ดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า 'โลก' เป็นดาวเคราะห์ที่อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารที่ดาวเคราะห์แห่งนี้ก็คือ 'มนุษย์'

ถึงแม้ภายในดาวเคราะห์นี้จะยังมีสงครามระหว่างสิ่งมีชีวิตเดียวกัน หรือการล่าระหว่างสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด แต่ก็ต้องนับว่าเป็นดินแดนที่สงบสุข เป็นเอกเทศ ไม่ต้องทำสงครามแก่งแย่งดวงดาวกับใคร

ถึงแม้จะเป็นดาวที่ล้าหลังไปสักนิด แต่ก็น่าอิจฉาซะจริงๆ

"หึ หลังจากที่ข้าได้ศึกษาพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์นี้เป็นเวลากว่าร้อยปี วันนี้ก็คงถึงเวลาแล้วสินะ..." 

ไกลออกไปนอกโลก มียานอวกาศสีดำมะเมื่อมขนาดยักษ์บรรจุสิ่งมีชีวิตนับหมื่นภายในนั้น กำลังจอดลอยคว้างภายในอวกาศเพื่อจับตาดูดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่าโลกนั่นเอง

ใจกลางของห้องบังคับยาน มีร่างๆหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์คอยเฝ้ามองภาพของดาวสีน้ำเงินจากทางหน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่

"ตอนนี้มิสไซล์พร้อมแล้วขอรับท่านนายพล ขอเพียงสั่งออกมา เราก็จะทำการโจมตีดินแดนแห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองในทันที" 

ร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ หรือถูกเรียกเมื่อสักครู่ว่า 'ท่านนายพล' ชะงักไปก่อนจะหันมาถลึงตาใส่เจ้าของประโยคที่ยืนข้างๆตนเองอย่างนอบน้อม

"เจ้าจะบ้าเหรอ! ถ้ายิงมิสไซล์จนเละเทะหมด โลกนี้ยังจะเหลือประโยชน์อะไรให้เราไปยึดครอง"

"แต่เราจะมาบุกโลกนี้นี่ขอรับ..."

"นั่นก็จริง..." ท่านนายพลกระแอมไออย่างเก้อเขิน "แต่ข้าได้ยินว่าดาวเคราะห์แห่งนี้มีสิ่งที่เรียกว่าแซลม่อนด้วยล่ะ" ท่านนายพลลดระดับเสียงลงเพื่อให้ได้ยินเพียงแค่พวกเขา

"แซลม่อน? มันคืออะไรขอรับนายท่าน"

"มันคือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปลา เป็นสายพันธุ์ย่อยลงมาอีกที เขาว่ากันว่าเนื้อของมันนุ่มเด้ง สัมผัสที่เข้าปากก็ละมุน" ท่านนายพลกลืนน้ำลายขณะที่พูดต่อ "ไม่ใช่แค่นั้นนะ มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถทางด้านอาหารมาก พวกมันยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ข้าพูดวันนี้ก็ยังไม่มีวันหมด!!"

"อาหารก็คืออาหารไม่ใช่เหรอขอรับ มันจะมีหลายชนิดได้อย่างไร"

"เจ้าดูนี่" ท่านนายพลยกแขนของตนขึ้นมา เผยให้เห็นอุปกรณ์ที่มีรูปร่างคล้ายนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือ ก่อนจะกดที่หน้าจอนาฬิกานั้นสองสามครั้ง แล้วก็มีภาพโฮโลแกรมเล็กๆฉายขึ้นมาให้พวกเขามองเห็นได้เพียงสองคน

"นะ...นี่มัน!"

"สิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่าแซลม่อน มนุษย์นั้นช่างพิถีพิถันในการกินยิ่งนัก มันไม่ได้จบแค่แซลม่อนธรรมดา แต่ยังมีทั้งแซลม่อนซาชิมิ สเต็กแซลม่อน เบอร์เกอร์แซลม่อน แซลม่อนทอดกระเทียม ซูชิหน้าแซลม่อน ยำแซลม่อน!" ขณะพูดสายตาก็ลุกวาวเป็นประกาย มือค่อยๆเลื่อนภาพในหน้าจอโฮโลแกรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทดูเรื่อยๆ

"ท่านนายพลช่างรอบรู้ ภายในเวลาอันสั้นท่านสามารถไปหาข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไรกันน่ะขอรับ" เมื่อได้เห็นสีหน้าประทับอกประทับใจอย่างสุดซึ้งของคนผู้น้อย ท่านนายพลก็ยิ้มกระหยิ่มออกมา

"หากคิดจะเป็นใหญ่ ใจต้องใฝ่เรียนรู้ จำไว้ให้ดีล่ะพลโท"

"ข้าจะจำไว้อย่างดีเลยขอรับ!" 

"กระซิบกระซาบอะไรกัน"

ยังไม่ทันที่ท่านนายพลและพลโทจะได้ส่งสายตาฮึกเหิมให้กันเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเย็นๆดังมาจากข้างหลังจนทำให้สะดุ้งไปทั้งคู่

"พลโทเมอร์ลีน! ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียง เกิดข้าหัวใจวายไปเจ้าจะต้องโดนข้อหากบฏนะ!" ท่านนายพลถลึงตามองผู้ที่จู่ๆก็โผล่มาด้านหลัง

"ลู ตอนนี้ทหารทุกนายพร้อม..."

"ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าห้ามเรียกชื่อนี้ตอนอยู่ในกองทัพ" 

บุคคลซึ่งมาใหม่ถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

"แล้วปฏิบัติการขั้นต่อไปคืออะไรล่ะท่านนายพล"

"บอกทหารทุกนายว่ายังไม่ต้องเคลื่อนไหว ข้าจะลงไปจัดการเอง" ท่านนายพลเอ่ยเสียงเรียบ

"เจ้า?" ผู้มาใหม่หลุดปากแล้วก็ได้รับสายตามุ่งร้ายจากพลโทอีกคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

"กล้าเรียกท่านนายพลว่าเจ้าห้วนๆได้อย่างไร!"

"ใจเย็นๆพลโทมันซ์" ท่านนายพลรีบเอ่ยปากห้ามให้อีกคนใจเย็นลง

"สรุปท่านนายพลจะลงไปจัดการคนเดียว?"  พลโทเมอร์ลีนเลิกคิ้ว

"ไม่ใช่แค่ข้า แต่เป็นพวกเจ้าด้วย" ท่านนายพลกดเสียงต่ำ

"..."

"แล้วไหนตอนแรกบอกข้าจัดการเอง" พลโทเมอร์ลีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

"ข้า" ท่านนายพลชี้ตัวเอง และชี้ไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง "ข้าพลโทมันซ์ และข้าพลโทเมอร์ลีน"

"อย่างนี้นี่เอง!" พลโทมันซ์พยักหน้าอย่างแข็งขัน

"คนที่จะพูดว่าข้าได้ต้องเป็นข้าไม่ใช่เหรอ ถ้าหากเจ้าพูดว่าข้าก็ต้องหมายถึงตัวเจ้าไม่ใช่ข้า..." พลโทเมอร์ลีนเอ่ยแย้งยังไม่ทันจบก็โดนพลโทมันซ์หันมามองตาขวาง

"หุบปากของเจ้าสักที คิดว่าตัวเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กของท่านนายพลแล้วจะทำตามอำเภอใจอะไรก็ได้งั้นเหรอ หยุดพูดอะไรข้าๆเจ้าๆสักที"

"..." พลโทเมอร์ลีนรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องพูดกับท่านนายพลและลูกหาบตัวนี้เป็นอย่างมาก

"ยังจำร่างจำลองที่ข้าเคยให้พวกเจ้าฝึกเปลี่ยนได้หรือไม่" ท่านนายพลรีบดึงหัวข้อสนทนากลับเข้าเรื่อง 

"จำได้ขอรับ"

"อือ"

"นั่นแหละคือกุญแจสำคัญ" 

จบคำท่านนายพลก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากแต่ดังก้องกังวานพอที่จะให้ทหารทุกนายภายในยานอวกาศได้ยิน

"ทหาร! เตรียมกระสวยอวกาศ ข้า พลโทเมอร์ลีนและพลโทมันซ์จะลงไปยังโลกมนุษย์กันเอง" 

ท่านนายพลหันมาแย้มยิ้มให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิททั้งสอง

"แล้วเจอกันที่โลกสหาย"

พลันร่างทั้งร่างของท่านนายพลก็มีแสงสว่างเรืองรองสีทองแสบจ้าสว่างไสวไปทั่วทั้งยาน เหล่าทหารที่กำลังควบคุมยานตามหน้าที่ต่างลุกขึ้นมาแล้วก้มศีรษะแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง

ในที่สุดแสงอันสว่างไสวก็ดับลง พร้อมๆกับร่างใหม่ที่ยืนในตำแหน่งท่านนายพลเมื่อสักครู่

"องอาจยิ่งนัก!"

"สมคำร่ำลืมที่เป็นผู้มีความสามารถที่หนึ่งพันปีจะพบสักคน"

"ถวายดวงใจแด่ท่านนายพลสก็อตดิช!"

"จักรวรรดิโจแฮนเนสจงเจริญ!!"

ทหารรอบๆต่างกู่เสียงร้องอย่างฮึกเหิม พลันบรรยากาศภายในยานอวกาศเร่าร้อนขึ้นเพราะทหารทุกนายต่างก็คล้ายกับได้เห็นชัยชนะในศึกครั้งนี้ทันทีเมื่อมองไปยังร่างของท่านนายพลตรงกลาง

ศูนย์รวมใจของจักรวรรดิโจแฮนเนส

พลโทเมอร์ลีนมองร่างของท่านนายพลด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา

"ร่างนี้เหรอที่จะไปยึดครองโลก"

ร่างที่อยู่ ณ ใจกลางห้องจากร่างขนาดใหญ่องอาจได้ชื่อว่าเป็นเทพสงคราม แต่ตอนนี้กลายเป็นร่างขนาดเล็กจิ๋วที่ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยขนสีขาวปรอท

คล้ายกับว่าร่างก้อนขนนั้นได้ยินคำพูดของพลโท ท่านนายพลหันมาสบตากับพลโทเมอร์ลีนช้าๆ แล้วเอียงคอมองอย่างงงงวย

"เมี๊ยว?"