(มีการบรรยายถึงบาดแผลและเลือด)

 

เมื่อเรียกสติกลับมาได้ก่อน เธย์เลียสจึงตวัดมือเรียวด้วยความรวดเร็วดั่งใจนึก เสกผ้าคาดตามาปิดบังดวงตาตัวเองไว้เป็นอันดับแรก ก่อนจะนึกได้ว่าการปิดตาตนเองไว้เฉย ๆ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีนัก ข้อมือเรียวสวยตวัดขึ้นลงอีกครั้ง ชุดสวมใส่จำนวนปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป ลอยอยู่ตรงหน้าเจ้าของเส้นผมสีเพลิงผู้นั้น

“เสียมารยาทแล้ว”

น้ำเสียงทุ่มนุ่มลึกกล่าวขึ้นพร้อมก้าวขาออกจากโลงคริสตัลจนได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของน้ำ มือหนาเอื้อมมาหยิบชุดเหล่านั้น สวมใส่ทีละตัวตั้งแต่ชุดเสื้อตัวในจนถึงเสื้อคลุม เขารู้สึกว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้นั้นช่างเข้าใจเสกสรรมันออกมาได้เข้ากับเขานัก เป็นชุดแบบเดียวกับที่เจ้าตัวผู้เสกขึ้นมาสวมใส่อยู่ เสื้อตัวในที่ทบกันรัดด้วยสายคาดเอว กางเกงยาวถูกเสื้อตัวในที่ยาวกว่าทับซ้อนไว้ข้างในและเสื้อคลุมตัวยาวปกปิดไปทั้งตัวอีกชั้น เป็นรูปแบบที่เหมือนกันทุกประการเพียงแต่ชุดของเขานั้นเป็นสีดำขลิบประกายเพลิง ส่วนอีกฝ่ายเป็นสีขาวไข่มุกขลิบสีประกายน้ำเงินทะเลลึกเช่นเดียวกับสีผมของผู้สวมใส่

เมื่อสวมใส่ชุดปกปิดความไม่เรียบร้อยต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว นัยน์ตาสีรัตติกาลก็จับจ้องไปที่คนตรงหน้าที่กำลังใช้ผ้าคาดตายืนหันข้างอีกชัด ๆ อีกครั้ง

รูปร่างตัวเล็กกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะแต่ไม่ได้ทำให้ความสง่างามลดลง สวมชุดคลุมสีขาวที่ส่งให้เจ้าตัวดูงดงามยิ่งกว่าเดิม หากเป็นผู้อื่นอาจจะกลายเป็นเพียงชุดขาวซีดไร้ชีวิตชีวา แต่กับผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้มันต่างออกไป คิ้วโค้งสวยรับกับกรอบหน้า จมูกโด่งรั้นขึ้นมาเล็กน้อย ปากหยักได้รูปคล้ายจะเหยียดยิ้มตลอดเวลา ดวงตาห้วงมหรรณพที่หากเผลอสบตาก็ถูกดึงดูดให้จมลงไปในนั้น ประกายสีเงินสว่างส่งออกมาจากรอบตัวราวกับต้องการบอกให้ผู้ที่เห็นรับรู้ถึงความสง่างามที่เจ้าของร่างนี้มี ยามขยับกายเพียงเล็กน้อย ประกายงดงามเหล่านั้นก็สั่นไหวเคลื่อนไปมารับการกระทำ ผู้มีนัยน์ตารัติกาลพลันกระตุกยิ้มขึ้นกับภาพที่เห็นเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บมันกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยกลัวจะเสียมารยาท

เทพนิรันดร์ผู้ไม่ได้รับรู้ถึงความชื่นชมที่เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลมอบให้ในใจสะบัดมือเก็บผ้าคาดตานั้นไป เมื่อสัมผัสได้ว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ร่างเปลือยเปล่าของครึ่งเทพครึ่งปีศาจ ก้าวเท้าที่เจ้าตัวคิดว่าซีดเซียวไปยังภายใน ทิ้งตัวนั่งลงตรงเตียงมวลเมฆ ทุกการกระทำยังคงอยู่ในสายตาของเจ้าของเรือนผมสีเพลิงนั้น ความรู้สึกกระดากอายยังติดอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย

“ไม่คิดว่าจะฟื้นไวเพียงนี้” เทพนิรันดร์กล่าวด้วยเสียงเรียบเย็นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หัวหางประโยคจับต้นชนปลายไม่ถูก ด้วยนิสัยไม่ชอบพูดให้มากความ เธย์เลียสมักจะกล่าวอะไรสั้น ๆ กระชับให้ได้ใจความมากกว่าจะเกริ่นยืดยาว ส่วนคนฟังจะเข้าใจหรือไม่ก็ไปจับความเอาเองเสีย

“พลังของท่านแข็งแกร่ง เมื่อรับมาแล้วย่อมต้องเห็นผลไว ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตไว้ เสียมารยาทหลายครั้งแล้ว น่าละอายนัก” เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเรือนผมสีเพลิงผู้นี้ชอบการพูดจายืดยาว นัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกสบตาผู้ที่อยู่ตรงหน้า ชุดสวมใส่ที่เขาเสกขึ้นมาอย่างส่ง ๆ กลับดูดีนักเมื่ออยู่บนร่างของเจ้าของเรือนผมสีเพลิง เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าดูดีแค่ไหน สวมใส่ชุดส่ง ๆ ยังดูแตกต่างจากคนทั่วไปนัก เรียวปากหยัดยิ้ม นัยน์ตากลมโตส่องประกายสดใส โดยรวมแล้วไม่ใกล้เคียงเหมือนเพิ่งโดนฉุดขึ้นมาจากเส้นความตายสักนิด

ดวงตาสองคู่สบตากันค้างกลางอากาศ เธย์เลียสละสายตาจางนัยน์ตากลมรัตติกาลคู่นั้น คิดไม่ถึงว่ารูปร่างสูงใหญ่ให้ความรู้สึกราวกับถูกกดทับด้วยภูเขาลูกใหญ่ เมื่อสบตากลมแล้วกลับให้ความรู้สึกที่แปลกไป นัยน์ตาคู่นั้นกลมโตมีรอยยิ้มส่งไปถึงตาแม้จะไม่ได้เหยียดยิ้ม เครื่องหน้าคมคายด้วยคิ้วเข้มชี้ขึ้นราวกับกระบี่ จมูกโด่งสันรับกับริมฝีปาก เมื่อรวมกับดวงตาสดใสคู่นั้นกลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจากคราแรกที่เห็นเพียงข้างหลัง

“ท่านเทพ ข้า ไซรัส ขอบคุณท่านที่ช่วยไว้ เมื่อสองวันก่อนข้าถูกวางแผนลอบทำร้ายถึงชีวิต หากไม่ได้สร้อยเส้นนั้นนำพามาที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีชีวิตเหลือแล้ว” ไม่ต้องให้เอ่ยถาม ไซรัสก็อธิบายยืดยาว

เขาถูกคลื่นพลังที่มองไม่เห็นส่งตัวมายังที่แห่งนี้เพราะสิ่งที่ท่านอาจารย์มอบให้ไว้ครั้งยังอยู่แดนปีศาจ กำชับนักหนาเช้าเย็นว่าเมื่อถึงจวนจะเจียนตาย ให้ถ่ายพลังลงไปในสร้อยเส้นนี้ แล้วโชคชะตาจะพาไป เขาถามอาจารย์ผู้เอาแน่เอานอนผู้นั้นไม่ได้ว่าจวนจะตายหมายถึงยามใด ข้าจะบาดเจ็บหนักงั้นหรือ กลับได้รับคำตอบมาว่า 'เมื่อยามที่ปีกหัก' หลังจากนั้นเจ้าของเรือนผมสีเพลิงก็คร้านหาความใด ๆ ต่อจากอาจารย์ตนเอง เวลาล่วงเลยผ่านมาหลายพันปี เมื่อหลายวันก่อนที่ถูกบั่นปีกทั้งสองข้างออกไปทำให้เขาได้รู้ว่าถึงเวลาแล้ว

หลังจากรู้สึกราวกับทั่วทั้งร่างจะแหลกสลายเป็นเถ้า บริเวณที่เคยมีปีกใหญ่ทั้งไว้แต่รอยแผลสร้างความเจ็บช้ำ เขารู้สึกตัวเพราะความรู้สึกราวกับถูกโอบกอดด้วยพลังที่อบอุ่นนับร้อยสาย ความเจ็บปวดเจียนตายที่ได้รับก่อนหน้าพลันหายไป คลื่นน้ำมอบความรู้สึกอบอุ่นจนลืมสิ้นความเจ็บปวดทั้งหลาย ไร้ปีกแล้วอย่างไร บาดเจ็บแล้วอย่างไร เดิมทีเขาก็แข็งแรงไร้สิ่งใดทำร้ายได้ เพียงแต่ครั้งนี้ถูกเล่นสกปรก วางยาพิษ ตัดลู่ทางให้หลบหนีจนปีกถูกเฉือนทิ้ง

แต่แล้วอย่างไร ความรู้สึกและเรื่องราวเหล่านั้นผ่านมาแล้ว ตอนนี้เขาต้องการรู้เพียงเจ้าของกระแสพลังที่อบอุ่นเหล่านั้นเป็นใคร

“พูดจายืดยาว” เธย์เลียสตอบกลับด้วยเสียงเย็นเรียบเช่นเคย กะพริบนัยน์ตาเรียวหงส์เบา ๆ สองสามครั้ง เขาไม่ได้อยากรู้อะไรจากคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ สำหรับเขา รักษาก็แล้วแล้ว เหลือเพียงดูแลเท่าที่ทำได้ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาก็เท่านั้น ให้ชวนคุยหรือมอบความสงสารให้อะไรแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งจากชีวิตก่อนหน้าและหลังจากการตื่นขึ้นมา ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะละทิ้งความรู้สึกทุกประการที่จะไปมอบให้ผู้อื่น

เธย์เลียสละความสนใจจากเรื่องหยุมหยิมในใจ สะบัดข้อมือสวยเพื่อเรียกโต๊ะอาหารขึ้นมาอยู่กึ่งกลางระยะห่างของทั้งสองคน อาหารมนุษย์รูปร่างหน้าตาหลากหลายวางเรียงรายส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำลาย

“กินอาหารมนุษย์หรือไม่” เธย์เลียสนั่งลง จับตะเกียบคีบอาหาร ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเช่นเคย ท่วงท่าของเทพเรือนผมสีน้ำทะเลลึกชวนให้รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวล้วนถูกหยุดเวลาไว้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่เร่งรีบ ทั้งวาจา การขยับกาย

ไซรัสขยับตัวลงนั่งลงตรงข้าม หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากเป็นคำตอบว่าตนกินอาหารมนุษย์ได้

หนึ่งเทพหนึ่งครึ่งเทพร่วมมื้ออาหารกันอย่างเงียบ ๆ ต่อไป ไซรัสเป็นคนฉลาด เขาเพียงปราดตามองรอบเดียวก็รู้แล้วว่าเทพผู้นี้รักความสงบเรียบง่ายนัก จะเอ่ยปากพูดอะไรออกไปอาจจะทำให้รำคาญได้ นัยน์ตารัตติกาลประกายเลยเลือกจะสำรวจไปรอบ ๆ ระหว่างคีบอาหารเข้าปากแทน

ภายในนี้เหมือนกับอาคารน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ ผนังรอบ ๆ ล้วนเป็นคริสตัลและน้ำแข็ง แต่ถึงอย่างนั้นอุณภูมิกลับอบอุ่น ไม่ได้มอบความหนาวให้แต่อย่างใด ข้าวของเครื่องใช้ภายในก็เรียบง่ายเหมือนกับชุดที่เจ้าตัวใส่ ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวไข่มุก มีสีฟ้าและสีน้ำเงินตัดเข้มบ้างบางส่วน แต่โดยรวม ก็แทบจะขาวโพลน ส่วนมุมห้องเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเตียงนอนที่ไซรัสเคยเห็นแบบปกติ แต่เป็นเหมือนก้อนเมฆที่ลอยเหนือพื้นประมาณหัวเข่า ขนาดกว้างพอให้คนนอนลงไปได้สามคน หากไม่มีหมอนกับผ้าห่มวางไว้อย่างเป็นระเบียงตรงปลายก็คงจะดูไม่ออกว่าเอาไว้ใช้สำหรับนอน นอกจากเตียงมวลเมฆปุกปุยแล้ว ส่วนอื่น ๆ ในห้องนั้นล้วนเรียบง่าย เรียบง่ายและธรรมดาเสียจนไม่คิดว่าจะเป็นที่พักอาศัยของเทพในตำนานที่เคยถูกกล่าวถึงในตำราเรียนบ่อย ๆ

หากจะกล่าวว่านี่คือคุกที่สว่างราวกับอยู่ในแท่นพิธี ก็น่าจะไม่เกินจริงสักเท่าไหร่นัก

“ท่านถูกขังไว้ที่นี่หรือ” สุดท้ายเจ้าครึ่งเทพครึ่งปีศาจอีกาไม่รู้จักเจ็บตัวตนนี้ก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยความอดไม่ได้

“ไม่ใช่”

“ถ้าอย่างนั้นท่านขังตัวเองไว้หรือ”

“อาจจะใช่”

ไซรัสไม่ได้ตอบอะไรกลับไปคีบอาหารเข้าปากต่ออีกครั้ง ถึงจะเป็นอีกาขี้สงสัยแต่เขารู้ขอบเขตดีว่าครั้งไหนควรพูด ครั้งไหนควรงับปากตนเองไว้ให้สนิท

“ตาเฒ่าบอกอะไรบ้าง” อีกครั้งที่เทพนิรันดร์ผู้นี้กล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากสำหรับไซรัสนัก ถึงแม้จะตกใจกับการเรียกขานอาจารย์เขาว่าตาเฒ่าอยู่บ้าง

“เรื่องใดหรือ เรื่องสร้อยหรือเรื่องท่าน”

“เจ้ารู้จักข้ามาก่อนหรือ”

“ไม่”

“เช่นนั้นก็พูดเรื่องที่เจ้ารู้”

“อาจารย์บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาจะรู้เอง เพียงปล่อยให้สร้อยนำพาไปหาโชคชะตา แต่ท่านพ่อกล่าวกำชับเสริมว่าโชคชะตาจะพาข้าไปหาเทพองค์หนึ่ง”

“บิดาเจ้าคือผู้ใด”

“ซีนาห์ องค์รักษ์ส่วนพระองค์ราชินี”

ได้ยินดังนั้นเธย์เลียสจึงว่างตะเกียบลง คิ้วโค้งกระตุกเกร็งปวดขมับ จริงอย่างที่เขาคิดไว้ ตาเฒ่าและปีศาจงูตนนั้นไม่คิดจะอธิบายอะไรเช่นนี้แปลว่าไม่มีท่าทีจะมารับศิษย์อีกาและลูกตนนี้ของตัวเองเร็ว ๆ นี้ ซ้ำยังไม่บอกอะไรเพิ่มเติมอีก

ครั้งเมื่ออยู่แดนปีศาจเขาเพียงรับรู้ว่าซีนาห์มีลูกชายเป็นปีศาจอีกาตนหนึ่ง ไม่เคยได้รับรู้ว่าจะเป็นครึ่งเทพเช่นนี้ อีกอย่างเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะรับรู้เรื่องส่วนตัวขององค์รักษ์ส่วนพระองค์ราชินีปีศาจหรอก จะเรียกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตาเฒ่าและองค์รักษ์นั่นว่าอย่างไร ล้วนนึกไม่ออก สหายก็ไม่ใช่ ศัตรูก็ไม่เชิง

“ตอนนี้อาจารย์เจ้าอยู่ที่ใด”

“ตั้งแต่ออกจากแดนปีศาจไปภพมนุษย์เมื่อหลายปีก่อนก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย ไม่สามารถตามหาได้”

ได้ยินดังนั้นก็ชวนให้อยากถอนหายใจอีกครั้ง แต่การแสดงออกยังเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย 

“ข้ากับอาจารย์ของเจ้าทำพันธะสัญญาร่วมกัน การที่เจ้าถูกพามาที่นี่คือข้อตกลง หากอยากกลับแดนปีศาจไปแก้แค้นก็จงไปเสีย เจ็บป่วยเพียงแค่กลับมาให้ข้ารักษา ไม่รู้ว่าตาเฒ่าจะฝากเจ้าไว้นานแค่ไหน และยิ่งไม่รู้หนทางกลับแดนปีศาจ”

เป็นครั้งแรกที่ไซรัสได้ยินเสียงเย็นเรียบกล่าวยืดยาว เขามองนัยน์ตาสีน้ำทะเลลึกนั้นแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดเทพที่งดงามผู้นี้ถึงมากักขังตนเองไว้ที่ไกลแสนไกลอย่างทะเลใต้แห่งนี้

เธย์เลียสเห็นไซรัสเหม่อไปจึงคิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะกลับไป เขาสะบัดมือสองครั้งเรียกกำไลเงินสวมข้อมือขึ้นมาส่งไปสวมไว้ที่แขนไซรัส

“หากจะเข้าออกห้วงมิติจงใช้สิ่งนี้”

“ขอบคุณ เพียงแต่ข้าคงยังกลับไปไม่ได้ เมื่อไม่มีปีก ข้าก็กลับแดนปีศาจไม่ได้ แต่ถึงกลับไปได้ก็ไม่ใช่เวลานี้” ไซรัสส่งยิ้มบาง ๆ วางตะเกียบแสดงให้เห็นว่ามื้ออาหารนี้จบลงแล้วสำหรับทั้งสองคน เธย์เลียสไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ก้าวเท้าไปยังเตียงเมฆของตน

“เช่นนั้นก็แค่นำปีกกลับมา” เธย์เลียส

“ข้าไม่คิดว่าจะทำเช่นนั้นได้”

“ทำได้” เธย์เลียสล้มตัวลงนอน สองมือวางประสานไว้ที่หน้าท้อง ปิดเปลือกตาลง ไม่สนใจจะมองคู่สนทนาตรงหน้า กล่าวต่อ

“เลือกระหว่างนำปีกเก่ามาต่อกับงอกใหม่ อยู่ที่เจ้า”

“ปีกคู่นั้น ไม่แน่ว่ามันอาจโดนเผาเป็นเถ้าหรือถูกนำไปใช้เป็นของประดับไปแล้ว และข้าไม่เคยทราบว่าสามารถงอกปีกใหม่ได้อีกครั้ง” ไซรัสเอ่ยตอบพร้อมกับพยายามใช้พลังเก็บอาหารตรงหน้าไปพลางแต่ทำเท่าไหร่พลังในร่างกายก็ไม่ปรากฎออกมา จึงใช้สองมือค่อย ๆ บรรจงเก็บทีละอย่าง นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ไม่ได้ทำเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้กับมือเอง

“เพียงรอดู เท่านี้ก็รู้แล้ว” เธย์เลียสสะบัดกลางอากาศมือสองครั้ง พลันอาหารทั้งหลายบนโต๊ะก็หายไป มือหนาของไซรัสชะงักค้างก่อนจะเก็บลงอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นห้วงมิติของเธย์เลียส ทำให้พลังครึ่งเทพของเขาไม่สามารถใช้ได้ คิดแล้วก็ยู่ปากเล็กน้อย

“เตรียมตัวให้ดี อีกประมาณห้าวันคงได้เจ็บหนักอีกครั้ง ห้องของเจ้าอยู่อยู่ฝั่งตะวันตก ไปเถอะ” เธย์เลียสดีดนิ้วก่อนที่ไซรัสจะได้กล่าวอะไรต่อ คลื่นพลังบางอย่างหมุนวนอยู่ตรงหน้าไซรัส รู้ตัวอีกทีเขาก็มาโผล่อยู่ในห้องที่มีลักษณะคล้ายกับห้องเมื่อสักครู่ เพียงแค่ห้องนี้มีตู้ โต๊ะ และเตียงนอนเช่นปกติ เห็นแล้วก็รู้สึกว่าช่างเป็นเตียงที่ไม่น่านอนนัก หากมีโอกาสอาจจะลองขอให้เทพผู้นั้นเสกเตียงเมฆให้บ้าง

ไซรัสหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ ปกติแล้วตอนอยู่แดนปีศาจ เขาเป็นปีศาจอีกาที่แข็งแกร่งนัก ไม่ว่าจะพละกำลังหรือด้านอื่น ๆ ฉลาดเป็นกรด เป็นที่หนึ่งในสำนักศึกษาทุกปี งานประลองแต่ละครั้งล้วนเป็นเขาที่มีชื่ออยู่บนสุด หากเขาเป็นสอง ย่อมไม่มีใครกล้าขึ้นเป็นหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตครึ่งเทพครึ่งปีศาจตนนี้ที่รู้สึกว่าตนเองถูกโยนไปซ้ายที ขวาที ตามอะไรเทพที่พักผ่อนอยู่อีกฝั่งของอาคารนี้ไม่ทันนัก

ไซรัสย่างเท้าไปหน้ากระจก ปลดเสื้อคลุม ถอดเสื้อตัวในออก หันหลังแกร่งเพื่อดูร่องรอยบาดแผลตนเอง แผลเป็นถากยาวสองรอยกลางหลังขึ้นสีแดงแสดงร่องรอยการมีอยู่ของปีกหนึ่งคู่ ปีกของเขาไม่เหมือนกับปีศาจอีกาทั่วไป แต่มันเป็นปีกที่เมื่อสยายบินลู่ลมจะเกิดประกายเพลิงขึ้น

เขาเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูเอาใจใส่ทุกด้าน การทหาร การศึก ปราชญ์ ศิลปะ ทุก ๆ ด้านล้วนทำได้ดีเสมอม แต่ใครเล่าจะรู้ชะตาอนาคตตนเอง? ก้าวพลาดเพราะไว้ใจเพียงครั้งเดียว สูญเสียปีกและอิสระที่มีทั้งหมด ความเจ็บปวดเมื่อตอนถูกของมีคมชิ้นนั้นเฉือนปีกออกไปยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เส้นเอ็นที่ถูกกระชากออกจากกันและกัน เสียงฉีกขาดของปีกและเนื้อหนัง ความรู้สึกของโลหิตที่ไหลทะลักออกมาจากรอบตัว เพียงเห็นแผลลึกถากยาวกลางหลังตอนนี้ ความทรงจำทั้งหมดก็ไหลเวียนกลับเข้ามา

ปีกเพลิงอันเป็นเอกลักษณ์คู่นั้นเป็นที่รู้กันทั่วแดนปีศาจว่าเป็นของผู้ใด ไซรัสรักอิสระ รักการโบยบินบนท้องฟ้า ใช้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองอย่างดี สิ่งที่ควรทำก็ทำ ที่ควรคิดก็คิด สิ่งที่ไม่ควรทำก็ไม่ย่างกรายเข้าไปเฉียดใกล้

คิดแล้วก็แสยะยิ้มให้กับโชคชะตาของตนเอง ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกอะไร ไม่ใช่เขาไม่อยากกลับไปกระชากเด็ดปีกผู้ทำเช่นนี้กับเขา เพียงแต่ตอนนี้จะทำได้อย่างไร?

ไร้ปีก ไร้เรี่ยวแรง อาคมต่าง ๆ ร่ายเวทย์ต่าง ๆ ยังไม่สามารถทำได้ ถึงบาดแผลต่าง ๆ ภายนอกจะหายแล้ว แต่แผลภายในใจเล่าจะทำเช่นไร เขาจะมีหน้ากลับไปเจอผู้เลี้ยงดูเขาทั้งสองได้อย่างไรในสภาพนี้ หรือหากเป็นไปได้จริงแล้วอย่างไรต่อเล่า ตอนนี้เขาเพียงตั้งใจจะเก็บตัวไว้ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากโชคชะตามีจริงเช่นที่อาจารย์ชอบบอกเสมอ เขาก็จะรอคอยวันที่โชคชะตาของเขาและคนทรยศผู้นั้นเวียนกลับมาพบกันอีกครั้ง

เจ้าของนัยน์ตารัตติกาลส่งยิ้มบางให้กับตนเองในกระจก สวมเสื้อตัวในให้เรียบร้อย ละเรื่องจดความแค้นไว้ในใจแต่เพียงเท่านี้ เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก สิ่งใดต้องชดใช้ ย่อมต้องมีวันได้ชำระ ตอนนี้เพียงแค่รักษาตนเองและรอเวลานั้น ชีวิตของปีศาจยาวนาน ยิ่งกับปีศาจครึ่งเทพอย่างเขา จะรออีกกี่พันกี่หมื่นปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไซรัสทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มก่อนจะหลับไปในที่สุด

 

 

วันนี้เป็นวันที่ห้านับตั้งแต่วันที่ไซรัสตื่นขึ้นมาในห้วงมิติของเทพเจ้าของกระแสพลังอบอุ่นและนัยน์ตาเรียบเฉยคู่นั้น หลังจากอยู่ร่วมกันมาหลายวันหรือหากจะพูดให้ถูกคือเป็นเขาฝ่ายเดียวที่คิดว่าตนเองอยู่ร่วมกับอีกฝ่าย เพราะวันแรกเขาไม่เห็นแม้แต่เงาของเทพผู้นั้น หลังจากนั้นต่อ ๆ มาเขาก็ได้รู้ว่าเทพผู้นั้นนอนทั้งวันไม่ออกไปไหน

ห้าวันที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตของตนเองในห้อง ออกไปเดินชมบรรยากาศในห้วงมิติบ้างเมื่อรู้สึกเบื่อ ในห้วงมิตินี้เป็นเหมือนเกาะร้างที่ตั้งอยู่กลางทะเล เพียงแต่เกาะนี้เป็นคริสตัลน้ำแข็งที่แข่งกันเปล่งประกายระยิบระยับ นอกจากนี้อาคารคริสตัลแห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกระคนหนาวระคนอบอุ่น ผสมผสานกันไปหมด เสียงคลื่นทะเลที่ดังเข้ามาชวนให้ง่วงนอนจนไซรัสไม่แปลกใจที่เทพผู้นั่นเอาแต่นอนทั้งวัน นอกจากนี้เขายังได้รู้โดยบังเอิญว่าเธย์เลียสผู้ดูเยาว์วัยสง่ามงามผู้นั้นมีอายุมากกว่าสองหมื่นปีแล้วด้วย เทียบกับครึ่งอีกาครึ่งเทพอย่างเขาที่อายุเพิ่งจะหมื่นกว่าปี ก็นับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสจริง ๆ

วันนี้เป็นวันที่ท่านเทพนัดหมายไว้เพื่อช่วยจัดการเรื่องปีกให้เขา ถึงจะไม่รู้ว่าไยต้องรอห้าวัน ไยต้องวันนี้ แต่เขาก็เพียงรอเท่านั้น จะเลือกอะไรได้เล่า อีกอย่าง ที่นี่ก็สงบดี ไป ๆ มา ๆ ก็ครบกำหนดแล้ว

“ถึงเวลาแล้ว” เสียงเรียบเย็นกล่าวอย่างช้า ๆ ดังขึ้นที่หน้าห้องทำให้ไซรัสสะดุ้งหลุดจากความคิดของตนเอง รีบก้าวเท้ายาวเปิดประตูออกไปทันที เมื่อเปิดประตูออกไป ภาพที่เห็นก็ชวนให้มองนัก ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นเทพผู้นี้คือตอนที่เขาตื่นมาห้าวันก่อน ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าเทพตรงหน้าช่างดูสูงส่งสง่างามนัก ประกายสีเงินรอบตัวเคลื่อนไหวไปมาชวนให้จับต้อง

“ท่านหลับไปห้าวัน” ไซรัส

“ไม่ได้ตื่นมาสองหมื่นปี ทำอะไรล้วนเหนื่อยง่าย ต้องพักผ่อนหลังใช้พลัง” เธย์เลียสยังคงแสดงสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย ความจริงแล้วห้าวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้นอนหลับลึกอะไร เพียงแต่มัวแต่หาของวิเศษในคลังมิติตนเองจนไม่ได้ออกจากห้องของตนเองแม้แต่ก้าวเดียว ออกมาอีกทีก็เป็นวันที่สี่แล้วจึงเผลอหลับไปเพิ่งจะตื่นเมื่อเช้านี้เอง

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มคิดว่าหลังจากนี้คงต้องหมั่นใช้พลังและร่างกายให้มาก เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวเขาก็เหนื่อยแล้ว จากเดิมที่คร้านจะขยับตัวยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หรืออาจจะหลับมานานเกินไปจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงจริง ๆ

“ลำบากท่านเทพแล้ว ขอบคุณมาก”

“ขอบคุณทุกครั้งที่เห็นหน้า ไม่เบื่อหรือ” เธย์เลียสหรี่ตามองไซรัส เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนตรงหน้าจะขยันขอบคุณเขาไปถึงเมื่อไหร่ รวมไปถึงการเรียกว่าท่านเทพทุกครั้งอีกด้วย

“หากขอบคุณจริง ๆ ก็เลิกเรียกว่าท่านเทพเถอะ” เธย์เลียสพูดพร้อมกับสะบัดมือพาไซรัสมาโผล่ในถ้ำน้ำแข็งใหญ่สว่างแห่งหนึ่ง ไซรัสรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้คุ้นเคยนัก เพียงแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นสถานที่พิเศษเช่นนี้ที่ไหน

“ข้ากลัวเสียมารยาท คงไม่สามารถเรียกชื่อท่านตรง ๆ ได้” ตอบพร้อมกับก้าวสองเท้าตามท่านเทพที่กำลังเดินเข้าไปในถ้ำลึก ยิ่งเดินเข้าไปลึกยิ่งรู้สึกหนาว อีกาธาตุไฟอย่างเขาไม่ถูกกับความหนาวนัก สองมือหนาจึงกระชับเสื้อคลุมสีดำของตนเองให้แน่น

“ซีนาห์อบรมมาอย่างดี เพียงแต่ข้าไม่ได้สู่งส่งพอที่จะให้เจ้าเกรงใจจนไม่กล้าเรียกชื่อหรอก”

“ท่านรู้จักกับบิดาข้าหรือ”

“ไม่เชิง”

“ก่อนถูกทำร้าย ข้าไม่ได้กล่าวลา เกรงว่าเขาคงเป็นห่วงมาก” เมื่อนึกถึงผู้เป็นบิดาไซรัสก็พลันหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเจ็บปวดในใจ ความจริงแล้วก่อนถูกทำร้ายเขามีปากเสียงกับผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ราวกับจะไม่ได้กลับไปเจออีกแล้ว

“เขาสอนให้เจ้าขี้แงเช่นนี้หรือ” เธย์เลียสเห็นท่าทางหางลู่หูตกเช่นนั้นก็ส่ายหน้า หากเจ้ารู้จักซีนาห์ดีคงไม่หางลู่หูตกเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเขาจะส่งเจ้าเข้าสนามรบเองด้วยซ้ำ

หนึ่งเทพหนึ่งครึ่งเทพเดินเคียงคู่กันพร้อมกับสนทนาไปด้วยในถ้ำคริสตัลน้ำแข็งแห่งนี้

“เขาสอนให้ข้ารักอิสระ ข้าเรียนรู้ที่จะใช้อิสระของตน ทุก ๆ วันเพราะเขา เมื่อครั้งยังเด็กปีกของข้ายังไม่แข็งแรงพอให้บินด้วยตนเอง ข้าฝันเสมอว่าอยากจะบินไปเหนือท้องฟ้า พร้อมกับเหยียบบนเมฆมากมายเหล่านั้น เสียดายที่เมื่อทำได้กลับลืมความรู้สึกนั้นไปสิ้น ไร้ปีกแล้วถึงได้รู้ว่าช่างล้ำค่านัก”

ยังคงกล่าวยืดยาวในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกล่าว เธย์เลียสฟังแล้วปวดขมับ เหตุผลที่เขาไม่อยากสนทนากับใครนักก็เช่นนี้ การรับรู้เรื่องราวของผู้อื่นมาก ๆ เข้า ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกที่เขาไม่อยากจะรู้สึก สงสาร อิจฉา รัก โกรธ หลง ทุกอย่างล้วนมาจากการรับรู้เรื่องราวทั้งหลาย

“แล้ว...เช่นนั้นข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไรหรือ” เมื่อนึกได้ว่าตนเองเผลอพูดจายืดยาวอีกแล้วตามนิสัย ก็รีบเปลี่ยนเรื่องกลับมา

น่านน้ำ” เธย์เลียสตอบชื่อส่ง ๆ ไป จริง ๆ แล้วชื่อนี้เป็นชื่อที่เขาคิดขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ เพราะไม่ต้องการได้ยินคำว่าท่านเทพหรือเธย์เลียสออกจากปากของใครอีกแล้ว

ด้านไซรัสกลับเอียงหัวเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ถึงจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ชื่อจริง ๆ และชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อที่แปลกใหม่สำหรับมนุษย์ แต่เขาไม่คิดว่าจะมีเทพองค์ไหนเอาชื่อง่าย ๆ แบบนี้มาตั้งเป็นชื่อเล่นตัวเอง

“เป็นชื่อที่เหมาะกับท่าน” แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับคนตรงหน้าอยู่ดี

เธย์เลียสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จะเหมาะหรือไม่เหมาะเขาไม่ได้อยากคิดมากมายนัก ขาเรียวหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณเป้าหมาย ซึ่งเป็นสระน้ำพุที่อยู่ลึกสุดในถ้ำนี้ ที่นี่คือสถานที่ที่เขาใช้เพื่อรักษาตนเองทุกครั้งที่เกิดอาหารคลุ้มคลั่งเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ในน้ำล้วนเต็มไปด้วยพลังงานของเขา บรรยากาศรอบ ๆ หนาวเหน็บชวนให้กระดูกสั่นสะท้านจนด้านชา หนึ่งในสถานที่โปรดของเขาก็คือที่นี่

ไซรัสกระชับเสื้อคลุมด้วยสองมือหนาอีกครั้ง เขามั่นใจว่าตนเองไม่ใช่คนอ่อนแอขี้โรคขี้หนาวแต่อย่างใด แต่ที่นี่หนาวเหน็บสุดขั้ว หัวใจราวกับถูกแช่แข็งในน้ำแข็งนับพันตัน ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าที่ดูตัวเล็กบางกว่าเขาทนได้อย่างไร หรือเขาถูกทำร้ายจนอ่อนแอไปแล้ว?

เธย์เลียสสะบัดข้อมือสวยเรียว ในสระน้ำพลันเกิดความเคลื่อนไหว ควันขุ่นลอยพุ่งขึ้นมาจากในน้ำ ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณจนไซรัสตาลายกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

“ลงไป” เธย์เลียสหันหน้ามาบอกไซรัส คนเด็กกว่าเดินลงไปอย่างว่าง่าย เขาถอดรองเท้าวางไว้ เตรียมจะก้าวเท้าลงไปเหยียบบริเวณทางลงน้ำซึ่งเป็นบันไดน้ำแข็งสามถึงสี่ขั้น เพียงแต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงไปกลับถูกเจ้าของเรือนผมสีน้ำทะเลลึกเอ่ยทักไว้ก่อน

“ต้องให้ข้าถอดเสื้อให้ด้วยหรือ” เธย์เลียสกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะถอดเสื้อคลุมออก จริงอยู่ที่เขาไม่ได้อยากเห็นใครเปลือย แต่วิธีนี้ถ้าไม่ถอดเสื้อก็ไม่รู้จะงอกปีกจากไหน ไม่ใช่จากเสื้อคลุมนั่นแน่ ๆ

“เช่นนั้นขออภัยหากต้องเสียมารยาท”

สองมือหนาถอดเสื้อคลุมและเสื้อตัวในเหลือเพียงกางเกง ร่างที่เต็มไปด้วยสัดส่วนกำยำดูเยาว์วัย หน้าท้องมีคลื่นเนื้อหนังแน่น ผมสีเพลิงสยายไปมาไร้การผูกมัดให้เรียบร้อย ทันทีที่ย่างลงไปในน้ำ เส้นประสาททั่วทั้งร่างกายราวกับได้รับการปลดปล่อย ไซรัสสัมผัสได้ว่าร่างกายและเลือดเนื้อของตนเองกำลังสั่นไหวราวกับเต้นรำ รู้สึกคันยุบยิบไปทั่วทั้งร่างจนเผลอส่งเสียงครางออกมาในลำคอ

“อย่าเกร็ง” เธย์เลียสพลันเข้าใจว่าปฏิกิริยาของคนตรงหน้าเกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวด

ไซรัสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สูดหายใจเข้าลึกแล้วก้าวลงไปเพื่ออยู่บริเวณใจกลางสระน้ำแห่งนี้ ปิดเปลือกตาลงแล้วปล่อยให้ร่างกายเต้นระบำไปกับความรู้สึกเหล่านั้น

เธย์เลียสเห็นดังนั้นจึงหงายมือของตนไปทางสระน้ำ ประกายสีเงินออกจากร่างกาย ส่งไปยังที่ที่เจ้าของเรือนผมสีเพลิงยืนอยู่ สะบัดมือสองครั้งเพื่อเรียกของวิเศษออกมาจากคลังมิติ ขนนกสีทองลอยออกมาปรากฏตรงหน้า

เธย์เลียสใช้เวลาและแรงไปอย่างมากในการตามหาเจ้านี่ในคลังมิติตนเอง เทพทุกองค์จะมีคลังมิติเป็นของตนเอง เพียงดีดนิ้วสิ่งต่าง ๆ ก็จะเข้าไปรวมอยู่ในนั้น สำหรับเทพที่เกียจคร้านอย่างเขา แน่นอนว่าคลังมิติล้วนเต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ กว่าจะหาเจอก็กินเวลานัก ขนนกสีทองถูกเสกให้ค่อย ๆ สลายเป็นประกายระยิบระยับผสมไปกับน้ำในสระชวนให้ตาลาย

“เจ็บหรือไม่” ไม่ได้ถามเพราะความเป็นห่วง แต่เป็นเพราะว่าหากเกิดความรู้สึกเจ็บแปลว่าสิ่งนี้ได้ผลแล้วต่างหาก

“ไม่สักนิด” ไซรัสตอบไปตามตรง เขาไม่รู้เจ็บจริง ๆ มีแต่ความรู้สึกคันคะเย่อไปทั่วทั้งร่าง ราวกับมีแมวน้อยหลายตัวใช้อุ้งมือเล็กคอยตะปปชวนให้รู้สึกหนุบหนับไปทั่วทั้งร่าง ไม่มากพอให้เจ็บปวด

“รู้สึกเช่นไร”

“คล้ายกับมีแมวน้อยคลอเคลียทั่วร่าง”

ได้ยินดังนั้นเธย์เลียสพลันกระจ่าง เพราะเขาลืมสิ่งสำคัญไปเสียสนิท เขาปิดเปลือกตาเพื่อเรียกน้ำตาตนเองออกมา ปลายนิ้วเรียวตวัดจากกลางตาตนเองออกไปยังกลางอากาศ ดึงหยดน้ำตาออกมาแล้วส่งไปในน้ำ

“หลังจากนี้จะเจ็บแล้ว”

ไซรัสยังไม่ทันได้กล่าวอะไรตอบไปกลับสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ความรู้สึกเจ็บปวดที่มากกว่าครั้งตอนถูกเฉือนปีกทำให้เขาส่งเสียงคำรามออกมา ร่างกายส่วนอื่นบีบตัวหดรัด แผ่นหลังเหยียดเกร็งคล้ายจะมีบางสิ่งบางอย่างแทงทะลุออกมา ภายในบริเวณที่เคยมีปีกปริแตกออกมาอีกครั้ง ไซรัสสัมผัสได้ว่าโลหิตสีดำกำลังล้นทะลักออกมาจากภายใน แต่ถูกห้ามด้วยน้ำที่อยู่ในสระเหล่านี้ ทุกความรู้สึกของความเจ็บปวดล้วนเด่นชัด

เธย์เลียสมองภาพความทรมานตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เพียงแต่จะให้ปล่อยไว้ก็คงไร้น้ำใจเกินไป ถึงเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องน้ำใจหรือมารยาทอะไรเหล่านั้นอยู่แล้วก็ตาม แค่รู้ดีว่าความเจ็บปวดนี้มันเจียนตายแค่ไหน การถูกแทงทะลุเนื้อหนังเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทนได้ ตัดสินใจเดินลงไปในน้ำ ตรงเจ้าไปหาเจ้าของเรือนผมเพลิง

ในคราแรกไซรัสเจ็บปวดเกินกว่าจะมีเวลาได้สงสัยว่าท่านเทพตรงหน้าจะทำอะไร เพียงแต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ต้องตกใจจนลืมความเจ็บปวดนั้นสิ้น ร่างที่ตัวเล็กกว่าเขาครึ่งศีรษะสวมชุดคลุมสีขาวเปียกน้ำลู่ไปกับลำตัวจนเห็นสัดส่วนว่าคนตรงหน้าผอมบางกว่าที่เขาคิดแค่ไหน ประกายสีเงินส่งแสงออกมารอบตัวจนไซรัสตาพร่า เครื่องหน้าคมคายอ่อนโยนของไซรัสก้มลงเล็กน้อยเพื่อสบตากับคนตรงหน้า นัยน์ตาหงส์หางตาชี้ขึ้นของอีกฝ่ายกำลังมีหยาดน้ำตาหลายสายไหลออกมา ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตามองมาที่เขา เป็นภาพที่สวยงามและเจ็บปวดไปในคราวเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่ได้ต้องการเห็นน้ำตาของคนตรงหน้า 

ไซรัสเผลอตัว ยื่นมือออกไปเพื่อหวังไปเช็ดน้ำตาเหล่านั้นออก สบตาสีน้ำทะเลลึกนั้นอีกครั้ง รู้สึกราวกับตนเองถูกดูดเข้าไปในห้วงมหรรณพซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวียนหัวตาลายกับความรู้สึกเหล่านี้จนมือสั่นชะงักกลางอากาศ

เธย์เลียสปัดมือหนานั้นออก ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อย ๆ สองมือปาดน้ำตาทีละนิด แล้วเอื้อมมือเรียวออกไปทาบลงที่หน้าอกของคนตัวสูงกว่าเพื่อส่งพลังเข้าไปปลอบโยนทีละนิด 

ไซรัสพลันรู้สึกได้ว่าความอบอุ่นหลายสายกำลังไหลเข้ามาในตัวคล้ายกับครั้งที่เขาตื่นมาครั้งแรก ความอบอุ่นทั้งหมดนั้นเข้ามาทดแทนความเจ็บปวดทั้งหมดทั่วทั้งร่าง นัยน์ตารัตติกาลส่องประกายสว่างออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อสัมผัสกับทุกความรู้สึกอบอุ่นเหล่านั้น

“ข้าชอบชื่อเล่นของท่าน” เพียงคุยด้วยไม่กี่ครั้ง ไซรัสก็เรียนรู้ที่จะกล่าวสิ่งที่อยากกล่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“...”

“ท่านตั้งให้ข้าด้วยได้หรือไม่”

“เพื่ออันใด”

“เผื่อวันหน้าได้เอาไว้ใช้ยามปลอมตัว”

“ข้าไร้ความสามารถในการตั้งชื่อ” อย่างที่เจ้าเห็น น่านน้ำล้วนสิ้นคิดนัก ยังจะให้ข้าตั้งให้อีกหรือ ประโยคนี้คิดในใจ ไม่ได้ตอบกลับไป

“สิ่งใดที่ท่านมอบให้ ข้าล้วนซาบซึ้ง”

เธย์เลียสถอนหายใจเบา ๆ เอาเถอะ เพียงเลือกส่ง ๆ ไปสักชื่อก็น่าจะเพียงพอแล้ว

เหนือฟ้า

“...”

“เจ้าบอกว่าอยากบินอยู่เหนือฟ้าไม่ใช่หรือ”

“...”

“หากอยากบินเหนือฟ้า จงละทิ้งสิ่งที่อยู่พื้นดิน โบยบินไปอย่างอิสระ ละทิ้งความกังวล กางปีกลู่ลมเพื่อตนเอง”

“...”

“เจ้ามีอิสระในตัว จงใช้มัน”