ตอนแรกสเตรนจ์คิดว่าเสียงโวยวายน่ารำคาญเป็นเสียงของโทนี่กับเสียงหัวเราะของพวกชาวเมืองเสียอีก ในความจริงมันเป็นเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนเตือนภัยต่างหาก

สเตรนจ์รีบปล่อยคอเสื้อโทนี่ทันที เขาหันไปมองด้านหลังก็พบร้านค้าแผงลอยต่างๆ ถูกระเบิดเป็นจุณ แล้วแสงสีม่วงเข้มก็พุ่งตรงมายังที่ที่เขาและโทนี่ยืนอยู่ เขามีปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน สองมือขยับไปกางเกราะเวทมนตร์ป้องกันการโจมตีทันที เสียงระเบิดตู้มดังขึ้นก่อนแสงสีม่วงจะสลายไป

“แย่แล้ว”

โทนี่พูดเสียงสั่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ท่าทางทั้งหมดของโทนี่ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์บนดาวไททัน การต่อสู้กับธานอสที่กินเวลานานเหมือนเป็นปี การร่วมมือกันของคนต่างถิ่นที่มาเพื่อล้มอสูรร้ายเพียงตนเดียว แต่ไม่สำเร็จ โทนี่โดนแทงและเกือบสลายกลายเป็นฝุ่นแทนเขาหากเขาไม่เอ่ยขอชีวิตของเจ้าตัวไว้

สเตรนจ์พยายามจะก้าวขาออกไปแต่มันก็สั่นพั่บๆ จนเขาเกือบจะทรุดลงกับพื้น ความกดดันทั้งจากความคาดหวังยามมองโทนี่ และทั้งจากการโจมตีโดยไม่ทราบที่มาทำให้เขารู้สึกเย็นวาบด้วยความหวาดหวั่น หัวใจสเตรนจ์หนาวเยือกไปด้วยน้ำแข็งแห่งความกลัว

“คุณพ่อมด!” เสียงโทนี่ช่วยปลุกสติของสเตรนจ์ให้กลับมา เขาหันไปมองพร้อมเอื้อมมือชื้นเหงื่อไปกุมมือเล็กไว้แน่น โทนี่ดูงุนงงและสับสน แต่เจ้าตัวก็เก็บอาการไว้ได้ดีภายใต้สีหน้าขี้เล่น “ไม่ต้องกลัวน่า”

“ใครบอกว่าฉันกลัว”

“มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปหรอก”

น้ำเสียงแน่วแน่ดุจเหล็กกล้าของโทนี่ทำสเตรนจ์ใจชื้นขึ้นมา เขากุมมือเล็กแน่นอยู่แป๊บนึงแล้วค่อยผละมือออกมาเสกอาวุธเตรียมโต้กลับไปบ้าง หัวใจเต้นไหวให้กับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของคนข้างตัวที่ดูอวดเก่งเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นมันกลับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้สเตรนจ์เกิดสนใจโทนี่ อาจเป็นเพราะเขาไม่มีความกล้ามากพอตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ตรงข้ามกับคนตัวเล็กที่พร้อมพุ่งชนเป้าหมายด้วยพลังทั้งหมดที่ตัวเองมี ยิ่งเพื่อใครสักคนด้วยแล้ว โทนี่ยิ่งพร้อมทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง

โทนี่ก็ยังคงเป็นโทนี่อยู่วันยังค่ำ

“นี่มันเรื่องอะไร คนโจมตีคือใคร”

“บางทีจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่คงรับรู้การมาถึงของเจ้าแล้ว” โทนี่ตอบโดยไม่มองหน้าสเตรนจ์ “คำทำนายไม่ได้มีแค่นั้นนะคุณคู่หมั้น มหาเทพยังบอกอีกว่าเจ้าคือผู้ที่จะมาปราบจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ให้สยบแทบเท้า”

“เอเชี่ยน...วัน?” สเตรนจ์ขมวดคิ้วจนหัวของมันแทบชนกัน

“เปล่า ไคซีเลียสต่างหาก” คำเฉลยของโทนี่ทำสเตรนจ์แทบอุทานว่าคุณพระออกมาเลยทีเดียว “ไคซีเลียสกำจัดเอเชี่ยนวันได้ แล้วเข้ายึดครองประเทศนี้ไว้เป็นฐานทัพล้างโลก แต่เมืองอเวนเจอร์สเป็นเมืองเดียวที่ต่อต้านกำลังของเขาเอาไว้ ไม่อยากจะโม้ว่าเพราะข้าน่ะนะ”

สเตรนจ์หันไปมองหน้าโทนี่แบบไม่เชื่อ

“อย่างไรก็ตาม ข้าและเหล่าทีมของข้าทำได้แค่สะกดมันเอาไว้ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีจนกระทั่งคำทำนายของมหาเทพถูกเปิดเผย คนจากต่างโลกที่ตกลงมาจากบนฟ้าคือคู่หมั้นของข้า แถมยังเป็นผู้ปราบไคซีเลียสอีกด้วย กองทัพของไคซีเลียสตื่นตัวและปลดผนึกมันออกมาจากการจองจำ โคตรแย่เลย”

“เหมือนว่าจะเคยปราบไปแล้วนะ” สเตรนจ์พึมพำกับตัวเองแล้วนึกอะไรขึ้นได้ นี่เป็นโลกคู่ขนานนี่หว่า หากไคซีเลียสมีอิทธิพลกับที่นี่ นั่นหมายความว่าดอร์มัมมูก็อาจจะ... “เฮ้ ขอถามอะไรอย่าง”

“ว่ามา”

“ดอร์มัมมู นายรู้จักสิ่งมีชีวิตชื่อนี้หรือเปล่า” สเตรนจ์อยากให้โทนี่ทำหน้างง สับสน แล้วตอบกลับมาว่าอ๋อ ใครวะ แต่เขาต้องผิดหวังเมื่อความจริงนั้นสีหน้าของโทนี่เข้มขึ้นหลายเท่าตัว

“เออดิ มันเป็นลาสบอสตัวฉกาจเลยนี่หว่า”


 

การโจมตีระลอกสองเริ่มขึ้นหลังบทสนทนาของสเตนจ์กับโทนี่จบลง สเตรนจ์ทำได้แค่กางเกราะเวทมนตร์ป้องกันตัวเองกับโทนี่ พร้อมคิดหาวิธีกำจัดไคซีเลียสออกไปอย่างที่เคยทำมาแล้ว เขามองหาไคซีเลียสซึ่งไม่รู้อยู่ที่ไหน ที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มีเพียงลูกสมุนของมันซึ่งกำลังร่ายเวทเผานู่นพังนี่อย่างสนุกสนาน ชาวเมืองวิ่งหนีกันชุลมุน พวกผู้ใหญ่ต่างพากันเอาตัวรอดโดยทิ้งเด็กตัวน้อยเอาไว้

สเตรนจ์กำลังจะวิ่งไปช่วยเด็กคนหนึ่งจากบ้านอิฐถล่ม แต่ไม่ทันโทนี่ที่พุ่งเข้าไปคว้าตัวเด็กมากอดแนบอกด้วยแรงไอพ่นจากชุดเกราะสีแดงทองที่เห็นจนชินตา ทว่าคนตัวเล็กกลับไปช้ากว่าการถล่มของบ้าน มันพร้อมใจกันพังลงมาจนควันตลบ

“โทนี่!”

ตอนที่เห็นว่าบ้านทั้งหลังถล่มใส่โทนี่และเด็กตัวน้อย สเตรนจ์ร้องลั่น ภาพโทนี่ถูกธานอสทำร้ายต่างๆ นานาไหลกลับมาให้เห็นเป็นฉากๆ มันตอกย้ำความอ่อนแอของเขาให้รู้สึกแย่กว่าเดิม มือซึ่งหายสั่นไปแล้วกลับมาสั่นอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ใช่เพราะรถตกเหว แต่เป็นเพราะเขากำลังหวาดกลัวถึงขีดสุด

ทั้งที่...ได้รับโอกาสให้กลับมาเจอโทนี่อีกครั้ง แต่เรากลับ...

“ไม่ได้แอ้มตูหรอกเฟ้ย” แล้วเสียงอวดเก่งที่จำได้ดีก็ดังขึ้นจากใต้ซากปรักหักพัง สเตรนจ์เห็นโทนี่ในเกราะบาเรียสีขาวประกายฟ้ากำลังยกแขนขึ้นต้านแรงถล่ม เกราะแขนมีรอยร้าวปรากฏให้เห็นบ้าง แต่โทนี่และเด็กน้อยปลอดภัย “นึกว่าจะพัฒนาไม่ทันซะแล้ว เกือบแย่”

“เจ้านายไม่ควรบ้าพลังและหุนหันพลันแล่นลองของนะคะ” เสียงผู้หญิงตำหนิดังขึ้นจากในชุดเกราะ สเตรนจ์ขมวดคิ้วมุ่น “ฉันพบศัตรูทางสามนาฬิกาด้านหลังคุณพ่อมดค่ะ”

เสียงเตือนยังไม่ทันขาดห้วงดี สเตรนจ์ก็ถูกจู่โจมจากทางด้านหลังจนปลิวไปกระแทกกำแพงอิฐใกล้ประตูซุ้มโค้ง เขาร้องอั้กออกมาก่อนร่วงไปกองกับพื้น ความมึนงงเข้ามาทักทายพร้อมกันกับการกรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของกระดูกและกล้ามเนื้อ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีเวลาให้นั่งตั้งสติ เขารีบประคองตัวเองลุกขึ้นยืนโซเซแล้วร่ายเวท เกราะป้องกันสีส้มปรากฏขึ้นรับการโจมตีที่สองที่ปะทะเข้ามา

แล้วสเตรนจ์ก็เปลี่ยนไปโจมตีบ้าง เขาเสกแส้เวทมนตร์ฟาดเข้าเต็มลำตัวพรรคพวกของไคซีเลียสเพื่อให้พวกมันสลบ เห็นคนพวกนี้กี่ทีก็ยังเหม็นขี้หน้าไม่เปลี่ยนแปลง เสร็จแล้วเขาจึงวิ่งเข้าไปหาโทนี่ที่อุ้มเด็กคืนให้แม่เด็กซึ่งวิ่งร้องไห้มารับไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของสเตรนจ์กลับเป็นประกายตามีความหวังของโทนี่ ประกายตาที่หายไปจากโทนี่อีกโลกนานมากแล้ว

“ทำได้ไม่เลว” โทนี่เอ่ยชม มันออกจะแปลกไปเสียหน่อยที่คำพวกนี้ออกมาจากปากชายหยิ่งทระนง “แต่น้อยกว่าข้า”

“จ้าๆ” สเตรนจ์รับคำพลางยิ้มขำ ก่อนเอ่ยแซว “เพราะแบบนี้มั้งฉันถึงได้ถูกเลือกให้เป็นคู่หมั้นนาย”

“หลงตัวเอง”

โทนี่ตอกกลับพร้อมบินตรงไปจัดการพรรคพวกไคซีเรียสโดยมีสเตรนจ์คอยคุ้มกันด้านหลังให้ การต่อสู้เกิดขึ้นได้ไม่นานทุกอย่างก็จบลงที่พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ ดูเหมือนว่าพอไร้ซึ่งชาวเมืองแล้ว โทนี่จะดูต่อสู้ได้ดิบเถื่อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“หอบแฮ่กเลยนะ” โทนี่ที่ถอดหน้ากากไอรอนแมนออกแล้วเดินตรงเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มอวดดี “ไม่เคยต่อสู้มาก่อนหรือไง”

“ฉันเป็นหมอ การต่อสู้ที่หมายคร่าชีวิตไม่ใช่วิธีของฉัน” สเตรนจ์ตอบแล้วปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ผ้าคลุมเองก็สะบัดพั่บๆ ปัดเศษดินออกจากตัว “และฉันจะไม่มีวันทำแบบนั้นไม่ว่าจะกับใครก็ตาม”

“ว้าว เป็นปรัชญาประจำตัวฮีโร่ของเจ้าเหรอ น่านับถือใช้ได้” สเตรนจ์หรี่ตาใส่โทนี่ทันทีที่เจ้าตัวเล็กพูดจบ และเหมือนเจ้าตัวจะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรจึงได้ยกมือโบกไปมา “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะพ่อมด ข้ากล่าวชมจากใจ ไงดีล่ะ ข้าไม่เคยเจอใครมีความคิดแบบนี้มาก่อน ปกติทุกคนมักมองว่าการต่อสู้ต้องจบลงด้วยการนองเลือดเสมอ ไม่เขาก็เราที่ต้องตายไปข้าง แต่เจ้า...กลับอ่อนโยน”

สเตรนจ์หน้าร้อนจนแทบมอดไหม้เมื่อได้ยินประโยคหลังของโทนี่ในน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาเบือนสายตาไปทางอื่นแล้วกระแอมไอ ก่อนโดนเจ้าผ้าคลุมใช้ปลายปกเขี่ยแก้มยิกๆ เป็นเชิงหยอกล้อ

“เดี๋ยวพวกคลิ้นท์จะมาจัดการเรื่องต่อจากนี้ให้ เรากลับปราสาทของตระกูลข้ากันก่อนเถอะ ข้าต้องไปรายงานเรื่องทั้งหมดให้ท่านพ่อฟัง”

โทนี่เดินผ่านตัวสเตรนจ์ไปอย่างง่ายดาย และเพราะมันดูง่ายดายล่ะมั้งเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าท่อนแขนของอีกฝ่ายพร้อมรั้งให้หยุด เสร็จแล้วค่อยกระชากตัวโทนี่ที่ถอดชุดเกราะนาโนออกแล้วมากอดเสียแน่น พอเห็นว่าชายในอ้อมแขนยังตัวอุ่นและมีชีพจรเต้นอยู่ สเตรนจ์พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นึกว่าจะเสียโอกาสที่ได้มาเสียแล้ว


 

“นอนไม่หลับเหรอ”

สเตรนจ์หันไปมองเจ้าของเสียงที่โผล่มาด้านหลังเงียบๆ โทนี่นั่นเอง เหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำธุระของตัวเองเสร็จแล้ว เขาเขยิบให้เจ้าของปราสาทนั่งลงข้างๆ บนม้านั่งสั้นที่เฉลียงหน้าบ้าน ก่อนกลับไปมองต้นหญ้าในสวนที่พลิ้วไหวไปตามสายลม พระจันทร์ดวงใหญ่สีน้ำเงินครามส่องประกายอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าจนเห็นได้ชัดแม้ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า มันเหมือนเป็นไททันที่คอยประคองโลกใบนี้ไว้แล้วเฝ้าดูด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยน

“ถามไม่ตอบซะด้วย หยิ่งชะมัด”

“ฉันมาอยู่ที่นี่ห้าวันแล้ว วันแรกฉันตกจากฟ้าลงมาเจอคลิ้นท์กับนายในชุดประหลาดๆ ณ สถานที่ประหลาดๆ ซึ่งตัวฉันระบุไม่ได้ว่าเป็นที่ไหนและช่วงเวลาไหน แล้วฉันก็โดนทำให้สลบด้วยฝีมือของคลิ้นท์”

“ก็เจ้าเล่นพุ่งมากอดข้าซะเต็มรัก” โทนี่ตั้งข้อสังเกตแล้วเชิดจมูกขึ้น “พอรู้อยู่ว่าตัวเองหน้าตาดีเลยทำให้แม้แต่คนแปลกถิ่นยังตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำแบบนั้นน่ะไม่-ได้-นะ<3”

“ยังคงมั่นหน้าได้น่าโมโหเช่นเคย” สเตรนจ์พูดเสียงเอือม เขามองโทนี่ที่ไหวไหล่อย่างไม่ถือสา แล้วถือโอกาสพูดต่อ “หลังจากตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคู่หมั้นของคนน่ารำคาญตามคำทำนายไร้สาระ ถามอย่างดิ นายคิดว่าพระเจ้ามีอยู่จริงเหรอ”

“แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าพระองค์ไม่มีอยู่จริงล่ะ”

สเตรนจ์เงียบเมื่อไม่อาจหาคำตอบได้ เขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธว่าตนไม่เชื่อได้ คำพูดของมอร์โดผุดขึ้นเตือนการถือดีของเขา

‘จงละทิ้งทุกอย่างที่นายคิดว่ารู้ดี’

อ่า...นั่นสินะ

“จากนั้นทุกคนก็ทำเหมือนฉันเป็นหนึ่งในคนของตระกูลสตาร์ค คอยดูแลและนับหน้าถือตาทั้งที่ตอนแรกยังหวาดระแวงและมองกันอย่างเกลียดชัง”

“อ่า...ฮะ?”

“ประเด็นก็คือนี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ”

“ถามได้เข้าเป้า” โทนี่ชี้หน้าสเตรนจ์แล้วขยับนั่งไขว่ห้าง “แต่รู้อะไรมั้ย ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ข้าเห็นเจ้ากำลังจะสู้กับคลิ้นท์ ข้าวิ่งเข้าไปเพื่อต้องการช่วยเพื่อนอย่างสันติวิธีหากเจ้ายอมให้ความร่วมมือ” โทนี่พูดประโยคหลังพร้อมหันมาทำหน้าดุ ก่อนหันกลับไปมองพระจันทร์ต่อ บนท้องฟ้าเริ่มปรากฏหมู่ดาวพราวระยับ “แต่พอได้เห็นหน้าเจ้าชัดๆ ความรู้สึกคุ้นเคยก็ผุดขึ้นในอกของข้า มันเหมือน...ข้ากับเจ้าเคยมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันมาก่อนทั้งที่ข้าเพิ่งพบกับเจ้าเป็นครั้งแรก”

สเตรนจ์นั่งตัวตรงอัตโนมัติ เหมือนร่างกายของเขาจดจำแล้วว่าหากโทนี่เอ่ยปากพูดอะไรที่เป็นเรื่องจริงจังออกมา เขามีหน้าที่รับฟังและปลอบโยนให้คนตัวเล็กคลายจากความเศร้า เขาคิดว่านี่คือปรากฏการณ์เดจาวู เพียงเปลี่ยนจากบนยานหน้าตาอัปลักษณ์มาเป็นเฉลียงหน้าบ้านที่ต่างโลกแทน

“ตอนเห็นหน้าของเจ้า ข้าเหมือนมีดอกไม้ไฟระเบิดตูมตามอยู่ในอกเลย”

โทนี่พูดต่อด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาปิด มันส่องประกายเจิดจ้าทว่าอบอุ่นดุจดั่งแสงจันทร์ที่สาดส่องอยู่เบื้องหน้า และแน่นอน มันส่งผลต่อหัวใจของสเตรนจ์อย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเพิ่งเกิดโศกนาฏกรรมมา มันยิ่งทำให้เขาอ่อนไหวและโอนเอียงให้กับรอยยิ้มสว่างไสวนี้อย่างมาก มากถึงขนาดที่...สัญญากับตัวเองว่าจะปกป้องมันตลอดไป

คำถามมากมายที่สเตรนจ์ตั้งขึ้นทั้งหมดมหลายหายไปจนสิ้น ตอนนี้ภายในการรับรู้ของเขามีเพียงเสียงจังหวะหัวใจกับภาพโทนี่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเปื่อย มันทำเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่อีกโลกหนึ่ง พวกเขาจะมีโอกาสได้มานั่งคุยและเถียงกันอย่างเช่นที่ทำอยู่ไหม

สเตรนจ์จำไทม์ไลน์ที่ไทม์สโตนเผยให้เห็นไม่ได้แล้ว ทุกอย่างเลือนรางหลังเขากลับมาเกิดใหม่ที่ต่างโลก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนจบของอินฟินิตี้ วอร์เขากับโทนี่จะได้กลับมาพบกันหรือเปล่า โทนี่จะตายหลังช่วยโลกไว้ได้ไหม โทนี่จะพาเขากับทุกคนกลับมามีชีวิตอีกได้หรือไม่ เขาสูญเสียความทรงจำนั้นไปแล้ว

ทุกอย่าง...แตกสลายไปพร้อมกับร่างของเขา

“โทนี่” สเตรนจ์เรียกโทนี่เสียงสั่น คนตัวเล็กยอมหยุดจ้อแล้วหันมาเลิกคิ้วมองเขา ก่อนแววตาเป็นห่วงจะปรากฏขึ้น มันดูตลกที่คนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกจะมีอาการเช่นนี้ “นายแน่ใจใช่มั้ยว่านี่ไม่ใช่ฝัน”

ถามบ้าอะไรออกไปวะสเตรนจ์ ถ้าเป็นฝัน แกคงตื่นตั้งแต่โดนโทนี่ตบหน้าแล้ว

“ใช่ดิ ให้ลองตบเจ้าดูอีกรอบมั้ยล่ะ”

“ถ้างั้น ...ฉัน กับนาย”

ดวงตาของสเตรนจ์สั่นไหวเพราะคำพูดชวนเขินอายแสนน่าเศร้า เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาควรอยู่ที่แห่งนี้หรือเปล่า เขายังมีคำถามอีกมากให้เอ่ยออกไป เขายังต้องการคำตอบไขข้อข้องใจทั้งหมดเกี่ยวกับการมีอยู่ของเขา ณ ต่างโลกนี้ แต่ว่า...

แต่ว่า ถ้าการมาเกิดใหม่ที่นี่ทำให้เขาได้อยู่กับโทนี่ล่ะก็ แค่นั้นมันเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ

“เจ้ากับข้าทำไม”

“เป็นคู่หมั้นกันจริงเหรอ”

โทนี่เงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด หัวใจของสเตรนจ์ค่อยๆ หล่นหายไปตามความคาดหวัง ก่อนเสียงหัวเราะเล็กๆ จะดังขึ้นแล้วระเบิดลั่น โทนี่หัวเราะจนตัวโยน

“เออสิวะ ก็ตามคำทำนายบอกไว้แบบนั้นนี่หว่า”

“แล้วนายก็เชื่อเนี่ยนะ?”

“แล้วทำไมข้าต้องฝืนโชคชะตาด้วยอ่ะ” โทนี่ยกมือเกาหัวแกรกๆ “ที่โลกนี้ไม่มีใครหนีโชคชะตาได้ ถ้าเจ้าฝ่าฝืนมัน เจ้าก็จะทรมานเสียเอง แบบ...ข้าเคยเป็นมาก่อน”

โทนี่ดูอายกับความลับของตัวเองในประโยคท้าย แต่สเตรนจ์ไม่คิดซักไซ้เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เต็มใจบอก เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปจับปลายคางมนให้หันมามองกันดังเดิม แล้วเลือกจ้องเข้าไปในนัยน์ตากลมโตที่มองกันอย่างตกใจ

หากพูดกันตามตรงด้วยตรรกะ สเตรนจ์ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงโผล่มาที่นี่ มันต้องมีเหตุผลอยู่แน่นอน ถ้าเขามีอากาม็อตโต้หรือเพื่อนคู่คิดอย่างหว่องอยู่ด้วย เรื่องคงง่ายกว่านี้มากทีเดียว แต่ตอนนี้เขามีเพียงผ้าคลุมที่...เอาแต่บิดม้วนอยู่ด้านหลัง ทำอย่างกับตัวเองเป็นเด็กสาวตอนดูฉากติดเรตในละครหลังข่าวยังไงอย่างงั้น ซึ่งช่างมันไปเถอะ สเตรนจ์อยากสนใจคนตรงหน้ามากกว่า เขาอยากเก็บเกี่ยวทุกเวลาที่ได้ใช้กับโทนี่เพื่อชดเชยให้กับเวลาที่สูญเสียไป และถ้ามันเป็นตามที่โทนี่บอกจริงๆ ถ้าหากว่าเขามาเกิดใหม่เพื่อเป็นคู่หมั้นของโทนี่จริงๆ เขาขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเขาได้รับโอกาสให้ดูแลและปกป้องชายคนนี้อีกครั้ง

“เฮ้ พ่อคนแปลกหน้า เจ้าเริ่มทำข้ากระอักกระอ่วน”

สเตรนจ์เลื่อนนิ้วชี้แนบริมฝีปากอิ่ม โทนี่ยอมเงียบโดยดี เวลาหมอนี่เชื่อฟังก็น่ารักไปอีกแบบ

“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดได้ยังไงและใครสักคนส่งฉันมาที่นี่เพื่ออะไร แต่ฉันจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปแน่นอน”

เมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้พูดบ้างแล้ว สเตรนจ์รีบขยับปากกลั่นคำสัญญาจากใจออกมาทันที

“ฉันจะอยู่เคียงข้างและปกป้องนายเอง”

“เพิ่งเจอกันได้ไม่เท่าไหร่ก็เอ่ยสัญญาออกมาได้อย่างมาดมั่นเลยเรอะ” โทนี่ถามเสียงหลง สเตรนจ์หัวเราะ เขานึกว่าตัวเองจะโดนโทนี่ด่าซะแล้ว แต่เจ้าตัวกลับแค่หุบปากแล้วเบือนหน้าหนี แก้มขึ้นสีแดงชวนมอง “บ้าเอ๊ย”

“เพิ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ก็ตกหลุมรักฉันซะแล้วเหรอ ก็นะ คนมันหน้าตาดี” สเตรนจ์ขยิบตาให้โทนี่ เขาเห็นคนตัวเล็กหันไปแอบอมยิ้มกับตัวเอง เขาแอบหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันหมดข้อสงสัยกับเรื่องราวทั้งหมดแล้วหรอกนะ”

“แล้วจะทำอย่างไรเล่าคุณพ่อมด”

“ให้นายช่วยตอบคำถามฉันไปชั่วชีวิตเป็นไง?”

สเตรนจ์มองโทนี่ที่กลับไปเขินอีกรอบแล้วขำลั่น ก่อนโดนสันมือเล็กทุบเข้ากลางหัว เขาร้องด้วยความเจ็บพร้อมยกมือกุมบริเวณที่โดนตี แล้วเงยหน้ามองเขม่นเจ้าตัวแสบที่โดนผ้าคลุมพันรอบตัวเป็นมัมมี่ บางทีสเตรนจ์ก็รักผ้าคลุมผืนนี้จริงๆ เขาลุกขึ้นทำหน้าคนเหนือกว่า พูดด้วยโทนเสียงต่ำอย่างผู้กุมชัยชนะ

“เริ่มจากคืนนี้เลยละกัน คุณคู่หมั้น”


 

ก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไงและเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนคำพูดที่ว่า โอกาสมีให้สำหรับทุกคนเสมอ โดยใครสักคนจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้สเตรนจ์มีโอกาสแก้ไขความสัมพันธ์ของตัวเองกับโทนี่แล้ว เขาจะไม่ทำให้คนเบื้องบนผิดหวังแน่นอน และไม่ว่าโทนี่ในโลกนี้จะเป็นโทนี่คนเดียวกับที่เขาเคยเจอมาหรือไม่ เขาไม่สน เพราะไม่ว่าจะเป็นโลกไหนหรือมิติใด

โทนี่ก็ยังคงเป็นโทนี่ของเขาอยู่ดี