1

เพื่อนใหม่

 

 

และเเล้ววันนี้ก็มาถึง

ตอนนี้ผมกับระพีกำลังช่วยกันขนของใช้ส่วนตัวของผมขึ้นมาไว้บนห้องพัก ของของผมไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจาก เสื้อผ้า โน้ตบุ๊ค เเล้วก็เอกสารงานอีกนิดน้อย การขนของครั้งนี้จึงดำเนินไปอย่างราวเร็ว เมื่อขนของกันเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี

“ณ หิวหรือยัง ไปหาอะไรกินกันมั้ย”

“ขอฉันเก็บตรงนี้แปบนะ นายหิวเเล้วเหรอ” ผมหันไปหานายระพีที่ตอนนี้กำลังนั่งพักอยู่บนโซฟากลางห้อง

“นิดหน่อย นายรีบเก็บเถอะ จะได้ไปกินข้าวกันสักที”

“ฮ่าฮ่าฮ่า โอเค ๆ”

ผมยืนมองคนที่บอกว่าหิวนิดหน่อยเเต่กลับมาเร่งคนอื่นให้รีบทำจะได้ไปกินข้าว หิวก็บอกว่าหิวสิ จะมานิดนงนิดหน่อยทำไมกัน ผมละทิ้งความสนใจจากระพีและกลับมาจดจ่อกับการจัดของเข้าตู้เสื้อผ้าของผมใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จสักที ผมกับระพีที่กำลังเดินลงบันไดลงมา เพื่อจะได้ไปรับประทานอาหารตามที่ตกลงกันไว้ ในขณะนั้นเองที่สายตาของผมก็สดุดเข้ากับอัลฟ่าหนุ่มกำลังเปิดประตูบ้านเข้ามา เขากำลังหันหลังปิดประตูบ้านอยู่ ก่อนจะหันกลับมาอย่างไม่เร็วเท่าไหร่นัก

“สวัสดีครับคุณณฟ้า มาย้ายของเข้าบ้านเเล้วเหรอครับ” เมื่อเขาสังเกตเห็นผม เขาก็ยกยิ้มถามผมขึ้นมาอย่างสุภาพ กลิ่นน้ำตกเย็นสดชื่นโชยออกมาจากกายของอีกฝ่าย ทำเอาผมเคลิ้มกันเลยทีเดียว เเต่ก็ต้องสะดุ้งได้สติกลับมาเพราะมีมือของระพีมาสะกิดผมเบาๆ ผมมองหน้าคนตัวสูงที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มรอคำตอบของผมอยู่ เมื่อเห็นว่าตนนั้นยังไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายผมจึงได้ตอบกลับไปอย่างเก้อเขิน

“อ๋อ อ่าครับ ผมจะย้ายเข้ามาอยู่วันนี้แล้วครับ” ผมเผลอสูดดมกลิ่นหอมของอีกฝ่ายจนเกือบจะลืมตอบคำถามของเขาไปเเล้ว ดีที่มีมือของระพีมาสะกิดเตือนสติ ไม่อย่างงั้นก็คงจะโดนเขามองว่าตนนั้นเป็นคนโรคจิตที่พึ่งจะเจอกันก็สูดกลิ่นเขาจนเคลิ้มแน่ ๆ คนพึ่งจะเจอกันครั้งสองครั้งก็ดันไปสูดดมกลิ่มเขาต่อหน้าต่อตาเเบบนี้ใครเขาจะไม่คิดกันล่ะ

“ดีเลยครับ ผมอยู่คนเดียวมานาน มีคนมาอยู่ด้วยเเบบนี้จะได้ไม่เหงา” วศิน หนุ่มหน้าหล่อยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าตอบกลับผมมาอีกครั้ง ว่าเเต่เขาพึ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยรึเปล่า ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่เลย

“คุณวศินกินข้าวกลางวันมารึยังครับ พวกเราสองคนกำลังจะไปกินมื้อเที่ยงกัน ไปด้วยกันมั้ยครับ” ผมถือโอกาสนี้ในการตีสนิทกับวศินทันที ก็นะ ต้องอยู่กับอีกฝ่ายนาน การตีสนิทหรือทำความรู้จักอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งสำคัญเวลามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้

“เรียบร้อยแล้วครับ เชิญคุณณฟ้ากับคุณ... เอ่อ”

“ระพีครับ”

“อ๋อครับ เชิญคุณณฟ้ากับคุณระพีตามสบายเลยครับ”

เขาปฏิเสธผมอย่างสุภาพ ก่อนจะส่งรอยยิ้มอ่อนๆ กลับมาให้ผม

“น่าเสียดายจังเลยครับ งั้นไว้คราวหน้า เราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อนะครับ”

“ยินดีครับ งั้นตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินผ่านผมกับระพีขึ้นบันไดไปข้างบนทันที ส่วนผมกับระพีนั้นก็มองตามหลังเขาจนเมื่อไม่เห็นวศินแล้ว เราทั้งสองคนจึงเริ่มเดินออกจากตัวบ้านไป ผมกับระพีเราทั้งสองคนนั้นได้มาหาอาหารกินกันที่ร้านอาหารตามสั่งเเห่งหนึ่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากตัวบ้านที่ผมเช่าเท่าไหร่นัก

ถึงแม้ระพีจะเป็นถึงลูกชายของตระกูลผู้ร่ำรวย เเต่เขาก็ใช้ชีวิตเเบบกินง่ายอยู่ง่าย ตอนเเรกเขาก็ไม่ใช่คนกินง่ายอยู่ง่ายเเบบนี้หรอก แล้วเพราะอะไรกันล่ะเขาถึงเป็นคนเเบบนี้ ก็เพราะตั้งแต่เขารู้จักผม ผมก็พาเขาไปเปิดประสบการณ์มากมายที่ชีวิตนายน้อยแบบเขานั้นไม่เคยได้ลอง ตั้งเเต่กินข้าวตามร้านอาหารข้างทางยันซื้อกินเเบบรถข้าวแกงที่ขับไปตามทางหมู่บ้าน ผมก็พาเขาลองมาหมดเเล้วทั้งสิ้น

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลตรงข้ามกับระพี หยิบเมนูอาหารตามสั่งบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาก่อนจะเพ่งสายตากวาดไปตามรายการอาหารเพื่อหาสิ่งที่ตนนั้นอยากกิน ไม่นานนักในที่สุดผมก็ได้เมนูที่อยากจะกินในมื้อนี้แล้ว ผมจึงได้เอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อที่จะหยิบแผ่นกระดาษมาเขียนเมนูอาหารนั้นลงไป พร้อมกันกับที่ระพีนั้นก็ได้เมนูที่อยากจะกินแล้วเช่นกัน เมื่อเขียนเสร็จผมก็ส่งแผ่นกระดาษนั้นให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกของเจ้าของร้านที่อาสามาช่วยงาน เมนูที่ผมสั่งนั้นเป็นผัดผักรวม ส่วนระพีนั้นสั่งกะเพราหมูกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นเมนูโปรดของเขา พอเมื่ออาหารมาแล้ว เราทั้งสองคนก็ลงมือกินข้าวกันทันที กินยังไม่ได้ครึ่งจานก็มีเสียงจากชายหนุ่มคนหนึ่งทักพวกเราสองคนขึ้นจากทางด้านหลังของผม

“สวัสดีครับ เหมือนผมจะยังไม่เคยเห็นพวกคุณแถวเลย พึ่งย้ายมาใหม่แถวนี้เหรอครับ” เนื่องจากที่ร้านอาหารนี้ค่อนข้างจะอยู่ในซอยลึกเน้นขายกับคนในพื้นที่ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนแถวนี้ก็แทบไม่มีใครรู้จักร้านนี้เลยด ส่วนผมกับระพีที่มาร้านนี้ได้ก็เพราะคุณปภาวีแนะนำร้านมาด้วยซํ้า ก็คงจะไม่แปลกที่เขาทักแบบนี้ เพราะคนแถบนี้คงจะรู้จักกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว

“ครับ ผมพึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ที่แถวนี้ครับ” ผมหันกลับไปทางด้านหลังเมื่อเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งที่เดินมาอย่างไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ จึงได้ยิ้มตอบกลับไปให้ชายที่เดินเข้ามาถามไถ่

ผู้ชายคนนี้ดู ๆ เเล้วเขานั้นน่าจะเป็นตำรวจ ไม่สิ เป็นตำรวจเเหละดูจากการแต่งตัวเเล้ว เครื่องเเบบสีน้ำเงิน ตัดกับเนคไทสีดำดูสุขุม ดูเเล้วเขาคงจะเป็นอัลฟ่าเพราะรอบ ๆ ตัวของเขานั้นมีกลิ่นหอมของชาโชยออกมา เป็นกลิ่นที่ดูอบอุ่นเหมาะกับใบหน้ายิ้มแย้มของเขาเป็นอย่างมาก

“ผมชื่อเจษครับ ส่วนพวกคุณชื่อ...” เขาถามพร้อมกับยื่นมือมาหาผม แต่สายตาอบอุ่นนั้นกลับมองผ่านผมไปทางด้านหลังเล็กน้อยอย่างมีเล่ห์นัย ผมที่จึงยื่นมือออกไปทันสังเกตเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คนตรงหน้ารีบลากสายตากลับมามองที่ผมก่อนที่ยิ้มอออกมาอย่างมีพิรุธ เราทั้งสองคนจับมือกันเบา ๆ เพื่อเป็นการทักทายก่อนจะละมือออกจากกัน

“ผม ณฟ้าครับ ส่วนนี่ ระพีครับเพื่อนของผม”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขาพูดพลางยิ้มมาให้ระพีที่อยูทางด้านหลัง ระพีจึงยิ้มไม่ถึงดวงตาตอบกลับคุณเจษอย่างสุภาพเช่นกัน

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันสองคนเหรอครับ”

“เปล่าครับ ผมย้ายมาอยู่คนเดียว ส่วนระพีเขาเเค่มาส่งผมน่ะครับ”

“อ๋อ ครับ เสียดายจังครับ”

“เสียดายอะไรเหรอครับ”

“เปล่าครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเหราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองระพีอีกครั้งด้วยรอยยิ้มอรุ่มเจ๊าะ อะไรกัน จะมองอะไรบ่อยขนาดนั้น เขามองระพีเพียงครู่เดียวก็หันกลับมามองที่ผมอีกครั้ง

“งั้นผมไปก่อนนะครับ ถ้ามีเรื่องให้ช่วยเหลือก็มาหาได้เสมอนะครับ มีสถานีตำรวจที่ผมทำงานอยู่ อยู่ทางนั้นเดินไปอีกประมาณ สองร้อย เมตรครับ”

“ครับ ถ้ามีเรื่องให้ช่วยจะมาขอความช่วยเหลือนะครับ”

“ยินดีครับ งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ” ก่อนจากไปเขาก็ยังคงแอบเหลือบมองไปที่ระพีอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังจากไป เมื่อเห็นจนแน่ใจเเล้วว่าเขาจากไปเเล้ว ผมจึงกลับมามองที่เพื่อนของตนเอง อะไรกันนี่ เพื่อนเราตกได้อัลฟ่าเหรอเนี่ย หรือเขารู้จักกัน มีพิรุธ ๆ

“รู้จักกันเหรอ” ผมหันกลับไปถามเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้านั่งกินข้าวอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างรวมถึงตัวผมด้วยเช่นกัน ราวกับว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง

“ระพี”

“อะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวก่อนจะเอ่ยออกมา

“ฉันถามว่าพวกนายรู้จักกันเหรอ กับคนเมื่อกี้” เขากล่าวออกมาอย่างมีพิรุธก่อนจะก้มลงไปกินข้าวต่อ ปล่อยให้ผมนั้นอยู่กับความสงสัยนั้นต่อไป

“งั้นเหรอ” ผมกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่ปกติจากเขา ผมจึงได้ลองแย่ถามไปอีกรอบ “ถ้างั้นฉันว่าเขาชอบนายแน่ ๆ” ผมพูดแกล้งหยอกล้อใส่เพื่อนสนิทของตัวเองที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม ดูจากสภาพของระพีในตอนนี้ คาดว่าเขาเองก็ไม่ต่างกันคงอาจจะถูกใจนายตำรวจคนนั้นน่าดู

“จะบ้าเหรอ ไม่หรอก ฉันเป็นเบต้านะ ดูเเล้วเขาเป็นอัลฟ่าแน่ ๆ ฉันว่าเขาไม่ได้ชอบฉันหรอก”

“ใครจะไปรู้ เดี๋ยวนี้อัลฟ่าที่ชอบเบต้ามีอยู่เยอะแยะจะตายไป” ผมยังคงหยอกล้อใส่เพื่อนสนิทของผมไม่หยุด

“เเต่เขาคงไม่ได้ชอบหรอก อีกอย่าง ฉันอยากมีเมียนะ และถ้าเขาจะชอบฉันจริง เขาคงต้องยอมเป็นเมียฉัน"

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่มีทางหรอก” ผมหัวเราะใส่เพื่อนสนิทไปพักหนึ่งก็หยุดและนั่งทานเข้าวกันต่อจนหมดจาน กว่าจะทานข้าวเสร็จ จ่ายเงินเสร็จก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงเเล้ว

เมื่อออกจากร้านมาเเล้วเราสองคนก็ยังไม่กลับที่พักของผมทันที ผมกับระพีแวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเเห่งหนึ่งแถวนั้นเพื่อซื้อของใช้ที่ขาดเหลือ เราสองคนใช้เวลาในนั้นนานเกือบ สองชั่วโมง กว่าจะได้ของครบตามที่ต้องการ วันนี้ระพีจะมานอนเป็นเพื่อนผมก่อนสองสามคืนเเล้วหลังจากนั้นค่อยกลับไปนอนที่คอนโดของตัวเอง

และที่ให้ระพีเขามานอนด้วยก็เพราะว่า ผมเป็นคนที่ค่อนข้างหลับอยากในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยถ้าหากไม่มีคนนอนด้วย การให้ระพีมานอนด้วยจึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผมนอนหลับในขณะที่ร่างกายของผมปรับตัวให้คุ้นชินกลับบ้านเเห่งนี้ เมื่อเราสองคนกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นเเล้ว ดีที่ผมกับระพีนั้นซื้อของสดมาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปหาที่กินมื้ออาหารเย็นข้างนอก

ผมกับระพีเข้าครัวลงมือทำอาหารเย็นกินกัน มื้อนี้ผมกับระพีทำอะไรง่ายๆ ทาน อย่าง ไข่ผัดมะเขือเทศ กับ เเกงจืดเต้าหู้หมูสับ เราสองคนช่วยกันยกจานชามไปวางไว้ที่โต๊ะทานอาหารด้านนอกห้องครัวรวมที่มีโต๊ะไว้สำหรับรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน ก่อนที่เราทั้งสองนั้นจะได้เริ่มรับประทานอาหารเย็นกัน ผมก็เห็นประตูบ้านเปิดออก ตามมาด้วยร่างของชายหนุ่มอัลฟ่าที่ตอนนี้ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกับที่เห็นทุกครั้ง เขาปิดประตูบ้านอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้ามาภายในบ้าน

วศินในตอนนี้นั้นดูภูมิฐานเป็นอย่างยิ่ง แม้เขานั้นจะสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำเเขนสั้นตัวหนึ่งกับกางเกงขายาวสีขาวเพียงเท่านั้น บนใบหน้าของเขาก็ยังคงสวมแว่นตาไว้ เเต่เปลี่ยนจากแว่นตาหนาสีดำเป็นแว่นตากลมแนวแฟชั่นสีใสเเทนทำให้มองดูเเล้ว ยิ่งหล่อเหล่าและอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมที่เคยเห็น วศินปิดประตูเสร็จและเดินเข้ามากำลังจะขึ้นบันได ก็สังเกตเห็นผมที่ยืนมองอยู่ ผมกับเขาสบตากันครู่หนึ่งก่อนผมจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน

“คุณวศินครับ กินมื้อเย็นมาหรือยังครับ ผมทำเเกงจืดกับไข่ผัดมะเขือเทศ ถ้าไม่รังเกียจมากินด้วยกันมั้ยครับ" ผมถามเขาไปในขณะที่ผมกำลังหลบสายตาเขาอยู่ เขายกยิ้มมุมปากขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ ทำให้ผมนั้นได้กลิ่นหอมเย็น ๆ ของน้ำตกที่โชยออกมาจากกายอีกฝ่าย และหยุดอยู่หข้างหน้าผม

“ยังไม่ได้กินเลยครับ เเต่ ผมเกรงใจจัง”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ ยังไงเราก็จะอยู่ด้วยกันอีกนานเลยมากินข้าวด้วยกันจะได้สนิทกันไว้ดีกว่าครับ”

“ถ้างั้น ผมไม่เกรงใจเเล้วนะครับ” เขาขยับเข้ามาใกล้ผมขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับพูดเสียงแหบเบาใส่ผม ผมในตอนนี้สูงได้เเค่อกของอีกฝ่ายก็ขยับถอยออกเล็กน้อย พร้อมกับระพีที่ก็เดินเข้ามาหาผมกับร่างของวศิน

“มีอะไรเหรอฟ้า อ่า สวัดดีครับคุณวศิน กินข้าวด้วยกันมั้ยครับ” เป็นระพีที่พูดถามขึ้นมา ทำให้วศินหันไปหาระพีพร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก

“งั้นผมขอฝากท้องด้วยนะครับ”

“ยินดีครับ เชิญครับ” ระพีพูดขึ้นก่อนจะเดินนำกลับไปที่โต๊ะอาหาร ผมจึงหันหลังให้กลับวศินเดินตามระพีไปพร้อมกับวศินที่เดินตามผมมาเช่นกัน ผมเดินไปหยิบจานและช้อนซ้อมมาให้วศินที่ตอนนี้กำลังนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวนวน ตรงข้ามกับเขาเป็นผมที่นั่งของผม ส่วนข้างๆ อีกฝ่างทางซ้ายมือของผมก็เป็นระพีที่นั่งอยู่ ผมตักข้าวใส่จานของผมตามด้วยวศินและระพีตามลำดับก่อนจะลงมือกันรับประทานอาหารที่ผมกับระพีเราทั้งสองคนลงมือทำ

“ตอนนี้คุณวศินเรียนอยู่ที่ไหนเหรอครับ” เป็นผมที่ถามขึ้นมาในขณะที่ร่างสูงกำลังตักอาหารเข้าปากคำใหญ่ จนเคี้ยวอาหารในปากเสร็จเขาจึงค่อยตอบผมกลับมาด้วยน้ำสียงทุ้มนุ่ม

“เรียนอยู่ ปีสี่ ที่มหาวิทยาลัยเคทีอาร์ครับ” เมื่อได้ยินวศินตอบกลับมาผมก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่ากำลังฟังเขากล่าวอยู่

“เเสดงว่าตอนนี้ก็อายุยี่สิบสอง เหรอครับ” ผมถามมไปอีกครั้งด้วยความอยากรู้ทันทีหลังจากที่อีกฝ่ายกล่าวจบ แม้จะเสียมารยาทเล็กน้อยที่ไปเดาอายุและถามเรื่องส่วนตัวของเขาแบบนั้น แต่วศินกลับตอบกลับคำถามของผมมาโดยที่ไม่ได้โกรธหรือขุ่นเคืองผมแต่อย่างใด

“ไม่ใช่ครับ ตอนนี้ผมอายุ ยี่สิบ”

“หืม” ผมส่งเสียงเชิงสงสัยออกไปเเบบไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงของอัลฟ่าอย่างวศินหัวเราะขึ้นเล็กน้อยก่อนจะไขข้อสงสัยในใจผมด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับของเขาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

“คือว่าผมเข้าเรียนก่อนเกณฑ์น่ะครับ”

“อ๋อออ เเสดงว่าเป็นรุ่นน้องสินะ”

“เเล้วคุณฟ้า เอ่อ ตอนนี้คุณณฟ้าอายุเท่าไหร่เหรอครับ” วศินเอ่ยถามออกมาอย่างไม่แน่ใจว่าจะถามได้มั้ย ผมเองที่ถามเรื่องส่วนตัวของเขาไปมากขนาดนั้นแล้วก็ต้องยอมตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

“เรียกฟ้าก็ได้ครับ เรียกคุณฟ้ารู้สึกว่ามันเป็นทางกันเกินไป ส่วนอายุตอนนี้ก็ยี่สิบสามครับ”

“งั้นผมขอเรียกคุณว่าพี่ฟ้าได้มั้ยครับ”

“ยินดีครับ งั้นผมขอเรียกคุณว่าน้องศิน แล้วแทนตัวเองว่าพี่ได้มั้ยครับ”

“ยินดีครับ พี่ฟ้า” ได้ยินเช่นนั้นผมก็ยิ้มตอบกลับไปให้วศินที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผม เราสองคนคุยกันโดยที่มีระพีเป็นผู้ฟังที่ดี นั่งกินข้าวฟังผมกับวศินสนทนากันอย่างเงียบๆ อยู่คนเดียว จนเเล้วในที่สุดพวกเราทั้งสามคนก็รับประทานอาหารเสร็จ พวกเราช่วยกันทำความสะอาดจานชามและเก็บกวาดเศษอาหารจนหมด จึงค่อยเเยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตนเองโดยที่ระพีนั้นตามผมเข้ามาในห้องนอนของผม

“พอได้คุยกับอัลฟ่าหนุ่มก็ลืมเพื่อนเลยสินะ ทิ้งให้ฉันกินข้าวคนเดียวเงียบๆ ใช่สิ ฉันมันก็เเค่เพื่อน จะไปสู้อัลฟ่าหนุ่มหน้าหล่อเเบบนั้นได้ยังไง” เข้ามายังไม่ทันจะได้ปิดประตูห้อง เพื่อนรักอย่างระพีก็พูดตัดจาพ้อน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที ผมรีบปิดประตูห้องลงกลอนให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหาเพื่อนสนิทอย่างระพีที่ตอนนี้นั้นเดินเข้าไปนั่งยังโซฟาด้านในแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“ขอโทษ ก็ฉันต้องทำความรู้จักอีกฝ่ายหน่อยสิ ต้องอยู่ด้วยกันกับเขาอีกนาน”

“เหอะๆ” ระพียังคงแกล้งทำตัวตัดพ้อไป จนผมนั้นอดใจไม่ไหวต้องฟาดมือลงบนแขนข้างซ้ายของเขาไปอย่างไม่แรงนัก และแน่นอนว่าแรงตีจากโอเมก้าแบบผมถึงจะตีสุดแรง ก็คงจะไม่สะเทือนเบต้าแบบระพีมากเท่าไหร่นัก

“เลิกบ่น ไปอาบน้ำได้เเล้ว ฉันจะได้อาบต่อ”

“ก็ได้ เหอะ” ไม่วายยังส่งเสียงเหอะออกมาอีกครั้งจนผมต้องตั้งท่าจะยกมือขึ้นตี เบต้าหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาเตรียมป้องกันและบอกเขาในเชิงสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้เเล้ว ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนผมนั้นก็เดินเข้าไปจัดเตียงนอนให้พร้อมกับพวกเขาสองคน เนื่องจากห้องนี้มีห้องเเค่ห้องเดียวผมกับระพีจึงตกลงว่าจะนอนด้วยกัน แม้มันจะไม่ใช่ครั้งเเรกที่นอนด้วยกันก็ตาม ผมจัดเตียงนอนให้พร้อม เมื่อจัดเสร็จระพีก็เดินออกมาเช่นเดียวกัน ผมจึงหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะออกจากห้องนอนและเดินไปอาบน้ำทันที

ห้องน้ำที่นี่ไม่ได้ใหญ่มากเเต่ก็ไม่ได้เล็กจนน่าอึดอัด มีมุมไว้สำหรับแช่น้ำอีกด้านเป็นฝักบัวอาบน้ำ เมื่อเดินเข้าไปอีกเลยอ่างอาบน้ำ ก็จะมีกำแพงกั้นอีกช่องหนึ่งเป็นที่สำหรับขับถ่าย และช่องระบายอากาศ

ผมจัดแจงถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายก่อนจะเปิดน้ำใส่ในอ่างอาบน้ำ เพราะวันนี้ผมตั้งใจจะแช่น้ำเล่นในอ่างอยู่เเล้ว เมื่อน้ำในอ่างได้ประมาณหนึ่งก็ปิดน้ำสำหรับใส่อ่างอาบน้ำ ผมเดินไปเปิดน้ำล้างตัวก่อนเล็กน้อยที่ฝักบัว ก่อนจะเดินไปนั่งลงในอ่างน้ำ แล้วจึงค่อย ๆ เอ็นกายนอนไปในอ่าง ผมนอนแช่กายอยู่ในน้ำอยู่อย่างสบายใจ โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ตอนนี้กำลังมีสายตา สายตาหนึ่ง กำลังจดจ้องมองผมอย่างหื่นกระหายมาจากมุมมุมหนึ่งของห้องน้ำ พร้อมกันกับเสียงที่ดังสวบสาบและเสียงร้องคำรามต่ำ ๆ ออกมาอย่างน่าเสียวซ่าน

อัพ 31/03/2022