ก่อนเริ่มรีไรต์

 

 

 

ฉิบหาย นิยายเหี้ยไรวะเนี่ย” ผมสบถอย่างหยาบคาย เมื่อกลับไปอ่านนิยายวายที่เคยแต่งไว้ตอนอายุสิบแปด ยิ่งอ่านก็ยิ่งหน้าชา นี่คือความคิดของเด็กสิบแปดจริง ๆ เหรอวะ นี่กูเกินเยียวยาแล้วนะเนี่ย

เชี่ย ทั้งข่มขืน ทั้งแบล็กเมล ไอ้พระเอกมันเป็นอาชญากรแล้ว มึงตกหลุมรักไปได้ไงเนี่ย”

อ่านไปได้ไม่กี่ตอนก็ต้องกุมขมับ จะกลับไปรีไรต์ใหม่ก็ต้องรื้อพล็อตทั้งหมดทิ้งจนไม่เหลือเค้าเดิม หรือผมควรหยุดความคิดรีไรต์แล้วลบไฟล์ทิ้งไปให้ทั้งหมด เพราะพอยต์หลักของเรื่องนี้ดำเนินด้วยการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมของไอ้พระเอกอาชญากรนี่ 

ผมเคยฟินกับอะไรแบบนี้จริง ๆ เหรอวะ มึงต้องโตมาแบบไหนเนี่ย

ไหนดูสิว่าห้าปีที่ผ่านมามีคนอ่านไปเท่าไร

เชี่ย!!!!

165k 

หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันวิวกับไอ้นิยายบ้ง ๆ ที่ตัวละครตกหลุมรักอาชญากรที่ข่มขืนตัวเองเนี่ยนะ? เชี่ยยยย โลกวิบัติแล้ว นี่ผมเคยเผยแพร่ความสถุลนี่ลงไปได้ยังไง ข่าวอาชญากร ข่มขืนมันถึงได้เยอะเพราะเหตุผลนี้ไหมวะเนี่ย

“ลบ ๆ ๆ ๆ ๆ กูลบเท่านั้น” ผมพูดในขณะที่ขยับเมาส์หาปุ่มลบสำหรับนิยายเรื่องนี้ที่ลงไว้ในเว็บหนึ่งซึ่งเป็นเว็บนิยายผู้ใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศสารขันธ์ 

อย่าให้พูดเลย ในเว็บนี้มีนิยายแนว ๆ ที่ผมเคยแต่งอยู่ทุกหย่อมหญ้า ทุกอณูประเภทงานเขียนและมักเป็นแนวยอดนิยม ไม่แปลกใจเลยที่ผมในวัยสิบแปดที่เบียวนิยายจะแต่งอะไรแบบนี้ออกมาได้

“ไอ้เหี้ย ทำไมมันลบไม่ได้วะ กูอายจะตายห่าอยู่แล้ว” ผมรัวคลิกเม้าส์ที่ปุ่มลบ แต่มันก็เด้งกลับมาว่า Error ไม่สามารถลบได้

จังหวะคลิกเม้าส์ครั้งสุดท้ายด้วยความหงุดหงิด หน้าจอก็เด้งหน้าต่างเล็ก ๆ ขึ้นมาให้เลือกระหว่างแก้ไขกับลบ แน่นอนว่าผมกดลบแบบไม่คิดชีวิต ทว่าปุ่มลบนั่นก็หายไปทันทีที่ผมคลิกเสร็จ เหลือเพียงตัวเลือกแก้ไขเท่านั้น ขนาดปุ่มกากบาทตรงมุมขวายังหายไป ที่หน้าจอไม่สามารถคลิกอะไรไม่ได้อีกราวกับหน้าเว็บได้ค้างไปแล้ว

“เว็บมึงก็สร้างรายได้ไปตั้งเยอะ ไม่คิดจะพัฒนาห่าไรเลยเหรอวะ มันเป็นอะไรเนี่ย หงุดหงิดแล้วนะโว้ย” ผมสบถคนเดียวอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนจะลองกดคลิกคำว่าแก้ไขไปโดยไม่คิดอะไร เผื่อจะเข้าไปลบเนื้อหาและกดเซฟได้

ทันทีที่กดเสร็จก็มีแสงสว่างวาบออกมาจากจอแล็ปท็อป ผมหรี่ตาพร้อมกับยกแขนขึ้นบังหน้า แสงมันสว่างจ้าเหมือนกับรถสิบล้อที่เปิดไฟสูงตอนกลางคืนแล้วสาดใส่หน้าอย่างไรอย่างนั้น

ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงเพลงที่บรรเลงด้วยฮาร์ปเบา ๆ ดังมาจากที่ไกล ๆ ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงงนกับสถานที่ที่เปลี่ยนไปเป็นที่โล่งกว้าง เหมือนกับอยู่ในห้องสีขาวที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แล็ปท็อปกับโต๊ะทำงานของผมก็หายไปแล้ว แถมตัวผมเองก็กำลังนั่งอยู่บนพื้น

แล้วผมได้ยินเสียงทุ้มกังวานเอ่ยดังขึ้นอยู่เหนือหัว

“เจ้า... เจ้าชื่ออะไรนะ” ผมได้ยินเสียงซุบซิบดังอยู่ไม่ไกลจึงเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ต้องหรี่ตาลง เพราะแสงเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องมาจากใบหน้าของคนผู้นั้นราวกับไม่ให้อนุญาตให้ผมมองหน้าโดยตรง ผมเลยได้แต่ก้มหน้าลงฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด 

ร่างตรงหน้ากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ผมเห็นแค่ปลายเท้าอีกฝ่าย เมื่อสังเกตจากขนาดแล้ว คนหรืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าผมเหมือนจะเป็นอมนุษย์เสียมากกว่า เพราะเท้าข้างหนึ่งน่าจะใหญ่กว่าคนปกติถึงหกเจ็ดเท่าได้ จะว่าใกล้เคียงกับยักษ์ก็คงใช่

“อ่อ ๆ บลายธ์ บลายธ์สินะ” เจ้าของเสียงเดิมว่าขึ้นหลังหันไปคุยกับร่างที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังบัลลังก์ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและหลับตาลงอย่างหัวเสีย เมื่อถูกเรียกด้วยเดดเนม (Dead name) ชื่อที่ผมไม่ชอบและแขยงมันเข้าไส้

“เบีย ตอนนี้ชื่อเบีย ไม่มีรอเรือการันต์” ผมพูดอย่างเนิบช้า พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธกรุ่นเอาไว้ในใจ พยายามนับแกะกระโดดข้ามรั้วเพื่อให้อารมณ์เย็นลง ที่ไม่ต้องมีรอเรือการันต์เพราะผมต้องการความยูนีค แต่ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็จะเขียนว่า Beer ปกติ 

ผมถอนหายใจก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกไป

“ที่นี่ที่ไหน” ไม่อยากเติมคะหรือครับลงท้ายประโยคทั้งนั้น ผมเกลียดภาษาไทยที่แบ่งแยกชายหญิงอีกทั้งยังมีระดับภาษาที่บ่งบอกว่าคนไทยเคร่งครัดกับระบบอวุโสเป็นอย่างมาก

“สวรรค์ เจ้าโดนลงโทษน่ะ” เสียงทุ้มตอบกลับ ผมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่แสงจ้าที่สาดลงมาทำให้ผมต้องก้มหน้าลงตามเดิม

“คือทางนี้ตายแล้ว?” ผมเอ่ยถามอย่างฉงนใจ ผมตายด้วยอาการความดันสูงเพราะหงุดหงิดที่ลบนิยายในเว็บไม่ได้อย่างงั้นเหรอ น่าสนใจ

“ยัง ๆ วันนี้ข้าอารมณ์ดีเลยประกาศนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่สำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไว้ในอดีตน่ะ แต่จริง ๆ ก็เป็นเหมือนบทลงโทษให้สำนึกกับสิ่งที่เคยทำลงไปมากกว่าน่ะนะ โฮะโฮะ”

ผมควรจะดีใจไหมวะ

สถานการณ์ยังคงมึนงงอยู่แต่ก็ไม่ต้องรอให้มากความ คนที่ผมคิดเองเออเองว่าคือพระเจ้า ก็อธิบายทุกอย่างให้ผมอย่างกระจ่างแจ้ง

“เจ้ากำลังไปได้ดีในวงการเขียนหนังสือ แต่ผลงานในอดีตของเจ้าจะทำให้อาชีพที่กำลังรุ่งโรจน์นี้ดับลง ข้าจะให้โอกาสเจ้าแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้วจริง ๆ ผลตอบแทนที่จะได้รับคือข้าจะลบไฟล์ต้นฉบับให้ทั้งหมด รวมทั้งเปลี่ยนความทรงจำนักอ่านจำนวน… เท่าไรนะ” พระเจ้าอธิบายยาวเหยียดก่อนจะเอียงหัวไปทางผู้ช่วย ก่อนพยักหน้าหงึกหงักและหันมาคุยกับผมต่อ “…หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันคน”

ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นการบอกว่าเข้าใจที่อีกฝ่ายอธิบายและตกลงจะรับข้อเสนอนี้ไว้ ยังไงก็เป็นเรื่องดีที่ได้กลับไปแก้ไขอะไรบ้ง ๆ ที่เคยไปทำลงไว้ในอดีต ในวัยเบียวอันแสนน่าอับอายนั่น แต่ถึงไม่ได้รับโอกาสวันนี้ แล้ววันหนึ่งผมโดนขุดสิ่งที่เคยเผยแพร่สู่สาธารณชนขุดขึ้นมาประณาม ผมก็คงยอมรับแต่โดยดี ไม่มีข้อแก้ตัวและข้อโต้เถียงใด ๆ ทั้งสิ้น แม้อาจจะโดนขุดขึ้นมาเรื่อย ๆ เหมือนคนแถวบ้านผมที่เคยเป่านกหวีด คัดค้านการเลือกตั้ง แค่ก ๆ 

(เกือบ) ทุกคนเคยบ้ง นายเบียก็เคย

“อ่อ กาเบรียล เจ้าคอยตามสอดส่องให้ข้าด้วยนะ” พระเจ้าหันไปคุยกับเทวดาข้างตัว เจ้าของชื่อพยักหน้าเบา ๆ อย่างนอบน้อมในขณะที่ผมยืนห่อไหล่คิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี

นิยายที่ผมต้องเข้าไปแก้ไข ชื่อเรื่องว่า Shy Boy เป็นเรื่องของเกย์หนุ่มมหา’ลัยขี้อาย ไม่เคยช่วยตัวเอง ไม่เคยมีอะไรกับใคร แต่จู่ ๆ ก็มีไอ้อาชญากรเข้าห้องไปเจอ คิม — ตัวละครหลักกำลังช่วยตัวเองเป็นครั้งแรกและครางชื่อเพื่อนรักของตัวเองออกมา ไอ้บ้ากามนี่เลยแอบถ่ายคลิปไว้เพื่อแบล็กเมลให้คิมลูกรักของผมคอยทำตามที่ตัวเองบอก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเซ็กซ์ที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจมากนัก เพราะถ้าไม่ทำตามมันจะบอกเรื่องที่คิมแอบชอบเพื่อนตัวเองและเอาคลิปช่วยตัวเองให้บอม — คนที่คิมชอบดู 

ไม่ หมอนี่มันเลวจนไม่มีที่ติจริง ๆ ผมสร้างอาชญากรลงในนิยายของผมเองและส่งเสริมค่านิยมวัฒนธรรมการข่มขืนลงในนิยายผ่านตัวอักษร

จริง ๆ แล้วผมในวัยเด็กเองก็เป็นเหยื่อของอิทธิพลสื่อที่เสพเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีวิจารณญาณในการคิดว่านี่มันเป็นเรื่องที่ผิด ไม่รู้ว่ามีเด็กกี่คนที่เสพสื่อของผมไป และอาจตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศโดยที่ไม่รู้ตัวตั้งอีกเท่าไร ผมทำให้อาชญากรรมเป็นเรื่องปกติในนิยายของผมในขณะที่เหยื่อในชีวิตจริงต้องรู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็น

เป้าหมายของผมคือจับไอ้เทน ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยมองว่ามันเป็นพระเอกนิยายแบดบอยเข้าคุก

ตายโหงแน่มึง

“อ่อ ๆ ก่อนเจ้าไป ข้าขอถามอะไรอย่างหนึ่งสิ”

ผมพยักหน้าเบา ๆ

“ในบันทึกเขียนว่าเจ้าเป็นผู้—”

“ข้าไม่ใช่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย” ผมเริ่มแทนตัวเองว่าข้าที่ใช้คู่กับเอ็งแก่พระเจ้า สวรรค์มันไม่อัปแพตช์หน่อยเหรอวะว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแค่สองเพศ แล้วที่ผมแต่งตัวเหมือนเพศอะไร มันไปเกี่ยวกับจิตสำนึกทางเพศของผมตรงไหน

“แต่เจ้าดูเหมือนผู้…”

“อีแก่…” ผมพึมพำเบา ๆ อย่างเหลืออด พระเจ้านี่แก่แล้วแก่เลยสินะ ไม่มีเทวดาตนไหนกล้าขัดบ้างหรือไง หรือเป็นเหมือนกันหมด

“เราควรเคารพตามที่ว่านะครับ เราไม่ควรไปถามหรือทึกทักเพศคนอื่น ถ้าเขาไม่ได้บอกเอง มันค่อนข้างหยาบคาย เดี๋ยวนี้มนุษย์เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก” เทวดาที่ชื่อกาเบรียลโน้มตัวลงกระซิบ จงใจเพิ่มเสียงให้ผมได้ยินพลางเหลือบตามองมาที่ผม ผมเม้มปากกำหมัดแน่นกับการโดนมิสเจนเดอร์1 โดยอีแก่ที่ใช้ชีวิตมาหลายพันปี

“สมัยข้าหนุ่ม ๆ มันมีแค่เพศชายและหญิงนะ” พระเจ้าหันไปกระซิบ กาเบรียลส่ายหัวเบา ๆ ให้กับผู้ให้กำเนิดของตน

“หลายพันกว่าปีผ่านมาแล้วขอรับ มนุษย์เปิดกว้างขึ้นมาก”

“เรอะ แต่โลกนี้ข้าเป็นผู้สร้างนะ ทุกอย่างควรเป็นไปตามกฎที่ข้าตั้งสิ”

“แต่มนุษย์เป็นคนอยู่” ผมที่ฟังอยู่นานโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด อีแก่นี่จะไม่เงียบจริง ๆ ใช่ไหม ผมชักจะหงุดหงิดกับบทสนทนานี่เข้าไปทุกที 

ขอบคุณที่สวรรค์ยังมีเทวดาแบบกาเบรียลอยู่ ถ้ามีเวลาว่างอยู่อีกเป็นพัน ๆ ปีก็ช่วยบอกกล่าวพระเจ้าที (ก่อนที่ผู้ศรัทธาจะหมดไปจนพระเจ้าไม่มีตัวตนอยู่จริง) เพราะคนขี้หงุดหงิดแบบผมคงได้มานั่งด่ามากกว่าอธิบายเรื่องที่คนแก่ ๆ เข้าใจยาก

“ถ้าหมดธุระแล้วก็รบกวนส่งข้าไปทำสิ่งที่ควรทีขอรับ” ผมพูดกึ่งประชดประชัน ก่อนที่พระเจ้าจะดีดนิ้วจนเสียงเปาะดังกังวานไปทั่วเพื่อส่งผมไปยังโลกนิยาย โดยมีเทวดาปีกสีขาวสะอาดตามผมลงมาด้วย