รัชศกเทียนเป่าปีที่สี่ เดือนอ้าย วันที่สิบสี่

นครฉางอัน อำเภอวั่นเหนียน ตลาดบูรพา, ต้นยามเฉิน (ยามเฉิน 07.00 - 08.59 นาฬิกา)

 

แสงสีทองอาบไล้ไล่เฉดเข้มขึ้นจากริมขอบฟ้า

วันใหม่เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวของเมืองที่ตื่นจากหลับใหล เสียงพูดคุย เสียงฝีเท้า เสียงหุงหาอาหาร ทุกสรรพเสียงล้วนสื่อถึงความมีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นว่ามหานครแห่งสันติสุขนับพันปีฟื้นตื่นจากนิทราอีกครา พร้อมรับการเฉลิมฉลองในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีในอีกไม่กี่ชั่วยาม

ฉางอันวันนี้ยังคงงดงามไม่เสื่อมคลาย ทั้งเปี่ยมไปด้วยสีสันที่แตกต่างจากเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา บุรุษผู้หนึ่งหยุดการเคลื่อนไหว ร่างกายแข็งแกร่งราวแผ่นศิลายืนอยู่กลางถนน แหงนหน้ามองฟ้า กวาดสายตารอบกาย จมูกสูดเอากลิ่นหอมของอาหารพลางสดับฟังเสียงของผู้คน ก่อนยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ระหว่างหลับตารับสายลมปลายเหมันต์ที่โชยพัด

นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาตัดสินใจกลับมาเยือนนครหลวงแห่งต้าถัง เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนัก เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ทั้งเรื่องที่ดีจนไม่อาจไม่ยิ้มออกมาได้ หรือเลวร้ายเสียจนเจ็บใจเพียงแค่ระลึกถึง 

เก้าปีแห่งความหลัง มือที่เปื้อนเลือด กับหัวใจที่เก็บเรื่องราวของเหล่ามิตรสหายพี่น้องอันเป็นที่รัก บัดนี้ทุกผู้ล้วนตายจาก ทุกคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสาบานว่าจะปกป้องให้ได้แม้นว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด แต่สุดท้ายกลับเหลือเพียงตนเองที่รอดมาเพียงลำพัง และเพราะไม่อาจสลัดทิ้งซึ่งความสับสนในใจ เขาจึงจากที่แห่งนี้ไปเพื่อทบทวนเรื่องราวแต่หนหลังและเดินทางไปสักการะดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ทุกคน ก่อนหวนกลับมาเพื่อพิสูจน์บางอย่างกับตนเอง

 

เพื่อพบกับคนผู้หนึ่งที่ระลึกถึงในความทรงจำโดยยังมีชีวิตอยู่

 

“ฉางอัน จากมาสบายดีหรือ”

เขาลืมตาขึ้นกล่าวกับท้องฟ้าเดือนอ้ายใสกระจ่าง จากนั้นกระชับสัมภาระให้เข้าที่และก้าวตามชาวบ้าน นักเดินทางทั้งหลายมุ่งตรงไปยังด่านตรวจหน้าประตูฟางเข้าไปยังตัวเมืองชั้นใน โดยมีเป้าหมายอยู่ ณ เขตพระราชฐานชั้นใน เบื้องหลังประตูกำแพงของพระตำหนักซิงชิ่ง

 

นครฉางอัน อำเภอวั่นเหนียน พระตำหนักซิงชิ่ง ตำหนักในหยางกุ้ยเฟย หยางกุ้ยเฟย, ปลายยามเฉิน 

 

บรรดาสาวใช้และนางกำนัลเดินกันไปมาอย่างว่องไวด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ยามนี้นับว่าอากาศยังคงเย็น หยางกุ้ยเฟยจึงรั้งอยู่ดูแลพระวรกายของฝ่าบาท สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้ารบกวนเนื่องจากต้องการให้เจ้าชีวิตมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งจากการพักผ่อนที่เพียงพอ

บรรดาข้ารับใช้ใกล้ชิดล้วนทราบดีถึงความรักที่พระนางมีต่อฮ่องเต้จึงไม่มีใครกล้าขัด ยกเว้นก็เสียแต่คนจำนวนไม่เกินนับนิ้ว คือนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลหน้าใหม่ ซึ่งหยางกุ้ยเฟยให้ความเมตตาประดุจน้องสาวในอุทร

“ถานฉี”

สตรีใบหน้าคมคายหมดจด จมูกโด่ง รวบผมขึ้นเป็นมวยผมสูง หันกายกลับมาตามเสียงเรียก ค้อมศีรษะลงคำนับนางกำนัลอาวุโสผู้ปรากฏตัวขึ้น

“หยางกุ้ยเฟยใกล้ตื่นแล้ว เจ้าตามข้าไปรอฟังรับสั่ง”

“เจ้าค่ะ”

ถานฉีเงยหน้าหยัดกายยืนตรง สายตามองตามร่างท้วมของนางกำนัลอาวุโสเคลื่อนห่างออกไป นางรั้งอยู่กับที่อีกหลายชั่วดีดนิ้ว ก่อนก้าวตามไปจนทันตรงบริเวณประตูทางเข้าท้องพระโรงและโถงจัดงานเลี้ยงหลวงในคืนนี้ ในพริบตาที่เดินผ่าน นางผันหน้ามองเข้าไปด้านในโถง แล้วเผลอหยุดยืนกับที่โดยไม่รู้ตัว ด้วยสายตาถูกวัตถุหนึ่งดึงดูดความสนใจไปสิ้น

สิ่งนั้นคือธงเก่าคร่ำผืนหนึ่งที่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้อัญเชิญขึ้นประดับเอาไว้กับเสาค้ำห้องโถงแห่งนี้ ทรงให้ความสำคัญกับสิ่งของชิ้นนี้เสมอด้วยการดูแลบุคคลผู้เป็นเจ้าของเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่

บุรุษคนเดียวกันกับที่นางได้พบอีกครั้งก่อนลืมตาตื่นจากฝันเมื่อยามอิ๋น[1] เหมือนเช่นที่นางเคยได้พบในยามที่สติสุดท้ายกำลังจะดับลงเมื่อครั้งถูกจับเป็นตัวประกันในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา และเป็นผู้ที่นางไม่อาจลบลืมได้มาตลอดหนึ่งปี

“ถวายบังคมหยางกุ้ยเฟย”

ทันทีที่หญิงสาวติดตามมาถึงที่หน้าห้องบรรทมก็พบว่าเจ้าของห้องปรากฏกายออกมารออยู่แล้ว ทั้งนางกำนัลอาวุโสและนางต่างคุกเข่าประสานมือคำนับ

“ลุกขึ้น” หยางกุ้ยเฟยปรายตามองนาง เอ่ยเสียงหวาน

“ถานฉีตามข้ามา” 

นางกำนัลอาวุโสเอียงศีรษะมาส่งสายตาถาม ถานฉีเพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยและรีบเดินตามพระนางไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อถึงจุดที่มีมุมเหลี่ยมอาคารบังสายตา หยางกุ้ยเฟยก็ทรงเอ่ยกับนาง

“เมื่อครู่ แม่ทัพกัวให้คนสนิทมารายงาน แจ้งว่ามีคนผู้หนึ่งยื่นความประสงค์จะขอพบเจ้า”

“พบหม่อมฉันหรือเพคะ” หญิงสาวงุนงง 

“หม่อมฉันไร้ญาติมิตร นอกจากคุณชายที่ยังคงบำเพ็ญพรตอยู่ ณ ป่าไผ่บนเขา เกรงว่าไม่น่ามีผู้ใดมาขอพบ อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพคะ”

หยางกุ้ยเฟยฟังคำของนางจบ พลันยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นคลี่ยิ้มแฝงความนัย

“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่คิดให้ถี่ถ้วน หลงลืมใครบางคนไปกระมัง”

“หยางกุ้ยเฟยเพคะ” ถานฉีค้อมตัวประสานมือคำนับ

“เรียกข้าว่าพี่หญิงเถอะ บัดนี้ไม่มีผู้อื่น”

“เจ้าค่ะ”

“ว่าอย่างไร ถานฉี เมื่อนึกดี ๆ แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้พูดผิด”

“พี่หญิงไยจึงเย้าน้องเช่นนี้”

“เพราะเป็นพี่จึงอยากเห็นน้องมีความสุขเช่นเดียวกับตนเองอย่างไรเล่า”

หยางกุ้ยเฟยก้าวเข้ามาฉวยมือทั้งสองข้างของถานฉีไปกุมไว้ ถานฉีขยับตัวอย่างระแวงระวังด้วยเกรงจะมีคนมาพบเข้า หรือพวกนางมัวแต่อ้อยอิ่งจนฮ่องเต้ทรงตื่นจากบรรทม

“เจ้าเข้าวังมาอยู่รับใช้ข้าวันนี้ครบหนึ่งปีบริบูรณ์ ครั้งนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่เจ้าจะตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง”

ถานฉีเม้มริมฝีปาก หัวคิ้วเรียวโก่งกดเข้าหากัน

“พี่หญิงกล่าวราวกับไม่ต้องการน้องสาวคนนี้แล้ว”

“ไม่ใช่” หยางกุ้ยเฟยสั่นศีรษะ “จำที่ข้าเคยพูดให้เจ้าฟังนับครั้งไม่ถ้วนได้หรือไม่”

ถานฉีหันมองสบสายตาหวานเชื่อมของหยางกุ้ยเฟยพลางนึก แต่ไม่ทราบว่าพระนางหมายถึงเรื่องใด

“พานพบคือวาสนา จากลาคือโชคชะตา…” หยางกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงค่อย ครั้งนี้ถานฉีจึงนึกทุกอย่างออก

กลับมา คือ ฟ้าลิขิต” ก่อนที่หยางกุ้ยเฟยจะเอ่ยต่อจนจบทุกวรรคตอนและกล่าวเสริม

“หลี่ปี้คืนนี้จะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองเทศกาลซั่งหยวนตามคำเชิญของฝ่าบาท”

ถานฉีกะพริบตาถี่ขึ้นคล้ายประหลาดใจ

“ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งนั้น บัดนี้รออยู่มุมหนึ่งภายในอุทยานหลวงสระหลงฉือ”

ครานี้หญิงสาวเบิกตาโพลง ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นบาง สองแก้มปรากฏสีแดงระเรื่อ

“พี่หญิงตัดสินใจเช่นนี้ไม่กลัวเป็นที่ครหา หรือถูกฝ่าบาทลงพระอาญาหรือเพคะ”

“หาไม่ เป็นด้วยคำแนะนำของแม่ทัพกัว เพราะบริเวณสระหลงฉือยามนี้ไร้ผู้คน มีมุมมิดชิดเป็นส่วนตัว เหมาะให้ผู้ที่ห่างไกลกันไปนานได้สนทนาตามลำพัง”

“แต่กระนั้น…”

“บุรุษผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณต่อฝ่าบาทและต้าถัง เรื่องราวกล่าวขานกันทั่วแผ่นดิน ไม่เพียงเฉพาะฉางอัน ใครหน้าไหนจะกล้าแตะต้อง” หยางกุ้ยเฟยบีบมือทั้งสองของน้องสาวนอกสายเลือดเบา ๆ

“ตอบข้ามาตามตรง เจ้าอยากพบคนผู้นั้นหรือไม่”

ถานฉีกะพริบตาคล้ายไม่มั่นใจ นางนิ่งคิดอยู่ชั่วหายใจเข้าออก แล้วผงกศีรษะ

“ดี” หยางกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก "เช่นนั้นวันเปิดเทศกาลซั่งหยวนปีนี้ เจ้าจงถือโอกาสไปพักผ่อนชมเมืองตามสบายสักวันเถอะ"

“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญ ฝ่าบาทจะเสด็จออกร่วมงานเลี้ยงต้อนรับบรรดาราชทูตและฉลองเทศกาลกับราษฎร พี่หญิงเองย่อมต้องโดยเสด็จในพิธี ข้าจะเห็นแต่การหาความสำราญส่วนตัวได้อย่างไรเจ้าคะ”

“งานชมโคมปีนี้คงไม่มีเหตุสะท้านขวัญเช่นปีที่แล้วหรอก”

ถานฉีรับฟังคำสั่งของผู้ที่เจริญวัยกว่าโดยไม่ได้โต้เถียง หากแต่ในใจยังนึกค้านด้วยนางถือว่าตนเองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อเคยเลือกแล้วว่าจะทำหน้าที่นี้ นางย่อมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเลือกเหมือนเช่นที่บุรุษผู้นั้นเคยกล่าวกับนางไว้

“ถานฉีเอ๋ย ถานฉี” 

หยางกุ้ยเฟยมองเจตนาของนางทะลุปรุโปร่งพลันเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ขยับกายเข้ามาประคองสองไหล่ของนางเอาไว้พลางมองสบสายตา

“สมแล้วที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่คุณชายหลี่เคยกล่าวไว้ว่าไม่อาจเสียไปได้ ช่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเกินสตรีอื่นนัก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี อย่างน้อยนานทีปีหน ทำตัวให้สมกับเป็นสตรีบ้างเถิด”

“โลกนี้เต็มไปด้วยการต่อสู้แสวงหาความหมายมากมาย สุดท้ายมีเพียงส่วนน้อยที่เสาะแสวงหาพบ ส่วนใหญ่กลับตกตายหรือสูญหาย ไม่ก็คว้าน้ำเหลวแทบทั้งสิ้น เจ้าเองอย่ายึดติดให้มาก เมื่อมีโอกาสพบความสุขแม้ชั่วครั้งคราวก็จงรับเอาไว้ใส่ตัวบ้าง”

“ข้า ไม่ใคร่เข้าใจที่พี่หญิงพูด” ถานฉีเอ่ยอย่างจนใจ

“ความสุขของบุรุษกับสตรีภายนอกอาจผิดแผกจากกัน แต่แท้ที่จริงหาเป็นเช่นนั้น ทั้งบุรุษและสตรีล้วนเป็นปุถุชน สำหรับปุถุชนที่ยังไม่พ้นโลกีย์วิสัย ความสุขไหนเลยจะเสมอเหมือนการได้อยู่เคียงข้างบุคคลอันเป็นที่รัก”

“พี่หญิง!” ถานฉีอุทาน ทันใดนั้นรีบประสานมือก้มศีรษะ ได้ยินเพียงหยางกุ้ยเฟยครวญเสียงหัวเราะแผ่วเบา

“พี่หญิงกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ถานฉี…”

“ถานฉีทำอันใด?

“ถ ถานฉีไม่กล้าเอ่ยเช่นนั้น”

“เจ้าเพียงไม่ยอมรับ” 

หยางกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น ดวงตาทอประกายกล้าขึ้นแวบหนึ่งยามโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้กับนาง เมื่อเห็นถานฉีอึกอัก พระนางจึงขยับไปยืนอมยิ้ม

“ไป! อย่าเสียเวลาอีกเลย ยามนี้คิดว่าฝ่าบาทคงตื่นจากบรรทมแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปเข้าเฝ้า”

“แต่ว่าข้า...”

“ข้าเป็นพี่เจ้า บุรุษในดวงใจข้าก็มี เจ้าหาปิดข้าได้ไม่” 

พระนางเอ่ยพลางออกแรงบีบหัวไหล่ทั้งสองของนาง

“ในเมื่อยอมรับว่าอยากพบ ก็จงไปพบเถิด แล้วจากนั้นเจ้าค่อยตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป”

ครั้งนี้ถานฉีรู้สึกคล้ายมีตะกอนบางอย่างถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นในใจ สายตาของสตรีแก่วัยกว่านั้นแหลมคม จนมองทะลุมาเห็นถึงความไม่แน่ใจที่นางเก็บซ่อนไว้ แม้เมื่อครู่นางไม่มีเจตนาโป้ปด แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีผลสืบเนื่องจากการตัดสินใจนี้จะเป็นอย่างไรนางก็ไม่อาจรู้

“เทศกาลชมโคมคือสัญลักษณ์ของปีใหม่ อีกนัยหนึ่งคือการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ด้วย สิ่งใดที่เจ้ายังติดค้างก็จงพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งและตัดสินใจเสียในวันนี้ เมื่อโคมสิ้นแสง ตะวันใหม่ขึ้นสู่ท้องฟ้า จะได้ตอบตัวเองได้ว่าเจ้าต้องการร่วมทางไปกับผู้ใด”

พระนางกล่าวสำทับพลางหันกายกลับไปส่งเสียงเรียกบ่าวไพร่ในบริเวณนั้นเพียงคำเดียวก็ปรากฏนางกำนัลวัยเยาว์อีกสองคนตรงเข้ามาคุกเข่าทำความเคารพ

พวกเจ้าทั้งสองช่วยแม่นางถานฉีผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เลือกชุดที่งามที่สุด แล้วรีบพานางไปพบกับคนสนิทของแม่ทัพกัว เขาจะพานางไปพบกับแขกที่รออยู่”

นางกำนัลน้อยทั้งสองมีสีหน้าประหลาดใจ พวกนางแอบเหลือบสายตามองหยางกุ้ยเฟยแล้วหันมองถานฉี ดูจากสายตาที่ส่งมา ถานฉีเข้าใจว่าคนทั้งสองคงคิดประหวัดไปถึงเรื่องบัดสีบางประการ แต่นางไม่อาจแก้ตัวด้วยไม่ทราบว่าสมควรหาเหตุผลใดมาอธิบาย คล้ายความคิดที่เคยปราดเปรื่องติดขัดกะทันหัน

“สิ่งใดที่พวกเจ้าคิดอยู่ตอนนี้จงอย่าแพร่งพรายออกมา หากต่อไปข้าได้ยินใครนินทาถึงแม่นางถานฉีเข้าหูข้า โทษนั้นพวกเจ้าทั้งสองจะเป็นผู้รับ รีบไปจัดเตรียมสถานที่กับสิ่งของให้พร้อมได้แล้ว”

“ถานฉี เจ้ารีบตามพวกนางไป” กุ้ยเฟยหันกลับมาสั่งคนที่ยังรั้งอยู่บ้าง

“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ หากเจ้าไม่กล้าก็จงคิดเสียว่านี่เป็นคำสั่ง และเมื่อข้าสั่ง เจ้าก็ต้องทำตาม เข้าใจหรือไม่”

ถานฉีไม่โต้แย้ง ก้มหน้าประสานมือคำนับ 

“เพคะ”

 

เมื่อหยางกุ้ยเฟยเคลื่อนกายกลับไปในห้องบรรทม นางก็หยัดตัวขึ้นยืนตรง มองเลยผ่านขอบระเบียงนอกชานของตำหนักออกสู่ความว่างเปล่าภายนอก ลงไปยังลานกว้างด้านหน้ายาวสุดระยะสายตาจนมองเห็นประตูกำแพงรอบนอกเขตพระราชฐานเป็นเพียงจุดแต้มหนึ่งบนผืนผ้าใบ

พระราชวังกว้างใหญ่ราวกับเป็นมหานครอีกแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่ใช้ชีวิตราวกับอยู่บนสรวงสรรค์ แต่แม้จะแวดล้อมด้วยสิ่งสวยงามทั้งทิวาราตรี นางกลับพบว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว 

ความสัมพันธ์ของเหล่าคนในวังหลวงล้วนเปราะบาง แม้วาจานับถือเป็นเป็นพี่น้อง เนื้อในกลับมีเพียงคำสั่งและการรับใช้ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเกี่ยวพันผลประโยชน์ มีแต่ต้องคำนึงว่าจะทำให้ผู้ใดพอใจหรือไม่ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของตนเอง

พี่หญิงแม้เอ่ยว่านางเปรียบประดุจน้องสาว ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้น 

เมื่อก่อนนางเป็นทาส ปัจจุบันนางคือนางกำนัล ไม่ว่าไปที่ใด อยู่แห่งหนไหน แม้คิดว่าตนไตร่ตรองดีแล้ว สุดท้ายนางยังเพียงแค่เปลี่ยนขนาดโซ่ที่ล่ามและเปลี่ยนกรงขังเท่านั้น

 

แม้สร้างจากวัสดุชั้นเลิศ รังสรรค์อย่างวิจิตรเพียงใด กรงย่อมเป็นกรงวันยันค่ำ

 

ถึงกระนั้น ทั้งที่มองตาทะลุถึงแก่นกระดูกทุกข้อของราชสำนัก ตระหนักถึงภัยอันตรายที่แฝงอยู่ทุกอย่าง เขากลับกล้าเดินเข้ามาอย่างไม่กริ่งเกรง ทั้งอาจเอื้อมถึงขั้นเอ่ยขอพบนางกำนัลคนสนิทในหยางกุ้ยเฟย คนผู้นี้หากไม่ใช่ผู้กล้าบ้าบิ่นก็คงสมองเลอะเลือนแล้ว

 

คนท่านเป็นคนเลือก ทางข้าเป็นคนเลือก เราทุกคนย่อมต้องรับผลจากสิ่งที่ตนเลือก

 

“เติงถูจื่อ[2] ปีหนึ่งล่วงไปแล้ว เจ้ายังคงบุ่มบ่ามเช่นเดิม”

ถานฉีละสายตาจากความว่างเปล่าภายในลาน หันมายังนางกำนัลน้อยอีกหนึ่งคนที่ยืนประสานมือค้อมตัวอยู่ริมผนังตำหนัก  นางเหลือบมองมาแวบหนึ่งก่อนหลบสายตา ท่าทางคล้ายอยากชวนสนทนาหากแต่ไม่ทราบว่าควรเริ่มอย่างใด

“รบกวนเจ้าแล้ว น้องสาว”

“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามที่หยางกุ้ยเฟยบัญชา”

“เช่นนั้นข้าขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องรอ เรารีบไปกันเถอะ”

นางกำนัลน้อยยอบตัวถอนสายบัวและเดินตามนางมา ครั้งนี้เมื่อถานฉีหันกลับมามอง อีกฝ่ายค่อยกล้าเงยหน้ามาสบตากับนาง เห็นเช่นนั้นถานฉีจึงคลี่ยิ้มเป็นมิตร เห็นพวงแก้มของนางกำนัลน้อยขึ้นสีจาง จากนั้นส่งเสียงอ้อมแอ้มถามอย่างอยากรู้ตามประสาเด็กสาววัยแรกรุ่น

นางกำนัลน้อยเขยิบเข้าใกล้ถานฉีลอบถามเสียงค่อย นางได้ยินนางกำนัลรุ่นพี่ที่โตกว่าตนเองไม่กี่หนาวเล่าลือกันถึงนางกำนัลผู้หนึ่ง ว่าเป็นคนโปรดของหยางกุ้ยเฟยตั้งแต่ครั้งพระนางยังบำเพ็ญพรตเป็นนักบวชหญิงไท่เจิน บรรดาข้าราชบริพารและนางในทั้งหลายต่างกล่าวว่านางกำนัลผู้นั้นเก่งกาจสามารถ เฉลียวฉลาดและกล้าหาญไม่แพ้ชาย นางร่วมเสี่ยงชีวิตหยุดยั้งผู้ก่อการร้าย ทั้งยังมีส่วนช่วยวีรบุรุษอีกผู้หนึ่ง ช่วยชีวิตฝ่าบาท และนำส่งเสด็จกลับคืนสู่บัลลังก์มังกรอย่างปลอดภัย

“เรื่องที่เจ้าเล่าออกจะเกินความจริงไปหลายส่วน คงได้ยินผ่านมาหลายทอดกระมัง”

“พี่สาวกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าทราบความจริงหรือเจ้าคะ”

ถานฉีเพียงอมยิ้มน้อย ๆ ไม่กล่าวสิ่งใด

“พี่สาว หรือท่านคือ…”

“ข้าเป็นเพียงนกน้อยอีกตัวหนึ่งในกรงทองแห่งนี้เท่านั้น”

“ในเรื่องที่ข้าได้ยินมา กล่าวกันว่านางกำนัลผู้นั้นสมควรเรียกว่าวีรสตรีเลือดผสม เพราะนางมีเชื้อสายชาวหู”

“เช่นนั้นหรือ”

“พี่สาวเองก็มีเชื้อชาวหูใช่หรือไม่เจ้าคะ สตรีที่ดวงหน้าหวานแต่แฝงความคมคายเช่นท่าน ข้าเพิ่งพบในตำหนักนี้เป็นครั้งแรก” นางกำนัลน้อยกล่าวเสียงใส ถานฉีเพียงยิ้มให้

“พี่สาว รู้จักกับบุรุษผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ”

นางกำนัลน้อยกลับไปเป็นเด็กหญิงที่ตื่นเต้นกับความงามในรอยยิ้มของนาง และขยับเข้ามากระซิบใกล้ แต่ครั้งนี้ถานฉีเพียงหลบสายตา อมยิ้มมุมปากน้อย ๆ ไม่กล่าววาจา

“คนเล่าลือกันเจ้าค่ะ แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นวีรบุรุษของต้าถัง แต่เขารูปโฉมอัปลักษณ์เปี่ยมรังสีฆ่าฟัน บ้างว่าเป็นเทพมารจำแลง บ้างว่าเป็นบุรุษคลั่งที่ดุร้ายราวสัตว์ป่า จริงหรือไม่เจ้าคะ”

ฝีเท้าของแม่หญิงงามสะดุดลง กระแสความขุ่นเคืองใจสายหนึ่งแล่นปราดขึ้นจนทั่วร่างของนางร้อนวาบ แต่ถานฉีเพียงสะกดอารมณ์ของตนได้ทันก่อนเหลียวกลับมาเล่าความจริงให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ความ

นางแก้ต่างแทนผู้ที่ไม่มีโอกาสอธิบาย และบอกให้นางกำนัลตัวน้อยเข้าใจอย่างถูกต้องว่าคนผู้นั้น แม้ไม่ใช่คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์ หากแต่เป็นบุรุษผู้องอาจห้าวหาญ มีบุคลิกสง่าผ่าเผย น่าเลื่อมใสยิ่งที่สำคัญเขาหาใช่สัตว์ร้ายบ้าคลั่ง หากจะเป็นสิ่งใดได้ย่อมไม่พ้นยอดขุนศึกชาญสมรภูมิ ที่ยังไม่มีบุรุษคนใดที่นางเคยพบมีฝีมือยุทธ์เทียบเคียงได้

เด็กหญิงทำตาโตพลางยกสองมือใต้ชายแขนเสื้อขึ้นปิดปากที่อาจกำลังอ้าหวอด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของถานฉีจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ก้มศีรษะคำนับ สิ้นสงสัยในทันที

“ต่อจากนี้ หากได้ยินสิ่งใดจงอย่าปักใจเชื่อแต่แรก ให้รับฟังไว้แล้วสืบหาความจริงมาพิจารณาประกอบเสียก่อน ทางหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองตกเป็นเหยื่อคำลวง อีกทางเพื่อที่เจ้าจะไม่กลายเป็นผู้กล่าวความเท็จ แล้วมีส่วนในการใส่ร้ายผู้อื่นทางอ้อม  เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ”

“อันที่จริง ถ้าเจ้ามีธุระอื่นต้องจัดการก็ไปเถอะ เรื่องแต่งกาย ข้าจัดการเองได้”

“มิได้เจ้าค่ะ!” 

เด็กหญิงเอ่ยทัดทานพลางขยับเข้ามาเอ่ยขอล่วงเกิน ไม่นานคว้าข้อมือบางของหญิงสาว พาเดินจ้ำอ้าวตรงมายังห้องแต่งตัวที่เพื่อนนางกำนัลด้วยกันล่วงหน้าไปตระเตรียมรอท่าไว้หลายชั่วอึดใจแล้ว

“พวกข้าต้องกลับไปรายงานหยางกุ้ยเฟย ไม่อาจอนุญาตให้พี่สาวเป็นธุระเรื่องนี้ด้วยตนเองได้เจ้าค่ะ”

ถานฉีรับฟังน้ำเสียงที่เข้มขึ้นกะทันหันนั้นแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง ดูท่าการพบปะกันครั้งนี้คงไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัวระหว่างนางกับบุรุษผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว ที่เรื่องบานปลายใหญ่โตกลายเป็นความพยายามเป็นแม่สื่อของหยางกุ้ยเฟยเช่นนี้ สมควรกล่าวว่าเริ่มต้นจากความหุนหันของบุรุษผู้นั้นแท้ ๆ


 

 

 


[1]ยามอิ๋น คือ เวลา 03.00 – 04.59 น. 

[2] อ้างอิงจากในต้นฉบับแปลของนิยายฉางอันสิบสองชั่วยาม (สนพ. เอนเธอร์) หมายถึง “ตัวละครในเรื่อง “จอมลามกเติงถูจื่อ” เขียนโดยซ่งอวี้ (298-222 ปีก่อนคริสตกาล) นักประพันธ์แคว้นฉู่ในสมัยจั้นกว๋อ ต่อมาจึงใช้เป็นคำด่าผู้ชายที่มากตัณหาบ้าราคะ”

 

 


 


[1]ยามอิ๋น คือ เวลา 03.00 – 04.59 น. 

[2] อ้างอิงจากในต้นฉบับแปลของนิยายฉางอันสิบสองชั่วยาม (สนพ. เอนเธอร์) หมายถึง “ตัวละครในเรื่อง “จอมลามกเติงถูจื่อ” เขียนโดยซ่งอวี้ (298-222 ปีก่อนคริสตกาล) นักประพันธ์แคว้นฉู่ในสมัยจั้นกว๋อ ต่อมาจึงใช้เป็นคำด่าผู้ชายที่มากตัณหาบ้าราคะ”