4

ผักกาดก้านขาว, ภาพถ่ายควันบุหรี่,  จัมปง

 

 

            โอ๊ย... เทียนนะเทียน ทำไมถึงไม่อธิบายให้ชัดๆ ไปเลยว่าโปรแกรมวันนี้มันน่าเบื่อยังไง 

            หลังจากออกมาจากไร่ส้มทางทัวร์ได้พาไปดูทุ่งดอกคาโนลา ตอนได้ยินชื่อไอ้เราก็ตื่นเต้นอยู่หรอก พอมาถึงสถานที่จริงแล้วถึงได้รู้ว่านี่มันไร่ผักกาดก้านขาวชัดๆ ทุ่งดอกไม้สีเหลืองสุขปลั่งบานสะพรั่งเต็มไร่ มองทอดออกไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาไม่มีอะไรไปมากกว่าไร่ผัก อยากจะคืนคำที่เคยบอกพี่จาไว้ก่อนหน้านี้เลยว่า อยากไปให้ครบๆ เป็น อยากกลับโรงแรมโว้ยยย... นึกได้ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทักไปหารูมเมตสาวที่ตอนนี้ไม่รู้จะหลับไปกี่ตื่นแล้ว

         เดี๋ยวจะออกไปหากินข้างนอกนะ ถ้ากลับมาแล้วบอกเดี๋ยวเราเอาคีย์การ์ดไปให้ ฉันอ่านข้อความของหญิงสาวที่ทิ้งไว้เมื่อสิบนาทีก่อน ฉันโทร.หาเธอทันทีที่เห็นข้อความ

            “ออกไปหรือยังน่ะ”

            ยัง พิมพ์บอกไว้ก่อน ไม่รู้ว่าบัวจะกลับมากี่โมง กลัวเมาแล้วลืมบอก

         “งั้น...รอก่อนดิใกล้กลับแล้ว”

            โอเค...งั้นรอ

         “แล้วนี่จะออกไปกับใครอะ” ฉันถาม

            คนเดียว เธอตอบเสียงหนักแน่นทันที

            “ไปคนเดียวเนี่ยนะ” 

            ช่าย... จะมาด้วยไหมล่ะมีร้านขายจัมปง 8 อยู่ใกล้โรงแรม ถ้าจะกินเดี๋ยวเรารอ

         “ไปๆ อยากกิน” ฉันรีบตอบรับข้อเสนอ “พี่จาบอกว่าเดี๋ยวต้องผ่านไปทางโรงแรมเดี๋ยวเราเข้าไปเลย”

            ตอนนี้อยู่ที่ไหน

         “ไร่ผักกาดก้านขาว” ฉันตอบด้วยเสียงเซ็งๆ

            ว้าว...ไร่ดอกคาโนลา คนปลายสายทำเสียงตื่นเต้นหลอกๆ

         “ไม่ต้องเลย รู้อยู่แล้วแต่ไม่บอก”

            ไม่อยากแทรกแซงนักท่องเที่ยวต่างหาก เธอตอบ ในโปรแกรมต้องไปดูดอกคาเมเลียต่อนะ

         “พอ พัก ไม่สนใจดอกอะไรทั้งนั้น” ฉันรีบตัดบท “เดี๋ยวกลับไปค่อยว่ากัน คนอื่นๆ ออกมาจากไร่แล้ว”

            สีหน้าบ้านหนึ่งบ้านสองเป็นไง เธอถามอย่างคนที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

            “ไม่ได้อยากจะหยาบคายนะ... หน้าเป็นตูดทุกคน”

            ฮ่าๆ...ดูเหมือนจะไม่มีใครไปดูดอกคาเมเลียแล้วล่ะมั้ง เทียนหัวเราะกร๊ากออกมาพาให้ฉันขำตามไปด้วย

         “ค่อยคุยกัน ขึ้นรถแล้วๆ”

            จ้า...

            

.

 

            เหตุการณ์หลังจากนั้นเกือบเป็นอย่างที่เทียนคิดไว้ไม่มีผิด คณะทัวร์เริ่มเบื่อกับการเดินทางวันนี้ทว่าพี่จายังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เธอเพิ่มโปรแกรมเที่ยวตลาดในเมืองแทนโปรแกรมชมดอกคาเมเลีย ตอนแรกที่ได้ยินฉันก็นึกอยากไปแต่ไม่อยากให้เทียนรอเก้ออยู่ที่โรงแรมเลยตัดสินใจกลับโรงแรมทันที

            ฉันยืนรอหญิงสาวอยู่ราวครึ่งนาทีเธอถึงได้มาเปิดประตูให้

            “โทษที...” เธอว่า ฉันทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นบุหรี่ “เราสูบนอกระเบียงอะแต่ลมมันพัดเข้ามาขอโทษที”

            “ไม่เป็นไร จะไปกันเลยไหม”

            “หิวหรือยังอะ” เทียนถามกลับ

            “แกน่ะหิวหรือยัง”

            “ขอดูดบุหรี่แป๊บหนึ่งนะ” ฉันพยักหน้า เทียนตอบกลับมาเสียงเบาว่าโอเคก่อนจะเดินออกไปนอกระเบียง ตอนนี้เป็นเวลาจวนจะหกโมงเย็นท้องฟ้าข้างนอกเริ่มตกลงแต่ยังไม่มาก ทิวทัศน์ด้านนอกเกิดเป็นเมจิกเอาร์ขึ้นมา สีท้องฟ้าม่วงอมชมพูตัดกับผมสีควันบุหรี่ที่ตอนนี้จัดทรงผมเป็นทรงมัดรวบ เทียนถกแขนเสื้อแขนยาวขึ้นท้าลมหนาว ยืนพอยช์เท้าท่อนแขนซ้ายพาดระเบียงส่วนแขนขวาตั้งศอกนิ้วมือคีบบุหรี่ไว้หลวมๆ เพียงได้เห็นก็รู้เลยว่าไม่ควรปล่อยให้ภาพตรงหน้าหายไปเสียเฉยๆ ฉันหยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที เสียงกรอฟิล์มดังขึ้นในห้องอันแสนเงียบจนเทียนหันกลับมามอง ฉันลดกล้องแล้วทำทีเป็นยิ้มก่อนจะเดินมาที่ระเบียงยื่นหน้าโผล่ออกไปหาเธอ

            “ขอโทษที่ไม่ได้ขอ...มุมนี้มันสวยจริงๆ กลัวเทียนเปลี่ยนท่าแล้วถ่ายไม่ทัน”

            “ไม่เป็นไร” เธอหันมายิ้มก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นหันหลังชิดระเบียง “เราสวยใช่ไหมล่ะ” เธอถาม 

         เทียนสวยไหม ฉันชะงักและคิดในใจ

            “อื้ม สวยสิ องค์ประกอบดีมากทั้งแสงและเทียน”

            “อยากเห็นเลย”

            “ไว้ล้างแล้วจะส่งให้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง” 

 

            หลังจากบุหรี่หมดมวลเทียนคว้าเสื้อกันหนาวเดินกลับเข้าห้อง เธอพาตรงออกมายังถนนใหญ่หน้าโรงแรมข้ามฝั่งไปยังอีกฝั่งก็ถึงร้านจังปงที่เธอว่า ร้านเล็กๆ ของอาจุมม่าวัยราวห้าสิบ เทียนหันมาถามฉันว่ากินอะไรฉันถามกลับไปว่ามีออะไรบ้าง เทียนกลับมาอธิบายให้ฉันฟังที่โต๊ะว่าจัมปงเป็นบะหมี่ในน้ำซุปคล้ายต้มยำซีฟู๊ดมีทั้งรสจัดและหวานตามแต่จะชอบ ส่วนเครื่องก็มีตั้งแต่ทะเลไปจนถึงหมูและไก่ ต้นตำรับคือทะเลนะ เพราะที่นี่เป็นเกาะ เธอแนะนำฉันเลยเห็นพ้อง ดื่มไหม เธอถาม ได้นะ ฉันตอบ เบียร์นะ ฉันพยักหน้า 

            เราสองคนนั่งกินพลางคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วไปของเมือง เรื่องของลูกทัวร์ที่หน้าบูดหลังจากออกมาจากสวน พอเล่าถึงตรงนี้เทียนก็ขำไม่หยุด เธอบอกว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ เทียนเล่าให้ฟังว่าบางประเทศรัฐบาลมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการให้ไปทัวร์ในสถานที่แปลกๆ บางที่ไม่น่าไปก็ยังสามารถทำให้น่าสนใจจนเป็นเรื่องเป็นราวได้ รัฐบาลเขาดี เธอยักไหล่ก่อนจะคีบหอยแมลงภู่เข้าปาก

            “นี่ถ้าเราไม่ขอมาด้วยเทียนก็จะมาดื่มคนเดียวเหรอ”

            “อืม คิดไว้งั้นแต่แรกอยู่แล้ว” เธอตอบพลางเช็ดปากที่เปื้อนน้ำซุป

            “แข็งแกร่งมาก” 

            “บัวก็แข็งแกร่ง เที่ยวคนเดียว”

            “แต่ก็มาทัวร์”

            “ไม่เกี่ยว” เธอว่า “ที่นี่มาคนเดียวเที่ยวไม่ทั่วหรอกอย่างน้อยก็ต้องจ้างรถถึงจะไปได้ทั่วเกาะ” 

            เธอพูดเหมือนอย่างที่พี่จาบอกเลยแฮะ

            “ก็จริงแหละ” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย “ปกติเที่ยวบ่อยไหม”

            “ถ้าไม่นับงานที่ต้องทำตอบได้เลยว่าไม่” เธอเน้นเสียงในคำตอบ

            “จริงดิ คิดว่าชอบเที่ยวนะถึงได้มาเป็นไกด์” 

            “ไม่ได้ชอบเที่ยวขนาดนั้นอะ ความจริงเราชอบอยู่บ้านเฉยๆ แต่การอยู่บ้านเฉยๆ แล้วมันไม่ได้สตางค์เลยต้องออกมาเป็นไกด์” เธอหัวเราะแห้งๆ

            “อยู่ๆ ก็มาเป็นไกด์เลยเหรอ” 

            “นี่กำลังสืบข้อมูลอยู่ใช่ไหมเนี่ย”

            “อ๊ะ...ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว”

            “ไม่เป็นไร เราหมายถึงถามเพื่อเอาไปเขียนหนังสืออะไรทำนองนี้”

            “อ้อ ประมาณนั้นแหละแต่ถ้าไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้” 

            “ตอบได้บัวคุยด้วยสนุกดี ปกติเราไม่ค่อยได้คุยกับใคร หมายถึงคนแปลกหน้า”

            “ถ้าเราเป็นลูกทัวร์แกล่ะ”

            “หืม...” เทียนทำหน้าเหมือนตุ่น หน้าเหมือนตุ่นเป็นหน้าที่ฉันบัญญัติให้เป็นสีหน้าของคนขี้สงสัย

            “ถ้าเราเป็นลูกทัวร์แกแบบว่าถ้าเราจะถามแกเรื่องข้อมูลบนเกาะอะไรแบบนี้ไง...”

            “อ๋อ ได้นะไม่มีปัญหาเลย เราก็พูดอยู่ว่าบัวคุยสนุกดี ตอนนี้เราเหมือนเพื่อนกันแล้วนะแต่อย่าคาดหวังอะไรจากเรามากล่ะ ฮ่าๆ” เธอหัวเราะตบท้าย

            “ขอบคุณมาก คิดว่ามานี่จะไม่มีเพื่อนสะแล้ว”

            “ตอนตอบตกลงพี่จาไปไม่ได้คิดว่าจะได้เพื่อนเหรอ” เทียนถาม

            “ถ้าพูดตามตรงก็ยังไม่ได้คิด”

            “แล้วทำไมถึงไว้ใจที่จะมานอนกับคนแปลกหน้า”

            “มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไหม ปกติเราไปเที่ยวเราก็นอนโฮสเทลบ่อยออก” เทียนพยักหน้าหงึกๆ 

            “พี่จาบอกเราด้วยแหละ”

            บอก บอกอะไรวะ           

            “บอกอะไรเหรอ” ฉันเลิกคิ้วถอนสีหน้าแฮปปี้ก่อนหน้าเป็นสีหน้าตั้งคำถาม

            “บอกว่าบัวเป็นเลสฯ”

            “...” 

            “ขอโทษ...” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ “อย่าไปโกรธพี่จานะ คือเราถามเองอะ”

            “เดี๋ยว... ถามอะไรกันแล้วคุยอะไรกันเนี่ย” ฉันยกมือเกาใต้ติ่งหูแก้เขิน

            “คือเราถามพี่จาว่าคนที่จะมาเป็นรูมเมทคือใคร พี่จานางก็ตอบๆ มา เราก็ถามว่าปลอดภัยใช่ไหมลูกทัวร์พี่เนี่ย พี่จาเลยบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่สนิทกันเดินทางกันมาหลายทัวร์แล้ว” 

            ก็ดูปกตินี่ ฉันคิด

            “แต่... แกบอกว่าปลอดภัยไหมไม่รู้”

            “เดี๋ยวก่อน...” 

            “พี่จาบอกปลอดภัยไหมไม่รู้เพราะว่าแกเป็นเลสฯ” เทียนทำหน้ารู้สึกผิดแต่ฉันมองว่ามันน่ารักดี

            “โอ๊ยยย...อีพี่จา” ฉันกัดฟันพลางซี๊ดปากเก็บอาการ ใครใช้ให้พูดแบบนี้ว่ะเนี่ยอยากตีปากจริงๆ “มาทำความเข้าใจกันก่อนนะ” ฉันชูสองมือปราม “เราชอบผู้หญิงใช่ว่าเราจะคิดมิดีมิร้ายกับผู้หญิงทุกคนปะ เราให้เกียรติทุกคนไม่ว่าจะเพศไหนเราก็ไม่ทำตัวน่าเกลียดใส่หรอก”

            “ฮือ... บัวคิดมาก เราไม่ได้หมายความแบบนั้นเว้ย ถ้าเราไม่โอเคเราปฏิเสธพี่จาไปแล้ว” เทียนอธิบาย

            “ขอบคุณที่เข้าใจ” ฉันตอบเรียบๆ 

            “ยิ้มหน่อยดิ...” เธอทำหน้าหงอย “ไม่เอาไม่โกรธ”

            “ไม่ได้โกรธ พูดจริงๆ”

            “ค่อยโล่งอกหน่อย...”

            “นี่เทียนไม่รังเกียจใช่ปะ” ฉันถามออกไปตรงๆ

            “บ้า เอาออะไรมารังเกียจบัวน่ารักจะตาย”

            “...”

            “อีกอย่างนี่มันปีไหนแล้ว เรื่องปกติว่ะ ใช่ไหม?”

            “อ่า...ใช่ๆ” ฉันพยักหน้าถี่ๆ อะไรปกติวะเมื่อกี้ไม่ได้ฟัง มันเหมือนภาพตัดตั้งแต่ที่เธอชมว่าฉันน่ารัก 

            เฮ้อ...ดูเหมือนการเที่ยวครั้งนี้ฉันจะเจองานยากเข้าให้แล้ว

         หน้าแดงไรวะ...เมาแล้วเหรอ กลับห้องกันดีกว่างั้นอะ เสียงหญิงสาวผมสีควันบุหรี่ดังขึ้นเบาๆ เธอไม่ได้ใส่ใจในอาการเขินของฉันซ้ำยังลุกขึ้นไปจ่ายเงินทำทีว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ใช่มันเป็นเรื่องปกติของยุคนี้อยู่แล้วไหม แต่เธอน่ะอย่าทำตัวน่ารักไปกว่านี้เลย ฉันคิดได้แต่คิดเท่านั้น แค่คิดเท่านั้น!

 

 

 

7. Canola  ผักกาดก้านขาวนิยมนำไปใช้ผลิตน้ำมันปรุงอาหาร น้ำมันไบโอดีเซล ใบและก้านสามารถไปประกอบอาหารได้

8. Jjamppong  ต้นกำเนิดดั้งเดิมมาจากประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกมีการย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในเกาหลีใต้ทำให้เกิดเป็นเมนูที่ผสมผสานสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันมีลักษณะเป็นบะหมี่ในน้ำซุปรสชาติจัดพร้อมเนื้อสัตว์ทะเลอย่างกุ้ง หอยแมลงภู่ และหมึก