Chapter 2

 

            “จีซู...”

“อ่าว... หวัดดีจุน” ฮง จีซู ละสายตาจากชาร์ทผู้ป่วยในมือแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นเพื่อนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างแปลกใจ ก่อนที่คุณหมอประจำแผนกฉุกเฉินจะเอ่ยปากถาม “มีเรื่องคอนเซาท์*แกด้วยเหรอ?”

“เปล่า... มีธุระนิดหน่อยน่ะ” จิตแพทย์หนุ่มตอบสั้นๆก่อนมองไปรอบห้อง “ตอนนี้ว่างอยู่ใช่มั้ย?”

            “อือ...” จีซูพยักหน้า

สถานการณ์ภายในห้องฉุกเฉินที่ชายหนุ่มทำงานอยู่ วันนี้เรียกได้ว่าสงบกว่าทุกวัน นอกจากเคสทำแผลเล็กๆน้อยแล้ว ก็ยังไม่มีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นอะไรเข้ามา    

            มีแต่ที่จะดูผิดที่ผิดทางไปหน่อยก็คงจะเป็นจุนนี่แหละ

            จีซูมองคนเป็นเพื่อนอย่างสงสัย ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่ใครบางคนด้านหลังผู้เป็นเพื่อน

            “นี่ สวี่ หมิงฮ่าว” จุนพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะขยับตัวไปด้านหลัง เผยให้เห็นเด็กหนุ่มตัวผอมบางในชุดคนไข้ที่กำลังมองสำรวจไปรอบๆห้องอยู่ คาดคะเนจากสายตาของจีซูแล้วอายุไม่น่าจะเกิน 20 ปี หมอหนุ่มทำท่าจะถามอะไรอีกครั้ง ก่อนจะเงียบไปเมื่อเห็นสายรัดข้อมือสีแดงที่มือของคนป่วย

            คนไข้ในทุกคนของเพลดิสเมมโมเรียลต้องสวมสายรัดข้อมือสีขาวที่จะบอกถึงชื่อ เลขประจำตัวผู้ป่วย รวมทั้งแผนกที่รักษาตัวอยู่ ยกเว้นคนไข้กลุ่มพิเศษที่จะได้สายรัดข้อมือสีแดง

ผู้ป่วยแผนกจิตเวชที่ต้องจับตามอง

            “มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” คุณหมอประจำห้องฉุกเฉินกระแอมพร้อมกับถามขึ้นมาเบาๆ

            “ขอเดินดูรอบๆห้องหน่อย แปปเดียว” คำขอของผู้เป็นเพื่อนทำให้จีซูต้องขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ว่าอะไร ด้วยคาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในแผนการรักษาของผู้เป็นเพื่อน และจุนจะต้องมั่นใจมากพอที่จะพาเด็กคนนี้ออกมาจากแผนกที่เกือบจะปิดตายนั่น

            ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

            “ตามใจ แต่ทำตามกฎหน่อยล่ะกัน” ชายหนุ่มอนุญาต ก่อนจะหันกลับไปสนใจชาร์ทผู้ป่วยในมือต่อ ถึงแม้สายตาจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะทีเดียวก็เถอะ

            หมิงฮ่าวเดินไปรอบๆอย่างช้าๆ ถึงจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่ยังคงจับจ้องมาจากคุณหมอที่มีรอยยิ้มเหมือนแมวคนนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สนใจ

            ดวงตาเรียวรีกวาดไปรอบห้อง ห้องฉุกเฉินที่นี่ก็เหมือนกับห้องฉุกเฉินทั่วไป ที่มีคนที่มีชีวิตเพียงหยิบมือ แต่มีคนที่ไม่มีชีวิตอยู่เต็มไปหมด

            เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความอาลัยของเหล่าวิญญาณ...

            แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มในชุดผู้ป่วยก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ใช่คนเย็นชา แต่การที่มองเห็นและสัมผัสกับวิญญาณเหล่านี้มาตลอด ทำให้หมิงฮ่าวรู้ดีว่าถ้าเขาอยากมีชีวิตที่สงบสุขอยู่ล่ะก็... ต้องห้ามให้ความสนใจกับวิญญาณเหล่านั้นโดยเด็ดขาด

            ไม่มี...

            เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อหลังจากที่เดินสำรวจไปทั่วห้องแล้ว ก็ยังไม่พบกับสิ่งที่เขาต้องการหา ไม่ใช่สิ... เรียกว่ายังไม่พบ ใครบางคนมากกว่า

            อันที่จริงหมิงฮ่าวก็รู้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องฉุกเฉินแล้วแหละว่าคนที่เขาตามหาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องดูให้แน่ใจอยู่ดี

            เด็กหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตอนนั้นเขาเห็นว่ามีบางอย่างอยู่ที่นี่จริงๆ

            มันไม่ชวนให้สบายใจเอาเสียเลย...

            วิญญาณอาฆาต

            คือสิ่งที่แม่ของเด็กหนุ่มเรียกพวกนั้น... เหล่าวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลัง และยังยึดติดกับโลกของคนเป็นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรง

            โกรธ...  เกลียด..    แค้น...  หรือแม้กระทั่ง รัก...

            การมีอยู่ของวิญญาณเหล่านี้ในที่ใดที่หนึ่ง จะทำให้เส้นแบ่งระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายพังทลายได้

            “นั่งก่อนมั้ย?” เสียงนุ้มๆที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง พร้อมกับเก้าอี้ถูกลากมาโดยคนที่เดินตามเด็กหนุ่มมาตลอด ทำให้หมิงฮ่าวเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนิ่งไปนานแค่ไหน เด็กหนุ่มเหลือบมองจิตแพทย์หนุ่มเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าเบาๆ

            “ไม่เป็นไรครับ”

            “คุณอยากบอกผมไหมว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่” จุนถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้มีความสงสัยในน้ำเสียง ลักษณะคล้ายชวนเด็กหนุ่มคุยด้วยมากกว่า

            “...”

            “โอเค งั้นผมจะยืนเงียบๆล่ะกัน” คนตัวสูงกว่าพูดต่อด้วยท่าทางใจเย็น ไม่มีท่าทางรำคาญหรือสงสัยในการกระทำที่ไม่มีเหตุผลของเด็กหนุ่มสักนิด และนั่นก็ทำให้หมิงฮ่าวเปิดปากพูด

            “ผม... คิดว่าผมกำลังหาใครบางคนอยู่”

            คนฟังนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนถามด้วยคำถามที่ทำให้อีกคนต้องประหลาดใจ “แล้วเจอรึเปล่าครับ?”

            “คิดว่าไม่... ” หมิงฮ่าวพึมพำ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเหมือนรับมือกับคุณหมอตรงหน้าไม่ถูก เดาไม่ออกว่าจิตแพทย์หนุ่มต้องการอะไรกันแน่ ตอนแรกที่ตกลงกับเขาก็ว่าแปลกแล้ว

แต่ตอนนี้ที่ยอมเดินตามเขาเงียบๆไม่ถามอะไรก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่

ในขณะที่จุนเพียงแค่มองไปรอบๆเล็กน้อย ก่อนเอ่ย

            “งั้นเราไปดูที่อื่นแล้วกัน”

           

 

 

 

 

            รถยนต์คันเล็กเคลื่อนที่ไปตามทางอันคดเคี้ยวของถนนที่ถูกตัดขึ้นบนภูเขา กระจกด้านข้างทั้งฝั่งคนขับและฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าถูกเลื่อนลงมาเพื่อให้คนบนรถได้สามารถมองวิวรอบๆได้สะดวก สายลมเย็นๆพัดพาเอาอากาศอันสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วงเข้ามากระทบจนทำให้รู้สึกได้ถึงความหนาว แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ยื่นหน้าออกไปก็ยังคงยิ้มด้วยความพอใจอยู่ดี

            ในขณะที่คนขับรถเหลือบมองอย่างอ่อนใจ

            จองฮันเหลือบมองร่างโปร่งใสที่นั่งข้างเขาเป็นระยะ แสงแดดอ่อนๆที่ตกกระทบทำให้ร่างของซึงชอลดูเลือนลางจนแทบมองไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของชายหนุ่มยามมองออกไปนอกรถก็ดูดีจนเขาอดหมั่นไส้ไม่ได้

            “อารมณ์ดีเกินไปรึเปล่าคุณ”

            “อะไรนะ?” วิญญาณหนุ่มหันหน้ากลับเข้ามาในรถอย่างงงๆ

            “ช่างเถอะ...” คนพูดพึมพำ “โค้งหน้าก็จะถึงแล้วล่ะครับ” จองฮันว่า ก่อนค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อทางโค้งด้านหน้าปรากฏขึ้น แล้วเคลื่อนรถไปจอดข้างทาง “ ที่นี่แหละ ”

            เภสัชกรหนุ่มเปิดประตูรถก่อนลงไปยืนมองรอบๆ ในขณะที่วิญญาณที่มาด้วยกันลอยอยู่ใกล้ๆอย่างสนใจ

            สถานที่ที่จองฮันและซึงชอบอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ที่มักจะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากเป็นโค้งที่แคบและติดกับเหวลึก ทำให้คนที่ไม่ชินทางหรือคนที่ขับรถตอนฝนตกมักพลาดบ่อยๆ และตอนนี้ด้านหน้าของพวกเขาเรียกได้ว่ายังเต็มไปด้วยร่องรอยของอุบัติเหตุที่เพิ่งผ่านไป เพียงแต่ในตอนกลางวันแบบนี้แสงแดดช่วยให้ไม่ได้ดูน่ากลัวจนเกินไปนัก  

            คนตัวเล็กกว่ามองตามวิญญาณหนุ่มที่ลอยไปรอบๆ ก่อนไปหยุดที่กั้นซึ่งเคยกั้นระหว่างถนนกับหุบเหวที่ลึกลงไป แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่ซากไม้เท่านั้น

            “คุณรู้สึกอะไรบ้างรึเปล่า”

            “ไม่เลยครับ” ซึงชอลตอบโดยที่ยังไม่ละสายตาจากเหวลึกด้านหน้า

            “ผมว่าจะถามตั้งนานแล้ว” จู่ๆจองฮันก็นึกอะไรขึ้นได้ “ที่คุณเป็นวิญญาณนี่... คุณมองเห็นวิญญาณตนอื่นบ้างรึเปล่า?”

            “เห็นสิ...”

            “งั้นที่นี่มีอะไรมั้ย?” ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองรึเปล่า... แต่จู่ๆคนถามก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวเย็นลงอย่างกระทันหัน

            ซึงชอลอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของคนตัวเล็กกว่า

            “คุณไม่อยากรู้หรอก” ประโยคหลังเสียงแผ่วลงพร้อมรอยยิ้มที่เลือนไปเล็กน้อย

            ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ... ตั้งแต่วิญญาณหนุ่มออกจากร่างมา เวลาก็ผ่านไปเกือบ 1 เดือนแล้ว แต่ซึงชอลกลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แม้แต่ชื่อของเขาเอง ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายชื่อของผู้ป่วยที่อยู่ที่เตียง เขาเองก็คงจำไม่ได้เช่นกัน และจากการไล่เวียนไปทุกแผนกเพื่อติดตามดูผู้ป่วยทุกรายที่มาจากอุบัติเหตุเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้เลยว่าซึงชอลไปอยู่บนรถบัสคันนั้นได้ยังไง อันที่จริง ไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มด้วยซ้ำ

            หากแต่ก่อนทีวิญญาณหนุ่มจะสติแตกไปมากกว่านั้น ญาติของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นจากการที่ตำรวจติดต่อไป จากการฟังการพูดคุยกับตำรวจ ทำให้เขาสรุปได้ว่าอันที่จริงแล้ววันที่เกิดอุบัติเหตุเขาควรจะอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง...

            แต่เพราะอะไรบางอย่าง ทำให้ชเว ซึงชอลกลับมาที่เกาหลีโดยที่ไม่บอกใคร

            และบางทีก็อาจจะด้วยเหตุผลนั้น ที่ทำให้เขายังกลับเข้าร่างไม่ได้...

            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จองฮันยังไม่รู้ แล้ววิญญาณหนุ่มก็ยังลังเลอยู่ว่าจะบอกคนตัวเล็กกว่าดีหรือไม่

            “คุณจะลองดูรอบๆหน่อยมั้ย เผื่อจะจำอะไรได้บ้าง” จองฮันว่า พวกเขาอุตส่าห์ถ่อมาจากโรงพยาบาลทั้งๆที่งานก็ไม่ใช่น้อยๆ จะให้กลับไปมือเปล่าเลย มันก็น่าเสียดายอยู่

            “ผมก็คิดอยู่ แต่วิญญาณที่นี่ พวกเขาดู... ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร” ซึงซอลพูดเบาๆและนั่นก็ทำให้จองฮันต้องหันไปมองรอบๆอีกครั้ง

            “เอ่อ... งั้นเอาไงดี” เภสัชกรหนุ่มหันซ้ายทีขวาทีอย่างลำบากใจ “แต่คุณบอกว่าถ้ามาที่นี่ก็น่าจะจำได้นี่นา”

            “ผมคิดแบบนั้น แต่มันจำไม่ได้อ่ะ” วิญญาณหนุ่มทำหน้ามุ่ย

            “เอาเถอะๆ” คนตัวเล็กกว่าโบกมือ “เอาเป็นว่า แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีครับ”

            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซึงชอลพึมพำ “พอได้มาเห็นที่นี่จริงๆแล้ว ก็ยังแอบแปลกใจเลยว่าทำไมถึงรอดมาได้ แล้วก็ไม่มีใครเป็นอะไรเลย”

            จองฮันเหลือบมองวิญญาณข้างตัวเล็กน้อย “คนบนรถบัสไม่มีใครเป็นอะไรก็จริง แต่มีคนตายนะครับ คนที่ขับรถเก๋งน่ะ”

            “ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” คนตัวสูงกว่าพร้อมทั้งหันมามองอย่างแปลกใจ

            “เธอถูกส่งไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งน่ะ เพราะที่นี่อยู่ตรงกลางระหว่างโรงพยาบาลของเรากับอีกโรงพยาบาลหนึ่ง แล้วอุบัติเหตุของคุณน่ะคนเจ็บเยอะกว่าที่เราจะรับได้ทั้งหมด เลยต้องส่งต่อ”

            “งั้นก็ยังมีคนเจ็บอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ที่เพลดิสอีกเหรอครับ” วิญญาณหนุ่มถามต่อ

            “ใช่แล้วล่ะ”

            “คุณไม่เห็นบอกผมเลย” คนฟังเริ่มโวยวาย ในขณะที่อีกคนก็แค่ยักไหล่

            “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณนี่ เธอขับรถเก๋ง ส่วนคุณอยู่บนรถบัส ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับคุณอ่ะ อีกอย่างผมยุ่งๆด้วย สงสัยลืม”

ซึงชอลถอนหายใจออกมาเบาๆ

            “อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นนะ” จองฮันขู่เสียงหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาที่คล้ายกับเอือมระอาของวิญญาณตรงหน้า “งานผมยุ่งมากนะคุณ มันก็ต้องมีพลาดบ้างสิ”

            “ถ้าผมฟื้น ผมขอสัญญาว่าจะจ้างคุณแล้วให้เงินเดือนคุณ 3 เท่าเลย” ซึงชอลพึมพำคล้ายประชด

            “โบนัสปีละ 3 ครั้งตามไตรมาสด้วยครับ” จองฮันว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนยืนตัวแข็งทื่อเมื่อจู่ๆซึงชอลก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเอามือลูบที่แก้มของเขาเบาๆ

            สัมผัสนั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกเย็นวาบเหมือนเช่นเคย ตรงกันข้าม มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่ทำให้จองฮันรับรู้ได้ถึงความร้อนบนใบหน้าที่เพิ่มสูงขึ้นมากระทันหัน ก่อนที่ความรู้สึกแปลกๆจะหายไปทันทีกับประโยคถัดไปของวิญญาณหนุ่ม

            “เลือดซิบเลยอ่ะคุณ ไปหาหมอด้วยกันมั้ย”

            ชเว ซึงชอล!

 

 

 

            ล้มเหลว....

            คือคำนิยามของสวี่ หมิงฮ่าวในวันนี้

            เด็กหนุ่มคิดอย่างเซ็งๆ ก่อนออกแรงไกวชิงช้าที่ตัวเองนั่งอยู่คนเดียวเบาๆ บรรยากาศที่เริ่มมืดรอบตัวไม่ได้ให้เขาอยากกลับเข้าไปข้างในเลยสักนิด ในใจของหมิงฮ่าวมีแต่ความไม่สบายใจ

            วันนี้ไม่ว่าจะเดินทั่วทั้งโรงพยาบาลยังไง เด็กหนุ่มก็หาวิญญาณตนนั้นไม่เจอสักที และที่ทำให้ไม่สบายมากขึ้นไปอีกก็คือการที่เขาไม่ได้รู้ถึงรังสีของวิญญาณเลยสักนิด

            ตามปกติแล้วนอกจากจะสามารถ สื่อสาร สัมผัส หมิงฮ่าวยังสามารถแยกประเภทของวิญญาณจากรังสีที่อยู่รอบตัวของวิญญาณเหล่านั้น

            และเขาก็สัมผัสไม่ได้ถึงรังสีของวิญญาณที่น่าจะมีตัวตนอยู่ที่นี่เลย

            “เฮ้อ...” เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ตัดสินใจบอกกับตัวเองว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้ว การมีอยู่ของวิญญาณตนนั้นยังไงซะก็คงไม่น่าจะเกี่ยวกับตัวเองหรอก เขาน่าจะเอาเวลาที่มีตอนนี้ไปคิดดีกว่าจะรับมือกับจุนยังไงดี เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่หมิงฮ่าวจะต้องยอมรับการรักษาตามที่ได้ตกลงกันไว้

            เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ถึงเวลาที่เขาต้องกลับห้องของตัวเองแล้ว ร่างเล็กค่อยๆเดินกลับเข้าไปในตัวอาคาร หลังจากที่ออกมานั่งคนเดียวในสวนของแผนกตั้งแต่กลับมาจากการออกไปข้างนอกกับจุน แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าตอนที่ออกมา ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ หากแต่ทันทีที่เดินเข้าไปข้างใน สัญชาตญาณก็เริ่มส่งเสียงเตือนเขาทันที

            หมิงฮ่าวจ้องโถงทางเดินตรงหน้าด้วยสายตาพิศวง

            ความเงียบและวังเวงของโถงทางเดินตรงหน้าทำให้เขาเลือกที่จะหยุดเดิน

เงียบเกินไป...

            เด็กหนุ่มมองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาเขาก็ไม่ปรากฎความผิดปกติใดใดทั้งสิ้น ไม่มีทั้งคน ไม่มีทั้งบางสิ่งที่มีแต่เขาเท่านั้นที่มองเห็น

            และนั่นก็คือสิ่งที่แปลกประหลาด....

            ตามปกติแล้วแผนกผู้ป่วยในจิตเวชเรียกได้ว่ามีคนเข้าออกน้อยมากจนได้รับการขนานนามว่าดินแดนลี้ลับก็จริง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเงียบได้ขนาดนี้

            เงียบจนคล้ายกับว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่ที่นี่...

            ตึก

            ตึก

            ตึก

            ตัดสินใจเดินต่อไป แต่ยิ่งเดินไปข้างหน้ามากเท่าไรก็ยิ่งมีความรู้สึกประหลาดมากเท่านั้น เสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องอยู่ตอนแรกก็พอทำให้เด็กหนุ่มใจชื้นได้บ้าง แต่พอนานๆเข้ากลับทำให้ยิ่งรู้สึกขนลุกมากเข้าไปอีก

พรึบ

คิ้วเรียวขมวดเมื่อไฟตรงปลายสุดของทางเดินด้านหน้าตรงประตูเข้าวอร์ดกระพริบก่อนดับวูบลง

...เช่นเดียวกับทางด้านหลัง

พรึบ

พรึบ

พรึบ

หากแต่ยังไม่ทันให้หมิงฮ่าวขยับตัว หลอดไฟที่เหลือก็ค่อยๆกระพริบก่อนดับวูบไล่เข้ามาหาเขาที่ยืนอยู่ตรงกลางทางเดิน

เด็กหนุ่มชาวจีนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

เป็นไปไม่ได้... ถ้ามีบางอย่างจริงๆ เขาก็ต้องมองเห็นสิ

พรึบ

เสียงไฟดวงสุดท้ายที่อยู่บนหัวเขากระพริบ ก่อนค่อยๆดับลง ทิ้งเด็กหนุ่มไว้ให้ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด

มืด... เสียจนมองไม่เห็นแม้แต่ตัวของเขาเอง

หมิงฮ่าวไม่เคยกลัวในสิ่งที่ตัวเองมองเห็น...

แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังกลัว... ในสิ่งที่เขามองไม่เห็น

สายลมแผ่วเบาที่พัดมากระทบตัวทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ความเงียบและวังเวงทำให้ได้ยินชัดถึงลมหายใจตัวเองที่กำลังติดขัด เด็กหนุ่มพยายามเรียกสติให้กลับมา ก่อนจะต้องยืนตัวแข็งเมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนยืนข้างหลังเขา

            สัมผัสนั้นแผ่วเบาและเย็นเฉียบราวกับอีกฝ่ายกำลังเอามือลูบหัว แล้วค่อยๆเลื่อนลงไปตามไรผมและแก้ม

ก่อนจะมาหยุดที่ลำคอของหมิงฮ่าว

            เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ รับรู้ถึงมือทั้งสองข้างที่กำรอบลำคอของเขาได้อย่างชัดเจน

            ก่อนที่เสียงอ่อนหวานแต่ทว่าเย็นเยือกจะดังขึ้นข้างหู

            “อยากเจอฉันเหรอ”

 

 

 

 

TBC

 

 

 

Consult (การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง)*