อะไรเอ่ย...

‘มีกรงเล็บยาวโง้งไว้ใช้เกี่ยวยึด

ผิวหนังสากหนาที่ไม่มีคมเขี้ยวใดสามารถเจาะทะลุ

ดวงตาโตที่จับจ้องเป้าหมายไม่วางตา และหางที่ประกอบจากมัดกล้ามเนื้อเรียวยาวทรงพลัง

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ลิ้นยาวที่แลบแปลบๆ สร้างความอกสั่นขวัญหายแก่ผู้พบหน้า

ในโลกที่มังกรหลงเหลือแต่เพียงเรื่องเล่าในนิยายปรัมปรา ส่วนจระเข้ที่ดังที่สุดก็อยู่แต่ในนิทาน’

เพียงหนึ่งเดียวที่คนทั้งหลายให้ความยำเกรงย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น...

.

.

“ตัวเหี้ย!!!!!!”

เด็กหนุ่มสูงร่วมร้อยแปดสิบเซนติเมตรและมีแขนปูดเป็นก้ามปูคับแน่นในเสื้อเชิ้ตนักศึกษาร้องเสียงดัง

“เชี่ย! ตัวโคตรใหญ่ แม่งมาอยู่ตรงนี้ได้ไง กูเกือบเหยียบ!!”

เจ้าของกล้ามแขนที่คับจนน่าสงสารเสื้ออุทานแล้วบ่นต่อ

“ไปสิวะ! หน้าด้านอีกเว้ยไอ้นี่ เฮ้ย! มึงเอาสเปรย์มาหน่อย เดี๋ยวฉีดตาแม่ง”

 

บ่นไม่บ่นเปล่ายังจะรังแกสัตว์อีก...

เด็กสาวที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีดำยาวส่ายศีรษะ นึกแล้ววางปึกเอกสารที่ซื้อมาจากร้านถ่ายเอกสารใต้ตึกใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยาน เดินตรงไปยังผู้ชายหุ่นน้องๆ หมีขาวที่กำลังยื้อแย่งขวดสเปรย์จากเพื่อนอีกคนมาตั้งท่าจะฉีดใส่เจ้าตัวที่นอนแหมบอยู่กับพื้น

“ไป สมชาย ไปนอนที่อื่นไป เดี๋ยวก็ถูกคนรังแกหรอก”

“อ้าว ผู้พิทักษ์เหี้ยเหรอครับเนี่ย” คนที่ตั้งท่าจะแกล้งสัตว์ไม่มีทางสู้ปากเปราะใส่เธอ และทำสีหน้ายียวนระหว่างมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาด “เพื่อนเธอเหรอ?”

“เปล่า แต่ใครๆ ก็รู้จักเจ้าตัวนี้ทั้งนั้นน่ะ ถามพี่ยามก็ได้”

เธอเงยหน้าตอบเร็วๆ แล้วพยักหน้าไปทางยามคนหนึ่งที่เพิ่งเดินกลับมาประจำที่บริเวณหน้าตึก

“อ๋อเหรอ ฉันไม่ยักรู้”

‘สมชาย’ ยอมขยับตัวเดินเอียงๆ อย่างเชื่องช้าออกไปจากบริเวณที่จอดรถจักรยาน ตรงไปยังบ่อน้ำด้านหน้าลานที่ติดกับรูปปั้นอดีตอธิการบดีที่ชื่อเดียวกับหอสมุดของวิทยาเขต เธอยืนมองตามมันเดินลงไปในน้ำแล้วหันกลับไปที่จักรยาน โดยมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากกลุ่มของนายหมีขาวน้อยไล่หลังมา

‘ไม่มีมารยาท’

เธอคิดตอนเตะตัวล็อกล้อจักรยานแรงกว่าปกติ ขึ้นคร่อมอาน แล้วถีบพรวดเดียวออกมาเฉี่ยวเจ้าหัวโจกจนเขาต้องร้อง “เฮ้ย!?” อีกรอบ เมื่อพ้นมาได้ก็ถึงกับยิ้มสะใจที่ได้แกล้งคนไร้เมตตาสักหน่อย

ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวันหลังจากเลิกคาบเช้า นักศึกษาจำนวนมากจึงทยอยออกจากห้องบรรยายในอาคารซีเอสไปกินข้าว พวกที่ไม่มีจักรยานเลือกไปฝากท้องที่โรงอาหารด้านหลัง แต่หลายคนที่ชอบรสชาติอาหารของโรงอาหารกลางมากกว่า ต่างก็กำลังเดินฝ่าแดดตอนเที่ยงตรงไปที่นั่น

เธอเป็นคนในกลุ่มหลัง และตอนนี้ก็กำลังประคองจักรยานหาช่องว่างแทรกผ่านกลุ่มคนที่เดินอย่างไร้รูปแบบอยู่ข้างหน้าเพื่อไปหาที่นั่งจอง แต่ในจังหวะที่สบช่องให้รีบเร่งความเร็วกลับมีเสียงหนึ่งตะโกนไล่หลังมา

“ไอ้เอรอก่อนโว้ย! ลืมเพื่อนแล้วเนี่ย?!”

มือบีบเบรกทั้งสองล้อเสียงดังเอี๊ยดเสียดแก้วหูคนโดยรอบพร้อมกับหักหน้ารถเร็วกว่าความคิด อยู่ดีๆ ตัวเธอกับรถก็เทกันลงมาทางด้านข้างในจังหวะที่คนตะโกนไล่หลังทำตาโตเตรียมวิ่งมาหา

“ว้าย!”

เธอไม่ได้ร้อง แต่กลับมีเสียงหวีดของใครบางคนดังขึ้นแทนในบรรยากาศสโลโมชั่นเหมือนเอาตัวไปอยู่ในเครื่องเล่นที่หมุนกลับหัวในเสี้ยววินาที และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นชีทเรียนจำนวนมากปลิวว่อนตกลงมาทับตัวกับกระจายเกลื่อนบริเวณ

“เอ่อ ขะ ขอโทษนะคะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

เธอไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงคนที่ล้มลงก้นจ้ำเบ้าจนกระโปรงเปิด ถึงเป็นเพศเดียวกันแต่การได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรก็ทำให้อึ้งไปหลายวินาที พอรู้สึกตัวเธอจึงรีบพุ่งไปดึงชายกระโปรงลงมาแล้วฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น

“...ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”

เจ้าของกระโปรงพลีทที่เพิ่งเปิดหวอเมื่อกี้รีบจับกระโปรง ส่วนเธอก็ก้มลงซ่อนใบหน้าจากสายตาอีกฝ่ายแล้วหันมาตามเก็บกระดาษที่กระจายอยู่รอบตัวรวมไว้ด้วยกัน เพื่อนตัวต้นเหตุทำให้จักรยานเสียหลักตามมาช่วยอีกคน ก่อนที่สาวน้อยอีกสามสี่คนจะวิ่งมาสมทบ ทุกคนพร้อมใจกันช่วยเก็บกระดาษจนเสร็จในเวลาไม่นาน เมื่อได้เป็นปึกก็มาช่วยกันคัดแยกออกให้เธอกับคนที่ถูกชนล้มไปเก็บไว้

“บี แกเป็นอะไรมากหรือเปล่า ได้แผลไหม”

คนถามเป็นสาวน้อยที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม และก็ไม่ใช่สาวจริงๆ เพราะลูกกระเดือกใหญ่มากแถมเสียงยังห้าว แต่เห็นแก่ที่สวมวิกผมลอน กรีดตากับใส่กระโปรง เธอก็จะมองอีกฝ่ายในฐานะเพื่อนหญิงของ ‘บี’ ก็แล้วกัน

“ไม่ๆ ไม่เป็นไร จริงๆ เราไม่โดนอะไรหรอก แต่ตกใจจนล้มเองน่ะ” บีตอบ

“สกิลนางเอกทำงานเองอีกแล้วเหรอ” เพื่อนอีกคนของบีที่มีลักษณะตรงข้ามกับคนแรกพูด คนนี้ตัวเล็ก สูงแค่ไหล่ของคนถามคนแรก และแต่งตัวเหมือนสลับเพศกับคนแรกทุกอย่าง

“ก็คนมันตกใจไหม สกิลนางอ่กนางเอกอะไรกัน บ้าละ”

‘เอ’ ยืนมองบีกับเพื่อนๆ คุยกันโดยยังถือปึกเอกสารอยู่ที่เดิม ขณะที่ปล่อยให้เพื่อนประคองจักรยานที่ล้มคอเอียงอยู่ขึ้นมา

“อะแฮ่ม”

“อะไรวะ”

“จะไปกันได้ยัง เที่ยงกว่าแล้ว ป่านนี้ไม่มีที่นั่งแล้วมั้ง”

เพื่อนตัวดีพูดพร้อมมองอย่างรู้ทัน เอจึงส่งสัญญานให้หุบปากทางสายตาใส่ไปทีหนึ่ง

“จะขี่เองหรือให้เราขี่”

เพื่อนถามต่อ เอจึงปัดมือให้อีกฝ่ายเขยิบไปเป็นคนซ้อน ส่วนตัวเองก็กลับมาขึ้นคร่อมอ่านทำหน้าที่สารถีเหมือนเดิม ระหว่างรอให้เพื่อนจัดท่านั่งให้ดีเพื่อให้ออกตัวได้อย่างปลอดภัยเธอก็หันไปมองบี และบีก็หันมาสบตากับเธอกลับ ในชั่วพริบตานั้นเหมือนต่างคนต่างไม่รู้ว่าควรปั้นหน้าต่อกันอย่างไร แต่สุดท้ายเอก็ทำได้แค่หันหน้าหนีในจังหวะที่บีกำลังหักมุมปากเป็นรอยยิ้มส่งมา

“บี แกยิ้มให้ใครวะ”

“เปล่า”

“อย่ามาเปล่า ก็เห็นชัดๆ ว่ายิ้ม”

“รู้จักคนนั้นเหรอ”

“เปล่านี่”

“แล้วยิ้มเพื่อ?”

“ก็ยิ้มเฉยๆ ไมได้เหรอ แกจะให้เราแยกเขี้ยวใส่เขาหรือไง” บีออกตัวแล้วก้าวเดินนำเพื่อนๆ ออกมาก่อน

“ไม่ได้ให้แยกเขี้ยว แต่คนเราไม่ควรไปเที่ยวยิ้มให้ใครสุ่มสี่สุ่มหน้านะ”

“เมื่อกี้เขาช่วยเรา พอใจหรือยัง”

“เขาก็ควรต้องช่วยแกไหม ถึงจะไม่ได้ขี่มาชน แต่ฉันก็เห็นนะว่าแกล้มเพราะเขาหักหน้ารถตัวเองอะ”

“พวกแกนี่เลิกจับผิดเราซะทีเหอะ แล้วก็รีบๆ เดิน มันร้อน”

บีหันกลับมาแลบลิ้นใส่เพื่อนพร้อมกับเร่งให้เดินเร็วๆ ขณะที่รีบจ้ำให้พ้นรัศมีแดดที่แผดเผา เธอไม่รู้จักเจ้าของจักรยานคันเมื่อกี้หรอก แค่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าได้เจอกันในห้องบรรยายรวมของวิชาทียูกับได้เจอในห้องบรรยายย่อยของวิชาภาษาอังกฤษเพราะอยู่เซคเดียวกัน แต่เปิดเรียนมาได้สองสัปดาห์แล้วเธอกับคนนั้นก็ไม่เคยได้แนะนำตัวต่อกันอย่างเป็นทางการสักที แถมทุกครั้งที่เลิกคาบ คนนั้นก็มักเดินหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเป็นคนลึกลับพอตัว ไม่ก็คงมีโลกส่วนตัวสูง เธอคิดเอาจากท่าทางที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่เหมือนเด็กปีหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะอยู่หอจึงทำให้ดูเหมือนพวกเด็กปีสูงที่มักรักสันโดษมากกว่า

__________________________________

 

“เอๆ”

เอเงยหน้าจากจานผัดกะเพราที่สั่งมาในระดับเผ็ดจนต้องร้องขอชีวิต ยกมือปาดน้ำตาป้อยๆ พลางอ้าปากพ่นไอร้อนจากพริกที่แม่ค้าใส่เหมือนโกรธผัวที่บ้านมาให้ในจาน

“นี่แกเอาชีทใครมาวะ”

“หือ?” เอคว้าแก้วชาไข่มุกแบบหวานพิเศษของเพื่อนมาดูดรวดเดียวครึ่งแก้ว พอความเผ็ดร้อนบรรเทาลงค่อยเริ่มมีสติหันมาตั้งใจดูเอกสารที่เพื่อนยื่นมาให้ ปรากฏว่ามันไม่ใช่ของเธอจริงๆ

“ไอ้บ้านี่ มัวแต่มองหญิงแล้วก็เก็บกระดาษมาผิด ทีนี้จะไปตามเอาคืนที่ไหนละเนี่ย”

เพื่อนบ่นขรมพลางฉวยปึกกระดาษเอามาเพ่นกบาลเธอดังตึ้บ ถึงไม่แรงแต่กระดาษปึกหนาก็มีน้ำหนักไม่น้อย เอรีบผลักเอกสารปึกนั้นออกไประหว่างคิดหาทางออก แปบเดียวก็นึกได้จึงบอกเพื่อนว่าจะตามไปแลกเอกสารกลับคืนมาเอง

“รู้เหรอว่าต้องไปเอาที่ไหน”

“บ่ายพวกเราไม่มีเรียน แต่ปกติน้องบีเขาจะไปขอซิทอินกับเพื่อน ก็น่าจะไปตึกบยก.สาม”

“น้องบี?” เพื่อนเอียงคอเลิกคิ้ววางท่านักสืบทันที “อ่อ หรือจริงๆ แกจงใจชนเขาล้มจะได้แอบดูลิงเขา”

“ไอ้บ้า!” เอเตรียมสาดกะเพราเผ็ดนรกแตกใส่หน้าเพื่อนที่พุ่งมือมากดมือของเธอเอาไว้ทัน สมกับที่เป็นอดีตกองหน้าฟุตซอลระดับมัธยมต้นมาก่อน

“มึงใจร่มๆ นะ กูล้อเล่น ถึงมึงจะเป็นประเภทชอบใครจนหมกหมุ่น แต่คงไม่คิดอะไรทุเรศๆ แบบนั้นหรอก เมื่อกี้มันแค่อุบัติเหตุ เนอะ”

เอถอนหายใจแล้วคว้าปึกเอกสารที่เพื่อนคัดแยกไว้กลับมายัดใส่กระเป๋าสะพายข้างจนตุง

“เดี๋ยวไปหลบแดดในหอสมุดก่อนแล้วกัน สักสามโมงเดี๋ยวเราปั่นตามเอาไปคืนเขาเอง”

“จ้ะ ฝากด้วยนะจ๊ะเพื่อน”

เพื่อนจอมแดกดันพูดจีบปากจีบคอ ลุกเอาจานเปล่ากับจานที่เหลือข้าวกับพริกกองย่อมๆ ไปเก็บที่ชั้นวาง เอแยกไปซื้อชานมไข่มุกมาคืนเพื่อนและซื้อเพิ่มให้ตัวเอง จากนั้นก็เดินคุยสลับกับดูดไข่มุกแกล้มชาตรงมายังหอสมุดที่อยู่ไม่ไกลนัก

ส่วนมากเธอมักมาใช้เวลาขลุกอยู่ที่นี่ หาหนังสือจากหมวดต่างๆ ไล่อ่านฆ่าเวลาหรือไม่ก็ไปสิงอยู่ที่ห้องมัลติมีเดียและไล่ดูวีดีโอหนังเก่าๆ หลายเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมี เธอใช้เวลาอยู่กับห้องนี้บ่อยจนจำที่ตั้งของวีดีโอได้และสามารถขอลักไก่เข้าไปเลือกเองได้ในยามที่เจ้าหน้าที่มีงานยุ่ง พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบนี้จะเรียกว่าเป็นแฟนเดนตายของหอสมุดคนหนึ่งก็ว่าได้

“เอ้ย เข้าไปด้วยไมได้แล้วนะ ตะกี้ไม่ทันได้รับสายแม่ พอโทรกลับเขาก็บอกให้รีบกลับบ้าน เดี๋ยวต้องออกไปงานศพด้วยกันเย็นนี้”

“งานศพใคร” เอถอยมาจากช่องประตูอัตโนมัติตอนเพื่อนเรียก เปิดทางให้นักศึกษาคนอื่นเข้าไปก่อน

“ลุงข้างบ้านอะ แกเข้าโรงพยาบาลไปสามอาทิตย์แล้ว วันนี้เมียลุงเพิ่งมาบอกว่าเขาเสีย ก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาหลายปีแล้ว แถมลุงเขาไม่มีลูก แม่เลยบอกจะไปช่วยงานศพเขาแล้วให้เราไปด้วย”

“โอเค งั้นก็กลับดีๆ”

“อื้อ เข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวเราเดินไปรอแม่ตรงข้างๆ สำนักทะเบียน” เพื่อนบอกแล้วเริ่มออกห่างไป

“อย่าลืมเอาเอกสารไปแลกคืนมานะ”

“เออๆ ไม่ลืม” เอพยักหน้า “ฝากหวัดดีคุณแม่ด้วยนะ”

เพื่อนยกมือแตะหัวคิ้วเร็วๆ แล้วหันหลังมุ่งหน้าออกไปทางประตูเลื่อนอีกด้าน

เอยืนมองเพื่อนอยู่อีกแปบหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสมุด ตรงไปเลือกโต๊ะที่นั่งติดกับกระจกที่มองเห็นสวนเป็นที่พักหลบหนีความจริงชั่วคราว วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนเธอจึงเลือกฟุบหน้ากับโต๊ะเพื่อพักสายตาโดยไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือเป็นระบบสั่นเอาไว้

__________________________________

 

เอสะดุ้งเฮือกตอนมีคนมาเขย่าหัวไหล่ เธอลุกพรวดพราดจนชนเก้าอี้ล้มเสียงดังโครม นักศึกษาที่นั่งห่างออกไปหลายคนหันควับมามองโดยพร้อมเพรียง ขณะที่เธอค่อยๆ หันกลับมาจ้องหน้าเจ้าหน้าที่ห้องสมุดที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ข้างกาย

“น้องไม่สบายหรือเปล่าคะ พี่ได้ยินเสียงครืดๆ เพราะมือถือน้องสั่น แต่น้องยังนิ่งเลยเดินมาดู”

“ขอโทษค่ะพี่ หนูอาจจะเพลียแดดน่ะค่ะ”

“ค่ะ ยังไงก็ไปหาอะไรดื่มหน่อยแล้วกันนะคะ หน้าดูซีดๆ”

“ค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

เอรวบโทรศัพท์มือถือกลับมา รีบก้มศีรษะปลกๆ แล้วหันมาเก็บเก้าอี้เข้าที่ก่อนจะเดินออกมาจากห้องสมุดเร็วๆ

เมื่อกลับออกมาข้างนอกแล้วแหงนมองฟ้าก็เห็นว่าเย็นแล้ว ดูเหมือนเธอจะหลับเกินเวลาไปนาน ตอนนี้เกือบห้าโมงเย็น หากบีไปนั่งซิทอินกับเพื่อนๆ ที่อาคารบรรยายกลางจริงก็คงใกล้เลิกคาบเย็นของวันนี้แล้ว เอคิดอย่างรวดเร็วและรีบไปนำจักรยานที่จอดไว้ข้างหอสมุดปั่นตรงไปยังอาคารบรรยายกลาง เพราะหากพลาดไม่ได้เจอกันหลังเลิกเรียนวันนี้ก็ต้องรอคาบที่ต้องเข้ารวมกันในวันจันทร์หน้าเลย

การจราจรในมหาวิทยาลัยยามเย็นนั้นไม่เป็นใจ ทั้งรถส่วนตัว รถบริการของพนักงาน จักรยานและมอเตอร์ไซค์วินต่างมาแออัดกันอยู่เต็มทุกเส้นทาง เอต้องใช้ทุกความพยายามเพื่อเบียดแทรกตัวคืบหน้าไปได้ทีละเมตร กว่าจะไปถึงบริเวณทางเข้าด้านข้างอาคารก็เป็นตอนที่บีกับกลุ่มเพื่อนก้าวขึ้นรถรางตรงป้ายฝั่งตรงข้ามแล้ว

‘เฮ้ย...’

เอถอนหายใจแล้วหักหน้ารถจักรยานฉับพลัน ผลคือได้ยินเสียงแตรแผดก้องแทนการด่าพ่อล้อแม่เสียงดังยาว เธอหลับตาสูดปาก ยกมือพนมส่งๆ ไปตามทางที่เสียงดังมา แล้วก้มหน้าก้มตาไสจักรยานข้ามเลนไปเพื่อปั่นตามเป้าหมาย วันนี้นอกจากไปทำเปิ่นจนเห็นกางเกงในคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าของกางเกงในก็อาจจะหันมามองต้นตอของเสียงแตรสะเทือนพิภพเมื่อกี้และเห็นว่าเธอก่อเรื่องอีกแล้ว

 

“เอ้า นั่นคนที่แกยิ้มให้เขาป่าววะ”

บีเห็นเอ เพื่อนของเธอก็เห็นเอจึงเป็นฝ่ายเข้ามากระแซะด้วยข้อศอก แต่บีไม่พูดอะไร แค่มองเอที่พยายามตั้งใจปั่นจักรยานตามท้ายรถรางแล้วอมยิ้ม

“แน่ะ ยิ้มอีกละ แกเป็นอะไรของแกเนี่ย”

“แกนั่นแหละเป็นอะไร เรายิ้มก็ไม่ได้” บีเถียงเพื่อน

“ปกติเห็นแต่ทำหน้านิ่ง วันนี้แหละที่เห็นยิ้มบ่อย” เพื่อนแซวกลับ

“ไปช้าขนาดนี้เต่ากัดล้อทันแล้วมั้ง”

เพื่อนอีกคนพูดขึ้นมา ทำให้ความสนใจของคนทั้งกลุ่มเปลี่ยนไปที่จำนวนยานพาหนะบนถนนสายเล็ก

ดูจากสภาพการจราจรขณะนี้กับจำนวนคนที่อัดแน่นในรถ บางทีลงเดินอาจเป็นตัวเลือกที่ดีและถึงที่หมายเร็วกว่า แต่เนื่องจากสาวๆ ส่วนใหญ่สวมส้นสูงกันคนละสามนิ้วเป็นอย่างต่ำ จึงไม่มีใครอยากลงไปฝึกกล้ามเนื้อด้วยการเดินบนฟุตบาธที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางทั้งตามและไม่ตามธรรมชาติ

 

รถรางคันที่บีโดยสารมาใช้เวลาสามสิบนาทีเคลื่อนจากจุดเดิมมาจนใกล้ถึงทางแยกด้านข้างอาคารบรรยายกลางหนึ่ง ในจังหวะนั้นเองที่เอซึ่งประคองจักรยานตามมาถือโอกาสเร่งความเร็วเพื่อแซง เธอหวังจะนำจักรยานไปจอดด้านข้างของธนาคารชื่อเล่นเหมือนดอกไม้น้ำ และทำทีเข้าไปในห้องสมุดเพื่อดักรอบีเนื่องจากรู้ว่าคนทั้งกลุ่มต้องลงจากรถบริเวณนี้ แล้วเดินผ่านทางเดินหน้าหอสมุดกลับไปยังอาคารซีเอสเพื่อไปเอารถ แต่ไม่รู้เป็นเพราะบุญมีหรือกรรมบัง เพราะเมื่อจักรยานของเอกำลังจะพ้นด้านหน้ารถราง อยู่ดีๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์วินจากเลนด้านข้างหักออกมาจากท้ายรถอย่างกะทันหันเพื่อลักไก่ยูเทิร์น

หน้ารถมอเตอร์ไซค์ที่พุ่งแฉลบมาปะทะเข้ากับจักรยานเต็มรัก จนร่างของเอหลุดลอยหวือข้ามขอบฟุตบาธไถลตกลงไปในคูน้ำเล็กๆ ที่ขุดยาวเป็นร่องขนานไปตลอดแนวของหอสมุด

อุบัติเหตุไม่คาดฝันทำให้รถรางหยุดชะงักเมื่อคนขับกระทืบเบรกจนจมเท้า ผู้โดยสารเสียหลักล้มคว่ำ บ้างก็เอนมาชนซบกัน เกิดเสียงหวีดร้องตามด้วยเสียงบ่นขรมสลับกับโอดโอยจากอาการบาดเจ็บไม่คาดฝัน ขณะที่เพื่อนสาวสองของบีเป็นคนแรกที่ใช้พละกำลังทั้งผลักและถีบคนที่ขวางประตูทางขึ้นลงออก เปิดทางให้เพื่อนๆ คนอื่นเดินตามกันลงมา แต่ยังไม่ทันได้มองรอบตัวให้ดี ก็เห็นแต่หลังหัวของบรรดาไทยมุงที่ไม่รู้กรูกันออกมาจากไหนหมดแล้ว

“ช่วยด้วย! มีเด็กตกน้ำ มาช่วยกันเร็วเข้า!”

__________________________________

 

สิ่งแรกที่เอรู้สึกคือความหน่วงหนึบที่หัว ตามด้วยการที่สายตาเห็นแต่ความพร่ามัวไม่ชัดเจน แต่เมื่อกะพริบตาอีกสองสามครั้งก็เริ่มเห็นรอบข้างชัดขึ้น รอบตัวตอนนี้ไม่เหลือแสงธรรมชาติ มีแค่แสงจางๆ สีส้มอมเหลืองจากหลอดไฟข้างทางที่ส่องมาไกลๆ กับอีกอย่างที่รู้สึกได้คือการที่มีอะไรเรียวๆ มาจิ้มตรงสีข้าง แต่ยิ่งพยายามทำความเข้าใจแรงจิ้มก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกทีจนต้องหันไปมอง

“เฮ้ย!”

แค่หันมองก็มีเสียงร้องเฮ้ยด้วยความสยดสยอง เธอว่าเธอไม่ได้คิดไปเองนะว่าเสียงนั้นมันมีความรู้สึกแบบนี้ปนมาด้วย คราวนี้เธอจึงตั้งใจมองแล้วเห็นใบหน้าของใครไม่รู้ทำท่าเหมือนเห็นตัวประหลาดตอนกระเถิบถอยไปยืนอยู่ห่าง เธอขยับตัวอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ถอยออกไปอีก ครั้งนี้เธอเห็นแล้วว่าคนนั้นถือกิ่งไม้แห้งไว้จึงจะลุกไปหา น่าแปลกที่พลิกตัวแล้วแต่กลับยกตัวไม่ขึ้น ดูเหมือนขาเธอจะไม่มีแรง เอลองดึงตัวอีกครั้งก็เหมือนมีบางอย่างมากดให้ท้องแนบติดดินในท่าที่หลังขนานกับพื้น เธอเริ่มรู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงลองแลบลิ้นเลียริมฝีปากตามปกติเวลาใช้ความคิด แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดตอนที่กิ่งไม้ลอยหวือมาปะทะเต็มหัว

อะไรของเขาเนี่ย?!... เอหันหน้าไปอย่างรำคาญแล้วเห็นว่าคนโยนกิ่งไม้ร้องโฮโผไปกอดเพื่อนข้างๆ แน่น

“มันขยับได้อะ ยังไม่ตายนี่หว่า เมื่อกี้แลบลิ้นด้วย!”

“กูก็บอกมึงแล้วว่าอย่าไปแหย่มัน เป็นไงล่ะ มันโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะวิ่งมากัดไหมเนี่ย”

“มึง! กูทำไงดีอะ จะโดนกัดไหมอะ”

คนปกตินะไม่ใช่ซอมบี้ จะได้พุ่งไปกัด... เอคิดต่อด้วยความรำคาญ เธอพยายามดันตัวอีกครั้งแต่ก็ยังลุกไม่ได้และสองคนที่นินทาเธอในระยะเผาขนก็ประสานเสียงกรี๊ดอีกรอบจนเธอหูอื้อ

“แม่งเอ๊ย! จะรอให้พ่อมาตัดริบบิ้นเหรอ วิ่งสิวะ วิ่ง!”

สิ้นเสียงตะโกนให้กำลังใจกันเองสองคนนั้นก็เผ่นไปทันที แถมยังหันมาขว้างกระป๋องเปล่าทิ้งไว้เป็นของแถมก่อนจากลาอีกต่างหาก เอโดนกระป๋องปาแสกหน้ามาเต็มรักถึงกับมึนไปชั่วขณะ คราวนี้พอสลัดหัวไล่ความมึนได้ก็กลับมางงเหมือนเดิมว่าร่างกายตนเป็นอะไร จะยืนสองขาก็ยืนไม่ได้ ทำได้แค่ตะกายไปกับพื้น

การมองเห็นในระยะที่สายตาอยู่เหนือพื้นไม่มากนี่ทำให้เธอเวียนหัว นาทีนั้นเด็กสาวคิดว่าตนเองอาจถูกทำร้ายจนร่างกายเกิดอาการอัมพฤกษ์ชั่วคราว ก่อนจะได้คำตอบว่าสิ่งที่คิดเป็นการเข้าใจผิด เมื่อตะเกียกตะกายมาจนถึงขอบทางเดินที่เลยไปจะเป็นผืนน้ำของคูเล็กๆ ที่มีแสงไฟส่องลงมาให้เกิดภาพสะท้อน เพราะสิ่งที่มองตอบกลับมากลับกลายเป็นใบหน้าของสัตว์เลื้อยคลานสี่ขาที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หวาดกลัวที่สุดอย่างหนึ่งของที่นี่

 

นั่นคือตัวเหี้ย!

 

เหี้ยจริงๆ ไม่มีจิ้งจกปน

 

เธอกลายเป็นตัวเหี้ยไปแล้ว!!!