอื่น”

ลู่ผิงจวินหันมองสำรวจรอบๆ ก่อนจะออกเดินไป “ก่อนเข้ามาในอาณาเขต มีเสียงต่อสู้เกิดขึ้นจริง แต่เมื่อเข้ามาแล้ว เสียงนั่นเพียงแต่หักเหไป แค่เวทมนตร์ลวงตาง่ายๆ ไม่ซับซ้อน” ว่าจบเขาก็หันกลับไป “เจ้าตามข้ามา อย่าพลัดหลงไปก่อนล่ะ”

เการุ่ยเซินคิ้วกระตุก ใครจะหลงนะ? ดูตามสภาพแล้ว คนที่น่าหลงมากกว่าควรจะเป็นเด็กอย่างอีกฝ่ายมากกว่าไม่ใช่รึ แต่เขาก็เดินตามร่างเล็กๆ นั่นไป

ลู่ผิงจวินไม่ได้ตามเสียงต่อสู้ไป เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเขา เขาเพียงแต่ไปตามทางที่กลิ่นอายเวทมนตร์รุนแรงที่สุด วิธีแก้มนตร์ประเภทอาณาเขต โดยส่วนใหญ่ก็แค่ต้องทำลายแกนกลางของมัน ซึ่งอาจเป็นสิ่งของ หรือตัวผู้ใช้เวทเอง ส่วนเหตุผลที่ลากเการุ่ยเซินมาด้วย ก็เพื่อใช้อีกฝ่ายเป็นโล่หากบังเอิญเจอเรื่องไม่คาดฝันเข้า ท่านจอมมารรู้ตัวดีว่าเวลานี้ เขาอ่อนแอมาก อ่อนแอชนิดที่แม้แต่ปกป้องตัวเองยังทำไม่ได้ เรื่องนี้ชวนให้หดหู่ใจจริงๆ กับแค่เวทมนตร์ลวงตาระดับนี้ ถ้าเป็นเขาเมื่อก่อน ไม่ต้องค้นหาแกนกลาง แค่บังคับใช้พลังฉีกทิ้งก็จบแล้ว

พวกเขาเดินมาระยะหนึ่ง เสียงต่อสู้ดูเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ มันดังมาจากทิศทางรอบด้าน มีเสียงคนร้องตะโกน เสียงดาบฟันเข้ากับเนื้อหนัง เสียงนี้ท่านจอมมารค่อนข้างคุ้นหูทีเดียว ไม่นานเขาก็เห็นเงาตะคุ่มเบื้องหน้า ลู่ผิงจวินขมวดคิ้ว สัมผัสของเขาบอกว่านั่นไม่น่าจะใช่ภาพลวงตา แต่หมอกหนาทึบนี่ทำให้ทัศนียภาพเลวร้ายเกินไป เขายกมือเล็กๆ ของตนเองขึ้นมองอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกางฝ่ามือไปเบื้องหน้า ร่ายคาถาในใจรัวเร็ว

“...”

“เจ้าทำอะไร...” เการุ่ยเซินมองท่าทางของเด็กน้อยอย่างงงๆ เขารู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านเส้นผมจนไหวไปน้อยๆ

ลู่ผิงจวินได้แต่ดึงมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเอง ไหนเล่าฉายาราชาปีศาจผู้เรียกลมเรียกฝนได้อย่างใจนึก ตอนนี้เขาเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งที่แม้จะเรียกลมก็ได้แต่ลมอ่อนๆ เรียกฝนคงได้น้ำหยดหนึ่ง!

บ้าบอนัก!

แต่แกนกลางอยู่ข้างหน้านี้แล้ว น่าจะกลางวงล้อมการต่อสู้พอดี จะให้เขาซึ่งอ่อนแอมากเช่นนี้บุกเข้าไปทำลายแกนกลาง นั่นดูเหมือนจะหาเรื่องตายไปหน่อย แน่นอนว่าเขายังรักชื่อเสียงในฐานะจอมมาร จะตายทั้งที เขาไม่อยากตายในร่างเด็กง่อยๆ นี่

“เจ้า พาข้าเข้าไปกลางวงล้อมนั่น” เขาหันกลับไปพูดกับคนที่ตามมาขณะชี้ไปจุดๆ หนึ่งในสายหมอก “ข้างหน้านี่น่าจะมีการสู้กันอยู่ นั่นเป็นคนของพวกเจ้า? มีกี่คนกัน?”

เการุ่ยเซินอุ้มลู่ผิงจวินขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไปช่วยคนอื่นๆ แต่จะปล่อยเด็กนี่ไว้คนเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน “หก รวมท่านชางชินหาน คนที่เจ้าพบเมื่อครู่ด้วยก็เป็นเจ็ด”

“ดูจากที่เห็น นี่น่าจะไม่น้อยกว่ายี่สิบ” ลู่ผิงจวินกวาดตามองเงารอบๆ มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายกับเป็นมนุษย์ ถือดาบฟาดฟันใส่ฝ่ายตรงข้าม ส่วนศัตรู? ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์เท่าไรนัก ทั้งการเคลื่อนไหว บางครั้งดูอืดอาด บางคราวกลับรวดเร็วมาก “อีกฝ่ายใช่มนุษย์หรือ?”

“น่าจะเป็นมารชั้นต่ำ พวกศิษย์คนอื่นคงพอรับมือได้ แต่จำนวนมากเกินไป” เการุ่ยเซินวิ่งเข้าไปในสายหมอก หลบหลีกการรบราเบื้องหน้าพลางตะโกนเข้าไป “เฮ้ พวกเจ้าปลอดภัยกันดีหรือไม่!”

“ท่านเการุ่ยเซิน!?” มีเสียงขานรับอีกหลายเสียงตอบกลับมา

“เกิดอะไรขึ้น ท่านชางชินหานเล่า เขามาที่นี่ไม่ใช่หรือ?” เการุ่ยเซินถือกระบี่ฟาดฟันใส่เงาร่างคล้ายมนุษย์เบื้องหน้า ทั้งที่อีกมือหนึ่งยังคงหิ้วลู่ผิงจวินไว้

“ท่านเจ้าหุบเขา ตอนที่มาถึงแล้วพบว่าศพถูกชิงไป จึงแยกย้ายกันค้นหา แต่หมอกลงหนามากจึงได้พลัดหลงกันขอรับ”

ท่านจอมมารพบว่า เจ้าหมอนี่มีฝีมือไม่เลว คะเนแล้ว น่าจะพอๆ กับพรรค์พวกของเหล่าผู้กล้าที่เคยมาท้าสู้กับเขา ถึงอย่างไร เขาก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเการุ่ยเซินใช้งานได้ ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมลากอีกฝ่ายมาเป็นโล่มนุษย์ฉุกเฉินแน่ “อย่าเพิ่งสนใจ รีบพาข้าไปที่แกนกลาง”

“มันคืออะไร”

ลู่ผิงจวินกลอกตา ก่อนชี้ไปยังทิศหนึ่ง “ไปทางนั้นสักห้าสิบก้าว”

แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เการุ่ยเซินก็พาลู่ผิงจวินไปตามที่บอก แถบนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหมอกหนาจนมองอะไรแทบไม่เห็น พอมาถึงจุดหมาย เขาจึงสั่งให้สารถีจำเป็นหยุดฝีเท้า

“ปล่อยข้าลง ระวังรอบข้างให้ด้วย” ลู่ผิงจวินเหยียบลงบนพื้นที่แทบจะกลืนไปกับหมอกหนาทึบนั้นอย่างแผ่วเบา

“เจ้าคิดจะทำอะไร”

ท่านจอมมารคร้านจะตอบคำ เขาเพียงกระโดดลงไป เบื้องล่างนั้นเหมือนจะเป็นหลุม ดูจากสภาพแล้ว น่าจะเป็นหลุมฝังศพ ใครบางคนเพิ่งขุดขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ เด็กชายยื่นมือไปเบื้องหน้า คว้าเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกฝังไว้อย่างลวกๆ ขึ้นมา ฉีกออก

ทันทีที่กระดาษถูกฉีก หมอกรอบข้างก็เริ่มจางหายไป

ลู่ผิงจวินหัวเราะในลำคอ มองกระดาษซึ่งสลักอักขระมนตราอย่างหยาบๆ นั่น เวทมนตร์ลวงตาระดับต่ำ คิดจะใช้ขังท่านจอมมารผู้นี้ เห็นทีจะดูถูกกันเกินไปหน่อยแล้ว กลิ่นอายเวทมนตร์เหมือนกับที่เขารับรู้ในกระท่อมร้าง ผู้ที่ทำกระดาษเวทมนตร์แผ่นนี้ขึ้นมาน่าจะเป็นคนเดียวกัน

เมื่อเห็นว่าหมอกจางไปหมดแล้วเขาจึงหันกลับไป พบว่ารอบข้างไม่มีใครเหลืออยู่ แม้แต่เสียงต่อสู้ยังสงบเงียบไปแล้ว

ลู่ผิงจวินกะพริบตา เขาไม่รู้สึกว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายสถานที่ เช่นนั้นแปลว่าคนที่ถูกทำให้เคลื่อนย้ายน่าจะเป็นเจ้าพวกที่อยู่รอบๆ หรือไม่ก็ พวกเขาเดินออกไปเองเพราะภาพลวงตาจากเวทมนตร์

ท่านจอมมารไหวไหล่ จะอย่างไรก็ตาม เขาหมดธุระที่นี่แล้ว ในเมื่อแกนกลางเป็นวัตถุเช่นนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใช้งานจะอยู่ที่นี่ มนตร์ลวงตา ผสานกับมนตร์กักขังแบบง่ายๆ เจ้าคนที่ใช้เวทนี่ ดูท่าจะเข้าใจเรื่องการผสานเวทมนตร์อยู่ แต่กลับไม่รู้จักพลิกแพลงหรือเพิ่มความซับซ้อน หากตั้งแกนกลางเวทมนตร์ให้ซับซ้อนสักหน่อย แม้แต่เขายังต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำลายได้

เพียงแต่ หากเขาไม่อยู่ที่นี่ด้วย เจ้าพวกคนที่ไม่รู้เวทมนตร์แม้แต่นิดเดียวนั่น คงถูกขังอยู่ที่นี่จนกว่ามนตร์จะหมดสภาพ คำนวณดูคร่าวๆ มนตร์นี่น่าจะคงอยู่ได้หกเจ็ดวันเห็นจะได้

เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายมีไว้เพื่อถ่วงเวลา คนพวกนี้น่าจะเป็นภัยคุกคามต่อจอมเวทนั่น? แต่เขายังไม่รู้ถึงจุดประสงค์หลักของอีกฝ่ายนี่สิ

หมับ!

อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีสัมผัสเย็นๆ คว้าข้อเท้าไว้ ลู่ผิงจวินสะดุ้ง เหลือบมองมือแดงคล้ำซึ่งโผล่ออกมาจากพื้นตรงที่เขายืนอยู่ ขณะที่ใบหน้าเริ่มแทรกเศษดินขึ้นมา ใบหน้าสีแดงเลือดเลอะดินโคลน ซ้ำยังมีหนอนซอนไซนั้น ดูราวกับถูกถลกหนังออกไปก่อนตาย

“...หน้า…..”

สมองของเขาประมวลผลในเสี้ยววิ มือคว้าเอากิ่งไม้แถบนั้นเสียบลงบนเบ้าตาอีกฝ่าย แต่เดิม สภาพรอบด้านก็มืดอยู่แล้ว ลูกตาของศพนั้นยังมีอยู่หรือไม่ ลู่ผิงจวินเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่เขาสัมผัสได้ว่าแทงไปโดนเนื้อหนังนิ่มๆ ศพส่งเสียงร้องครืนๆ แต่ยังไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ เขาจึงใช้ขาอีกข้างถีบมือนั่นออกไปสุดแรง

เมื่อหลุดออกมาได้ เขารีบลุกออกวิ่งไปทันที แม้ข้อเท้าจะถูกกรงเล็บศพครูดจนแผลเหวอะหวะเลือดไหล่เป็นทาง แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจ เขาสบถไประหว่างทาง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีช่วงเวลาที่เขาจำเป็นต้องหนีหัวซุกหัวซุนอย่างน่าสมเพช

เขาประมาทเกินไป!

แต่เดิมศพไม่ได้ถูกขโมย หากอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ศพที่เจ้าพวกนั้นคิดว่าถูกขโมยไปเป็นภาพลวงตา เพื่อล่อให้ห่างจากตัวแกนกลาง ตัวตนที่ใช้ปกปักแกนกลาง ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นศพนี่!?

“ใบหน้า...ของข้า…”

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมาติดๆ จากในความมืด ลู่ผิงจวินตัวเล็กไม่ได้ว่องไวนัก อีกไม่นานคงถูกไล่ตามทัน เวทมนตร์ง่อยๆ ก็ไม่น่าจะใช้ได้ผล จะอาวุธหรือกำลังจะไปต่อสู้ก็ไม่มี

คิดสิ น่าจะมีหนทางไม่ใช่หรือ!?

ขณะกำลังคิดจนเส้นเลือดบนขมับเต้นตุ๊บๆ เขาพลันรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตไม่ห่างจากนั้น ท่านจอมมารตัดสินใจเอี้ยวตัวไปทางนั้น พบว่าเป็นมนุษย์อย่างที่คิด หมอกควันหายไปหมดแล้ว จึงพอมองเห็นเงาสามสายรางๆ ยืนถือกระบี่อย่างระแวดระวัง เขาเดาว่าคนเหล่านั้นน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับพวกเการุ่ยเซิน

"พวกเจ้า มีศพอยู่ ไปกำจัดเร็ว" ลู่ผิงจวินร้องสั่ง ขณะก้มศีรษะหลบกรงเล็บศพเปื้อนเลือดจนเกือบจะเสียหลัก

คนเหล่านั้นเหมือนจะสังเกตเห็น จึงรีบวิ่งเข้ามายกกระบี่ขึ้นสกัด มองเด็กชายแววตาฉายแววประหลาดใจ "เจ้า ที่มากับท่านเการุ่ยเซิน ปลอดภัยดีหรือไม่?"

ลู่ผิงจวินค้ำมื้อกับพื้น เหลือบมองเลือดไหลจนย้อมข้อเท้ารองเท้าผ้าของเขาจนเป็นสีแดง “เออ ก็พอไหว” เขากัดฟันลุกขึ้น พิงตัวหอบหายใจข้างต้นไม้ รู้สึกหายใจลำบาก แน่นหน้าอก ราวกับหัวใจจะหลุดออกมา แววตาพร่าเลือน มองการต่อสู้ของคนพวกนั้น สามต่อหนึ่ง กลับยังเป็นรอง ศพนั่น ท่าทางเหมือนจะยืดยาด แต่กลับเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินคาด ซ้ำยังคาดเดาลำบาก ถ้าไม่ใช่ระดับเจ้าสองคนที่เขาเจอตอนแรก น่าจะรับมือไม่ไหว

หนึ่งในนั้นฟาดกระบี่ใส่ศพ ส่วนอีกคนพยายามฟันคอของมัน แต่ไม่รู้เพราะหนังมันเหนียวมากหรือกระบี่ด้านไปแล้ว ลำคออันปกคลุมด้วยเส้นเลือดและเอ็นเละๆ แหวกออกจากกันเล็กน้อย เลือดสีแดงคล้ำย้อยทะลักออกมา ด้วยความร่วมมืออย่างทุลักทุเล ในที่สุดหนึ่งในพวกเขาก็ขว้างยันต์แปะตัวศพได้ พวกเขาแปะยันต์ไปแทบทั้งตัว แต่ศพยังทำท่าคล้ายจะขยับได้อยู่ กระทั่งใบที่ยี่สิบ มันถึงชะงักนิ่งไป

“น่าจะยันไว้ได้สักพัก” สามคนนั่นตั้งท่า ถือยันต์เปล่งแสงในมือสั่นๆ ท่าทางเหมือนกำลังใช้เวทมนตร์บางอย่างสะกดศพนั่นไว้อย่างยากลำบาก?

ลู่ผิงจวินขมวดคิ้วมองการต่อสู้ของโลกนี้ นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ คนที่นี่เน้นใช้ดาบหรือ? เพียงแต่รูปร่างต่างจากดาบอยู่บ้าง อีกทั้งยามฟาดฟันคล้ายมีแสงวิบวับ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงรู้สึกได้ถึงกระแสพลังบางอย่างซึ่งต่างจากเวทมนตร์บนโลกของเขา

ศพสงบนิ่งได้เพียงไม่กี่อึดใจ มันกลับเริ่มสั่นอย่างรุนแรง คอของมันตกลงห้อยคล้ายกับหมดแรง ขณะเริ่มพึมพำบางอย่าง “ใบหน้า...ของข้า…” ร่างของมันสั่นกระตุก “คืนมา...คืน...หน้าของ..ข้ามา…” มันแหงนหน้าขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนเปล่งเสียงคำรามดังก้องสะท้อนไปทั้งป่า ยันต์รอบๆ ตัวมันบ้างถูกดีดออก บ้างถูกฉีกกระจุย “เอา! คืน! มา!!”

ยันต์ในมือของสามคนนั่นไหม้เหลือแต่เพียงขี้เถ้าร่วงลงพื้น ต่างคนต่างหน้าซีดเผือด “แย่แล้ว!”

ทั้งสามคนยกกระบี่ขึ้น พยายามสกัดกั้น แต่ไม่รู้ศพคืนชีพฟื้นคืนเรี่ยวแรงมาจากไหน มันฟาดพวกเขากระเด็นไปคนละทิศ หนึ่งในนั้นกระแทกกับต้นไม้จนสลบไป พวกเขาล้วนบาดเจ็บทั้งจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ให้ฝืนยันต่อไปจึงค่อนข้างเต็มกลืน ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ศพคืนชีพกลับกระโจมเข้าใส่อีกครั้ง พวกเขายกกระบี่ขึ้นกั้น ไม่คาดว่ากรงเล็บแหลมคมนั่นกลับผ่านพวกเขาไปราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา

เป้าหมายของศพคืนชีพคือลู่ผิงจวิน!

ศิษย์คนนั้นตั้งตัวได้ก็รู้ว่าไม่ทันกาล เขาได้แต่ร้องเตือน “หนีไป เจ้าหนู!”

เขาไม่ได้ชื่อ เจ้า.หนู!

ลู่ผิงจวินกัดฟัน ไม่มีเวลาจะไปโต้ตอบ ได้แต่กระโดดหลบ กรงเล็บของมันเฉียดข้างแก้มเขาไปนิดเดียว เขารู้สึกเจ็บแปลบพร้อมเลือดที่ไหลลงมาจากปากแผล โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาค่อนข้างรวดเร็ว ถ้าเป็นเด็กปกติ ป่านนี้หัวได้หลุดไปกลิ้งบนพื้นแล้วเป็นแน่

เขาออกวิ่งไปอีกครั้ง ทั้งที่ขายังคงมีเลือดไหลจนน่าหวั่น ไม่รู้เพราะอะไร แต่ดูเหมือนเจ้าปีศาจนี่จะมีเป้าหมายคือตัวเขา? เพราะเขาเป็นคนทำลายอาณาเขตเวทงั้นหรือ? เขาเหลือบมองในมือ พบว่ากระดาษแกนกลางปลิวหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็สุดจะรู้แล้ว เพราะมันมืดมาก เขาจึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอักขระเวทให้ดี ในนั้นมีกลซ้อนทับ หรืออย่างอื่นอยู่อีกหรือไม่ เขาไม่รู้

วิ่งมาได้สักพักจนเขารู้สึกราวกับปอดจะระเบิดให้ได้ พลันพบว่าทางเบื้องหน้าเป็นหน้าผาซัน จึงจำเป็นต้องหยุดฝีเท้าลง

ท่านจอมมารแทบอยากยกมือตบหน้าผากตนเอง เพราะเขาเป็นราชาปีศาจ เทพธิดาแห่งโชคชะตาจึงไม่คิดเข้าข้างเขาหรืออย่างไร แต่อันที่จริง เขาก็ไม่เคยเชื่อเรื่องเทพธิดา หรือพระเจ้าเหล่านั้นอยู่แล้ว

ลู่ผิงจวินหันไปเผชิญหน้ากับศพคืนชีพที่ยังคงไล่ตามมา ดูเหมือนมันจะเชื่องช้าลงเล็กน้อย อาจเพราะยันต์ที่ยังติดอยู่บนตัว แม้จะขาดรุ่งริ่งไปบางส่วนแล้วก็ตาม เขาหอบหายใจ ก่อนหัวเราะในลำคอ… จะทำอย่างไรล่ะทีนี้ เขาจะมีชะตาต้องมาตายอีกรอบในโลกที่ยังไม่รู้จักแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ...

...

‘วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของเวทมนตร์นั้น...’ อยู่ๆ ลู่ผิงจวินก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้

ภาพของตาแก่ที่ชอบไว้เคราเขียว ผมเผ้ารุงรัง ช้ำยังชอบดื่มหัวราน้ำตั้งแต่รุ่งสางผุดขึ้นในห้วงภวังค์

‘วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของเวทมนตร์นั้น มีอยู่หลายวิธี แม้เจ้าจะมีเวทมนตร์มหาศาลใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่จงอย่าลืมว่า หากการต่อสู้ยืดเยื้อหรือพบคู่ต่อสู้ที่ตรึงมือ สักวันเจ้าอาจต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเอาชนะ’

‘เจ้าคิดว่าจะมีวันที่ข้าเข้าตาจนรึไง ตาแก่’

‘แล้วเจ้าเคยคิดฝันเรอะ ว่าคนอย่างแม่แกจะมีวันเข้าตาจน’

ลู่ผิงจวินขมวดคิ้ว

เข้าตาจนน่ะหรือ… หึๆ เขาไม่เคยคิดฝันเลยจริงๆ

‘หลักพื้นฐานแห่งเวทมนตร์ ตั้งแต่โบราณกาล จงสังเวยด้วยสิ่งตอบแทน นั่นคือ เลือด’

ลู่ผิงจวินกัดนิ้วโป้งจนห้อเลือด

‘เสริมจุดร่วมพลังด้วยวงแหวนเวท’

ก่อนใช้มือขวาดวงแหวนกลางอากาศเบื้องหน้า หากมีผู้ใช้เวทอยู่แถบนั้น น่าจะมองเห็นว่าเขาวาดอักขระเวทรวดเร็วแม่นยำอย่างยิ่ง

‘อย่าลังเลที่จะเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมา ข้ารู้ว่าเรื่องพื้นฐานพวกนี้ แม้ไม่ทำ เจ้าก็ใช้เวทได้ดั่งใจนึก แต่อย่าลืมว่าพื้นฐานคือรากฐานสำคัญ สักวันเจ้าจะรู้ว่ามันแตกต่าง’

“เพราะมันน่ารำคาญไง ตาแก่” ลู่ผิงจวินสูดลมหายใจเข้า เขามองตรงไปยังร่างเบื้องหน้าที่กำลังตั้งท่าพุ่งเข้ามา “ด้วยนามของผู้สืบทอดแห่งอเล็กซีล สายลมทั้งปวง จงฟังคำบัญชาจากข้า” เขารวบรวมกำลังทั้งหมดสะบัดแขนเล็กๆ นั่น เพื่อเป็นตัวช่วยเสริมการควบคุมพลัง คราวนี้สายลมอ่อนๆ แปลเปลี่ยนเป็นใบมีด เฉือนเอาร่างของศพคืนชีพจนเซถอยไป แต่แม้บาดแผลจะลึกจนเครื่องในปลิ้นออกมา ศพกลับชะงักไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกระโจมเข้าใส่เขาอีกครั้ง

...ไม่พองั้นหรือ!? ...

ลู่ผิงจวินตื่นตระหนก เขาตั้งตัวจะกระโดดหลบ แต่ร่างเล็กๆ นี่ช่างไม่ยืดหยุ่นเอาเสียเลย จังหวะช้าไปเสี้ยววิ กรงเล็บของศพกะซวกมาทางดวงตาของเขา

ฉับ!

เลือดสีแดงคล้ำสาดกระเซ็น เปรอะเปื้อนใบหน้าของท่านจอมมาร พร้อมกับร่างของศพคืนชีพที่ล้มตัวลง

เบื้องหลังศพที่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อน มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ลู่ผิงจวินไม่แน่ใจนัก แต่คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังเบิกตามองมา

“ท่านชางชินหาน” ใครบางคนร้องเรียกอย่างยินดี

ขณะถอยหลบ เขาถลาล้มลงกับพื้นหญ้า เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือ นับรวมแล้ว วันนี้เขาใช้เวทมนตร์ไปสามครั้ง ไม่นับกับที่ใช้ประสาทสัมผัสเพื่อจับกระแสพลัง ค้นหาเป้าหมาย วิเคราะห์พลัง ทั้งยังออกวิ่งแทบทั้งคืน กับร่างกายที่ไม่เคยใช้เวทมนตร์มาก่อน ทั้งยังเป็นเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรง เรื่องนี้นับว่าเกินกำลังมากไปจริงๆ

“เขาอาจถูกพิษจากศพ” เขาคล้ายได้ยินเสียงคนพูดไม่ห่าง ขณะที่ร่างกายถูกโอบอุ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา

ในที่สุดท่านจอมมารก็ทนความง่วงงุนไม่ไหว จึงหลับไป

(จบตอน)