1 ตอน 1
โดย karoma
เหมันตฤดูมาเยือนพืชพรรณเริ่มโรยราสัตว์นานาชนิดเริ่มเข้าสู่สภาวะจำศีลหลบเลี่ยงความหนาวเย็นที่กำลังคืบคลานคร่าชีวิต ถึงอย่างนั้นเมืองมนุษย์กลับครื้นเครงแสงไฟไม่เคยหลับไหลในที่แห่งนี้ ผู้คนออกมาใช้ชีวิตท้าหนาว เสื้อคลุมขนสัตว์นุ่มฟูหรือโค้ทหนังกันลมล้วนโอบอุ้มเนื้อหนังจากพายุหิมะ
ตัวข้าถือกำเนิดในฐานะจอมมาร อาณาจักรต้องสาปแห่งนี้สร้างเลือดเนื้อจากเศษดินและฝุ่นผง มอบรูปลักษณ์ให้สมบูรณ์เท่าที่ดินแดนรกร้างไร้สรรพชีวิตจะเสกสร้างให้ได้ อากาศที่นี่เต็มไปด้วยเขม่าขี้เถ้าและฝุ่นละอองมืดมัว ข้าชอบสิ่งสวยงาม ทว่าไม่สามารถปลูกดอกไม้ในดินแตกระแหงทำให้ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดีละอองขมุกขมัวนั้นหล่อเลี้ยงเหล่าปีศาจให้มีพลังเหนือสิ่งมีชีวิตอื่น
เนิ่นนานแล้วที่ข้าไม่ได้เหยียบย่างเข้าเมืองมนุษย์ สมัยก่อนมักมาเที่ยวเล่นในเมืองมนุษย์ช่วงที่อากาศร้อนเป็นประจำเพราะไม่ถูกกับอากาศเย็นรวมถึงไม่ใช่ช่วงที่มีฤดูเก็บเกี่ยวเลยไม่มีเทศกาลที่น่าสนุก แต่หน้าหนาวครั้งที่ร้อยยี่สิบในชีวิตของข้านั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในรอบชีวิตของจอมมาร ทุก ๆ ห้าร้อยปีบุตรแห่งเทพสรรพชีวิตลงมาจุติบนโลก เด็กเผ่ามนุษย์คนหนึ่งได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ สามารถสร้างอัศจรรย์ได้มากมาย ไม่ว่าดลบรรดาลพื้นดินแห้งแตกกลายเป็นสวนดอกไม้ คืนชีวิตให้สัตว์ที่ตายแล้วรวมถึงสังหารปีศาจเศษซากสิ่งโสมม
เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เจอกับมนุษย์ที่มีพลังมันฟังดูน่าสนุกในฐานะปีศาจเด็กย่อมไม่เคยเจอมนุษย์ที่อันตราย ข้าเลยแอบหนีจากปราสาทเหม็นชื้นมาสอดส่องดูว่ามีเด็กมนุษย์คนไหนจะมีแววได้รับพรแสนวิเศษ
ข้าเลือกเมืองมนุษย์ที่อยู่ติดกับป่ามืดทำให้แอบลับลอบเข้ามาไม่ยากนัก เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ขอบอาณาจักรทั้งยังใกล้กับแดนปีศาจ ห่างไกลความเจริญและผู้คุมกฎหมาย ทำให้เต็มไปด้วยอาชญากรรมและธุรกิจมือ สองขายาวมีกล้ามเนื้อเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ สองมือกระชับเสื้อคลุมกันหนาว
"ไอ่เด็กเวรเลิกขี้เกียจแล้วลุกมาทำงานได้แล้ว"
ชายวัยชราตะคอกใส่เด็กที่มีเนื้อตัวแดงก่ำจากการถูกหิมะกัดทั้งยังมอมแมมดูไม่ได้ มือเหี่ยวย่นกระชากผมยาวรุงรัง มอมแมมจนมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร สมองสั่งให้เดินหนีทันทีเพราะไม่อยากมีเรื่องยุ่งยาก แต่ศีลธรรมอันน้อยนิดได้ร้องเตือนให้ขาก้าวเดินกลับไปคว้าแขนพร้อมเก๊กขรึมให้ดูน่ากลัวที่สุด
"หยุด" เสียงทรงอำนาจประกาศกร้าวชายชราหันมามองหน้าแรกเริ่มยังดูอวดเบ่ง แต่เมื่อข้าออกแรงบีบชายผู้นั้นเนื้อตัวซีดเผือดตัวสั่นด้วยความกลัวว่ามือที่กำแขนเขาราวกับคีมหนีบจะเปลี่ยนตำแหน่งมาที่คอแทน ใบหน้าเหี่ยวย่นก้มต่ำเปร่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ในที่สุดก็พูดขอโทษออกมาเสียงสั่นติดขัดฟังดูขลาดกลัวต่างจากตอนแรก
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นเลิกสนใจเด็กแล้วรีบย่ำเท้าออกไปทำอย่างอื่นทันที ตาคมปรายตามองเด็กมนุษย์เร็ว ๆ หนึ่งที มีบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกประหลาดนัยต์ตาสีโศกเลื่อนลอยที่มองเพียงแวบเดียวก็จำได้ ดูโดดเด่นจนน่าสงสัย ข้าเดินออกมาทันทีสะบัดหัวเลิกสนใจเรื่องไร้สาระ
กลัวว่าจุดมุ่งหมายของการสอดส่อง (หนีเที่ยว) เมืองมนุษย์ครั้งนี้ของข้าจะปิดไปก่อน กวาดสายตามองหาตึกหลังคาเขียวแตกต่างจากตึกสีอิฐทั่วไป สองขาเดินลัดเลาะตามตรอกเสื่อมโทรมสองข้างทางเต็มไปด้วยขอทานและคนป่วย
ข้าก้มหน้าลงเร่งฝีเท้าให้ออกจากตรงนี้ให้ไว้ที่สุด
ผ่านไปสักพักก็เจอกับตึกที่มีหลังคาสีเขียวมรกต ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ปลายทางของข้า ร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่โดดเด่นมากพอที่จะจดจำ ผ่านไปอีกสักหน่อยถึงเจอกับร้านขายเครื่องหนังมีทางแยกชวนให้สับสน
ลืมไปแล้วว่าต้องไปทางไหน…
นอกจากใยแมงมุม ฝุ่น และตึกซอมซ่อไม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์มากพอ เหรียญทองถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงคิ้วขมวดเป็นปม เหรียญทองสุดท้ายที่มีคงจะนำโชคดีมาให้ เขาโยนเหรียญขึ้นฟ้าหัวคือขวาก้อยคือซ้าย
ผลที่ออกมาคือขวาแต่ข้าสัมผัสได้ถึงลางร้าย ขวาร้ายซ้ายดีจริงไหมละ จึงเลือกเดินไปทางซ้ายเดินไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางเจอลูกนกที่ตกจากรัง ข้ามองดูชั่งใจสักพักว่าควรทำอย่างไร มันคงมีชีวิตอีกไม่นานถึงพากลับรังก็แปลกกลิ่นแม่นกก็คงทิ้งมันอยู่ดี ข้าตัดสินใจเดินผ่านไปตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ฤดูหนาวที่มีกลางคืนยาวนานกว่า ใกล้ตะวันลาลับและร้านขนมปังจะปิดลง
ทางเดินยาวยืดเต็มไปด้วยตึกหน้าตาเหมือนกันสองข้างทาง ข้าเริ่มฉุกคิดเดินมาไกลขนาดนี้กลับไม่เจอปลายทางเสียที ภาพเลือนลางในหัวบอกกับข้าว่าเดินไม่ใกล้จากทางแยกจะเจอกับซอยที่มีร้านตั้งอยู่
เมื่อรู้ตัวก็สับขาวิ่งกลับไปทันทีถือเป็นโชคดีในเรื่องร้าย ๆ ตลอดวัน ร้านยังไม่ปิดลงขนมปังบริยอชก็ยังไม่หมด แถมยังเหลือขนมปังมากมายต่างจากในความทรงจำ ร้านแห่งนี้ควรจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนทำให้ของหมดอย่างรวดเร็ว ข้าซื้อเท่าที่เหรียญทองหนึ่งเหรียญจะซื้อได้ คนที่รับเงินไม่ใช่มนุษย์คนเดิมถึงอย่างนั้นก็มีเคล้าโครงที่คล้ายกัน
“ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วหรือนี่” มือซ้ายหยิบขนมปังขึ้นมาจากถุงกระดาษ หวังจะลิ้มรสชาติที่คิดถึง
“ไม่เหมือนเดิมแฮะ” เสียร้านประจำไปอีกหนึ่งร้าน ขนมปังที่เหลือคงเอาไปแจกให้ข้ารับใช้ในปราสาทกิน
ข้าหันหลังมามองเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าเหรียญนั้นจะมากพอสำหรับประคองชีวิตและร้านต่อไปได้อีกสักพัก