1 ตอน chapter 1 Blue apple
โดย sunya-ty
ในกระเป๋านักเรียนของยางุจิ ยาโทระมีโปสการ์ดอยู่ใบหนึ่ง...
เด็กชายตัวน้อยได้มันมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่เกาะฮอกไกโดก่อนจะเปิดเทอมภาคฤดูร้อนเดือนเมษายนไม่กี่อาทิตย์หลังจากเดินทางกลับโตเกียว
แสตมป์ไปรษณีย์แปะหัวมุมโปสการ์ดเป็นรูปแอปเปิลสีแดงก่ำ เสมือนเป็นสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านเล็กๆ ในเกาะท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง สถานที่ที่พ่อแม่พายาโทระมาเที่ยวเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องสวนแอปเปิลและผลท้อสีชมพูหวานฉ่ำสมกับเป็นเกาะที่มีภูมิศาสตร์สภาพแวดล้อมคงความอุดมสมบูรณ์เอาไว้จำนวนมาก
ส่วนแผ่นโปสการ์ดอัดมาจากรูปถ่ายภาพวาดแอปเปิลสีฟ้า...
ไร้ตัวอักษรข้อความใดจารึกเอาไว้ แต่ยาโทระรู้ว่าเพียงแค่เพื่อนคนนั้นส่งมาก็เพียงพอให้เขาดีใจแล้ว
ยาโทระภูมิใจเป็นอย่างมาก โปสการ์ดใบนี้คือหนึ่งในสมบัติล้ำค่าเหมือนกับลูกเบสบอลจากพ่อหรือเครื่องรางลายเสือของแม่เวลาห่อข้าวกล่องให้ก่อนไปโรงเรียนเสมอ โปสการ์ดใบนี้มีแค่หนึ่งเดียวในโลก ไม่มีขายที่ไหนอีก ยาโทระมักเล่าให้กลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนประถมฟังด้วยใบหน้ายิ้มแป้นทุกครั้ง
เขามีคำพูดโอ้อวดติดปากเกือบทุกครั้งถ้ามีโอกาสโชว์โปสการ์ดให้ใครก็ตามที่สนใจ
"แอปเปิลสีฟ้าสวยที่สุดเลย"
ทว่าส่วนใหญ่ก็บอกเขา
"แอปเปิลมีสีแดงต่างหาก ยัคคุง"
หรือ
"แอปเปิลมีสีเขียวไม่ก็เหลือง"
"แอปเปิลสีฟ้ามีอยู่จริงหรือเปล่า ยางุจิ"
"แอปเปิลของนายในรูปมันแปลกนะ"
"ใครวาดน่ะ อืม สีฟ้าก็สวยแต่มันไม่มีอยู่จริงนี่นา"
ทุกคนไม่เชื่อว่าแอปเปิลสีฟ้าจะมีอยู่จริงๆ แต่ยาโทระเถียงขาดใจจนน้ำตาคลอจนคุณครูร้อนรนคิดว่าเขาเป็นเด็กขี้แยอยู่เรื่อย
ไม่มีใครเชื่อว่าแอปเปิลสีฟ้ามีอยู่จริง
แต่ยาโทระยังคงเชื่อเพราะว่าเขาได้เห็นกับตามาแล้วว่าแอปเปิลสีฟ้าถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร
ยาโทระนึกถึงภาพทิวทัศน์ที่เขาคงไม่มีวันลืมได้ ฤดูร้อนในคราวนั้น ท้องฟ้าประดับดัวยก้อนเมฆขาวปุกปุยตัดสลับกับริ้วสีฟ้าคราม ผืนน้ำทะเลซัดคลื่นระลอกน้อยเกยตื้นกลืนกินเม็ดทรายขาวและเทาละเอียดให้เปียกชื้น
แม่ของเขาเคยเล่านิทานเกี่ยวกับทะเลให้ฟัง
ว่ากันว่ามหาสมุทรก่อกำเนิดทุกสรรพสิ่ง
แอปเปิลสีฟ้าก็ถือกำเนิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน...
ยางุจิ ยาโทระกับวันหยุดฤดูร้อนแสนวิเศษ...
วันหนึ่งเด็กชายวัยเจ็ดขวบเดินเล่นในช่วงบ่าย ยาโทระก็แค่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาเพียงเดินเตร่ไปตามชายหาดสวมห่วงยางและถอดรองเท้าแตะออก วิ่งจ้ำเป็นจังหวะกับเกลียวคลื่นทะเล ฟังเสียงแม่บอกว่าอย่าไปไกลนักและพ่อที่หัวเราะบอกว่าเขาไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง เด็กชายกำลังร่าเริงสำรวจโน่นนี่ไปทั่ว หยิบกิ่งไม้มาแหย่ปูเสฉวนหรือเขี่ยเปลือกหอยให้กลับคืนสู่น้ำทะเล บรรยากาศรอบตัวมีเสียงผู้คนจอแจไม่น้อย เสียงคลื่นปะปนไปกับเสียงหัวเราะของเด็กวัยไล่เลี่ย ว่ายน้ำเล่นตีเปาะแปะกันหรือบางคนกำลังทำปราสาททรายจากกระป๋องเปล่า
ด้วยความซุกซน ยาโทระจึงคลาดสายตาของผู้เป็นแม่ที่ก้มลงทาครีมกันแดดวิ่งแจ้นไปเล่นอยู่ตรงสุดริมหาด ตัดสินใจลงเล่นน้ำในบริเวณที่คนไม่พลุ่นพล่านมากนัก
คลื่นระลอกใหญ่ซัดยาโทระเมื่อเขาว่ายน้ำเล่นในบริเวณตื้นเขินพร้อมกับร่างของเด็กชายผอมแห้งคนหนึ่งถูกซัดมากับน้ำที่ไอสำลักไม่หยุดมือเอื้อมจับชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น ยาโทระกะพริบตามอง เขาประหลาดใจกับเด็กชายปริศนาผู้มากับคลื่น
ใครน่ะ?
จินตนาการชั่ววูบว่าทะเลให้กำเนิดเด็กน้อยแบบในการ์ตูนเรื่องโปเนียว แต่เด็กคนนั้นก็สวมเสื้อผ้าเหมือนกับเขาที่เป็นมนุษย์ แค่ตัวเล็กและผอมกว่าเท่านั้น ในมือก็ยังถือสมุดวาดรูปเปียกโชกด้วย
“เป็นอะไรไหม”
ยาโทระถามด้วยความหวังดี ยิ่งเด็กคนนี้ไอไม่หยุดและไม่ตอบอะไรนอกจากทรุดตัวหอบแฮกอยู่กับพื้นทราย หน้าแทบจุ่มกับผิวน้ำรอมร่อ ยาโทระเบิกตากว้าง
หรือว่าเด็กคนนี้จะจมน้ำ!?!
จากที่คุณครูสอนมาในชั้นเรียน ยาโทระจึงรีบลากขึ้นจากน้ำแบกเด็กคนนี้ขึ้นหลังอย่างทุลักทุเลวิ่งกลับไปหาพ่อแม่ ตะโกนบอกว่ามีเด็กจมน้ำและเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ ไม่นานนักพ่อกับแม่รีบวิ่งมาหาเขาพร้อมผู้คนบางส่วนที่ชะโงกหน้ามองดูอย่างสนใจ ผู้ดูแลชายหาดวิ่งเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวอวบอ้วนคนหนึ่ง
“โยตะ!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน พ่อแม่รับคำขอบคุณแทนลูกชายแล้วปล่อยให้ผู้ปกครองที่แท้จริงและผู้ดูแลชายหาดพาตัวเด็กชายออกไปจากบริเวณนี้ ยาโทระมองดูเด็กชายตัวเล็กจ้อยหายลับตาไปกับฝูงชน เสียงเรียกของผู้หญิงคนที่ดูเหมือนเป็นแม่เด็กยังคงก้องหู สายตาว่องไวของยาโทระเหลือบเห็นว่าสมุดวาดรูปของเด็กที่ชื่อโยตะตกอยู่บนพื้น เขาหยิบขึ้นมาก่อนจะมีใครก็ตามเก็บได้หรือเหยียบมันเข้า
สมุดวาดภาพเปียกน้ำจนบางส่วนฉีกขาดไปแล้ว
ยาโทระเผลอเปิดสมุดด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาตาเปล่งประกายเมื่อเห็นรูปหุ่นยนต์อยู่ในนั้น
“สวยจัง”
โยตะ...งั้นเหรอ...
ยาโทระฟังแม่พูดกับพ่อของเขาระหว่างกลับจากชายหาด แม่บ่นอย่างไม่พอใจนัก
“เด็กคนนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก มิเอะ แม่ของเขาก็ดูเป็นห่วงดีนะ”
“ถ้ายัคคุงไม่ไปเจอเข้าล่ะก็ ฉันไม่อยากจะนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น”
แม่หยุดเล่าเมื่อยาโทระจ้องตาแป๋ว พวกผู้ใหญ่มักไม่พูดถึงความน่ากลัวให้เด็กฟังแต่ยาโทระรู้ความหมายดีว่าแม่อยากจะพูดกับพ่อว่าอะไร
ถ้าสมมุติว่าเขาไม่ได้เจอเด็กคนนั้นบางทีก็อาจจะจมน้ำตายก็ได้
พ่อแม่ไม่ได้พูดถึงสมุดวาดภาพที่ยาโทระเก็บได้ พวกเขามองเพียงแค่ว่าให้เก็บเอาไว้ประกาศหาเจ้าของที่ประชาสัมพันธ์ของหาดวันพรุ่งนี้ ถ้าโชคดีเด็กชายที่ชื่อโยตะอาจมาเอาคืนก็ได้ใครจะรู้ คืนนั้นระหว่างที่ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ยาโทระแอบย่องเปิดไฟฉายส่องดูรูปวาดทีละหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
โยตะ...เป็นเด็กที่วาดรูปเก่งจังนะ...
ยาโทระอ้าปากเป็นรูปตัวโอเมื่อเขาเปิดดูสมุดวาดภาพบวมน้ำ แม้ว่ากระดาษย่นก็ไม่สามารถทำให้เขาหมดความสนใจ หนำซ้ำไปหาเทปมาแปะซ่อมหน้าที่ขาดด้วย เขายังคงเปิดดูไปทีละหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมและน่าทึ่ง
เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่กันนะ ไม่สิ เก่งกว่าคนที่วาดรูปสวยที่สุดในห้องของเขาเสียอีก...
ภาพหุ่นยนต์ จักรกลฟั่นเฟือน ต้นไม้ใบหญ้า ยีราฟคอยาว สิงโตขนฟู ภาพอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนจนหมดหน้ากระดาษ
ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่ามีชีวิตชีวาเหลือเกิน
ยาโทรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และนึกเสียดายหากว่าเขานั้นต้องคืนสมุดวาดภาพแก่เจ้าของจริงๆ แต่ว่าถ้าบางทีได้เจอกันอีกครั้ง เขาอาจจะขอให้อีกฝ่ายวาดภาพให้ดูหรือให้เก็บเอาไว้สักรูปสองรูปก็ได้
วันต่อมาพวกเขาก็ได้เจอกันเร็วกว่าที่คิด...
“ขอบคุณมากนะจ๊ะที่ช่วยลูกของน้าเอาไว้”
คุณนายทาคาฮาชิโค้งตัวขอบคุณครอบครัวยางุจิเสียจนพวกเขาเลิ่กลั่กสั่นไหว ในตอนนั้นยาโทระจึงได้รู้จักชื่อเต็มของเด็กชายปริศนาที่เขาช่วยเหลือเอาไว้เมื่อวาน
เมื่อเห็นในระยะใกล้เต็มตา ยาโทระเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายกลมโตเหมือนพระจันทร์และเป็นสีฟ้าเข้มของมหาสมุทรลุ่มลึก ผมซอยสั้นมีหน้าม้าแสกกลางปัดไปด้านข้าง มีไฝสองจุดใต้ตาดูเป็นเอกลักษณ์ คิ้วหนาและมุ่นลงเล็กน้อยก่อนคลายกลับมาเป็นทรงโค้งปกติ ปากเล็กๆ นั่นเหมือนพึมพำอะไรสักอย่าง ตัวเล็กกว่าเขา เสื้อลายตารางหมากรุกสีเขียวอ่อนก็ตัวโคร่งจนอีกฝ่ายเหมือนก้อนอะไรสักอย่างกองอยู่บนโซฟารับแขก
“ทาคาฮาชิ โยตะสุเกะครับ”
รู้ชื่อสักที
“ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณที่ช่วยเอาไว้...ครับ”
โยตะสุเกะหันมาขอบคุณยาโทระและโค้งตัวอย่างช้าๆ เพื่อแนะนำตัวและขอบคุณ ยาโทระไม่ได้สนใจสักนิดว่าน้ำเสียงนั่นเกร็งและแข็งกระด้างเพียงใด เขาเพียงหันมายิ้มร่าและยื่นสมุดวาดภาพของอีกฝ่ายให้
“ฉันชื่อยาโทระ...ยางุจิ ยาโทระ ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอ้านี่ สมุดวาดภาพของนายใช่ไหมล่ะ”
ครอบครัวยางุจิและคุณนายทาคาฮาชิดูปลาบปลื้มใจเมื่อเห็นว่าเด็กๆ กำลังทักทายกัน
“...ไม่”
ยาโทระยิ้มค้าง
“ไม่เอาแล้ว...”
คราวนี้ทุกคนยิ้มค้างกันหมด
......
...
..
.
โยตะสุเกะเป็นเด็กประเภทที่ยาโทระไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กที่มีนิสัยดูเฉยเมยกับทุกอย่างและขี้อายแม้กระทั่งกับการสนทนากับผู้คน ปฏิเสธเสียงแข็งเมื่ออารมณ์จนตรอกทำอะไรไม่ถูก ครอบครัวทั้งสองฝั่งจึงรีบแก้ปัญหาด้วยวิธีพื้นฐานอย่างที่ผู้ใหญ่คิดกันนั่นก็คือให้ยาโทระพาโยตะสุเกะเล่นรอบๆ บ้านพักแทนการนั่งสนทนาพูดคุยในกลุ่มผู้อายุมากกว่า
แต่ว่ามันเงียบเกินไปแล้ว...
ยาโทระเหงื่อตก เขาเดินลากขาไปรอบๆ บ้านพักได้สามรอบชี้ชวนอีกฝ่ายให้ดูดอกทานตะวันสีเหลืองอร่ามตามรั้วสองรอบโดยมีโยตะสุเกะเดินตามมาเงียบๆ ไม่ปริปากพูดอะไรเลย
“โยตะสุเกะคุง!”
ยาโทระยิ้มกว้าง เขาหยุดเดินกะทันหันทำให้โยตะสุเกะชนเข้ากับแผ่นหลังของเขา
“อ๊ะ ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”
“จะว่าไปแล้วมาวิ่งแข่งกันไหม!”
“...ร้อน”
“งะ งั้นไปซื้อข้าวปั้นกันไหม”
“...ฉันไม่ได้พกเงินค่าขนมมา”
“งั้นมาคุยกันเถอะนะ แบบนี้มันเงียบเกินไปแล้ว”
ยาโทระพองแก้ม เขากอดอกจริงจัง ยื่นหน้าจ่อกับโยตะสุเกะจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“ไปนั่งใต้ต้นไม้ตรงโน้นกันเถอะนะ เย็นดีด้วย อ๊ะ ไปนั่งรอก่อนนะ”
ยาโทระวิ่งกลับเข้าไปในบ้านก่อนคว้าห่อขนมกลับมา โยตะสุเกะนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ต้นไม้ที่ยาโทระนัดพบเอาไว้จริงๆ ด้วย เด็กชายผู้ร่าเริงรู้สึกได้ความมั่นใจกลับมา อย่างน้อยตอนนี้ก็ชวนคุยได้แล้ว เขาส่งห่อขนมโอปันยากิให้โยตะสุเกะ
แม้ว่าตอนแรกจะยังคงลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมชิมขนมเข้าปาก“ขนมของแม่”
โยตะสุเกะเริ่มพูดก่อน ยาโทระพยักหน้าดูตื่นเต้นโดยแก้มบวมตุ้ยเพราะกำลังเคี้ยวเนิ้อขนมหอมนุ่มเต็มปาก
“แม่เอามาฝากครอบครัวยางุจิซัง แทนคำขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้”
“ใช่ แม่นายทำขนมอร่อยจังนะ”
“กินจนเบื่อแล้ว” โยตะสุเกะพูดเสียงเบา แต่ก็กินหมดอยู่ดี ยาโทระจะยื่นห่อขนมให้อีกแต่เด็กชายก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไส้แอปเปิลก็มาจากสวนที่บ้าน...”
“ยอดเลย! บ้านโยตะสุเกะคุงทำสวนแอปเปิลเหรอ”
“พ่อเป็นคนทำ”
“ดีจังเลยนะ”
“ไม่รู้สิ”
จู่ๆ บทสนทนาก็ดูห้วนขึ้นเฉยเลย
“ยางุจิซัง”
“อะไรเหรอ”
“ที่บอกว่าไม่เอาแล้ว ช่วยทิ้งมันไปได้ไหม”
ยาโทระอ้าปากค้างโดยมีโอปันยากิครึ่งชิ้นในมือร่วงแหมะกับพื้นหญ้า โยตะสุเกะบีบมือเข้าหากันระหว่างพูด
“สมุดวาดภาพ ทิ้งมันซะ”
“ทำไมกันล่ะ”
“ไม่ทำไมหรอก”
“เพราะมันเปียกน้ำงั้นเหรอ”
“ไม่”
“แล้วจะทิ้งทำไม”
“ถ้าแม่เห็นเข้าก็คงจบเห่กันพอดี”
โยตะสุเกะมองด้วยสายตารำคาญชัดเจน
“ถ้าจะต้องเก็บเอาไว้อวดใครต่อใคร ฉันทิ้งมันดีกว่า”
เป็นเด็กที่พิลึกและปากร้ายจริงๆ ยาโทระหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอายเมื่อนึกถึงความมั่นใจที่ยื่นสมุดวาดภาพคืนให้กับโยตะสุเกะก่อนหน้า เขามองดูสมุดภาพของโยตะสุเกะข้างๆ
“ฉันไปละ”
โยตะสุเกะลุกขึ้น แต่ยาโทระคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้
“ดะ เดี๋ยวสิ!”
“หา...” โยตะสุเกะขมวดคิ้ว ก้าวถอยหลังเมื่อยาโทระลุกพรวด เดินจ้ำอ้าวเข้าใกล้รวดเร็ว
“จะทิ้งแบบนี้ไม่ได้นะ! นายเป็นคนวาดไม่ใช่เหรอ”
“กะ ก็ใช่”
“คนอื่นเห็นแล้วไม่ดีตรงไหนกัน”
“ฉันไม่ต้องการให้ใครเห็น”
“มีคนบอกว่านายวาดภาพไม่สวยรึไง”
“ถ้ามีคนบอกแบบนั้น...” โยตะสุเกะแค่นยิ้ม ก้าวถอยหลังช้าๆ
“ฉันคงดีใจมากกว่าจะเก็บเอาไว้”
พิลึกเกินไปแล้ว ยาโทระรู้สึกไม่ชอบใจในตัวโยตะสุเกะเรียบร้อย ความคิดที่จะตีสนิทและผูกมิตรด้วยหดหายแตกโพละเหมือนฟองอากาศ
“แล้วทำไม” ยาโทระสูดอากาศระงับอารมณ์ไม่ให้ตนเองรู้สึกหงุดหงิดไปมากกว่านี้
“ทำไมถึงไม่ปล่อยให้มันจมน้ำไปตั้งแต่เมื่อวานซะเลยล่ะ”
โยตะสุเกะเบิกตากว้างแน่นิ่งไป ดวงตาสีฟ้าเข้มของโยตะสุเกะเหมือนจะมืดลงในความคิดของยาโทระ
“ไม่รู้”
โยตะสุเกะพูดประโยคที่มีคำว่าไม่มาหลายครั้งแล้ว...และนั่นทำให้ยาโทระหมดความอดทน
“นาย...”
โยตะสุเกะสะดุ้งโหยงเมื่อยาโทระเริ่มสะอึกสะอื้น
“ทั้งที่ ฮึก นายวาดรูปสวยแท้ๆ”
โยตะสุเกะลนลานและเริ่มตัวสั่นด้วยสัญชาตญาณของเด็กที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ยะ ยางุจิซังร้องไห้เหรอ”
“ไม่ได้ร้อง!”
โยตะสุเกะนึกเถียงในใจ ไม่ร้องแล้วน้ำตามันโผล่มาจากไหนกันละ
“ทั้งที่สวยแต่นายกลับไม่ชอบงั้นเหรอ”
“ฉันไม่รู้” โยตะสุเกะเดินเข้าหา เขาไม่รู้จะทำยังไงดีให้ยาโทระหยุดร้องไห้ หรือควรพากลับเข้าบ้านพัก พาไปหาครอบครัวยางุจิดี แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะถูกต่อว่าที่มีส่วนทำให้ยาโทระร้องไห้หรือไม่
“นายน่ะ” ยาโทระสูดน้ำมูก พยายามปาดน้ำตาออก
“ฉันวาดรูปไม่สวยเท่านาย นายไม่ดีใจเหรอ” ยาโทระพูดขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โยตะสุเกะนิ่งก่อนกลอกตา มันไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย
“ทำไมฉันต้องดีใจด้วย ในเมื่อฉันมองว่ามันก็คือภาพธรรมดาเท่านั้น!”
โยตะสุเกะเผลอขึ้นเสียง คราวนี้เด็กชายผมดำหันหลังให้ยาโทระ ตัดสินใจว่าจะวิ่งไปยังป้ายรถบัสที่พอจำได้หรือไปบอกแม่ว่าอยากกลับบ้านก่อนดี เขาเหลือบมองยาโทระที่เม้มปากแน่น กำหมัดตัวสั่นเหมือนพวกเด็กเกเรเวลาโมโหไม่ได้อย่างใจเหมือนที่โรงเรียนของเขาเปี๊ยบ
เขาคิดอย่างนั้น...โยตะสุเกะคิดอย่างนั้น...
“มันจะเป็นภาพธรรมดาได้ยังไงในเมื่อแอปเปิลเป็นสีฟ้า!”
“ทาคาฮาชิเนี่ย พิลึกชะมัดเลยนะ”
“กระต่ายสีฟ้า เสือสีเขียว มีของแบบนั้นที่ไหนกันละ”
เพื่อนที่โรงเรียนมักบอกว่าเขาวาดรูปสวยแต่พิลึกพิลั่นที่ลงสีไม่เหมือนอย่างของจริงหรือต่อให้เป็นจินตนาการมันก็แปลกตากว่าคนทั่วไปอยู่ดี
“หุ่นยนต์สีแดง ปลาสีรุ้ง ยีราฟสีเทา นายระบายสีมันสวยขนาดนั้นมันจะธรรมดาได้ยังไง!”
“มันประหลาด...” โยตะสุเกะตอบกลับด้วยคำพูดที่เพื่อนที่โรงเรียนมักพูดกับเขา
“ไม่ใช่นะ!”
โยตะสุเกะเริ่มอยากร่ำร้อง
“ไม่สักหน่อย ภาพของนายมันเจ๋งมากแถมสวยด้วย!”
เลิกพูดสักที...
“เพราะแบบนั้นแล้วฉันถึงชอบภาพที่โยตะสุเกะคุงวาดมากๆ เลยละ”
ไม่เคยมีใครบอกว่าชอบนอกเสียจากบอกว่ามันไม่ถูกต้องหรือผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง จินตนาการส่วนใหญ่ของโยตะสุเกะจึงสงวนเอาไว้เพียงลำพังในสมุดวาดภาพของตนคนเดียว
จะแอปเปิลสีฟ้าหรือใบไม้สีม่วง สัตว์ที่มีสีชมพูก็ตาม...ตราบใดที่มันยังคงอยู่แต่ในโลกส่วนตัวหนึ่งเดียวของโยตะสุเกะ มันก็จะยังคงสวยงามและพิเศษเสมอ
“นายเองเพราะชอบวาดรูปเลยไม่ทิ้งสมุดวาดภาพนี่นา ทำไมจะมาทิ้งตอนนี้เสียล่ะ”
เขาไม่รู้ ยาโทระกล้าพูดออกมาได้ไงว่าเขารู้สึกยังไง...แต่โยตะสุเกะก็ไม่ได้ค้านอะไรออกไปป
“ยาโทระ”
โยตะสุเกะไม่รู้ว่าทำไมเขาเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่าย
“เชื่อว่าแอปเปิลสีฟ้ามีอยู่จริงไหม”
ยาโทระหยุดร้องไห้ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
“เชื่อสิ”
โยตะสุเกะถอนหายใจ เขามองดูยาโทระก่อนตัดสินใจในสิ่งที่ตนไม่เคยทำมาก่อน
“มาวาดรูป...กันไหม”
โยตะสุเกะกอดแขนตนเอง เขาบีบแขนแน่น ไม่ชอบเลยสักนิดที่ตนเองดันมาชวนเด็กขี้แยทำอะไรแบบนี้ทั้งที่เขาชอบวาดรูปคนเดียว ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามหรือสร้างความปวดหัวด้วยฝีมือศิลปะพิลึกพิลั่นไม่เป็นรูปเป็นร่างหรือสื่ออะไรไม่ได้เลยอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจ
เขาแตกต่างจากเด็กคนอื่น...
“จริงเหรอ”
“อืม...แต่ถ้าไม่วาดก็ตามใจ”
“วาดสิ!”
ยาโทระลากเขาวิ่งเข้าไปในบ้านพักทันที โยตะสุเกะพยายามวิ่งตามฝีเท้าว่องไวของยาโทระให้ทัน เขาเม้มปากก้มหน้างุดเมื่อแม่ตื่นเต้นว่าเขากำลังชวนเพื่อนวาดรูปด้วยกัน
“โยตะสุเกะวาดรูปสวยมากเลยนะจ๊ะ ไม่เคยเห็นใครวาดรูปสวยเท่าลูกของน้าเลยนะ” หล่อนโอ้อวดลูกชายให้ยาโทระฟัง โยตะกุเกะหน้าแดงพยายามกระตุกชายเสื้อแม่ให้เลิกพูดสักที
มันน่าอึดอัดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้ใครรู้นอกจากเขาจะอยากให้รู้เอง...
“ฮะ”
ยาโทระเพียงขานรับสั้นๆ ก่อนพาโยตะสุเกะไปอยู่ห้องอีกฟากที่มีระเบียงรับลมเย็นหลีกหนีความวุ่นวายและเหล่าผู้ใหญ่ ไม่สังเกตเลยสักนิดว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นจะสร้างปมด้อยลดทอนความมั่นใจให้กับเขาเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ได้ยิน เขาสนเพียงแค่ว่าอยากพาโยตะสุเกะไปวาดรูปด้วยกันเร็วๆ เสียมากกว่า
ยาโทระยิ้มตื่นเต้นเมื่อพ่อบอกว่าในกระเป๋าเอกสารที่เอามาด้วยมีกระดาษที่ไม่ใช่แล้วให้เอามาวาดรูปได้ เขาแบ่งกระดาษให้กับโยตะสุเกะก่อนเดินหาดินสอและปากกาไปทั่ว โยตะสุเกะห้ามเอาไว้แล้วกระซิบเสียงแผ่ว
“ฉันมีกล่องเครื่องเขียนติดตัวมาอยู่”
พวกเขานั่งอยู่มุมคนละฟาก กางกระดาษและแบ่งดินสอสีกันอย่างเท่าเทียม ยาโทระนั่งวาดรถยนต์ส่วนโยตะสุเกะวาดดวงจันทร์และหมู่ดาว
“นายว่ารถยนต์สีแดงจะสวยไหม”
“ไม่รู้สิ”
“แล้วถ้าเป็นสีรุ้งล่ะ”
“คงสวยมั้ง”
“นั่นสินะ”
ยาโทระหัวเราะก่อนหยิบสีมาดู
“สีรุ้งมีกี่สีกันนะ”
“เจ็ดสี”
โยตะสุเกะช่วยหยิบเรียงสีให้กับยาโทระ เขาแปลกใจอย่างมากเมื่อยาโทระยิ้มขอบคุณและดูชอบใจกับการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ เอาเถอะ เขาไม่ควรใส่ใจหรือคล้อยตามให้มาก สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นคนแปลกหน้ามาเจอกันชั่วคราวแล้วหายไปเหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น
“โยตะสุเกะ รถสีรุ้งละ โตขึ้นฉันจะซื้อรถแบบนี้บ้าง!”
“รถในอนาคตเหรอ”
“เอ๋?”
“รถ...รถสีรุ้งอาจมีจริงก็ได้ในอนาคตไงละ”
“นั่นสินะ โยตะสุเกะคุุงนี่หัวก้าวหน้าจัง ฉันคิดว่าดาวสีส้มแบบนั้นก็สวยเหมือนกันนะ”
“...ดวงจันทร์ต่างหาก”
โยตะสุเกะคิดแค่นั้นจริงๆ ...
ในช่วงเวลาแสนสั้นนี้ เขาไม่ได้คิดว่ายาโทระจะเป็นเพื่อนหรือใครก็ตามที่ไว้วางใจแบ่งปันพื้นที่เล็กน้อยในโลกของเขาให้อีกฝ่ายได้เข้ามารู้จัก เขาคิดว่ามันไม่ได้แย่...โยตะสุเกะแค่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เด็กวัยอย่างเขาจะทำกิจกรรมร่วมกับยาโทระโดยที่ไม่ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือร้องไห้เท่านั้นเอง
เท่านั้นจริงๆ ...แต่มันสนุกมาก...
โยตะสุเกะไมรู้ว่าเลือดของเขาสูบฉีดเร็วขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว...ไม่รู้ว่าเขาตอบคำถามของยาโทระและวาดภาพกับอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่ได้ดูถูกหรือพูดจาแข็งกระด้างใส่เหมือนกับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไร...
พวกเขาวาดรูปกันจนถึงตอนเย็น ผล็อยหลับไปกับสายลมเย็นพัดโชยปัดเป่าความร้อน เมื่อถึงเวลาบอกลา ครอบครัวยางุจิจึงขอที่อยู่เบอร์โทรแลกเปลี่ยนกับครอบครัวทาคาฮาชิเพื่อผลประโยชน์เกื้อกูลอันดีต่อกันในอนาคตตามมารยาท
“นี่ที่อยู่ของฉัน”
ยาโทระเข้ามากระซิบบอกเด็กชายตัวจิ๋ว ยัดกระดาษที่เขียนชื่อที่อยู่ไว้บนกระดาษลายมือตัวโต
“ไว้นายมาที่โตเกียว ฉันรู้จักนิทัดสากานภาพวาดอยู่นะ”
“นิทรรศการต่างหาก” โยตะสุเกะโคลงศีรษะ ยาโทระหน้าแดงก่ำก่อนพูดระรัว
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ! ที่โตเกียวไม่มีต้นแอบเปิลอร่อยๆ แบบที่นี่ แต่โตเกียวก็มีสถานที่เที่ยวสวยๆ เยอะเหมือนกันนะ”
โตเกียวงั้นเหรอ...เมืองพลุ่งพล่านแบบนั้น...
“อืม น่าสนใจ”
“ใช่ไหมล่ะ ไว้มาเที่ยวแล้วพวกเราไปดูภาพวาดสวยๆ กันนะ”
ยาโทระยิ้มกว้าง ก่อนโบกมือลาโยตะสุเกะที่ถูกจูงมือกลับไป ดวงตาสีเหลืองอำพันส่องประกายแวววาวด้วยความร่าเริงสบกับดวงตาสีน้ำเงินสุกสกาวทอดมองมาจนวินาทีสุดท้าย
“สัญญากันนะว่าจะไม่ลืมมาเจอกันที่โตเกียว!”
วัยเด็กเป็นวัยที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขและบริสุทธิ์จนยากจะเชื่อว่าในอนาคตจะมีอุปสรรคและความปวดร้าวรอคอยพวกเขาตอนที่เติบโตในวันข้างหน้า
“สัญญา...”
โยตะสุเกะไม่เชื่อเรื่องคำสัญญาหรือลมปากจากเด็กไร้เดียงสา เขาไม่เคยมีเพื่อนหรือผูกมัดทางคำพูดกับใครก็ตาม แต่ครั้งนี้เขาคิดว่าการตอบรับโดยที่ไม่รู้ผลที่ตามมาในอนาคตก็ไม่เลวนักหรอก
แน่สิ...ก็เขาเป็นเด็กนี่นา เด็กน่ะไม่ควรมาคิดมากหรือคิดถึงเรื่องในอนาคตนอกจากปัจจุบันหรอก...อีกเดี๋ยวก็คงลืมไปเองตามเวลาโดยธรรมชาติ
ทว่าโยตะสุเกะไม่รู้ตัวว่าตนนั้นไม่สามารถลบเลือนยางุจิ ยาโทระออกไปจากความทรงจำได้เลย
เขาบรรจงวาดแอปเปิลสีฟ้าและถ่ายภาพอัดเป็นโปสการ์ด ใช้ความกล้าหาญในการเขียนที่อยู่ของผู้รับเดินดุ่มไปที่ไปรษณีย์ด้วยตนเองจนแข้งขาสั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ และเมื่อมันไปถึงที่หมาย ยาโทระก็ดีใจจนน้ำตาปริ่มกับสิ่งที่เขาได้รับ
แอปเปิลสีฟ้าสวยจัง...
เหมือนกับดวงตาของโยตะสุเกะคุงเลย จะว่าไปแล้วรู้สึกเหมือนดวงตาของโยตะสุเกะคุงก็เป็นสีน้ำเงินเหมือนภาพวาดมหาสมุทรในนิทานเลย...เปรียบเทียบว่าโยตะสุเกะเหมือนมหาสมุทรได้ไหมนะ แล้วก็มีดวงจันทร์สีส้มกับแอปเปิลสีฟ้าเกิดขึ้นมาจากที่นั่น อืม จะเป็นยังไงกันนะถ้ารถสีรุ้งโผล่ขึ้นมาด้วย แบบนั้นก็คงอย่างกับเหมือนมีเวทมนตร์เลย ว่าแล้วยาโทระก็ฮึมฮัมสวดภาวนาระหว่างที่เขาเขียนจดหมายตอบกลับโยตะสุเกะอย่างที่แม่ชอบพูดประโยคท่อนโปรดในนิทานให้เขาฟังอยู่เสมอ
โลกที่โยตะสุเกะเห็นคงมีแต่สีสันมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงสีฟ้าเจิดจ้านี่ด้วยสินะ ถึงวาดแอปเปิลสีฟ้าสวยขนาดนี้ได้...
แอปเปิล...จงให้มนตร์คาถา
โอริกามิ...จงร่ายมนตร์คาถา
มหาสมุทร...จงเสกมนตร์คาถา
ฉันจะขอทุกมนตร์คาถาในนิทานหรือความเป็นจริง
ให้ทุกอย่างของนายมีแต่สีฟ้าสว่างสดใส
โยตะสุเกะได้รับจดหมายตอบกลับจากยาโทระในเวลาไม่นาน
“ขอบคุณสำหรับโปสการ์ด ฉันจะเก็บเอาไว้อย่างดีเลย ป.ล.ฉันให้ซุปเปอร์หุ่นยนต์จากโลกอนาคตเป็นของตอบแทนนะ”
ซุปเปอร์หุ่นยนต์ที่ว่าคือภาพหุ่นยนต์มีแขนขาสิบแขนทาสีชมพูกับสีฟ้าคละกันละลานตา หากมองเผินๆ คงต้องนึกพักใหญ่ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่โยตะสุเกะก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือบอกว่ามันไม่สวย เขาเก็บมันใส่แฟ้มอย่างเงียบๆ สอดเอาไว้ในชั้นหนังสือแล้ววาดภาพต่อๆ ไปส่งให้ยาโทระ
จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีจดหมายตอบกลับมาอีกเลย...
โยตะสุเกะเฝ้ารอคอยว่าจะมีจดหมายตอบกลับมาจนกระทั่งเขาลืมเลือนความรู้สึกเสียใจไปโดยปริยาย
สิบปีอันยาวนานกัดกร่อนให้พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเสียแล้ว...
ไม่มีประโยชน์อะไรที่โยตะสุเกะจะต้องนึกถึงอีก
เขาใช้ชีวิตเรียบเรื่อยในแต่ละวันอย่างที่ทำมาเนิ่นนาน ทำในสิ่งที่ตนถนัด ทำในสิ่งที่ใครๆ ต่างชื่นชมหรือแม่โอ้อวดว่าเขานั้นเป็นอัจฉริยะ ย้ายบ้านจากฮอกไกโดมาโตเกียวเพราะหน้าที่การงานของพ่อ ละทิ้งสวนแอปเปิลและกลิ่นเค็มๆ ของน้ำทะเลมาสัมผัสกลิ่นท่อไอเสียรถและขยะตามตรอก
วาดภาพไปเรื่อยๆ อย่างที่ตนอยากวาด...
วาดมันไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายหรือต้องรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ ขอแค่ได้วาดมันก็พอเท่านั้นเอง
กลิ่นอายของฤดูร้อนและมหาสมุทรสีครามสดใส โอปันยากิและแอปเปิลสีฟ้าอะไรนั่นมันก็แค่เศษเสี้ยวที่ถูกลืมเอาไว้ในซอกหลืบของลิ้นชักความทรงจำอันเปราะบางเยาว์วัยในอดีตเท่านั้น
ก่อนเขาจะได้พบกับยางุจิ ยาโทระอีกครั้งด้วยความบังเอิญในโรงเรียนเตรียมสอบโตเกียวบิจุทสึ
ลิ้นชักที่ว่าก็เหมือนถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า
เหมือนสายลมเย็นแผ่วเบาหอบพัดพาความรู้สึกที่ตนยากจะอธิบายในตอนเด็กซึ่งถูกปิดตายมายาวนานกลับมาหาคนที่เคยเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าแอปเปิลสีฟ้ามีอยู่จริง
...................................................................................................................................................
//ทอล์กกับคนเขียน
ฟิคชั่ววูบที่ว่าหากพวกเขาทั้งสองเคยเจอกันมาก่อนจะเป็นยังไงล่ะค่ะ เป็นฟิคที่ไม่มีแก่นสารอะไรเลยนอกจากอยากให้พวกเขาได้คู๋กันหรือไม่ได้คู่กันดีล่ะนะ(มั้ง) อีกคนก็เหมือนเสือตัวใหญ่ร่าเริงเลียหน้าเขาแผล่บๆ อีกคนก็เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ตื่นคนน่ารักดีเเนอะ ถ้าชอบก็อย่าลืมกดหัวใจกับคอมเมนท์ได้นะคะ??ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
เชิงอรรถ
- โอปันยากิ หรือ อิมะงาวะยากิ ขนมญี่ปุ่นสอดไส้ต่างๆ ตัวขนมเป็นทรงกลมเหมือนเหรียญโอปันในสมัยก่อน ปัจจุบันมีรูปร่างต่างๆ ตามแม่พิมพ์