ห้านาฬิกาสามสิบนาที เป็นเวลาตื่นนอนของจูน จงสุข เขาลุกขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุกที่วางอยู่ข้างเตียงอย่างกระฉับกระเฉง ก่อนจะเดินตรงไปเปิดหน้าต่างรับแสงแดดยามเช้า 

สดชื่นจริงๆ เขาพึมพำเบาๆ แล้วจึงหยิบเอาผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ที่ระเบียงแล้วเดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปออกกำลังกาย

จงสุขมักจะตื่นก่อนเช้ามืดเสมอ เพราะจะเผื่อในการไปวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬามหา'ลัย ยามเช้าก่อนจะเริ่มวันด้วยการเรียนคาบแรกของวัน 

หอพักนักศึกษาแพทย์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากคณะแพทยศาสตร์ ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แม้ตัวอาคารมันจะเก่าซอมซ่อก็ตาม ทางเลือกสำหรับเด็กนอกพื้นที่มีไม่เยอะมากนัก ตัวเลือกนี้จึงสำคัญที่สุดถ้าเทียบกับราคาหอพักนอกมหาวิทยาลัย 

เด็กหนุ่มในเสื้อกีฬาสีโรงเรียนเก่าและกางเกงฟุตบอลที่คุ้นตากำลังเดินออกมาจากตัวหอพักอย่างวดชื่น รองเท้าวิ่งสีดำคู่โปรดและไม่ลืมที่จะใส่หูฟังคู่ใจ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเพลงอย่างเดียว แต่เป็นการตัดเสียงรบกวนจากคลื่นเสียงที่ไม่น่าอภิรมย์ใจออกไปด้วย 

เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่จงสุขมักจะทักทายสิ่งต่างๆรอบๆบริเวณนั้น

"ตายายตื่นเช้าจังเลยนะครับ" จงสุขเอ่ยทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้กับคู่ชายหญิงชราภาพสองตนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก 

"เป็นปกตินั่นแหละ เอ็งก็รีบไปรีบกลับเถอะ จะไปเรียนสายเอาได้" จงสุขยิ้มรับก่อนจะออกตัวปั่นจักรยานไปยังสนามกีฬามหา'ลัย 

เลี้ยวออกมาจากโซนหอพักนักศึกษาแพทย์ ไม่ไกลจึงเป็นป้ายรอรถชัตเตอร์บัสที่บริการทั่วมหาวิทยาลัย เป็นประจำที่จงสุขมักจะเห็นผู้หญิงในชุดนักศึกษายืนอยู่ตรงนั้นเสมอ ไม่เคยไปไหน 

"พี่แป้ง มารอรถแต่เช้าเลยนะครับ" ทันทีที่ปั่นจักรยานผ่านป้ายรถเมล์ จงสุขจึงเอ่ยทักทายหญิงสาวหน้าตาเศร้าหมองคนนั้น 

"พี่รอแฟนพี่มารับน่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" เธอยิ้มให้จนเผยให้เห็นรอยแผลที่ฉีกจากปากถึงใบหู ทว่าจงสุขกลับไม่ตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะว่าเขาเห็นจนชินตาไปแล้วน่ะสิ

ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย จงสุขจอดรถจักรยานพร้อมนำกุญแจล็อคจักรยานเสร็จสรรพ แล้วจึงเดินเข้าไปในสนามกีฬาในทันที มีคนไม่น้อยที่มาวิ่งออกกำลังกาย ทั้งคนในมหาวิทยาลัยเองและคนนอก 

จงสุขวอร์มอัพนิดหน่อยพอให้ร่างกายได้ปรับตัว จึงออกตัววิ่งเหยาะๆออกไปไม่เร็วนัก แท้จริงแล้วจงสุขใส่หูฟังที่ไม่ได้เปิดเพลงเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ใส่เพื่อตัดเสียงรบกวนบางอย่างออกไป

เขามองไปรอบๆบ้างก็เห็นสิ่งบางสิ่งกำลังวิ่งออกกำลังกายเหมือนกันกับเขา บ้างก็เดินตามติดมนุษย์ บ้างก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน 

สิ่งเหล่านั้นคือ 'วิญญาณ' เป็นเรื่องปกติที่จงสุขมองเห็นพวกเขาเหล่านั้นเสมอ ในบางวันก็เข้ามาคุยด้วย บางวันก็วิ่งตาม เป็นแบบนั้นจนชินชาไปเสียแล้ว

โดยปกติมนุษย์เราจะได้ยินคลื่นเสียงในความถี่ที่เหมาะสม แต่สำหรับจงสุขแล้วนั้น เขาได้รับคลื่นเสียงที่มีความถี่แตกต่างไปจากปกติ 

ดังนั้นหูฟังที่สวมใส่อยู่จึงเป็นสิ่งตัดความรำคาญของคลื่นเสียงนั้นได้ดีเลยทีเดียว หากเป็นเรื่องสุดวิสัยจำเป็นต้องพูดคุยกับบางสิ่งเหล่านั้น หูฟังจึงเป็นที่อำพรางได้ดีเลยทีเดียว

จงสุขเชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ใช้เวลาหมดไปในแต่ละวันเช่นเดียวกับมนุษย์ เพียงแค่พวกเขาเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น พวกเขาสามารถออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งกินข้าว ได้เป็นปกติ 

เพียงแค่วัตถุเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในรูปของรูปธรรมที่จับต้องได้อย่างในความเป็นจริง พวกเขาอยู่เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแล้วร่วงโรยลงไปตามเวลา แม้เป็นวิญญาณก็ไม่มีใครได้อยู่คงกระพันตลอดไป 

เป็นเวลากว่าหกนาฬิกาสามสิบนาที จงสุขเดินกลับมาที่รถจักรยานของตนเองทำการปลดล็อคแม่กุญแจ ก่อนจะขึ้นควบปั่นกลับไปอาบน้ำเตรียมตัวออกไปเรียนในตอนเช้าอย่างเช่นทุกวัน

และในตอนกลับจงสุขยังคงเห็นพี่แป้งหญิงสาวหน้าเศร้าสร้อยเช่นเดิม และยังคงเห็นวิญญาณต่างๆที่เดินผ่านไปหรือขับรถผ่านมาเป็นปกติ บ้างก็วนซ้ำภาพเวลาตาย บ้างก็อยู่รอบางอย่างในจิตสุดท้ายที่พึงผูกมัด

จงสุขเห็นมันจนชินตามามากกว่าสิบกว่าปี สิ่งเหล่านี้สอนให้จงสุขรู้จักคุณค่าของชีวิตและบทเรียนต่างๆไม่น้อย และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้จงสุขอีกเช่นกัน

ก่อนจะกลับถึงหอพัก ระหว่างทางที่กลับมา จงสุขแวะซื้อน้ำเต้าหู้และอิ่วจาก้วยรถเข็นอาแปะเจ้าประจำ น้ำเต้าหู้สามถุง ของตนเองหนึ่งถุง ของคุณลุงที่ดูแลหอพักหนึ่งถุง และของยายอีกหนึ่งถุง 

"ขอบใจมากนะ ตาเอ็งน่ะเรื่องมาก ข้าก็บอกเด็กมันอุตส่าห์มีน้ำใจซื้อมาให้ ก็ยังไม่ยอมกิน" 

"ก็ข้าไม่ชอบ ยายจะให้ทำอย่างไรรึ" 

จงสุขยืนมองตายายเถียงกันไปมาอย่างขำขัน ศาลตายายข้างหอพัก เมื่อมองจากข้างนอกใครๆต่างหวั่นกลัว เพราะทั้งอยู่ใกล้หอและอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศก็ชวนให้หวาดผวาไม่น้อย แต่แท้จริงแล้วเจ้าของศาลนั้นใจดียิ่งกว่าที่คิดไว้

"ไม่ต้องซื้อมาให้ข้าทุกวันหรอก ลำพังของไหว้ที่เด็กในหอเอามาให้ข้าก็กินไม่หมดอยู่แล้ว" หญิงชราประจำหอพักเอ่ยอย่างเกรงใจ 

"ถ้างั้น..ทุกวันพระผมจะซื้อมาฝากแล้วกันนะครับ" จงสุขเอ่ยยิ้มๆ 

"เออๆขอบใจเอ็งมากนะ ไปๆไปอาบน้ำ ไปเรียนนู่น สอบตกมาข้าก็ช่วยอะไรเอ็งไม่ได้หรอกนะ" ว่าแล้วจงสุขหัวเราะร่วนเบาๆ ทว่าก่อนจะบอกลาตายายทั้งสอง เป็นตาที่เอ่ยทักขึ้นมาก่อน 

"ห้องตรงข้ามเอ็งมาอยู่ใหม่รึ ข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน" 

คำถามนั้น จงสุขสับสนใจไม่น้อย โดยปกติจงสุขไม่ค่อยสนใจเพื่อนข้างๆห้องสักเท่าไหร่ แต่พอจะเห็นหน้าเห็นตากันบ้าง แต่ห้องตรงข้ามเขาก็ไม่เคยเจอเลย 

แต่ตาเป็นคนท้วงขึ้นมาเองว่ามีคนย้ายเข้ามาใหม่ แล้วคนเก่าไปไหนกัน ถ้าจะย้ายออก คนห้องตรงข้ามอย่างจูนก็คงจะทราบแล้ว 

"ไม่รู้เหมือนกันครับตา ผมก็ไม่เคยเห็นคนเก่าอะ คนใหม่ก็ยิ่งแล้วใหญ่" 

"เออๆเอาเถอะๆ ช่วยๆกันดูแล้วกัน" หลังจากนั้นจงสุขก็บอกลาตายายแล้วรีบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเลยในทันที 

มื้อเช้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จงสุขจึงฝากท้องที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยอยู่ทุกวัน ทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็น บ้างก็โรงอาหารคณะตนเอง บ้างก็โรงอาหารคณะใกล้ๆ 

กว่าเจ็ดโมงเศษๆในโรงอาหารกลางก็มีคนมานั่งจับจองกันบ้างแล้ว ยังรู้สึกปกติดีที่ไม่ใช่แค่คณะตนเองเท่านั้นที่มีเรียนเช้า 

"หมอจูนได้แล้วจ้า" เสียงเรียกอันทรงพลังของคุณป้าเจ้าของร้านข้าวมันไก่ร้านประจำ ทำเอาคนรอบๆมองกันไม่น้อยเลย จูนทำได้เพียงแค่ยิ้มแหยๆแล้วเดินออกไปหยิบจานของตัวเองเงียบๆ 

ไม่ว่าจะเรียนอยู่ชั้นปีไหน ป้าร้านข้าวในโรงอาหารก็จะเรียกว่าหมอเสมอ นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติไปเสียแล้ว 

ในภาคเรียนใหม่ก็เปิดเรียนได้สักพักใหญ่ๆแล้ว การปรับตัวต่างๆเริ่มเข้าที่เข้าทาง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องเรียนเลคเชอร์เป็นร้อยๆสไลด์ในสองชั่วโมง 

จงสุขยกนาฬิกาบนข้อมือขึ้นมาดูเวลาพบว่าอีก กว่าสามสิบนาที ก่อนวิชาแรกจะเริ่มขึ้น จึงตัดสินใจเดินเท้าจากโรงอาหารกลางไปยังคณะเรียนเห็นจะดีกว่า 

"ไอ้หนู โรงพยาบาลไปทางไหนจ๊ะ" ระหว่างทางที่เดินอยู่นั้น ทันใดนั้นเองหญิงชราวัยหกสิบปลายๆที่เดินผ่านมาเอ่ยทักถามจงสุขที่เดินฮัมเพลงอยู่

จากตรงที่เขายืนอยู่ไปถึงโรงพยาบาลก็ซับซ้อนไม่น้อย จงสุขจึงอาสาจะพาขึ้นรถชัตเตอร์บัส ไปส่งคุณยายท่านนั้น ทว่ารถชัตเตอร์บัสที่ว่า กลับไร้ร่องรอยของการมาถึง 

"เดินไปดีกว่าหนู ยายอยากเดิน" จงสุขทำตามคำประสงค์ของคุณยาย และยังชวนหญิงชราท่านนั้นคุยอย่างสนุกสนาน 

"คุณยายเจ็บป่วยอะไรหรอครับ" 

"โดนรถชนน่ะ ไม่มีใครพายายมาโรง'บาลเลย ยายถึงมาเอง" เสียงแหบปร่าทว่านุ่มนวลเอ่ยตอบ  จงสุขพยักหน้ารับหงึกหงักเป็นการเข้าใจ 

แม้ในใจจะมีความสงสัยเต็มไปหมดก็ตาม ที่ตัวของเธอไม่ได้มีแผลเลยแม้แต่นิดเดียว หรือไม่เธอก็อาจจะหมายถึงมาตามนัดหมอ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว 

ไม่นานนักจงสุขและคุณยายก็เดินมาจนถึงโรงพยาบาล ก่อนที่จงสุขจะบอกลาคุณยายอยู่นั้น ทันใดนั้นเองรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็แล่นเข้ามาพอดี ทุกอย่างรอบตัวโกลาหลไปหมด 

จงสุขยืนทำตาปริบๆทำตัวไม่ถูกเพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆเท่านั้น ส่วนหญิงชราเพียงแค่ยื่นเงียบๆอยู่อย่างนั้น มุมปากวาดยิ้มขึ้นเล็กน้อย 

เวรเปลและแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินช่วยกันเข็นเตียงผู่ป่วยลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว เสี้ยววิจงสุขได้เห็นหน้าผู้ป่วยคนนั้นเต็มสองตา ดวงตาคู่วาวเบิกโพลงอย่างตกใจ 

"นั่น.." จงสุขมองสลับไปมาระหว่างหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆและหญิงชราคนที่นอนหมดสติเลือดอาบตัวอยู่บนรถเข็นเตียงผู้ป่วย

"มาถึงพอดีเลย ยายขอบใจหนูมากนะจ๊ะ" หญิงชราวาดยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน เธอค่อยๆเดินตามหลังเวรเปลที่เข็นเตียงเข้าไปในห้องฉุกเฉิน 

ทว่าจงสุขยังยืนงงอยู่ตรงนั้น 'นี่โดนผีหลอกกลางวันแสกๆเลยหรอ' จงสุขนึกในใจ ในทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ปลุกจงสุขตื่นจากภวังค์ 

"จะสายแล้วจงสุข!" จูน จงสุขยกนาฬิกาขึ้นมาดูอีกครั้ง อีกเพียงสิบนาทีจะเริ่มเรียนแล้ว จงสุขจึงออกเท้าวิ่งเต็มกำลังในทันที 

โชคดีที่จากโรงพยาบาลไปคณะแพทยศาสตร์ห่างกันเพียงไม่ไกล จงสุขจึงมาทันเวลาและไม่เสียเหงื่อมาก 

เริ่มต้นสัปดาห์ท่าจะดูไม่ดีเอาเสียแล้ว จงสุขถอนหายใจออกอย่างโล่งอก 

เสียงที่ดังขึ้นในโสตประสาทที่ได้ยินอยู่ทุกวัน เสียงที่อยู่เป็นเพื่อนจงสุขมาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเพียงคลื่นเสียงที่ไม่มีตัวตน 

"คุณพลอย" จงสุขเอ่ยเรียกเบาๆ ในห้องเพื่อนต่างนั่งเข้าที่กันเกินครึ่งแล้ว หากขืนโพล่งอะไรแปลกๆออกไป มีหวังกลายเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนแน่ๆ 

"ที่เธอถาม เราก็ไม่รู้หรอกนะจงสุข แต่แปลกใจจริงๆระหว่างทางที่ไปส่งผู้หญิงคนนั้น เธอไม่ได้ยินที่เราเรียกเธอเลย" เสียงทุ้มต่ำดังในโสตประสาทขึ้นอีกครา เมื่อได้ฟังสิ่งที่คุณพลอยได้บอกเล่ามา จงสุขคิดไม่ตกเลยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอดูเหมือนมนุษย์มากเกินกว่าจะเป็นวิญญาณ 

และคุณพลอยเองก็ขาดการสื่อสารกับเขาไปเลยโดยปริยาย

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเวลานั้นเองที่ภาพเหตุการณ์แปลกๆก็ถูกส่งเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ

ภาพเหตุการณ์แรกสะท้อนเห็นแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่ แสงแดดยามอาทิตย์อัสดงสะท้อนผืนน้ำเป็นแสงทองอร่าม ชายผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาหันกลับมามอง พร้อมกับวาดยิ้มอย่างอ่อนโยน

'เจ้ามาแล้ว' 

'สัญญาของเรา' 

'เจ้ามาทำตามสัญญาแล้วใช่ไหม' 

'พี่รอเจ้ามาตลอด' 

'สัญญาของเรา' 

'เจ้าสัญญาของเราได้ไหม' 

'สัญญาของเรา'

เสียงทุ้มต่ำกลายเป็นเสียงหวีดร้องดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ ภาพผืนน้ำสีท้องเริ่มหม่นลงไปจนเกือบจะมิดเสียง เสียงของคำว่า สัญญาของเรา ยังไม่จางลงไป มันกลับดังขึ้นเรื่อยๆในโสตประสาท 

จบสุขอยากที่จะยกมือปิดหู ไม่รับรู้และรับฟังสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตาเริ่มเอ่อคลอดวงตากลม "ไม่เอาแล้ว ขอร้อง ไม่อยากเห็น" 

'สัญญาของเรา!' 

"ไม่เอาแล้ว ขอร้อง ใครก็ได้ช่วยด้วย" 

'สัญญาของเรา' 

ในนาทีที่ความมืดครอบงำเข้าทุกอย่าง ในโสตประสาทยังแจ่มชัดด้วยคำว่าสัญญาของเรา จงสุขเดินไปข้างหน้าโดยไร้ทิศทาง คลำหาสิ่งใดก็เจอเพียงแต่อากาศ และความมืดมิด

และในขณะนั้นเองแสงสว่างแสงหนึ่งวาบขึ้น หัวใจเริ่มเต้นแรงระรัวอาจจะได้เห็นทางออกจากที่แห่งนี้เข้าแล้ว เขาก้าวเท้าวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด ในความคิดคิดเพียงว่า นั่นคือสิ่งเดียวที่จะรอดพ้นจากความหวาดหวั่นอย่างนี้ เสียงทวงคำสัญญายังคงไล่ตามหลังอย่างไม่ลดละ 

เสี้ยววินาทีแสงสว่างที่ไล่ไขว่คว้านั้นก็อยู่ไกลออกไปทุกขณะ แรงที่มีเริ่มหมดลงตามสังขารและช้าลงในที่สุด แสงนั้นค่อยๆมืดบอดลงช้าๆ นัยน์ตาจงสุขก็ค่อยๆหม่นแสงลงเข้าไปทุกที 

'พี่มาทวงสัญญาจากเจ้าแล้ว'สุรเสียงนั้นเอ่ยกระซิบที่ข้างหูของจงสุข เขาค่อยๆผินหน้ากลับไปมองที่ต้นเสียง ทว่าเมื่อหันกลับไปกลับไร้ตัวตนของใครสักคน 

จงสุขเริ่มสั่นกลัวความมืดในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น เขาค่อยๆยันตัวถอยหลังเข้าหาอะไรบางอย่างเพื่อที่ตนจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่โล่งอย่างนี้ 

ตุบ!เขาชนกับอะไรเข้า หัวใจพองโตขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งของบางอย่างที่ย้ำเตือนว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ในทันทีที่เขาหันกลับไปสำรวจสิ่งนั้น 

กลับเห็นเป็นชายผู้นั้นโค้งตัวลงมาจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างโกรธา 'พี่มาทวงสัญญาแล้ว' ชายผู้นั้นค่อยๆยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าของเขา น้ำตาเริ่มไหลนองมากยิ่งขึ้น 'เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว'

'พี่รอเจ้านะ..' 

"จงสุข!!"

จงสุขสะดุ้งเฮือกทันทีที่สัมผัสกับบางสิ่งที่เย็นเฉียบที่แก้มของตนเอง ภาพเหล่านั้นหายไปเสียสิ้น มีเพียงเหล่าผองเพื่อนจับจ้องสายตามาที่เขาผู้เดียว 

มือของเปี่ยมเพื่อนสนิทคนเดียวของเขายังคงค้างแตะที่แก้ม 

"อาจารย์เรียกตั้งนาน นี่แอบหลับใช่มั้ยเนี่ย" อาจารย์แพทย์วัยกลางคนเอ่ยทักท้วง เพื่อนๆในห้องต่างหัวเราะขำขันกันอย่างสนุกสนาน 

จงสุขเริ่มมีสติมากขึ้นจึงยกยิ้มแก้เขินไปตามเนื้อผ้า หากพวกเขาได้รู้ว่าสิ่งที่จงสุขกำลังพบเจออยู่คืออะไร พวกเขาจะหัวเราะไม่ออกกันเลยทีเดียว 

ไม่นานทุกอย่างก็กลับไปเป็นบรรยากาศการเรียนที่สงบเงียบเช่นเคย สไลด์ที่เท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ยังคงทำการเปิดต่อไปเรื่อยๆ 

จงสุขทำทีเหมือนคิดตามบนสไลด์นั้น แต่ในความคิดและหัวใจกลับวกวนกลับไปมาอย่างวุ่นวาย 

"มึงรู้ยัง ไอ้ไป๋มาเรียนแล้วนะ" เปี่ยมกระซิบบอกเบาๆ 

"ไป๋ไหน?" จงสุขพยายามนึกถึงเพื่อนคนที่เปี่ยมพูดถึง เป็นเพื่อนร่วมคลาสเรียนอย่างนั้นหรอ? ทำไมไม่คุ้นเอาเลยนะ 

"ไป๋ ปฏิญญา" เสียงดังมาจากทางด้านหน้าของเขา ชายหนุ่มที่ชื่อว่าปฏิญญาหันหน้ากลับมามองจงสุขพร้อมยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร 

"จำเราไม่ได้เหรอ?" 

 

tbc 

#มิถุนาที่สาม