เฮาส์ออฟวิชานติ

วงศ์ตระกูลเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อสายโดยตรง แต่หมายถึงการรวมตัวของเหล่าพ่อมดแม่มดผู้ทรงเกียรติที่ได้รับประทานพรให้ถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์จากทวยเทพเบื้องบน พร้อมด้วยหน้าที่ในการปกปักรักษาอารยธรรมของมนุษยชาติแหล่งสุดท้ายของโลกซึ่งตั้งอยู่บนแผ่นดินผืนใหญ่ที่สุดอันหลงเหลือหลังจาก การกลืนกินสู่ดินแดนแห่งอันธการ อีกทั้งยังคอยถ่วงดุลอำนาจของแต่ละอาณาจักรหลังเกิด การกวาดล้างครั้งใหญ่ มหาสงครามเมื่อครั้นพันปีก่อน เป็นเหตุให้ผู้นำของแต่ละเขตการปกครองทั่วทั้งทวีปต่างรวมใจลงนามทำพันธสัญญาร่วมกัน

และเพื่อมิให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหนือหรือด้อยกว่าจึงมีการถือกำเนิด เทพพยากรณ์ (Oracle) ร่างทรงซึ่งเงื่อนไขมีเพียงทางเดียวคือได้รับการเลือกจากผู้พยากรณ์คนเก่า ให้ดำรงตำแหน่งอันมีศักดิ์เทียบเท่าผู้นำทางความคิดของบรรดาพ่อมดแม่มดทั้งมวล ซ้ำยังหมายถึงจอมเวทสูงสุดในขณะนั้นเพื่อเป็นร่างทรงผู้สืบทอดพลังอำนาจ จิตวิญญาณและคำทำนายจาก ท่านผู้นั้น ที่เหนือกว่าใครก็ตามอีกด้วย

นอกจากตำแหน่งนั้นจะพ่วงด้วยภาระอันยิ่งใหญ่ตราบจนสิ้นอายุขัยของผู้นำแล้ว ยังหมายถึงการต้องครองตนอยู่ในข้อกำหนดทั้งหลายก่อน การคัดสรร ที่เขาได้ล่วงรู้ความจริงหลังรับตำแหน่งไปแล้วว่า การสมาทานระเบียบข้อห้ามทั้งหมดทั้งมวลหาใช่บัญชาจากเหล่าทวยเทพเลยสักนิด หากแต่เป็นผลพวงของการอุปทานหมู่ไปเองจากผู้ใช้เวทในสภาเมื่อครั้นอดีต แม้กลุ่มผู้ใช้เวทจะมีพลังเหลือล้น แต่แผนการของพวกเขาและผู้พยากรณ์คนแรกกลับเลือกใช้วิธีนี้เพื่อเกลี้ยกล่อมผู้นำแต่ละฝ่ายในขณะนั้นยินยอมพร้อมใจกันคล้อยตามอย่างละมุนละม่อมเพื่อป้องกันการสูญเสีย หากตัวแทนจากที่ใดได้รับเลือกในแต่ละครั้ง หมายความถึงผู้พยากรณ์ได้เล็งเห็นแล้วว่า อาณาจักรแห่งนั้นต้องการคำทำนายและพรจากเบื้องบนเพื่อฟื้นฟูให้เท่าทันผู้อื่นเขา

แต่ในปัจจุบันแม้หลายอาณาจักรจะพัฒนาจนสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว พิธีนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปราวกับเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเภทภัยขึ้นอีกครั้งเสียมากกว่า

น่าเบื่อ

ผู้พยากรณ์คนปัจจุบันครุ่นคิดขณะนั่งหลับตาโดยไม่สนว่า ใคร จะรับรู้ได้ ภายใต้ความมืดห้อมล้อมตัวอันน่าเหน็บหนาว ร่างกายของสตีเฟนกลับได้รับการโอบล้อมโดยความอบอุ่นจากน้ำร้อนในอ่างวงกลมซึ่งตั้งอยู่กลางโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ ขนาบข้างไปด้วยสาวรับใช้สองรายผู้มีหน้าที่ดูแลร่างทรงของพวกเขาให้เพียบพร้อม ขัดสีฉวีวรรณจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณผ่องใสเนียนละเอียด รอการลงเครื่องประทินผิวบำรุงให้เปล่งปลั่งและแต่งแต้มสีสันก่อนผลิบานในยามทิวากาลของ วันแรกพบ

หรือไม่ ก็ชะล้างความโสมมที่ถูกตราหน้าจากการกระทำของเขาซึ่งใครต่อใครในปราสาทแห่งนี้ต่างรู้กันทั่ว

ให้ตายสิ ความเชื่ออะไรก็ไม่รู้ แม้แต่ผู้สื่อสารโดยตรงอย่างเขาแท้ ๆ ยังไม่เคยถูกติเตียนหรือห้ามปรามจากเบื้องบนเลยสักครา น่าสงสัยยิ่งนักว่าตัวแทนคนก่อน ๆ ไม่มีใครคิดตั้งคำถามอย่างเขาบ้างหรือ จะโอนอ่อนตามความเชื่อคร่ำครึทั้ง ๆ ที่พิสูจน์ได้แล้วก็ยังยอมเป็นหุ่นเชิดของสภาผู้ใช้เวทกันหมดเลยหรือไร ไอ้ ร่างทรงบริสุทธิ์ นั่นน่ะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ร่างกายของนักเวทคนนั้นต้องปราศจากการถูกล่วงล้ำเสียหน่อย แต่หมายถึงจิตสำนึกของผู้นั้นหากได้รับพลังเหนือกว่าผู้อื่นต่างหากเล่า หาได้ข้องเกี่ยวกับ เรื่องพรรค์นั้น สักนิดเดียว

อีกอย่าง หากยินยอมพร้อมใจกันทุกฝ่ายเพราะเขาเป็นผู้เปิดรับเสียเอง จะนับเป็นการช่วงชิงได้อย่างไร

น่ารำคาญยิ่งนัก

แต่ในขณะห้วงแห่งความคิดกำลังลอยไปไกล ทันใดนั้นสตีเฟนก็พลันรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างในโรงอาบน้ำเปลี่ยนแปลงไป รังสีที่แผ่ออกมาจนเขาสัมผัสได้ทำเอาจอมเวทยิ้มอยู่ข้างในอย่างสำราญใจ

 

"หลังจากนี้เราจัดการเองได้ มาหาเราที่ห้องหลังย่ำรุ่ง"

 

ฝ่ามือทั้งสี่ที่คอยสลับกันจับแขนยกขึ้นเพื่อนำใยบวบชุ่มน้ำขัดผิวสลับกับนวดตามเนื้อตัวเพื่อสร้างความผ่อนคลายต่างหยุดชะงัก ไม่จำเป็นต้องลืมตาก็มองเห็นสีหน้างงงวยของสองนางข้างกาย

 

"แต่ท่านยังไม่ได้—"

"เราอยากอยู่คนเดียว"

"แต่—"

"จะขัดคำสั่งเราหรือ"

 

สาวใช้ทั้งสองเงียบลงทันทีก่อนเก็บข้าวของเดินห่างผู้นำของเธอออกโรงอาบน้ำไป สตีเฟนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงน้ำในอ่างยามเขาขยับเขยื้อนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแม้จะแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม

 

"ยังเอาแต่ใจตัวเช่นเคย ท่านเทพพยากรณ์"

 

ผู้ถูกเรียกลืมตาขึ้น นั่งฟังคำค่อนแขวะไร้พิสงดังจากด้านหลังของเขาโดยไม่ได้หันไปหา

 

"หรืออยากให้ใครพบเห็นเจ้าล่ะ"

"ท่านไม่ทำเช่นนั้นหรอก"

"รู้ใช่หรือไม่ หากใครเห็นเจ้าอยู่กับเราในเวลานี้"

"ไม่ยักรู้ว่าข้าไร้ซึ่งสิทธิ์ในการชำระร่างกายของตัว"

"แต่นี่คืนก่อนวันงาน อีกอย่าง เจ้าก็ไม่ได้มาเพื่อการนั้นใช่ไหมล่ะ"

 

ผู้มาเยือนเงียบไปสักพักใหญ่จนผิดสังเกต แต่เมื่อสตีเฟนจะเริ่ม อีกฝ่ายก็ชิงพูดเสียก่อน

 

"ข้ามาเพื่อบอกลา"

"จำเป็นต้องคืนนี้ด้วยหรือ"

"ท่านเองก็รู้เหตุผลดี"

 

คำตอบนั้นทำเอาตัวแทนของนักเวทถึงกับเงียบไป เหตุใดเขาจะไม่รู้เรื่องที่ผลักชายผู้ได้รับมอบหมายให้มาพร่ำสอนก่อนกลายเป็นคนสนิทของเขาในตลอดระยะเวลาหลายปี ถึงตีตัวออกหาก ถึงกระนั้นสตีเฟนก็ยังรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยเหตุผลนานัปการที่เขาจะสรรค์สร้างปรุงแต่งมันขึ้นมา

เป็นการกระทำของคนเห็นแก่ตัวเพียงเพื่อให้คนโปรดของตนยังคงอยู่ข้างกายไม่ห่างหายไปไหน

และถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมาเพื่อกล่าวคำสุดท้ายก่อนแยกจากกันไปไกลแสนไกล

แต่สถานการณ์แบบนี้

ก็เข้าทางเขาเลยน่ะสิ ~

สตีเฟนทำทีย้ายตำแหน่งการนั่งไปอีกฝั่งหนึ่งของอ่างเพื่อหันหาและจ้องมองร่างของชายที่ยืนห่างออกไปไกลอยู่พักหนึ่ง มองสายตาผู้พูดที่พยายามมองผ่านเขาอย่างจงใจหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง พินิจพิเคราะห์ท่าทีเรียบนิ่งอย่างผิดสังเกตราวกับกำลังเก็บซ่อนความในใจบางอย่างของคนตรงหน้า

 

"ข้ามารบกวนเวลาท่านไม่นาน เพียงไม่กี่คำแล้วข้าจะจาก—"

 

แล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน เพื่อยืนยันความสงสัยของตนหลังเห็นอีกฝ่ายเงียบลงและหันหน้าหนี

ถึงกระนั้น เสียงฝีเท้าพร้อมสายน้ำไหลตามลำตัวลงกระทบพื้นห้องเงียบสงัด ดังสลับกันเรียกให้ผู้มาเพื่อกล่าวความในใจก่อนอำลาครั้งสุดท้ายกลับไปมอง

กายเปลือยเปล่าของร่างโปร่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้สหายคนสนิทของตน และถึงแม้นั่นอาจนำไปสู่สิ่งที่ทั้งสองต่างปรารถนาแต่สตีเฟนก็เห็นได้ชัดว่ามอร์โดนั้นตัดสินใจถอยหลังออกห่างจากเขา เสตามองส่วนอื่น ๆ ภายในโรงอาบน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการรับรู้ความจริงถึงสิ่งที่เทพพยากรณ์ผู้นี้ทำได้

 

"จะไปไหน มีอะไรจะกล่าวกับเรามิใช่หรือ"

 

สตีเฟนยกยิ้ม เพียงเสี้ยวความคิดของตนก็พาพวกเขาทั้งสองย้ายร่างในชั่วพริบตาและนั่นทำให้มอร์โดเสียการทรงตัวเมื่อด้านหลังอันว่างเปล่ากลับกลายเป็นสิ่งของบางอย่างชนเข้าให้เขาลงนั่งบนเบาะนุ่ม ผู้นำความคิดนั้นจับจ้องชายผู้มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยแววตาอย่างตื่นตระหนกเมื่อการตกแต่งภายในห้องทำให้รู้ในทันทีว่าพวกเขากำลังอยู่ที่ไหน

 

"ข้าเกรงว่าเรา—"

 

สตีเฟนไม่รีรอ ตัดบทสหายของตนด้วยการโผเข้าหาเพื่อแนบปากดับเสียงพูดนั้น ในขณะที่มอร์โดยังคงตกใจและงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นสตีเฟนก็รีบฉวยโอกาสในการปรับท่าทาง ใช้สองขาคร่อมตักและสองแขนกอดรอบคอ รัดรึงชายตรงหน้าไม่ให้จากเขาไปไหน

นี่ล่ะ ที่เขารอคอย

รสร้อนของราคะแสนหวานหอม

 

"พวกเราไม่ควรทำเช่นนี้อีก หากความหลุดออกไปยังนอกสถาน—"

 

ถึงอีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนีเพื่อนำปากหลุดจากการประสานแต่เจ้าของชื่อก็ไม่สนใจคำท้วงติง ดึงมือแกร่งสีเข้มทั้งสองมาวางข้างอกก่อนที่ตัวเองจะกลับไปกอดคอรั้งเจ้าของตักกลับมาจูบอีกครั้ง แถมยังใช้ทรงตัวในการโยกเอวไปหน้ามาหลังอย่างยั่วเย้าเพื่อนำความต้องการที่ปกคลุมความเป็นเหตุเป็นผลในใจของตน แผ่ขยายและโอบล้อมให้หลงเข้าไปในกลุ่มควันแห่งตัณหาที่เขากำลังมัวเมาอยู่ในนั้น

ดั่งมนุษย์ผู้กระหายจากการรับรู้ถึงแหล่งน้ำหลังได้สัมผัสความชุ่มฉ่ำของมัน สตีเฟนยังคงไม่ลดละในการรุกล้ำโพรงปากอีกทั้งยังดูดดุนลิ้นร้อนแสนชื้นแฉะไม่ยอมปล่อย ครั้นอีกฝ่ายดึงกลับได้ก็ยังไม่ยอมแพ้ เม้มดึงปากล่างแสนนุ่มของมอร์โดจนมันฉ่ำวาวด้วยน้ำลายของเขาก่อนผละออก มือหนึ่งเกี่ยวสาบเสื้อคลุมที่ปกปิดคอให้เปิดออกก่อนละเลงปากของตนทำรอยบนผิวนั้น

 

"เอ่ยนามของเรา"

"สเตรนจ์—"

"อืมมม ... ไม่ใช่สิ"

 

สตีเฟนรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าตนเพียงใด แต่ท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ อย่างคนหลงทางอยู่ในความคิดของตนของมอร์โดเป็นโอกาสชั้นเยี่ยมให้มือเรียวไล่ปลดเครื่องแต่งกายออกทีละชิ้น

เริ่มจากเข็มขัดหนังเส้นใหญ่แสนน่ารำคาญที่คาดรอบเอวก่อนดีกว่า

 

"เราจะคิดถึงไออุ่นที่เจ้ามอบให้"

"สเตรนจ์"

"คิดถึงความเป็นชายของเจ้าตรงนี้"

 

เขาปัดป้องมือที่ยันตัวเองให้ออกห่าง ลุกยืนเข่าเพื่อเปิดสาบเสื้อหลาย ๆ ชั้นที่ถูกรัดรวบไว้ให้ทับกันคลายออกอย่างหลุดลุ่ยจนเห็นแผงอกและหน้าท้องแกร่ง จัดท่านั่งของตนเสียใหม่ก่อนหย่อนตัวกระแทกโดยจับให้แก่นกายของตนปล่อยพาดกับท้องน้อย สตีเฟนสวมกอดพลางเอนตัวให้ด้านหน้าของพวกเขาเบียดชิด โยกเอวเสียดสีกายเนื้อของเขาถูไถอยู่ระหว่างท้องน้อยเปลือยเปล่าของพวกเขา วางตำแหน่งหัวอยู่ข้างกันและสตีเฟนหันไปครางเสียงกระเส่าและพ่นลมร้อนรดหูชายที่ตนต้องการในเวลานี้

 

"สเตรนจ์ ตั้งสติหน่อยเถอะ"

"เจ้าก็ต้องการเราใช่ไหม ที่เรารู้สึกคือความปรารถนาในเรือนร่างของเราใช่หรือไม่"

 

นิดเดียว

อีกนิดเดียว สตีเฟนก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการเพื่อสนองความใคร่อันเป็นดั่งไฟคอยแผดเผาใจของเขาอยู่ตลอดเวลา แค่คิดถึงอนาคตอันใกล้ก็แทบคลั่ง ยิ่งทำก็ยิ่งโหยหาและอยากจะทำมันไปเรื่อย ๆ อยากอยู่ในห้วงแห่งความสุขสมอยู่อย่างนี้

อีกนิดเดียว

 

"เราต้องการเจ้า"

 

สตีเฟนส่งคำร้องขอด้วยน้ำเสียงแลท่าทีออดอ้อนอย่างที่เคยใช้ ปลายนิ้วขีดเขียนไล้วนอย่างเบามือบนท้ายทอยขณะนำกลีบปากคู่สวยของตนปัดผ่านใบหูเฉียดไปเฉียดมาทีละนิด

รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีวันปฏิเสธเขาได้

และดูท่าประโยคสุดท้ายสามารถดึงเอามอร์โดยอมร่วงกลับสู่เหวลึกอีกครั้ง เมื่อเจ้าของตักผู้ปฏิเสธความต้องการตัวเองมานานแสนนาน นำสองมือรองใต้บั้นท้ายและบีบเคล้นชวนเสียวซ่านจนเผลอครางอย่างพออกพอใจ

และเมื่อผิวเนียนสวยได้รับการพรมจูบตามแนวคอ

ไล้ลงอย่างเนิบนาบจนทำซ้ำ ๆ อยู่เหนืออก

เมื่อนั้น งานรื่นเริงที่แท้จริงก็ได้เริ่มต้นขึ้น

 

.

.

.

 

"หากไม่เบาเสียง"

"ให้ผู้อื่นรับฟังไปสิ"

"เอาแต่ใจเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน"

"ตะ .. ตรงนั้นนน"

 

บทสนทนาสลับเสียงครางดังสะท้อนทั่วห้องจนไม่สามารถแยกเสียงใครเป็นใคร ผิวขาวขึ้นสีแดงระเรื่ออันเป็นผลของความร้อนจากการกระทำร่วมกันระหว่างพวกเขาทั้งสอง ขายาวอ้ากว้างแล้วพับเกาะเกี่ยวพร้อมไขว้เท้าเอาไว้เพื่อกอดเอวรั้งอีกร่างไม่ให้ออกห่างไกลเกินควร สองมือกำปลายหมอนใต้หัวตัวเองเสียแน่น ปล่อยร่างกายของตนรับแรงอัดกระแทกจนขยับเขยื้อนตามจังหวะ

 

"ดี ... ดีเหลือเกิน ฮ้า ~"

 

สตีเฟนนอนหลับตาเชิดหน้า ปากสีจางที่เข้มขึ้นเพราะถูกบดขยี้มานานขยับร้องครวญครางอย่างไร้ซึ่งยางอายหรือสติในการยับยั้งชั่งใจ ความเป็นชายของคนตรงหน้าไม่เคยล้มเหลวในการเติมเต็มรูสวาทของเขาเลยสักครา

ให้เขาหยุดได้อย่างไรหากทำแล้วจะเป็นสุขถึงเพียงนี้

การเปลี่ยนแปลงในท่าทางทำเอาเปลือกตาเปิดแสดงลูกแก้วสีสวยอีกครั้ง ร่างกำยำของมอร์โดขยับขึ้นมาโน้มตัวคร่อมบนร่างเขาไว้ สตีเฟนปล่อยปลายหมอนไปสอดใต้วงแขนผู้อยู่เหนือกว่าเพื่อสวมกอดไว้ไม่ห่าง

พร้อมอ้าปากรับรสจูบที่ไม่มีใครให้ได้นอกจากคนตรงหน้า

สองร่างเปลือยเปล่าที่กำลังสอดประสานต่างกอดก่ายเสียแน่นและขยับเป็นจังหวะเดียวกัน

ใกล้แล้ว

ใกล้เข้าไปทุกที

และเมื่อร่างข้างใต้ผละการประสานปากบนมาเงยหน้าร้องเพลงแสนหวาน ปากอีกคู่ก็กดไล้ตามแนวคอของเขาอย่างรู้งาน

นี่ล่ะ สาเหตุว่าทำไมชายผู้นี้จึงเป็นคนโปรดของเขา

 

"สตีเฟน ... เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน"

"ฮึก ก ... คาร์ล ... ตรงนั้น น ... คาร์ล ~"

 

สองชื่อผลัดกันดังจากปากคนทั้งคู่สลับไปมา และไม่นานนักร่างกายสองฝ่ายก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลวจากส่วนอ่อนไหวที่ส่ายไปมาระหว่างหน้าท้องของพวกเขาผสมเข้ากับเหงื่อจนเนื้อตัวเหนอะหนะ ร่างบางยามถึงฝั่งฝันนั้นดิ้นเร่าและแอ่นตัวโค้งลอย กล้ามเนื้อเกร็งตัวจากอารมณ์ร้อนทำเอาช่องทางด้านล่างบีบตัวตอดรัดของรักเสียแน่นเค้นน้ำกามฉีดเติมเต็มภายใน รวมถึงกอดรับมอร์โดที่กระแทกย้ำ ๆ อีกสองสามทีอันเป็นอาการเมื่อถึงที่หมาย

พวกเขายังคงกอดจูบกันอย่างโหยหา สตีเฟนชื่นชอบเวลาได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัสชายผู้เอาแต่อดกลั้นมานานภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแสดงความต้องการในตัวเขา เหมือนนั่งมองเขื่อนกั้นน้ำที่ทนทานแรงดันไม่ไหวจนพังทลายลงหลังโดนกะเทาะให้มีรอยร้าวอย่างต่อเนื่องมายาวนาน และมันกลายเป็นความรู้สึกที่สตีเฟนนั้นเสพติดจนขาดมันไม่ได้

สาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเดินจากเขาไปด้วยตัวเอง

ทันทีที่มอร์โดขยับเปลี่ยนเป็นนอนหงายสตีเฟนก็ไม่รอช้าพลิกหันเข้าหา วางตัวนอนในอ้อมแขนที่เปิดรอเขาอยู่อย่างเช่นเคย

อบอุ่น

อบอุ่นเหลือเกิน

แม้เหลือเวลาเพียงน้อยนิดก็ตามที

 

"ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอเจ้า"

 

หลังจากนอนกอดก่ายกันในความเงียบมานานแสนนาน มอร์โดก็ได้พูดขึ้นและมีเพียงเสียงในลำคอจากเจ้าของห้องถามกลับ

 

"ช่วยพูดความจริงกับข้าได้หรือไม่"

"หมายความอย่างไร"

"เจ้าใคร่การเสพสังวาส แต่ไม่เคยปรารถนาจะครองคู่กับข้าเลย ... ใช่หรือไม่"

 

สตีเฟนที่ได้ฟังคำถามก็นอนเงียบไปพักหนึ่งซึ่งก็ค่าเท่ากับการตอบกลาย ๆ ไปเสียแล้ว ถึงแม้จะอยากออดอ้อนและดึงรั้งด้วยคำหวานเพียงใดแต่พวกเขาก็รู้อยู่ลึก ๆ มาโดยตลอดโดยเฉพาะในใจของผู้ไถ่ถาม

 

"ถ้าเราไม่ปฏิเสธ เจ้าจะว่าอย่างไร"

 

เขาตอบพลางจ้องมองใบหน้าของชายผู้หันหา

มีเพียงรอยยิ้มแสนอ่อนโยนส่งกลับมา

พร้อมกับมือแกร่งวางลงบนหัวของเขา ลูบผมอย่างแผ่วเบา

อ่อนโยนเหลือเกิน

 

"ความจริงใจที่แม้รู้ดีว่ามันโหดร้ายต่อผู้ฟังแต่เจ้าก็ยังเลือกความสัตย์ เป็นเหตุผลให้ข้าตัดใจจากเจ้าได้ยากเหลือเกิน"

 

สตีเฟนไม่มั่นใจว่าตนควรแสดงท่าทีหรือตอบกลับอย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปแต่เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียตนต้องไปครองคู่กับผู้อื่น อีกอย่าง ความต่างด้านความเชื่อ แนวทางและอุดมการณ์ของพวกเขามันมากเกินกว่าจะไปด้วยกันได้ เขาจึงไม่เคยคิดเรื่องที่ลึกซึ้งหรืออยู่เหนือกว่ารสชาติของน้ำกามเลย

อย่างไรเสีย

จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยยามแววตาเศร้าสร้อยคู่นั้นมองมา ก็คงใจไม้ไส้ระกำไปหน่อยกระมัง

พวกเขาอยู่อย่างนั้นสักพักจนรับรู้ถึงเวลาล่วงเลยผ่านจนสิ้นลง เขานอนมองมอร์โดพยายามจัดท่าทางให้เขาได้นอนสบายที่สุดก่อนจะลุกจากเตียง

และสตีเฟนก็รีบคว้ามือเอาไว้

ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยท่าที่รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายนั้นโปรดปรานเพียงใด

 

"อยู่กับเราทั้งคืนไม่ได้หรือ"

"ข้าต้องรีบเดินทาง"

"แต่เราต้องการเจ้า"

 

และสตีเฟนก็ได้ฟังเสียงหัวเราะของชายผู้หันกลับมาหาพร้อมรอยยิ้ม

 

"ข้าอยากรู้นัก ผู้ใดจักเติมเต็มความปรารถนาที่ไม่สิ้นสุดของเจ้าได้"

"รู้เช่นนั้นแล้ว จะทิ้งเราไปก่อนแสงแรกมาถึงอย่างนั้นน่ะหรือ"

 

สตีเฟนเอ่ยชวนเป็นครั้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ของเขาได้หมดฤทธิ์ลงเสียแล้ว

มันคงถึงเวลา

เขามองมือที่ใช้ดึงรั้งอีกฝ่ายไว้ ถูกจับยกขึ้นเพื่อสัมผัสกับปากของชายผู้โน้มลงมาประทับหลังมือของตนอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความรู้สึก

ก่อนจะหายลับไป

ทิ้งให้เทพพยากรณ์ผู้สูงศักดิ์ให้อยู่บนเตียงของเขาเพียงลำพัง

นั่งแตะปลายนิ้วลงบนปากของตนเม้มเบา ๆ

หลงวนเวียนอยู่ในภาพความคิดแสนหวานถึงอนาคตที่กำลังจะมา

 

.

.

.

 

พร้อมรอยยิ้มแสนเริงร่า 

 

.

.

.

 

ได้เวลาแล้วสินะ ~

 

.

.

.

 

—TBC—

 


 

A/N: ไม่เคยแต่งภาษาแบบนี้เลย แปลกมือสุด ๆ ไปเลยค่ะ uwu หากใช้คำผิดอะไรยังท้วงติงได้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ