“ใคร ๆ ก็เอ่ยว่าข้านั้นเลี้ยงผี เฮอะ ระดับข้า ผีต้องเลี้ยงต่างหาก”

คำกล่าวนี้มิได้เกินจริง ด้วยเพราะซินหลงนั้นเติบโตมาก็คุ้นเคยกับผียิ่งกว่าคน มากไปกว่านั้น บุคคลที่นางเอ่ยเรียกเขาว่าอาจารย์ก็มิใช่คน อันที่จริง เขาเคยเป็น ทว่าบัดนี้ละสังขารทิ้งร่างไปเมื่อกว่าปีก่อน กระนั้นวิญญาณของเขาก็ยังวนเวียนอยู่กับนาง

จักเอ่ยเรียกเขาว่าผีก็มิถูกนัก ด้วยก่อนหน้าเขาคือนักพรตผู้บำเพ็ญตบะ ครั้นหมดอายุไขก็ขึ้นไปเป็นเซียนทว่าด้วยเหตุผลบางประการ เขายังคงมิอาจลาจากโลกนี้ไปได้ด้วยมักเอ่ยว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายยังมิเสร็จสิ้น

ซินหลงมาพำนักแลฝากตัวเป็นศิษย์เขาได้ประมาณยี่สิบปีก่อนเขาสิ้นลม กระทั่งบัดนี้อายุอานามของนางนั้นเพิ่งพ้นยี่สิบสี่หนาวย่างเข้ายี่สิบห้า คราแรกเมื่อเขาเอ่ยว่าจักทิ้งร่าง นางนั้นกลัวจนลนลานด้วยเกรงนักว่าจักเคว้งคว้างยามไร้เขาเป็นที่พึ่ง ครั้นลมสุดท้ายแห่งอาจารย์มาถึง วิญญาณของเขาก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือท่านอาจารย์ผู้นี้ยังยุยงกระทั่งคิดบทสวดขึ้นโดยเฉพาะเพื่ออัญเชิญนางให้ออกท่องยุทธภพเพื่อฝึกวิชาปราบผีหวังเป็นที่พึ่งให้ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยมิดูสภาพของผู้เป็นศิษย์

ก็เอ่ยแล้วเช่นไรว่านางนั้นมิได้เลี้ยงผี ทว่าผีต่างหากที่เลี้ยง

ครั้นแต่รู้ความ บิดาได้พานางมาฝากไว้กับเขาด้วยมิเคยล่วงรู้ว่า นางนั้นเห็นผีมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกจึงพาลทึกทักเอาว่านางถูกผีเข้าด้วยเพราะชอบสนทนา ร่ำไห้หรือหัวเราะอยู่แต่ผู้เดียว มา ๆ ไป ๆ รู้ตัวอีกคราก็รำลึกได้ว่าตนนั้นกำลังนั่งคุกเข่าฝากตัวเป็นศิษย์กับนักพรตอันมีลักษณะไปทางพ่อมดหมอผีเสียกว่าแลเริ่มต้นฝึกวิชากำราบภูตผี ปีศาจ แลเหล่ามาร ทว่าบางคราก็เคยปราบเทพ น้อยคนจักรู้ว่าเทพเทวานั้นมิผิดกับเหล่ามารเรื่องสร้างความปั่นป่วน หากแต่บางองค์ก็พูดจารู้เรื่องรู้ความ ทว่าส่วนมากมักใช้กำลังก่อนแล้วจึงค่อยพูดจาสนทนากันภายหลัง

บัดนี้นางได้มาถึงยังแคว้นจิ้นตามคำสั่งให้ออกมาท่องยุทธจักร ส่วนท่านอาจารย์อันมีฉายานามเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์ว่าเจียงฉินนั้นหายตัวไป เขามักเป็นเช่นนี้ แวบไปแวบมา บางครั้งบางคราหายไปนานเป็นหลายทิวาราตรี ครั้นกลับมาทีก็หอบเอางานตามบัญชาแห่งสวรรค์มามากมาย

ครานี้ก็มิเพี้ยนกัน

ด้วยการมาเยือนแคว้นจิ้นนั้น นางได้รับการบอกกล่าวว่าเป็นบัญชาแห่งสวรรค์อีกคราหนึ่ง

แคว้นจิ้นถือเป็นแคว้นอันมั่งคั่งแทบมิผิดแผกกับเมืองหลวง กระทั่งเอ่ยได้ว่าอาจร่ำรวยเสียกว่าด้วยเป็นเมืองค้าขาย ผู้คนมากหน้าหลายตาจากเมืองหรือดินแดนใกล้เคียงเดินทางกันแทบตลอดวันคืนเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ ขบวนสินค้าหลากหลายผ่านเข้าออกมิขาดสาย นับเป็นเมืองแห่งความมีชีวิตชีวายิ่งนัก

หากน้อยคนจักล่วงรู้ว่าดินแดนแห่งนี้มีความลับบางประการแฝงเร้นอยู่

ซินหลงขอเข้ามาพักอยังสำนักแม่ชีอันมีอารามตระหง่านอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่มีชื่อเสียงเรียงนามที่ฟังดูแสนสลดหดหู่ว่าขุนเขาแห่งการร่ำไห้ ครั้นเอ่ยนามของท่านอาจารย์ผู้ล่วงลับ เจ้าสำนักก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งจัดหาที่พำนัก ข้าวปลาอาหารมิเคยขาดตกบกพร่องจนนานวันเข้าก็เกรงใจ

แล้วห้วงเวลาแห่งความวุ่นวายในชีวิตก็มาถึงเมื่อย่ำรุ่งของเช้าวันหนึ่ง แม่ชีเจ้าสำนักผู้มีนามเรียกขานว่าหนิงเหอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอันมิสู้ดีเท่าใด

“ข้าอาจจำต้องรบกวนเจ้าให้เข้าไปในวังกับข้า” ซินหลงพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย ในใจก็ตรองนักว่านี่อาจคือความลับสวรรค์ที่อาจารย์ผู้หายสาบสูญเอ่ยบอกหรือไม่

อย่างไรมิพ้นวันก็จักได้รู้

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”

แม้นับเป็นแว่นแคว้นที่อึกทึก ทว่าครั้นสองขาย่างก้าวเข้าผ่านพ้นประตูวังแห่งจิ้น ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบพลันปรากฏขึ้นอย่างไร้เหตุ บรรยากาศวังเวงแลเมฆหมอกอึมครึมอันให้ความรู้สึกประหลาดกระทบสัมผัส ซินหลงจึงอดมิได้อันจักเงยหน้าขึ้นมองยังหลังคาของตำหนักใหญ่ หากตามิฝาดซึ่งก็คงมิฝาด นางสังเกตเห็นหมอกสีดำปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด

ไอมาร ประหลาดนัก เหตุใดจึงมาปรากฏยังที่แห่งนี้?

แม่ชีหนิงเหอนำพานางไปยังตำหนักแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตก วิญญาณมากมายนับสิบร่างปรากฏอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ส่วนมากล้วนมีสีหน้าอันเศร้าหมอง บางตนเริ่มต้นร้องโหยหวนชวนสังเวช ทว่าบางตนเริ่มร้องรำทำเพลงราวอยู่ในงานรื่นเริง

ผีตนหนึ่งสวมอาภรณ์นางในล่องลอยผ่านซินหลงไป เช่นนั้นนางจึงอดมิได้อันจักชำเลืองมอง วิญญาณสาวจึงหันกลับมาจ้องใส่ด้วยนัยน์ตาอันเยียบเย็น ก่อนถูกส่งไปยังอีกภพหนึ่งด้วยคาถาสวดส่งวิญญาณ

แม้เช่นนั้น ซินหลงคะเนว่านี่มิใช่กิจของนางครั้นมาเยือนยังที่อันเต็มไปด้วยความวังเวงแห่งนี้

ธรณีประตูถูกเปิดออกเมื่อยืนรอด้านนอกสักชั่วครู่ นางกำนัลสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีดำชวนให้หมองหม่นยิ่ง มือปราบผีสาวจึงอดมิได้อันจักกวาดตามองไปโดยรอบ สุสานซึ่งอยู่อีกฟากของภูเขายังให้ความรู้สึกรื่นรมย์เสียกว่าที่แห่งนี้ ใบหน้าทั้งคนทั้งผีแทบจักพิมพ์เดียวกันอีกทั้งให้ความรู้สึกอันชวนขนลุกขนพอง

ครั้นก้าวผ่านประตูที่เปิดต้อนรับ สายลมอันยะเยือกปะทะเข้ากลางใบหน้า จังหวะนั้นนางแทบปรารถนาจักหันหลังกลับ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปจับยังสายสร้อยประคำหนึ่งร้อยแปดอันแกะมาจากเม็ดลูกท้อซึ่งเดิมเป็นของประจำตัวของท่านอาจารย์ผู้ล่วงลับ เขาเป็นผู้ส่งมอบให้นางก่อนวันละทิ้งร่างเพียงหนึ่งราตรี

เสียงประหลาดบางอย่างดังกระทบโสตครั้นเดินไปหยุดยังหน้าห้อง ๆ หนึ่ง บริเวณทางเข้าปรากฏสตรีผู้มียศถาสวมอาภรณ์สีฟ้าสดอันให้ความรู้สึกตรงข้ามกับบรรยากาศของสถานที่นัก ดูแล้วเป็นสตรีผู้มีหน้าตาใจดีใบหน้างดงาม กระนั้นนัยน์ตาก็ยังปรากฏแววอันหวาดวิตกถึงเรื่องบางอย่าง ด้านข้างคือนางในผู้รับใช้สองคน

ทั้งซินหลงยังสัมผัสได้ถึงไอมารโดยรอบอันรุนแรงกว่าเมื่อครู่

“พระชายา” แม่ชีหนิงเหอเอ่ยเรียกสตรีตรงหน้า นางยกมือขึ้นประนมเพื่อทำความเคารพนักพรตหญิง “ท่านหญิงเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

“ท่านโหราจารย์กำลังดูนางอยู่เจ้าค่ะ” ผู้มีตำแหน่งพระชายาเอ่ยตอบ “ท่านอ๋องทรงเป็นกังวลนัก”

สิ้นคำ ประตูด้านหน้าเปิดออกโดยพลัน จากนั้นจอกกระเบื้องลายครามลอยเคว้งคว้างออกมาผ่านหน้าทุกคนพ้นศีรษะด้านบนของซินหลงไปสักสองชุ่น (๕ เซนติเมตร) ทำเอาต้องเบี่ยงตัวหลบ มันพุ่งทะลุผ่านร่างวิญญาณของนางในตนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่บริเวณนั้นซึ่งคงมิได้รู้เรื่องรู้ราวอันใด ก่อนที่จักปะทะเข้ากับกำแพงแลแตกเป็นเสี่ยง

เรี่ยวแรงมากมายเสียจริง กว่าเกือบสามสิบก้าวเห็นจักได้

“ออกไป!” คำตวาดอันชวนขนลุกดังลั่นตามมาแม้คือน้ำเสียงของสตรี ทว่าหากฟังมิเพี้ยนผิด หมอผีสาวสาบานได้ว่านางนั้นได้ยินอีกเสียงซ้อนทับกันอยู่

ประหลาดนัก

หลังจากจอกกระเบื้อง ชายชราผู้มีตำแหน่งโหราจารย์ที่เอ่ยถึงจึงวิ่งตามจอกออกมาอย่างรวดเร็วลนลานเท่าที่เท้าทั้งสองข้างจักอำนวย

“จักเข้าไปพบนางหรือไม่เจ้าคะ?” พระชายาเฟิงเอ่ยถามแม่ชีหนิงเหอด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

“ในเมื่อมาถึงที่แล้วคงต้องพบปะกันเสียหน่อย” นางกวักมือเรียกให้ซินหลงเข้าไปกับนาง

ห่างไปเพียงมิพ้นสิบห้าก้าว ภาพตรงหน้าทำเอานางชะงัก สตรีนางหนึ่งผู้มีผมปล่อยยาวสยายสีดำทว่านับแต่ข้างแก้มลงมานั้นมีสีขาวนั่งก้มศีรษะอยู่บนตั่งไม้เบื้องหน้า แขนข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาตัวเล็กสวมใส่อาภรณ์เสื้อคอป้ายทอถักด้วยผ้าชั้นดีสีแดงสด ทว่าสิ่งอันหน้าตระหนกคือบริเวณข้อเท้านั่นปรากฏโซ่ตรวนสวมใส่ราวนักโทษ อีกทั้งปรากฏอักขระสำหรับสะกดวิญญาณเขียนกำกับอยู่

นางเงยหน้ามองแขกผู้มาเยือนด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ

“หนิงเหอ”

“ไยจึงมิยอมไปจากนางเสียที?” แม่ชีหนิงเหอเอ่ยถาม ครั้นสิ้นคำเสียงหัวเราะอันยะเยือกดังขึ้นตาม

“เจ้าผิดนัก หนิงเหอ” น้ำเสียงอันเยียบเย็นกล่าวขึ้น บัดนี้ซินหลงแน่ใจนักว่าปรากฏสองเสียงซ้อนทับกันอยู่ ทั้งยังเอ่ยเรียกฉายานามของแม่ชีเจ้าสำนักคล้ายหยามเหยียด “เจ้ามิอาจทำอันใดได้ ด้วยนางอัญเชิญข้ามา”

ซินหลงมิอาจละสายตาจากนัยน์ตาดุดันคู่นั้น ในชั่วขณะหนึ่ง นางสังเกตเห็นแววตาสีเลือดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกคล้ายโศกา ก่อนจักเปลี่ยนกลับมาดั่งเดิม

“นางสิ้นชื่อไปแล้ว มิรู้รึ?”

ครั้นได้ฟัง ทำเอาหนิงเหอถึงกับผ่อนลมหายใจ

“สัจจะมิปรากฏในหมู่โจรฉันใด ก็มิอาจปรากฏในหมู่มารฉันนั้น” นางเปรยขึ้น “ศิษย์ข้า จงเข้มแข็งไว้ ข้ากำลังหาทางช่วย” ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นจึงเรียกซินหลงให้เดินกลับออกมา

...