เบื้องหน้าข้ามีชายผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นต้องการกล่าวคำบ้างคำที่ข้าไม่อาจได้ยิน 

แม้ว่าข้าจะปฏิบัติกับคนผู้นั้นอย่างเย็นชา แต่เขาก็ไม่จากไปไหน วันแล้ววันเหล่าจากเดิมที่แค่ขยับมาข้างกายเอื้อนเอ่ยวาจา กลายเป็นการกลั่นแกล้ง

เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านแจกันก็ร่วงหล่น พู่กันหล่นหาย ที่ฝนหมึกแตกกระจาย แล้วชายคนนั้นก็จะรออยู่ที่เดิมเสมอ

ชายคนนั้นจะนั่งอยู่ที่หน้าต่าง ใช้ดวงตาสีรัตติกาลมองตรงมา เครื่องประดับสีทองข้างหูสะท้อนแสงจันทร์ ปัดเรือนผมไว้ด้านหลังอย่างเหนื่อยหนาย ชุดสีขาวขาดรุ่งริ่งจนยากจะซ่อมพริ้วไหวราวกับต้องลม

สิ่งที่ข้าทำมีเพียงแค่หันกายกลับ แล้วเริ่มทำความสะอาด เสร็จแล้วก็ทำความสะอาดกระบี่เล่มหนึ่ง 

คล้ายกับเป็นการขออภัยคนผู้นั้น

ภาพเหล่านั้นเล่นซ้ำไปมาราวกับเป็นบทละครที่ไร้ฉากจบ

มือของข้าเปื้อนเลือด ผู้คนต่างหวาดกลัวก้มหัวให้ หลายคนตัวสั่นจนล้มลงต่อหน้าข้า สิ่งที่ต้องทำมีเพียงการลงดาบจบชีวิตคนเหล่านั้น ตามคำสั่งที่ดังอยู่ข้างหู

เสียงนั้นดังจนกลบทุกเสียง เสียงของแม่น้ำ ลำธาร เด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่ในสวน แม่นางน้อยคนหนึ่งที่หัวเราะเบื้องหน้าข้า เสียงของชายคนนั้นที่ร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง

พวกเขาพยายามพูดกับข้า แต่ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย

เสียงที่ข้าได้ยินคือเสียงกระบี่ หรือเสียงกระซิบของปีศาจ หากมีคนบอกว่านั้นไม่ใช่เสียงของปีศาจ ข้าก็จะปฏิเสธ

เสียงของปีศาจจะนับเป็นอะไรถ้ามาเทียบกัน

ข้าอยากได้ยินเสียงเหล่านั้นอีกครั้ง แม้จะเป็นเสียงของปีศาจข้าก็จะฟัง

ให้ข้าได้ยินเสียงของท่านเถอะ


เมื่อดวงตาของข้าเปิดออกก็พบกับปีศาจตนหนึ่ง ปีศาจตนนั้นปิ้งปลาตัวเล็กจนไหม้ แม้แต่ไม้ก็ไหม้ไฟแต่ก็ยังไม่สนใจ ขับลำนำบทหนึ่งถึงท้องนภา

น่าลำคารเล็กน้อย แต่กลับไม่เบื่อเลยซักนิด

"ตื่นแล้วหรือ"น้ำเสียงดูตื่นเต้น

"ข้าตื่นแล้วอรุณสวัสดิ์"แม้จะง่วงงุนก็ตอบกลับ

ปีศาจตนนั้นยิ้มให้ข้า ไม่ขยับไปไหน ไม้ที่ถูกเผาอยู่ร่วงลงบนเปลวไฟพร้อมกับปลา

แล้วข้าก็มองมันอยู่อย่างนั้น แอบใช้มือเช็ดคราบน้ำตาเสร็จแล้วจึงค่อยลุกขึ้น ขยับเข้าไปหาปีศาจเจ้าเลห์เบื้องหน้า

"ยังมีปลาตัวอื่นอีกหรือไม่ ให้ข้าเป็นคนทำอาหารจะดีกว่า"พูดพลางมองเถ้าปลา

เสียงหัวเราะดังมาจากด้านข้าง"ต้องเป็นงานของเจ้าอยู่แล้ว เมื่อกี้ข้าแค่ทำฆ่าเวลา อย่าลืมนะว่าของข้าต้องงดงามและอร่อยกว่าของเจ้า"

เมื่อเจ้าของชายเสื้อสีขาวนั้นสบัดกายจากไป ร่างนั้นก็หายไปในเงามืดของถ้ำ จนมือของข้ายื่นขึ้นคล้ายจะคว้าไว้ ก่อนที่จะนึกได้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงแม้แต่น้อย สิ่งนี้คงเป็นผลมาจากฝันแสนประหลาด

"มีแค่ปลาข้าจะทำอาหารอะไรได้มากนัก"ว่าพลางลุกไปข้างแม่น้ำ

ในวัยเด็กข้าอาศัยอาชีพจับปลาไปขาย แม้จะขายไม่ได้ราคาแต่ก็พอประทังชีวิตจึงใช้เวลาไม่นานในการจับปลาตัวอ้วนขึ้นมา 

สิ่งที่ยากคือการหาไม้มาเสียบ ทว่ากิ่งไม้ขนาดพอเหมาะกลับลอยตามน้ำมาในเวลาประจวบเหมาะจนน่าแปลกใจ

คงจะเป็นฝีมือของปีศาจตนนั้นเป็นแน่

น่าเสียดายที่ข้าไม่อยากติดค้างใครโดยเฉพาะปีศาจ เช่นนั้นคำสั่งเช่นนั้นทำตามไปก่อนก็ได้

ระหว่างที่คิดจะว่ายน้ำไปหูพลันได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นจากทางปากถ้ำ

ข้างกายปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีขาว ยื่นกระบี่เล่มหนึ่งให้ก่อนที่จะหมุนกายไปด้านหลัง ใช้มือคล้องคอ ก้มหน้าลงกระซิบคำบ้างคำ

"ข้ารู้ว่าสมองเจ้าผิดปรกติฉะนั้นต้องพูดตามข้า"เสียงนั้นเป็นคำสั่งห้ามขัดแม้ซักคำ

คิ้วขมวดขึ้น หันหน้ากลับไปคิดเผชิญหากเปลี่ยนใจเมื่อพบใบหน้าเคร่งเครียดจนคล้ายหวาดกลัว แม้แต่มือที่นำคล้องคอของข้าก็สั่นจนสังเกตได้ชัด หากฟังดีๆ อาจรู้สึกถึงความหวาดกลัวในน้ำเสียง

เสียงโครมดังมาจากทางปากถ้ำ มีคนเข้ามาแล้ว ปัญหาคือคนผู้นั้นเป็นใครกัน

"ฟังข้านะเจ้าถือกระบี่ไว้ให้แน่นพอ คนเข้าถึงตัวก็ฆ่ามันทิ้งได้เลย"มือขาวซรดทำท่าตัดคอ

"ไม่ได้"ข้าตะโกน"ยังไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย ทำเช่นนั้นย่อมเป็นการทำร้ายตนเอง รอก่อนดีกว่า"

"เมื่อวานหัวเจ้าไปโขกอะไรมา เหตุใดดื้อดึงเช่นนี้"

"ท่านคิดแต่การฆ่าฟัน ทุกวันนี้จึงต้องหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด มิสู้ลองคิดหนทางอื่นดู ไม่เปลื้องแรง ไม่เสียเลือดเนื้อ อย่างน้อยข้าก็ไม่อยากฆ่าคนไม่เลือกหน้า"

วาจาของมันเจือปนความหวาดระแวง"มือก็เปลื้อนเลือดมามาก จู่ๆ คิดถือศีลไม่เข่นฆ่า ถือตนเองเป็นคนดี ไม่คิดว่าน่ารังเกียจบ้างหรือ"

มันจำข้าสลับกับใครกัน หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัย"ทำเช่นนั้นมีแต่เพิ่มศัตรูโดยใช่เหตุ"

ก่อนหน้านี้ปีศาจชุดขาวตนนี้ก็เรียกชื่อข้าถูก เหตุใดจึงบอกว่าข้าฆ่าคนไม่เลือกหน้า แม้ในโลกนี้ผู้คนจะสังหารกันราวผักปลา แต่มือของข้ายังใสสะอาดไม่เคยเปลื้อนเลือดมาก่อน

"เจ้าตัวร้อนใช่หรือไม่ หากป่วยจริงก็ทนไว้  ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าคิดอะไรไร้สาระ แต่ต้องถือกระบี่ไว้ ถึงยังไงคนผู้นี้ก็ต้องฆ่า"

"เจ้ารู้จักหรือ แต่ข้าไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร เราควรซ่อนตัวก่อนจะดีกว่า"ที่ด้านหลังมีหินก้อนใหญ่เหมาะแก่การซ่อนตัว จึงเดินเข้าไปก่อนตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจมได้ทุกเมื่อ

ปีศาจในชุดขาวโผล่มาเบื้องหน้าข้าอย่างรวดเร็ว"เจ้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครหน้าไหนที่เดินเข้ามาในยามนี้ก็มีแต่ศัตรู จะรอดูก่อนได้อย่างไร"

"รู้แล้วหากจำเป็นก็จะฆ่า ท่านเบาเสียงหน่อย"น้ำเสียงที่ใช้เบากว่าทุกที

ยามนี้เสียงฝีเท้าอยู่ไม่ไกลแล้ว คล้ายมากันสองคน หวังเพียงว่าจะไม่ใช่ศัตรู

ปีศาจสีขาวตนนั้นลอยไปลอยมา แล้วหายตัวไปอย่างร้อนรน คงจะไปสอดแนมหรือไม่ก็คงลืมของบ้างอย่าง

ข้าก้มมองกระบี่ในมือพลางสงสัยว่าควรสังหารจริงหรือ

เรื่องทุกอย่างไม่เด่นชัด ขมุกขมัวราวม่านหมอก หากแท้จริงแล้ว เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปก็ไร้ข้อแก้ตัว มิสู้ทำตัวดีเข้าไว้ แล้วลอบถามว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้น ก็ดีไม่น้อย

"ฝูเอินเจ้าอยู่ไหน"เสียงนุ่มนวลของสตรีดังแว่วมา 

แสงทอผ่านหิน นางค่อยๆก้าวออกมา ผมสีดำยาวปักปิ่นเงินเรียบๆ สวมชุดสีแดงสดใส ถือตะเกียงส่องทาง ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์ฉายแววงุนงง 

แล้วนางก็วางตะเกียงข้างเท้า ไม่สนใจชายกระโปรงที่เปลื้อนดินโคลน ควานเอาป้ายคำสั้งชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

นางยืนอย่างสง่างาม ชูป้ายคำสั่งเพื่อให้ใครบ้างคนเห็น"ด้วยป้ายคำสั่งกระบี่เลือด ข้าเยี่ยนมู่ตันขอเรียกตัว เฟิ่งฝูเอิน"

ข้าแทบจะกลั้นลมหายใจ ในที่สุดก็ได้รู้นามของปีศาจตนนั้นแล้ว ที่แท้มันมีนามว่าเฟิ่งฝูเอินนี้เอง

แต่ก็มีบ้างอย่างที่แข็งและเย็นมาแตะที่ไหล่ พอมองตามไปก็พบหน้ากากที่ขาวในมือของ... ปีศาจชุดขาวตนนั้น

"ทำไมเจ้าไม่ออกไปละ"แต่มือก็รับหน้ากากมาสวมบนใบหน้าตนเอง

มันลอยตัวขึ้นจากพื้น ยกมือเหมือนพระโพธิสัตว์แล้วพูดว่า"วันนี้เจ้าอยากเล่นเป็นพระ ข้าก็ไม่ขัดแต่เจ้าไม่ควรขัดคำสั่งนาง"

"ต้องต้องออกไปเหรอ"ว่าพลางชี้ไปที่แม่นางชุดแดง

มันพยักหน้า แล้วชี้ไปทางนางเช่นกัน ก่อนที่จะปิดหน้าทำท่าคลายร้องไห้ "แม่นางน้อยที่น่าสงสาร มาวันนี้ขนาดคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ก็ทรยศความตั้งใจของนาง"

"อะไร ข้าไม่ใช่คนรับใช้นาง"

"น่าสงสารเกินไปแล้ว วันนี้ข้าจะสำเร็จโทษเจ้าแทนฟ้าเอง"พูดจบมันก็เรียกกระบี่ขึ้นมาจากด้านหลัง

"พอก่อน"ข้ายกมือขึ้นปราม"แค่ออกไปก็พอใช่ไหม"

ปีศาจตนนั้นพยักหน้าเผยรอยยิ้มแสนเจิดจ้า

น่าลำคาญเสียจริง ข้าได้แต่คิด

ในตอนที่ก้าวเท้าออกไป ก็คิดเปลี่ยนใจแต่มันไม่ทันเสียแล้ว นางเห็นข้า ทั้งยังจ้องมองมาอย่างดีใจเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งเดินไปใกล้ร้อยยิ้มของนางก็ยิ่งกว้างขึ้น ราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เจอมารดาที่หายไป

"ฝูเอินวันนี้ข้าจะนำตัวเจ้าไปค่ายแมงมุม ตามข้ามาและห้ามโจมตีคนก่อนที่ข้าจะสั่ง"พูดจบนางก็เก็บป้ายไว้ในแขนเสื้อ ถือโคมไฟก่อนจะเดินนำทาง

เสียงที่ฟังดูหงุดหงิดดังขึ้นที่ข้างหู"ตามนางไป"

แม้อยากจะหันกล้บไปมองดูว่าปีศาจนั้นแสดงสีหน้าเช่นไร แต่ฝีเท้าก็ก้าวตามแม่นางข้างหน้าไปเสียแล้ว ราวกับจิตใจถูกสั่งให้เชื่อฟัง

หลังจากนั้นจึงพบเข้าแล้วว่าปีศาจนั้นน่าลำคาญเสียจริง มือที่เย็นชืดของมันคล่องไว้ที่คอ แล้ววางหัวทับหัวของข้าอีกที ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าขาคงจะลอยขึ้นจากพื้น ต่อให้ไม่หนัก มันก็หนาวเย็นเหมือนน้ำในฤดูหนาว

"ฮัดชิ้ว" 

ก่อนหน้าปีศาจที่อยู่บนหัวบอกว่าจะมีไข้ ตอนนี้คันจมูกหน่อยๆ น่าจะเป็นหวัดสินะ

"เจ้าหนาวเหรอ"น้ำเสียงไม่แน่ใจของสตรีตรงหน้าเรียกสติข้าคืน เมื่อเห็นนางมองอย่างเป็นห่วงถึงขนาดนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้วึกผิด

"ไม่หนาว"ถ้าจะให้บอกว่ามีก้อนน้ำแข็งเกาะอยู่ด้านหลัง คงจะไม่เชื่ออยู่ดี

แม้สีหน้าจะเป็นกังวลแต่นางก็นำทางต่อจนถึงปากถ้ำ ทางที่นางพาเดินออกมาเป็นคนละทางกับภูเขาซากศพ ก็ดีสตรีเช่นนางอย่างไรก็ไม่ควรมองภาพเช่นนั้น

ทิวทัศน์ข้างนอกคุ้นเคยอย่างยิ่ง ที่น่าแปลกคือมีที่พักเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ต้นไม้ก็สูงขึ้นแบบที่ไม่มีทางกลายเป็นแบบนี้ภายในวันเดียว ใช่แล้วมิใช่เพียงทิวทัศน์แต่ข้าจะสูงกว่าแม่นางที่เข้าวัยปักปิ่นแล้วได้อย่างไร

ที่แท้ปีศาจตนนั้น ก็ยังมีดีอยู่บ้าง หากตอนนี้ข้าไม่ใส่หน้ากาก สีหน้าตะลึงตะลานแบบนี้คงได้เผยออกไป

"มู่ตัน เร็วเข้าหากยังรังรอเจ้าสำนักจะรู้ตัว"บุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้ เสื้อผ้าสีซีดมีรอยปักเย็บ คงซ่อมมาหลายครั้งจนแทบใส่ไม่ได้แล้ว

"ข้าไม่แน่ใจ ไท่มู่ซานจะเชื่อได้จริงกระนั้นหรือ"มู่ตันหันกลับมามองข้า คลายไม่อาจคลายความกังวลใจ

ใบหน้าของบุรุษฉาบแวววิตกไม่ต่างกัน มองแล้วคลายจะเคยเห็นที่ไหน ทว่าก่อนที่จะนึกชื่อออก ความสนใจก็ถูกดึงกลับไปที่ปีศาจบนแผ่นหลัง

"สนใจข้าหน่อย ไว้ข้าจะอธิบายให้ทีหลัง อย่าไปใส่ใจตอนนี้เลย คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์"แล้วมันก็ขยับคล้ายอยากหาจัดหาจุดที่นอนสบาย

เป็นปีศาจที่ทั้งขี้เกียจ แล้วยังอ่านใจคนออกอีกหรือ

"เขาเป็นเพื่อนกับข้ามาตั้งแต่เด็ก หมอนั้นไม่ใช่คนที่จะโกหกสหาย"สีหน้าที่มุ่งมั่นแบบนั้นคลายคนที่รู้จักจริงๆ

พวกเขาพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงตึงเครียด มองไปยังสถาณศึกษาของเหล่าศิษย์ ทั้งสองคนไม่มีใครเลยที่สนใจเสียงฝีเท้าของบุคคลปริศนา ที่คืบคลานเข้ามาพร้อมความกดดันมหาศาล 

แม่นางมู่ตันเคยพูดกับข้าว่าห้ามลงมือก่อนมีคำสั่งเช่นนั้นควรทำอย่างไรดี

"ไม่รู้จริงหรือว่า เจ้าควรทำอย่างไร"คำนั้นเป็นดั่งสัญญาณให้ชักกระบี่

ดั่งนั้นกระบี่ของข้าจึงไม่ลังเล ยามคมกระบี่เย็นจ่อเข้ามาจนขนหลังคอลุกชูชัน กระบี่ของข้ากับมันก็กวัดแกว่งสอดประสาน ทั้งข้าและเขาไม่ว่าใครก็ไม่อาจผลัดขึ้นนำได้

จิตใจในยามนี้ใช่ว่าจะดี ทั้งสับสนปนหวาดกลัวแต่สิ่งที่ใช้ออกไปย่อมมีแต่สัญชาตญาณของร่างเท่านั้น

คงต้องถึงเวลายอมรับแล้วว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างที่ข้าคุ้นเคย เพราะมือของข้าเคยใช้มีดแค่ยามเชือดไก่ ไหนเลยวาดลวดลายกระบี่เช่นนี้ได้

"ฝูเอินหยุดก่อน"มู่ตันตะโกน

ไม่ว่าเพราะเหตุผลอะไรร่างของข้าก็หยุดไปชั่วครู่ เพียงพอให้อีกฝ่ายกระโจนเข้าหาหวังปลิดชีวิต

ฝ่ามือเย็นเฉียบดั่งน้ำแข็งจับมือข้าไว้ก่อนที่จะฟันเข้าไปที่มือของฝ่ายตรงข้าม อย่างเฉียบขาด ไร้ความลังเล

ความเย็นเฉียบเคลื่อนมาปิดดวงตา จมูกได้กลิ่นโลหิตโชยออกมาจากจุดที่กระบี่ฟัน เด่นชัดกว่าเดิม

"ไท่มู่ซาน เร็วลู่เหวินเจ้ามาช่วยข้าแบกเขาหน่อย"บุรุษผู้นั้นมีน้ำเสียงตื่นตะลึง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาหยุดที่เบื้องหน้าข้า

"ข้าสั่งเจ้าแล้วว่าห้ามลงมือ กล้าขัดคำสั่งหรือ"ครานี้เป็นแม่นางคนนั้นที่ตะโกนออกมา

พวกเขาคงไม่มีคนใดที่หวนคิดว่าในยามนี้ ผู้ที่ตื่นตะลึง โมโหและหวาดกลัวที่สุดจะเป็นข้า มือของปีศาจตนนั้นยังอยู่ที่ดวงตา กระซิบข้างหูว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรผีดิบตัวน้อยของข้า ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับเสียงจากฝันร้าย แค่ครานี้ใจของข้าสงบยิ่งนัก

"ชายคนนั้นโจมตีเข้ามา ท่านไม่อยากให้ข้าป้องกัน แท้จริงแล้วอยากให้ข้าตายหรือ"น้ำเสียงนิ่งสงบกว่าที่คาดไว้มาก จึงค่อยโล่งใจ

"นี้เจ้า...คนที่เจ้าฟันไปคือสหายของข้าและของเจ้าด้วย ท่านพ่อของข้าทำอะไรให้เจ้าเลื่อมใสนัก"เสียงของนางสั่นเทา

อีกมุมหนึ่งพวกเขาคงจะพยุงขึ้นมาได้แล้วกระมัง คิดได้ดังนั้นจึงค่อยๆ ส่งสัญญาณมือให้ปีศาจชุดขาวนำมือที่ปิดหน้าข้าลง แต่มันกลับไม่ยินยอม

"ผีดิบน้อย ข้าเอามือลงตอนนี้เจ้าคงอกสั่นขวัญแขวน ข้าสัญญากับเจ้าก็ได้รอก่อนเถิด"ว่าพลางซุกไซร้ราวกับร่างกายอบอุ่นนัก

แต่นี้ไม่ใช่เวลาจะทะเลาะยิ่งเป็นตอนที่ คาดเดาตัวตนของคนปริศนากลุ่มนี้ได้แล้ว

เยี่ยนมู่ตันธิดาเจ้าสำนักกระบี่ดารา ฟางเจิ่นหลิ่วกับไท่มู่ซานสหายของข้า ส่วนปีศาจตนนี้คงมิใช่คนของสำนักกระบี่ดาราแน่ ไม่เช่นนั้นมันต้องฆ่าไปเสียสิ้น

แม้มีจุดไม่เชื่อมโยงคงจะเป็นความสัมพันธ์กับอายุ แต่เรื่องเหล่านี้คนที่รู้มากที่สุดคงจะเป็นปีศาจผู้สวมชุดสีขาว ไม่มีใครมองเห็นมันยกเว้นข้า เช่นนั้นถ้ามีเวลาคงต้องไถ่ถามซักหน่อย