“อื้ออออ พี่รามมม งานวันเกิดเดียร์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ เดียร์เกรงใจจังเลย” ร่างบางหันกลับมามองร่างสูงด้วยดวงตากลมโตเหมือนลูกกวางน้อย หยาดน้ำตาที่คลอเบ้ายิ่งทำให้ร่างบางดูยั่วยวนน่าลิ้มลองจนร่างสูงแทบทนไม่ไหว ถ้าไม่ติดว่าจะทำให้เจ้าลูกกวางน้อยผู้น่าทะนุถนอมตกใจไปเสียก่อน เขาแทบจะจับร่างบางฟัดจนหนำใจเสียตอนนี้เลย

ร่างสูงเหยียดยิ้มร้าย นิ้วแกร่งเอื้อมไปปัดปอยผมที่ปรกข้างแก้มใส แล้วก้มหน้าลงมากระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“หึ ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอกครับ เพราะคืนนี้เดียร์คงต้องจ่าย ‘หนัก’ หน่อยนะ”

แก้มขาวนั่นเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ร่างบางซุกหน้าลงกับอกแกร่งอย่างขัดเขิน

“งื้ออออออ พี่รามก็ เดียร์ไม่พูดด้วยแล้ว คนลามก…”

ร่างหนาก้มลงมองหัวของร่างขาวอมชมพูที่กำลังถูไถไปมาอย่างออดอ้อน ริมฝีปากสีคล้ำจากการสูบบุหรี่เหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาเลื่อนมือแกร่งไปที่บั้นท้ายกลมกลึงของร่างบอบบางในอ้อมแขน ก่อนจะขยำเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

“อ๊ะ! … พี่รามครับ อย่า…”

 

“กูทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยย”

สิ้นเสียงประโยคนั้น สมาร์ตโฟนในมือก็ถูกขว้างออกไปเบื้องหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด เฉี่ยวหัวไอ้ด่าง หมาพันธุ์บางแก้วที่กำลังนอนหลับสบายเพียง 0.2 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่งผลให้เจ้าหมาพันทางสะดุ้งตื่นจากฝันหวาน ก่อนหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่ก เมื่อไม่พบอะไรก็เห่าโฮ่งๆ อยู่สองทีแล้วล้มตัวลงนอนเช่นเดิม

ส่วนผมน่ะเหรอ ก็ต้องเดินไปเก็บสมาร์ตโฟนที่เพิ่งโยนไปเมื่อกี้ไงล่ะ

สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดเมื่อห้าปีที่แล้วนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นหญ้า ผมที่สติเริ่มกลับมาแล้วรีบคว้ามันขึ้นมาดูด้วยด้วยใจลุ้นระทึก เมื่อลองกดเปิดเครื่องก็พบว่า นอกจากหน้าจอร้าวเล็กน้อยก็ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงอีก ผมจึงค่อยๆ ประคองตัวเครื่องด้วยสองมือขณะลุกขึ้นยืน น้ำตาแทบไหลด้วยความตื้นตันใจในผลิตภัณฑ์ของศาสดาแห่งไอทีเป็นยิ่งนัก

แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ หน้าจอกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นเส้นๆ สีเหลือง และหลังจากนั้นไม่นาน…

… ทุกอย่างก็ดับมืดไป

“…”

ผมจ้องมองเศษซากอารยะธรรมในมือเนิ่นนานด้วยสายตาว่างเปล่า สมองคล้ายถูกค้อนเหล็กฟาดไม่ยั้ง มึนเบลอจนคิดอะไรไม่ออกร่วมชั่วโมง และเมื่อคิดออก คำแรกที่ผมเปล่งเสียงออกมาได้คือ

“ไอ้พี่รามมมมมมมม มึงทำโทรศัพท์กูเจ๊งงงงงง”

“โฮ่ง!”

ไอ้ด่างที่ถูกปลุกตื่นเป็นรอบที่สองของวันส่งเสียงเห่าคล้ายจะตำหนิ มันเดินเข้ามาดมๆ สมาร์ตโฟนในมือเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี เหมือนเห็นสายตาสมเพชเล็กน้อยถึงปานกลางทิ้งท้ายมาด้วย

ผมทรุดตัวลงกลิ้งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สมาร์ตโฟนที่สู้อุตส่าห์ถนอมมาหลายปีกลับต้องถึงฆาตด้วยฝีมือของไอ้พระเอกนายเอกในนิยายบนเว็บนั่น!

“ไอ้ด่าง แกไม่มีวันเข้าใจความแค้นของฉันหรอก!” ผมคว้าคอไอ้ด่างมาซุก มันดิ้นหนีพอเป็นพิธีก่อนจะเอาหัวที่เต็มไปด้วยขนมาแปะไว้ที่อกราวกับรับรู้ได้ถึงความทรมานยาวนานหลายเดือนของเจ้านายคนนี้

ถามว่าทำไมผมต้องทนอ่านนิยายพวกนี้ทั้งที่ไม่ชอบน่ะหรือ ทำไม่กดปิดไปแบบที่นักเขียนทั้งหลายเขาบอกไว้ตั้งแต่หน้าแรกเลยล่ะ

คำตอบง่ายๆ คือมันเป็นงานพิเศษของผมในช่วงปิดเทอมน่ะสิครับ งาน (เหมือนจะ) สบายที่แค่นั่งอ่านนิยายบนเว็บไปวันๆ แถมรายได้ก็ค่อนข้างดีเช่นนี้ ใครไม่คว้าไว้ก็ถือว่าฉลาดมากแล้ว!

หือ? ไม่ใช่ว่าต้องเป็น ‘ใครไม่คว้าไว้ก็เรียกว่าโง่’ งั้นรึ บ้าน่า งานพรรค์นี้น่ะ ไม่มีคนฉลาดคนไหนเขาหลวมตัวมาทำหรอก!

 

เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อหลายเดือนก่อน ผม ชายหนุ่มผู้มีฐานะยากจนกำลังประสบปัญหาค่าเช่าหอ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ตและค่าต่างๆ อีกร้อยแปดประการไปเจอใบปลิวที่แปะบริเวณถังขยะโดยบังเอิญ (ใครมันออกไอเดียให้แปะตรงนั้นวะ) เนื้อหาทำนองว่ากำลังรับสมัครหน่วยกล้าตายเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักเขียนนิยายไปร่วมงานกับสำนักพิมพ์ที่เพิ่งเปิดสักแห่ง เห็นว่าเป็นการทำการตลาดยุค 6.0 หรืออะไรทำนองนี้แหละ

ผมที่ตอนนั้นร้อนเงินอย่างหนักจึงรีบติดต่อสำนักพิมพ์ไปทันที หลังจากพูดคุยรายละเอียดอันชวนมึนงงเสียจนตอนแรกนึกว่าเป็นการแชร์ลูกโซ่รูปแบบใหม่แล้วนั้น ในที่สุดผมก็ได้เริ่มงาน และมารู้เอาภายหลังว่าที่ได้งานมาง่ายขนาดนี้เพราะเป็นคนเดียวที่มาสมัคร… เอวัง

หน้าที่ของแผนก ‘เฟ้นหาดวงดาวที่รอวันจรัสแสง’ ซึ่งมีพนักงานคนเดียวคือผมก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก แค่ไปอ่านนิยายบนเว็บแล้วคัดเลือกเรื่องที่มีแววว่าจะขายได้ส่งให้สำนักพิมพ์ แล้วก็ช่วยประสานงานในช่วงแรกเท่านั้น จากนั้นก็แล้วแต่สองฝ่ายนั้นจะเจรจาตกลงกันอย่างไร ส่วนผมก็ปิดจ๊อบ รับเงินไปนอนกอดที่บ้านสบายใจเฉิบ

และแน่นอนว่า นิยายที่ผมต้องอ่านมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ย่อมไม่พ้นแนวที่ทำให้เพิ่งน็อตหลุดขว้างสมาร์ตโฟนไปเมื่อกี้… วาย ชายรักชาย หรือจะเรียกว่า BL ก็ไม่ว่ากัน

หลังจากต้องทนอ่านนิยายวายในเว็บจนถึงเรื่องที่ 2,526 จนพบว่าทุกเรื่องล้วนมีแพตเทิร์นเดียวกันประหนึ่งเป็นค่ายหนังงบน้อยจนต้องใช้นักแสดงหน้าเดิมเวียนกันไปมา เปลี่ยนแค่โลเคชั่น (ซึ่งก็มีไม่กี่แห่ง) กับอาชีพ (ซึ่งก็มีไม่กี่อาชีพให้เลือกเช่นเดียวกัน) เส้นความอดทนของผมก็ขาดผึง เซลล์สมองที่ยังหลงเหลือเพียงน้อยนิดพากันกรีดร้องโหยหวนขอความเมตตาว่าอย่าทำร้ายกันไปมากกว่านี้เลย ผมแทบจะขอลาออกเสียเดี๋ยวนั้น… ถ้าไม่ติดว่าอุปกรณ์สื่อสารเพียงหนึ่งเดียวกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ไปแล้วอะนะ

“กูทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย มาบังคับให้อ่านบ้าอะไรเนี่ย ทั้งเรื่องมีแต่ร่างขาว ร่างบาง ร่างสูง ร่างหนา จนกูชักจะงงแล้วนะว่าใครเป็นใคร มึงก็แทนชื่อไปเลยสิวะ พวกแม่งเป็นลอร์ดมืดที่ใครก็พูดชื่อไม่ได้เรอะ!” ผมเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความคับแค้น อีกนิดก็จะกระอักเลือดออกมาแบบในหนังจีนแล้ว

“แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ นายเอก! ปากบอกว่าแมนๆ แต่เจือกทำตัวตุ้งติ้งยิ่งกว่าเพื่อนกะเทยกูอีก ออกสาวก็บอกว่าออกสาวสิวะ! แล้วขอเถอะ ไอ้พวกร่างบอบบางเนี่ย คือต่อให้มึงเป็นตุ๊ดแต่ตราบใดที่มึงยังไม่เทคฮอร์โมน มึงจะบอบบางร่างอ้อนแอ้นเรียวยาวได้ขนาดนั้นเลยเรอะ นายเอกหรือผู้ป่วยโปลิโอวะนั่น!”

ไอ้ด่างเห่าโฮ่งด้วยน้ำเสียงขึงขังเหมือนจะตอบรับ ดวงตาใสแจ๋วสีดำของมันเปล่งประกายบางอย่างที่คล้ายจะเป็นความโกรธเกรี้ยว

โกรธ? ผมขยี้ตาอีกรอบ และพบว่าไอ้ด่างยังคงจ้องมองผมเขม็งชนิดว่าถ้ามันมีคิ้ว ป่านนี้คิ้วคงขมวดแน่นยิ่งกว่าปมกอร์เดียนแล้ว

“ไม่รู้แหละ กูไม่อ่านวายอะไรนี่แล้ว! เรื่องอะไรวะขาดความสมจริงขั้นสุด ตั้งแต่เชื้อเกย์แพร่ระบาดไปทั่วทุกซอกซอยยันหมาแล้วโว้ย! แถมไอ้คนเขียนยังบอกว่าวายเป็นแฟนตาซีแยกโลก ไม่จำเป็นต้องสนับสนุน LGBT อีก”

“บังอาจ!” ไอ้ด่างกรีดร้องเสียงดังกึกก้อง เสียงของมันแหลมสูงคล้ายนายเอกสาวแตกในนิยายวายที่เพิ่งอ่านมาก่อนหน้านี้

ว่าแต่ แล้วผมรู้ได้ไงว่าเสียงนายเอกเป็นแบบไหน ไม่สิ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้ผมควรจะตกใจที่ไอ้ด่างพูดได้ก่อนสิ!

ผมเบิกตากว้างมองเจ้าหมาขนฟูที่บัดนี้ยืนสองขา แล้วหลังจากนั้น สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้าก็ได้บังเกิดขึ้นต่อหน้าตาต่อตาผมผู้นี้

ร่างของไอ้ด่างค่อยๆ ยืดสูงขึ้น หูหดสั้นลง หางหายไป ขาหน้ายืดออกเป็นแขน ขาหลังยืดออกเป็นขาแบบมนุษย์ ขนสลายไปเป็นเสื้อผ้าที่ทำมาจากขนสัตว์ซึ่งแลดูหรูหราขัดกับสถานที่นี้เป็นยิ่งนัก

สุดท้าย ไอ้ด่างก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมือนนายเอกนิยายวายทุกกระเบียดนิ้ว ผิวขาวเนียนนุ่มเปล่งประกาย ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าผู้หญิง และขาดไม่ได้เลยคือ... แขนขาและร่างล้วนบางลีบเหมือนผู้ป่วยติดเตียง

“นายสิรวิชญ์ ชัยชาญ มนุษย์ชั้นต่ำเช่นเจ้ากล้าเอ่ยจาลบหลู่ข้างั้นรึ!” ไอ้ด่าง— อดีตไอ้ด่างตะคอก ใบหน้าขาวนวลนั่นเปลี่ยนเป็นสี… แค่ก! พอก่อน เอาเป็นว่าชายหนุ่มปริศนากำลังหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แล้วชี้ไม้เท้าที่เปล่งรัศมีสีม่วงมาที่ผม

“เอ่อ คุณครับ ไม่ทราบว่า…”

เอ่ยไม่ทันขาดคำ รังสีสีม่วงก็พุ่งตรงมาแบบไม่มีสัญญาณเตือน กระแทกจนร่างหนาของผมล้มลงไปนอนแผ่อยู่บนพื้น เมื่อยันตัวขึ้นมาก็พบกับสายตาวาวโรจน์คู่หนึ่งที่เปล่งรัศมีสังหารเต็มที่

“ข้ายังไม่พูดไม่จบ ใครก็ห้ามพูดแทรก จำไว้!”

“ครับๆ” ผมรีบรับคำ เอาแต่ใจจังเลยเว้ยคุณนายเอกคนนี้

ชายหนุ่มผู้งดงามยิ้มเย็นยะเยือก เขากระชับเสื้อคลุมขนหมาก่อนจะเชิดหน้าประกาศด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส

“ข้า ในฐานะเทพเจ้าแห่งวายไม่อาจจะทนโดนมนุษย์ผู้ต่ำต้อยและจิตใจเลวทรามคับแคบเช่นเจ้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าจงเตรียมใจรับโทษสวรรค์ที่บังอาจลบหลู่ดูหมิ่นข้าเสียเถอะ!”

หลังจากคำพูดสุดลิเกนั่น ชายที่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้าวายก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างวิปริตสุดๆ ที่ทำเอาเส้นขนทั่วร่างพากันลุกเกรียว

“เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่ สิรวิชญ์”

ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่งด้วยสมองยังประมวนผลไม่ทัน… เรื่องราวมันชักจะแฟนตาซีขึ้นไปทุกทีแล้วนะ มนุษย์ธรรมดาอย่างผมจะรับมืออย่างไรไหว ลองคิดดูสิ จู่ๆ ไอ้ด่างใต้หอที่เอาอาหารให้กินทุกวันกลายร่างเป็นนายเอกพิมพ์นิยม ต่อด้วยโดนยิงด้วยรังสีสีม่วงมหัศจรรย์ จากนั้น ไอ้คุณนายเอกที่ว่ายังประกาศกร้าวว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าอีกต่างหาก… มีใครให้อะไรมากกวานี้ไหม

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุด ผมก็ได้ข้อสรุป

“โชว์มายากลงั้นหรือครับ”

ใช่ นี่ต้องเป็นมายากลระดับโลกแน่ๆ บางทีที่เห็นไอ้ด่างกลายร่างได้คงเป็นแค่เพียงภาพลวงหลอกตาที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันตายใจ ไม่ก็อาจเป็นทริคดึงดูดความสนใจของผู้ชมแบบที่พวกนักมายากลทำกัน ขอเอาชื่อคุณปู่เป็นเดิมพัน!

ชายหนุ่มด้านหน้ามีสีหน้าอึ้งไป หึ โดนจับไต๋ได้เลยเงิบไปเลยสินะ!

“เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!” แล้วหมอนั่นก็กรีดร้องจนแก้วหูชั้นในชั้นนอกของผมพากันสั่นสะเทือน กระทั่งพื้นดินด้านล่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ต้นไม้ใหญ่โยกไปมา รั้วปูนเริ่มเกิดรอยร้าวแบบไม่ใช่คำเปรียบเปรย เพราะพื้นที่ผมยืนอยู่ตอนนี้กำลังแยกตัวออกจากกันจริงๆ นะ!

ผมอ้าปากค้างแบบหุบไม่ได้เมื่อร่างของตัวเองถูกกระแทกไปติดกับรั้ว รากไม้สีม่วงฟรุ้งฟริ้งผุดขึ้นมาจากพื้นดินแล้วค่อยๆ ไล่เลื้อยขึ้นมาพันธนาการร่างจนกลายเป็นมัมมี่ จากนั้น ดอกไม้สีม่วงเข้มดอกตะแบกก็ผลิบาน ครอบปากของผมไว้ไม่ให้เอ่ยวาจาอะไรได้อีกต่อไป

“เจ้าบังอาจลบหลู่ดูถูกข้าถึงสองรอบด้วยกัน บางทีโทษตายสำหรับเจ้ามันอาจจะน้อยเกินไปแล้วกระมัง นายสิรวิชญ์” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอตแลนติส ดวงตา… ที่ก็เป็นสีม่วงเช่นกันหรี่ลงคล้ายอสรพิษกำลังจับจ้องเหยื่อ

ในที่สุด ท่านเทพเจ้าก็อ้าพระโอษฐ์ออก เปล่งสุรเสียงเหี้ยมเกรียมออกมา “ตัวข้า เทพแห่งวาย ผู้พิทักษ์ความรักอันงดงามของเหล่าชายหนุ่มในจินตนาการผู้นี้ขอบัญชา ในฐานะที่เจ้ากล้าดูถูกดูหมิ่น พูดจาเยาะเย้ยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อหน้าปวงเทพชั้นสูง เช่นนั้นจงไปเกิดใหม่ในโลกเกย์นิเวิร์สเสียเถอะ!”

เกย์นิเวิร์ส? เกย์… ยูนิเวิร์ส… จักรวาลแห่งเกย์งั้นเรอะ!

ดูเหมือนว่าสีหน้าในตอนนี้ของผมน่าจะอนาถไม่เบา เพราะท่านเทพค่อยๆ คลี่ยิ้มกว้างดุจพญามัจจุราช

“และเพื่อความยุติธรรม หากเจ้าทำภารกิจของข้าสำเร็จเมื่อไหร่ เจ้าจะได้กลับโลกเดิมเมื่อนั้น… เห็นแล้วสินะว่าข้ามีจิตใจเมตตาสูงส่งขนาดไหน คุกเข่าขอบคุณข้าสิเจ้าพวกมนุษย์หน้าเหม็น”

“…” จิตใจเมตตาบ้านท่านสิครับ! แค่พูดไม่เข้าหูหน่อยถึงกับสาปกันเลย เป็นเทพที่หัวร้อนเหมือนคนวัยทองชะมัด

แต่แน่นอนว่าประโยคนั้นพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นถ้าพี่ท่านพิโรธอะไรขึ้นมาอีก ผมอาจโดดดีดนิ้วร่างสลายไปเลยก็ได้

“ส่วนเรื่องภารกิจจะเป็นอะไรนั้น เมื่อเจ้าไปถึงโลกนั้นก็จะรู้เอง อ้อ เพื่อให้เจ้าทำงานง่ายขึ้น ข้าเลยประทานพรระดับสูงที่ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนเคยได้รับขนาดนี้ให้เจ้าไปหลายข้อเชียว อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”

ไม่เป็นไรครับท่าน ผมไม่อยากด้ายยยยยยยยย ผมกรีดร้องโหยหวนในใจ แต่น่าเสียดายที่เสียงของผมไม่มีวันจะส่งไปถึงท่านเทพวายได้เลย

จากนั้น ภาพสุดท้ายที่เห็นคือรอยยิ้มชั่วร้ายของพี่แกขณะยกมือขึ้นโบกลา ร่างของผมคล้ายถูกแรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากไป ทุกอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถจะจดจำรายละเอียดอะไรได้ ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงเสียงหัวเราะฮี่ๆๆ แบบตัวโกงเป็นแบคกราวด์เท่านั้น

แล้วสติสัมปชัญญะของผมก็ถูกตัดขาดไปเหมือนเชือกป่านที่ถูกกระแสลมสะบั้น