ความเชื่อกับศรัทธานั้นต่างกัน

ความเชื่อคือการยอมรับในสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะจับต้องไม่ได้หรือมองไม่เห็น ไม่ว่าจะดีงามหรือชั่วช้า ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม

ส่วนความศรัทธาคือการเคารพสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า

เหล่าทวยเทพสามารถคงอยู่ด้วยความเชื่อของผู้คน แข็งแกร่งเพราะศรัทธาจากสาวก และมีหน้าที่มอบความหวังให้มวลมนุษย์เมื่อได้รับการสวดภาวนา…

 

ตั้งแต่จำความได้ สิ่งที่นอสเห็นมาตลอดคือความมืด

เธอมิอาจมองดูโลกด้วยสองตา ทว่าประสาทสัมผัสด้านอื่นกลับเฉียบคม

ทั้งรสชาติของอาหารยามผิดเพี้ยนไปจากเดิม กลิ่นประหลาดเวลาพี่เลี้ยงกลับเข้ามาในห้อง สายลมอ่อนซึ่งพัดผ่านผิวสัมผัสตอนผู้คนเฉียดใกล้ และเสียงกระซิบนินทาอันชัดแจ้งแม้ไม่อยู่ต่อหน้า…

คำนินทาเหล่านั้นล้วนพุ่งเป้ามาที่ใบหน้าของเธอ

เด็กหญิงมีดวงตาปูดโปนใหญ่กว่าเบ้าหน้ามาตั้งแต่ยังเป็นทารก ดังนั้นจึงโดนกล่าวว่าถูกทวยเทพรังเกียจ

เพราะเกิดมาไม่ครบสมบูรณ์ และแสนอัปลักษณ์เสียจนต้องเมินผ่าน ท้ายที่สุดจึงได้ถูกบิดามารดาส่งคนมาสังหารเพื่อมิให้รกหูรกตา

ปลิดชีวิตคนไร้ค่าอย่างเธอ...

นักฆ่าปริศนาแทงอาวุธเข้าใส่ท้องและจากไปโดยไม่อยู่ดูผลลัพธ์

แม้แน่นอนว่านอสต้องตายจากบาดแผล ทว่าปล่อยให้ทนทรมานชุ่มเลือดอย่างนี้ช่างอำมหิตกับเธอนัก

…ในวินาทีที่ลมหายใจรวยริน เด็กหญิงวัยแปดขวบทำได้เพียงตั้งคำถามกับเหล่าทวยเทพที่ผู้คนต่างบูชา

ว่าเหตุใดถึงให้เธอได้เกิดมาโดยไม่มีผู้มอบความรัก เหตุใดจึงให้มีชีวิตอย่างไร้ซึ่งแสงสว่างดังเช่นผู้อื่น

ถ้าหาก...

หากเธอสามารถมีชีวิตใหม่ได้... เธออยากจะเห็นโลกทั้งใบ

อยากมีผู้ที่มอบความห่วงใยให้กับเธอจากใจจริง

ขอเพียงใครสักคน จะเป็นใครก็ได้ แค่คนคนเดียวก็เพียงพอ… เธอยินยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างแด่คนผู้นั้น แม้ตัวเธอจะไม่มีค่าอะไรเลยก็ตาม

...ราวกับปาฏิหาริย์ที่เทพองค์หนึ่งตอบรับคำขอของนอส

เทพองค์นั้นมอบ ‘พรแห่งผู้กล้า’ ให้กับเธอ

นั่นทำให้เด็กหญิงได้รับการเยียวยาขั้นสูง ความเจ็บปวดในกายถูกรักษาดั่งไม่เคยมีผู้ใดทำร้ายมาก่อน ดวงตาที่ใหญ่กว่ากะโหลกศีรษะก็ค่อยๆ ผสานรวมกับร่างจนมีขนาดพอดี

จากนั้น เพียงถูกพามาพักฟื้นไม่กี่วันก็สามารถเปิดเปลือกตาขึ้น ทั้งยัง ‘มองเห็น’ ดุจเวทมนตร์มหัศจรรย์

รูปร่างและสีสันที่ไม่เคยพบทำให้หยาดน้ำใสเอ่อล้น ประกายแสงสะท้อนหยดลงบนผืนพรม

ภาพที่เคยจินตนาการจากการลูบคลำแล้วนึกตามเอาไว้… ทั้งสิ่งที่เรียกว่าหนังสือ ปากกาขนนก โต๊ะวางของ เก้าอี้นั่ง มันมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง

ดีเหลือเกิน…

ท่านเทพผู้ช่วยเหลือมีนามว่าเอรูซา หนึ่งในสี่ทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่

เรื่องเล่าที่กล่าวว่านางมีรูปโฉมงดงาม ดั่งถูกรังสรรค์ผ่านฝีมือของยอดประติมากรแห่งสามอาณาจักรนั้น มันไม่เกินจริงเลยสักนิด

ทั้งเรือนผมสีน้ำเงินซึ่งถักรวบเป็นเปียยาวจรดบั้นเอว ทั้งคิ้วบางที่รับกับดวงตาสีฟ้ากระจ่างใส ทั้งสันจมูกโด่งและริมฝีปากสีชมพูอิ่มเอม แล้วยังผิวขาวเนียน รูปหน้าเรียวสวย พร้อมสัดส่วนโค้งเว้าอย่างเหมาะเจาะภายใต้เสื้อผ้าสีน้ำตาลดำ

ทุกอย่างทำให้ผู้สบมองคล้ายถูกสาปให้ลุ่มหลงได้ในพริบตา

นอสไม่เคยเห็นผู้อื่น คนแรกที่เธอได้เห็นคือเทพีเอรูซา… แต่เด็กหญิงรู้สึกว่าภาพตรงหน้านั้นช่างตราตรึงใจ จากนั้นทุกสิ่งก็ดูหมองลงไปเมื่อเทียบกับความงามไร้ที่ติซึ่งเพิ่งได้พบ

เทพีผู้สูงส่ง…

ไม่นานนอสก็เรียนรู้หลายสิ่งจากท่านเทพองค์นี้

ผันผ่านนานนับปีและเติบโตขึ้น

เธอได้รู้จักตัวอักษร ได้ฝึกการใช้อาวุธ อ่านหนังสือเพิ่มทักษะด้านต่างๆ โดยตระหนักว่าตัวเองคือ ผู้กล้า ที่ถูกทวยเทพเลือกสรร

ผู้กล้า...

คราแรกเด็กหญิงไม่เข้าใจ

เอรูซากล่าวว่ามันคือการเดิมพันของทวยเทพทั้งสี่

ด้วยว่าบัญญัติของโลกใบนี้ทำให้เทพไม่สามารถสังหารจอมมารได้ด้วยตนเอง เทพแต่ละองค์จึงเลือกมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นตัวแทนเพื่อต่อสู้กับปีศาจและหมายโค่นล้มจอมมาร

ฉะนั้นนอสจึงต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นเพื่อประกาศตัวเป็นผู้กล้าต่อสาธารณชน และทดแทนเงื่อนไขที่ท่านเทพได้ให้ไว้หลังจากช่วยชีวิตเธอ

เด็กหญิงหลงนึกว่าท่านเทพแสนดีกับเธอ แท้จริงเทพีเอรูซาไม่ได้มีความเมตตาต่อมนุษย์ถึงเพียงนั้น นางให้นอสกลับมามีชีวิตใหม่เพื่อเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่างหาก…

“สำหรับท่านเทพ… ข้าเป็นเพียงเครื่องมือใช่หรือไม่”

“ฉลาดดีนี่” นั่นคือคำชมพร้อมยิ้มแรกที่เด็กหญิงได้รับ

รอยยิ้มประดับบนดวงหน้างามอันเรียบเฉยตลอดเวลา… มันช่างดูหวานล้ำจนทำให้ลืมหายใจไปชั่วขณะ

ลืมกระทั่งคำตอบอันแสนทำร้ายจิตใจผู้ฟังว่าตนถูกใช้งานเท่านั้น

นอสเม้มริมฝีปาก “ท่านเทพ เหตุใดท่านถึงไม่ค่อยยิ้ม”

เอรูซาเคยกล่าวว่าการยิ้มคือการแสดงออกถึงความสุข ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ทำมัน

“เด็กน้อย หากเจ้ามีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ได้มา เช่นนั้นเจ้าก็ยิ้มแทนข้าเสียสิ”

คู่สนทนาเบี่ยงประเด็นออกจากตัวเองอย่างง่ายดาย…

ห่างเหินและเย็นชา

เด็กหญิงเม้มริมฝีปากก่อนตอบ “อืม ข้าจะยิ้ม”

เพราะโลกนี้ช่างสวยงามกว่าความมืดนัก เธอมีความสุขที่ได้มองเห็นรูปร่างและสีสันของทุกสิ่งทุกอย่าง เช่นนั้นจึงมีความสุขในทุกเวลา

จะถูกใช้ก็ไม่เป็นไร…

เด็กหญิงตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะแทนคุณผู้ช่วยเหลือ อีกทั้งเธอยังเป็นคนคนเดียวที่เทพีเอรูซาเลือก…

คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเธอกลับถูกตั้งความหวัง

ต่อให้ยากลำบากเพียงไรนอสก็จะทำ ต่อให้ต้องเสียสละเพียงไหนเธอก็ยินดี

เพราะเธอเป็น เครื่องมือ ของเทพีเอรูซา เทพผู้ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดนอกเหนือไปจากการกำจัดจอมมาร

…ครั้งหนึ่งนอสได้ยินพวกนักผจญภัยที่เดินผ่านหน้าบ้านกล่าวถึงผู้กล้าคนอื่น ลองนำมานึกเทียบดูแล้ว เหล่าผู้กล้าไม่ได้ติดต่อกับทวยเทพใกล้ชิดเหมือนอย่างเธอและเอรูซา

เธอจึงถามท่านเทพว่า เพราะเหตุใดจึงมาที่โลกมนุษย์ทุกวัน

เทพีเอรูซาเพียงอ้างเรื่องนอสเด็กเกินไป จึงต้องทุ่มเทสอนพื้นฐานให้ด้วยตนเอง ต่างจากผู้กล้าอื่น

นั่น… นับเป็นความห่วงใยได้หรือไม่…

ชั่วขณะหนึ่งภายในใจนอสรู้สึกอบอุ่น กระแสความสุขแล่นกระจายไปทั่วร่างเมื่อคิดว่าท่านเทพให้ความสำคัญกับตนเอง …แม้จะเพียงในฐานะเครื่องมือก็ตาม

กระนั้นความสงสัยของเด็กหญิงก็ไม่สิ้นสุดลงโดยง่าย

ท่านเทพมอบความรักให้เธอจริงงั้นหรือ แล้วสาวกผู้ศรัทธาคนอื่นจะได้รับอะไรเช่นนี้บ้างหรือไม่

เธอจึงฝืนคำสั่งเอรูซาที่ให้ฝึกฝนตนเองในวันหนึ่ง แล้วแอบติดตามออกจากบ้าน

มันต่างจากที่นอสคิดไว้ว่า ทุกครั้งเวลาท่านเทพมาข้างนอกคือการกลับไปพักผ่อนบนสวรรค์

เอรูซานั้นไม่ได้หายไปไหนเลย ไม่ได้ไปสรวงสวรรค์อย่างที่เรื่องเล่าบอกกันว่า ทวยเทพสามารถไปสู่สวรรค์อันเป็นที่พำนักได้ในพริบตา

ด้วยเหตุนั้นนอสจึงเริ่มสะกดรอยตามท่านเทพโดยไม่ให้รู้ตัว

เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่ถูกจับได้ เด็กหญิงจึงสร้างหลักฐานด้วยการทำแบบฝึกหัดคัดอักษร และพัฒนาฝีมือที่ท่านเทพให้ฝึกฝนด้วยความเร็วมากกว่าปกติหลายเท่า

จากที่เธอเฝ้าสังเกต โดยรวมแล้วความสามารถของท่านเทพไม่ต่างจากมนุษย์ เพียงมีความรู้รอบด้านมากกว่าเนื่องด้วยเวลาที่อยู่มาเนิ่นนาน และสามารถสดับเสียงของผู้สวดภาวนา ปรากฏกายได้เมื่อมีคนเพรียกหา

ดังเช่นตอนท่านเทพช่วยให้เธอมีชีวิตอีกครั้ง

ด้วยข้อมูลที่มี ประกอบกับความพยายามตามดูของนอสทำให้รู้ ท่านเทพนั้นมักจะแทนตัวเองว่า เอล ต่อหน้าคนอื่น และทำงานอยู่ในเมืองดังเช่นมนุษย์ทั่วไป…

ในเจ็ดวัน จะมีหกวันที่ไปทำงาน และใช้อีกวันหนึ่งในการเข้าสถานที่แปลกประหลาดบริเวณมุมด้านหนึ่งของเมือง ส่วนทุกเย็นก็จะกลับมาพักจนถึงเช้าแล้วให้การบ้านนอสเพื่อฝึกฝน

กิจวัตรของท่านเทพมักจะวนอยู่อย่างนี้

โฉมหน้าของเอลไม่ต่างจากยามเป็นเอรูซาที่สอนเรื่องต่างๆ ให้เธอ

เย็นชาและนิ่งเฉย ทว่าบางครั้งก็จะยิ้มให้สตรีที่เข้ามาทักทายในเวลางาน

เด็กหญิงหัวใจกระตุกวูบ รู้สึกประหลาดเมื่อเห็นท่านเทพเอรูซายิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง และตระหนักว่าเธอไม่ใช่คนพิเศษเพียงคนเดียวของท่านเทพจริงๆ …

แต่ในสัปดาห์ต่อมา ท่านเทพกลับยิ้มให้สตรีอีกนางหนึ่งและเมินเฉยต่อหญิงคนเก่า

นั่นชวนให้นอสสับสน

หมายความว่าอย่างไร…

ส่วนที่ต่างออกไปก็มีเพียง เอรูซาเข้าไปในอาคารประหลาดพร้อมกับคนพิเศษนั่น แต่พอกลับออกมาดันเว้นระยะห่างราวกับไม่รู้จักกัน

…นอสเกิดความสงสัยจนทนไม่ไหวว่าท่านเทพผู้สูงส่งเข้าไปทำอะไรในที่แห่งนั้น เธอเลยแอบตามมาดูเมื่อถึงวันที่เจ็ดอีกครั้ง

มีคนที่คอยเฝ้าด้านหน้าอาคาร นอสจึงใช้ทักษะเร้นกายลอบแทรกแซงอย่างลับๆ จากทางหน้าต่างด้านหนึ่ง

“อ๊ะ… อาาา… อื้ม!” เสียงบางอย่างดังออกมาจากรอบทิศเมื่อเท้าสัมผัสพื้นชั้นสอง

มันผสมปนเปกันจนแทบแยกไม่ออก ราวกับทุกห้องในอาคารปริศนานี้มีสตรีกำลังถูกกระทำบางอย่าง…

ที่แห่งนี้คืออะไรกัน?

เด็กหญิงลองปลดสลักแง้มประตูบานหนึ่ง พบบุรุษและสตรีพยายามหลอมรวมร่างกายเข้าด้วยกัน… สีหน้าดูอิ่มเอมและพึงใจ…

บ่งบอกว่าที่มาของเสียงมิใช่การถูกทำร้าย

จากนั้นเธอลองก้าวต่อไปอีกทางแล้วก็พบบุรุษกับบุรุษที่ทำเรื่องใกล้เคียงกับคู่ก่อนหน้า

“อือ… อื้ออ…!”

นอสเชื่อว่าประสาทการได้ยินของเธอนั้นเฉียบคม

ต่อให้เป็นเสียงหวีดครางที่โทนต่างไปจากยามปกติ แต่นั่นย่อมเป็นเทพีเอรูซาอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนั้น ร่างเล็กในวัยสิบเอ็ดขวบจึงรีบสะกิดปลายเท้าไปทางต้นเสียง และทำลายกลอนประตูอย่างรีบเร่งจนเผลอทำหล่น

ชิ้นส่วนไม้ตกกระทบพื้นในห้อง ซึ่งมีสตรีสองนางแนบชิดอยู่ไม่ไกล

“อ๊าาา!!” เพียงได้ยินความหวานแสนรัญจวนที่เปล่งออกมา ก็ราวกับถูกละเลียดริมฝีปากที่แห้งผาก

ร่างเปลือยเปล่าของเอรูซาปรากฏเต็มสองตา

ทั้งผิวกายละเอียดที่เปรอะเปื้อนหยาดเหงื่อจนเงาวับ ยอดปทุมถันซึ่งจับตัวชูชันหยอกล้อกับแสงตะเกียงสีเหลืองนวล ช่องทางด้านล่างอันคล้ายถูกหญิงสาวอีกคนสอดใส่เข้าไปถึงจุดลึก และของเหลวเหนอะหนะบริเวณง่ามขาที่ไหลหนืดเป็นสาย…

แม้ไม่รู้ความหมายของการกระทำเหล่านี้ แต่นอสก็เข้าใจได้อย่างหนึ่งว่า...

เทพีผู้สูงส่งของเธอ… กำลังแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งโสมม

ใบหน้างามแดงซ่านเมื่อได้รับการเติมเต็ม ร่างเพรียวบางที่สั่นระริกประกอบกับอุณหภูมิร้อนผ่าวโดยรอบชวนให้รู้สึกถึงความเย้ายวนซึ่งไม่อาจหักห้ามได้

“เด็กน้อย…” ท่านเทพสังเกตเห็นเธอแล้ว แต่คล้ายกำลังหมดแรงเกินกว่าจะลุกไหว

เอรูซาที่อ่อนแอถึงเพียงนี้…

ภายในท้องของเด็กหญิงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังหมุนวน

นอสรีบหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนั้น

สาวเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อกลับถึงบ้าน เพื่อให้ตนเองถึงห้อง เพื่อทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ในใจจะปั่นป่วนเหลือประมาณ

นั่นมันคืออะไร…

สิ่งเหล่านั้นคืออะไร…

พอตั้งสติใหม่อีกครั้งนอสก็ทบทวนว่า เธอเห็นหญ้าลบเลือนความจำอยู่ในห้องที่ท่านเทพผสานกายกับใครอีกคน

ด้วยสิ่งนั้น ท่านเทพจึงทำให้หญิงสาวทุกคนแยกห่างหลังมีความสัมพันธ์ด้วย…

สิ่งนั้น...

“อีกไม่นานเจ้าก็จะขึ้นทะเบียนเป็นนักผจญภัยได้แล้วแท้ๆ เหตุใดถึงทำให้ข้าผิดหวัง” เสียงของเอรูซาดังขึ้นภายในห้องอย่างกะทันหัน พร้อมกันนั้นก็ปรากฏร่างในชุดกระโปรงขาว ดูบริสุทธิ์และสูงส่งเช่นเดิม

นี่คือรูปลักษณ์เทพเต็มตัว… แม้ภายนอกดูจะต่างไปเพียงชุดสวมใส่ แต่สิ่งที่เห็นชัดคือลายผิว จากปลายเท้าไล่ขึ้นมาถึงต้นขา ท่านเทพมีรอยสีดำคล้ายใบของดอกลิลลี่ปรากฏอยู่ด้วย

แทนที่จะดูเหมือนตำหนิจากการเสื่อมทราม มันแลคล้ายเสน่ห์ที่ชวนให้ละสายตาไปจากเรียวขาไม่ได้

…มีคำกล่าวว่าทวยเทพสามารถปรากฏกายได้ทุกแห่งหน

เอรูซาจึงโผล่มาหาเธอทั้งอย่างนี้หลังจากได้สติและฟื้นคืนกำลัง

นอสทบทวนคำพูดของท่านเทพ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะกล่าวว่า “ท่านเทพ… ท่านจะลบความทรงจำข้าด้วยหญ้านั่นหรือไม่”

ความผิดของเธอคือการรุกล้ำเรื่องส่วนตัว เด็กหญิงไม่ปฏิเสธ… ทว่าความกลัวนั้นมีมากกว่า

กลัว… ที่จะกลับไปสู่จุดเดิม

กลัว… ที่จะถูกทอดทิ้งอีกครั้ง

“...พรแห่งผู้กล้าสามารถต้านทานพิษระดับนี้ได้อยู่แล้ว เจ้าไม่ลืมสิ่งที่เห็นหรอก แม้ข้าจะอยากลบมันเพียงใดก็ตาม” ดวงตาสีฟ้าของเอรูซาสะท้อนภาพเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปี “ตอบข้ามา เหตุใดจึงทำให้ข้าผิดหวัง”

“เพราะข้า… อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับท่านเทพ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ถามข้าเสียสิ”

“ท่านมีเรื่องปิดบังมากมาย ท่านเทพ ข้าไม่คิดว่าท่านจะยอมเล่าเรื่องอย่างวันนี้ให้ข้าฟังหรอก”

ในฐานะผู้กล้าซึ่งถูกเทพีเอรูซาเลือก เธอนั้นอาจพูดได้อย่างเต็มปากว่าเสียใจ ที่ท่านเทพไม่ยอมเปิดเผยอะไรให้รับรู้บ้างเลย

“นั่นเพราะเจ้ายังเด็กเกินไป”

นอสข่มตาลง เธอไม่อยากให้มันจบลงด้วยการไม่ลงรอยกัน “ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก… ข้าขอโทษ”

สำหรับเธอ ท่านเทพสำคัญกว่าสิ่งใด

เทพีเอรูซาคือโลกทั้งใบ... เพราะเหตุนั้นเลยไม่อยากทำให้ขุ่นเคือง

เพราะแบบนั้นจะยอมดวงตามืดบอดไม่รับรู้อะไรก็ได้ ขอเพียงไม่ถูกผลักไส...

“...” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “ข้าผิดเองที่ไม่เล่าเรื่องของข้า”

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นทันที

ท่านเทพที่มักจะเย็นชาและวางตัวเหนือกว่าอยู่เสมอ… ยอมลงให้นางด้วยอย่างนั้นหรือ

“เด็กน้อย เจ้าคงจะพอรู้จักเรื่องของข้าจากในตำนานอยู่บ้าง แต่ว่า ตัวตนของข้าถูกปั้นแต่งต่อมาจากความเชื่อดั้งเดิม” เสียงที่อ่อนลงหลายระดับทำให้นอสสบายใจจะนั่งฟังมากขึ้น “เทพถือกำเนิดจากความเชื่อและแปรเปลี่ยนไปตามความเชื่อเช่นกัน… เช่นนั้นความเชื่ออันแรงกล้าของผู้คนจึงคล้ายคำสาปที่มีต่อทวยเทพไปด้วย”

เอรูซาเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาวางไว้บนตักนอส หน้าปกของมันสลักชื่อว่า เทพปกรณัมทั้งสี่

“ข้าเป็นเทพแห่งเขตแดนระหว่างมนุษย์กับปีศาจ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ลวงหลอกจอมมารให้ทำพันธสัญญาแบ่งเขตแดนนี้… ความเชื่อถูกส่งผ่านยุคสมัยจนเริ่มผิดเพี้ยนกลายเป็นว่า... ข้าเป็นผู้รักในการล่อลวง และจำต้องเสพสมในทุกเจ็ดวัน”

…ไม่รู้ว่าเหตุใดความเชื่อจึงกลายเป็นเช่นนั้นได้

เพราะใบหน้าที่กล่าวกันว่างดงามจนมอมเมาผู้คน… เพราะความลุ่มหลงของเหล่าสาวกที่อยากทำให้ความบริสุทธิ์นี้แปดเปื้อน… หรืออาจจะทั้งหมดทั้งมวล

“เพราะแบบนี้ ท่านเทพจึงต้องเข้าหาผู้อื่นทุกเจ็ดวันอย่างนั้นหรือ… ท่านเทพไม่สามารถฝืนมันได้เลยหรือ…”

“ข้าเคยลองแล้ว น่าเสียดายที่ร่างกายจะเกิดความกำหนัดอย่างรุนแรง… และสุดท้ายมันก็จบลงที่เดิม” ใบหน้าของเอรูซาเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึกใด “ข้าเป็นเทพ จึงไม่อาจทำให้มนุษย์มาติดพันอย่างยาวนานได้”

ดังนั้น หญ้าลบความทรงจำจึงเป็นวัตถุดิบปรุงยาให้ลืมเลือนความสัมพันธ์ชั่วคราวได้เป็นอย่างดี และสะดวกต่อการคลายคำสาปในแต่ละหน

เพราะคำสาปนี้… ท่านเทพจึงอยู่บนโลกมนุษย์ตลอดเวลา

เพื่อจะหาคนเข้าไปเสพสมด้วย…

ราวล่อลวงอย่างที่ความเชื่ออันบิดเบี้ยวว่าไว้ ดุจนางมารเลอโฉมซึ่งยากจะต้านทานไหว

แม้แต่เด็กซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องราวบนโลกอย่างเธอยังเผลอไผลในความงามซึ่งถูกฉีกกระชากตกลงสู่ห้วงแห่งความเสื่อมในทุกเจ็ดวัน

“เหตุใด…” นอสกลืนน้ำลายตัวเองอย่างยากลำบาก “เหตุใดจึงเป็นสตรีเล่า”

“ข้าเพียงไม่พึงใจต่อบุรุษเท่านั้น” ร่างสูงหมุนตัวกลับและเตรียมจะเปิดประตูห้องออกไป “เด็กน้อย เจ้าทำหน้าที่เครื่องมือของข้าให้ดีก็พอ”

“...” เด็กหญิงตอบรับด้วยการพยักหน้าเมื่อถูกขีดเส้นกั้นไว้อย่างชัดเจน

พอนึกดูแล้วท่านเทพเอรูซาก็ใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งได้อย่างเย็นชา

ทุ่มเทฝึกฝนนอสเพื่อที่จะใช้สังหารจอมมาร โปรยยิ้มให้สตรีเพื่อใช้ระบายความใคร่จากคำสาป…

ทั้งหมดล้วนไม่มีความรู้สึกปะปนเลยอย่างนั้นหรือ

เหล่าทวยเทพไร้ซึ่งอารมณ์หรืออย่างไร

เด็กหญิงพลันหวนนึกถึงใบหน้าที่แสดงความสุขอย่างชัดเจนในอาคารประหลาดที่จากมา…

นอสคิดว่าท่านเทพนั้นยังมีความรู้สึกซุกซ่อนอยู่อีกมากมาย

เธออยากเห็นมันอีก…

อยากเห็นสีหน้าและท่าทางอื่นของท่านเทพที่มาจากใจจริง และอยากเป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวที่ท่านเทพยอมรับ

แม้ว่าจะมีฐานะเพียงเครื่องมือที่คงอยู่เพื่อสังหารจอมมาร แต่เป้าหมายนี้เป็นของตัวนอสเอง…

 

 

++++++++++

[TALK]

สวัสดีค่า MintomintH คนเขียนยูริแฟนตาซีค่ะ ติดตามได้ทาง FacebookPage และ Twitter

#ท่านเทพองค์นั้น ในทวิตเตอร์ เข้ามาเล่นได้นะคะไม่งั้นจะเหงาอยู่คนเดียว ?

 

สามารถอุดหนุนฉบับ e-book อ่านจนจบได้ที่ meb ค่ะ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย สนับสนุนให้เรามีกินและมีเปย์นักเขียนยูริท่านอื่น ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ ​

sds

meb ท่านเทพองค์นั้นหยุดยั่วยวนผู้อื่นเสียที! > Link 340หน้า 249บาท

 

sds

(ตอนนี้มีโปรลดราคาบางเล่มค่ะ ในรูปเป็นราคาเต็มของอีบุ๊กนะคะ)

meb ข้าไม่อยากไปกับผู้กล้า > Link 495หน้า 359บาท

meb สาวใช้ผู้อยู่เบื้องหลังการถอนหมั้น > Link 52หน้า 59บาท

meb ก่อนกาล > Link 346หน้า 249บาท

meb ผู้ปกครองจำเป็นของไวรัสตัวป่วน > Link 869หน้า 499บาท

meb แกล้งหยอกให้บอกรัก > Link การ์ตูน 30หน้า 99บาท

 

ปล. ใครอยากได้ภาพวอลเปเปอร์หน้าปกไปตั้งหน้าจอ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1WuTkFnQ-5IP6CGPmJZQAsrN8_ajfCSO9?usp=sharing นะคะ

sds

ตั้งให้น้องๆ อยู่บนพื้นหลังจอคอมพิวเตอร์ได้เลยค่ะ~ ขอบคุณที่รับไปเอ็นดูค่า ?