1 ตอน กลับมาเจอกันอีกครั้ง
โดย SaRa_PAO
ทุกอย่างสับสนไปหมด
สเตรนจ์ตายแล้ว ไม่สิ เขาควรตายแล้ว หลังจากร่างกายสลายเป็นฝุ่นปลิวไปกับสายลมร้อนระอุบนดาวไททัน ความมืดมิดก็เข้ามาทักทายเขาอยู่พักใหญ่ ก่อนสายลมสดชื่นที่มาพร้อมกลิ่นดอกเดซี่จะลอยเตะจมูก ด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง ร่างของสเตรนจ์กลับมารวมกันใหม่จนเป็นกายหยาบเดิม กายจิตก็ยังคงเดิม เขารู้สึกเหมือนได้ชีวิตคืนกลับมาอย่างน่าอัศจรรย์
แล้วร่างของสเตรนจ์ก็ร่วงลงมาจากฟ้าสีครามใต้แสงตะวันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ เขาร้องด้วยความตกใจก่อนผ้าคลุมสีแดงสดคู่หูจะสยายออกเพื่อให้เขาทรงตัวกลางอากาศได้ สเตรนจ์ต้องใช้เวลาอยู่นานถึงจะพลิกสถานการณ์ตกจากความสูงหลายหมื่นฟุตมาเป็นยืนกลางท้องฟ้า จากนั้นเขาจึงร่อนลงไปยืนบนพื้นหินปลายยุคกลางต้นยุคใหม่
สเตรนจ์มองรอบตัว เขาพบบ้านเรือนสร้างจากอิฐ ประตูโค้งความสูงเกือบสิบเมตรที่ใช้เชื่อมสองซอยเข้าด้วยกัน ด้านหลังของเขาคือน้ำพุซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางจัตุรัสของเมือง สเตรนจ์คิดว่ามันน่าจะเป็นลอนดอน แต่กลิ่นอายของที่นี่ไม่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่เคยไปสัมผัสบรรยากาศของลอนดอนในปลายยุคกลางต้นยุคใหม่ก็เถอะ ที่น่าแปลกคือในสถานที่นี้ผู้คนต่างสวมชุดแปลกตา จะว่าเป็นชุดแฟนตาซีคล้ายกันกับชุดของเขาก็คงได้ คือผู้หญิงจะสวมเสื้อลินินกับกระโปรงยาวคลุมถึงข้อเท้า พวกมันถูกประดับด้วยลายไม้ที่ขยับชอนไชไปตามเนื้อผ้าได้ ส่วนผู้ชายจะสวมชุดแบบปีเตอร์ แพน
“เจ้าน่ะ!” เสียงทักทำให้สเตรนจ์จำต้องหยุดพรรณนาบ้านเมืองในที่แปลกตา เขาหันไปยังต้นเสียงก็พบกับชายรูปร่างสันทัดที่เขาจำใบหน้าโหลๆ นั่นได้ดี ฮอว์คอาย “เป็นใครมาจากไหน ชุดไม่คุ้นตาข้าเลย”
“นายจำฉันไม่ได้เหรอ”
“ข้าไม่คิดว่าจะรู้จักคนหน้าละอ่อนแบบเจ้านะ”
ฮอว์คอายตอบพลางหรี่ตาลงอย่างไม่พอใจ สเตรนจ์ขมวดคิ้วแล้วสังเกตชุดของคนคุ้นหน้าให้ดี ก่อนพบว่ามันเป็นชุดตำรวจที่พบเห็นได้ตามการ์ตูนแฟนตาซี คือเสื้อโค้ตสีน้ำเงินที่ปกเสื้อขวาทับเสื้อซ้ายประดับไปด้วยพู่และตราบ่งบอกยศถาบรรดาศักดิ์ แขนเสื้อยาวถึงข้อมือมีผ้าสีเลือดพันอยู่ บนนั้นเขียนไว้ว่าหน่วยสำรวจและกู้ภัย บริเวณลำคอของคลิ้นท์สวมคราวาทผ้ามันเลื่อม ส่วนกางเกงนั้นเป็นสีเดียวกับโค้ต เจ้าตัวสวมรองเท้าบูธแบบทหาร ด้านหลังสะพายธนูและกระบอกธนู
“ไม่เอาน่า นายคือหนึ่งในอเวนเจอร์สและอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยชิลด์ที่ตอนนี้ออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัว” สเตรนจ์พยายามให้คำอธิบายแต่คลิ้นท์ดูยิ่งสับสน และนั่นมันทำให้เขาเริ่มสับสนตาม “นายชื่อคลิ้นท์ บาร์ตัน”
“ใช่ ข้าชื่อคลิ้นท์ บาร์ตัน เป็นทหารองครักษ์ของราชาแห่งเมืองอเวนเจอร์ส” พูดจบคลิ้นท์ก็ยกมือเป็นเชิงห้าม “ข้ารู้ๆ ว่าชื่อเมืองมันเห่ย ข้าก็คิดแบบนั้นและพยายามบอกให้ราชาฟิวรี่เปลี่ยนชื่อแล้ว แต่พระองค์ไม่ยอม บางทีคนแก่ก็ดื้อเกินบรรยายจริงมั้ย”
สเตรนจ์ไหวไหล่ เขาพยายามรับข้อมูลที่ได้มาแล้วนำไปประมวลผล แต่ทุกอย่างก็เลื่อนลอยและเชื่อมต่อกันไม่ติด ราวกับว่ามันมีชิ้นส่วนบางอย่างที่ยังได้มาไม่ครบ
“แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องบอกคนแปลกหน้าเช่นเจ้า ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครและมาจากที่ใด หากไม่ยอมตอบคงต้องพาตัวไปสอบสวนที่ศาลากลาง”
คลิ้นท์ไม่พูดเปล่าแต่ยังเอื้อมมือไปด้านหลัง สเตรนจ์รีบร่ายมนตร์เพื่อป้องกันตัวทันที เขาเสกเกราะขึ้นมาเผื่อว่าคลิ้นท์คิดจับเขาเสียบเข้าเตาปิ้งด้วยลูกธนู โชคดีเหลือเกินที่เขายังสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดั่งใจนึก แต่โชคร้ายที่เขาไม่มีอากาม็อตโต้อยู่ด้วย ไม่งั้นเขาคงใช้มันวาร์ปไปยังปัจจุบันแล้วตามไปช่วยโทนี่กลับมาจากดาวไททันมากกว่ามายืนกางโล่ต่อหน้าคลิ้นท์
ถึงจะรู้ว่าการไปต่างดาวมันต้องใช้จรวดก็เถอะ แต่ขนาดไปต่อรองกับดอร์มัมมูยังทำมาแล้ว เรื่องไปต่างดาวมันคงไม่ยากนักจริงไหม
ทันทีที่คลิ้นท์เห็นเกราะเวทมนตร์ของสเตรนจ์ เขาก็ร้องโวยวายแล้วหยิบคันธนูมาง้างเตรียมยิง แทนที่จะเป็นลูกศรทำจากไม้แล้วผูกปลายด้วยหินออบซิเดียนหรือเหล็กกล้า แต่มันกลับถูกทำด้วยแสงสว่างสีขาวอันเจิดจ้า รอบๆ ของมันมีไอเย็นโผล่ขึ้นมา พอลองมองดูดีๆ สเตรนจ์ก็พบว่ามันคือแท่งน้ำแข็ง
“เจ้าเป็นพ่อมดหรอกเหรอ!”
สเตรนจ์สาบาน เขาเกลียดคำว่าพ่อมดจากก้นบึ้งหัวใจ แค่ได้ยินก็หัวเสียจนอยากใช้แส้เวทมนตร์มัดปากคนพูดให้แน่นๆ แต่เขาทำแบบนั้นได้ที่ไหน มันผิดจรรยาบรรณ
พอได้ยินคำว่าพ่อมด ชาวบ้านต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ทุกคนพากันมองมาที่สเตรนจ์เป็นตาเดียว แล้วค่อยๆ ก้าวถอยหลังช้าๆ เหมือนคนที่ถูกฝึกให้รับมือการเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายเป็นอย่างดี ทุกคนล้วนมีสีหน้าหวาดกลัว แม้กระทั่งคลิ้นท์
สเตรนจ์มีเรื่องอยากถามอีกมาก แต่ตอนนี้ดูไม่ใช่เวลาอันเหมาะสม เขามองคลิ้นท์ซึ่งมองเขาอยู่เช่นกัน นัยน์ตาสีอัลมอนด์ดูหวาดหวั่นและขยะแขยงในตัวเขาเหลือเกิน มันคงมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้คน ณ ที่แห่งนี้แสดงท่าทางหวาดผวาต่อผู้ใช้เวท
หรือพวกเขาจะดูแฮร์รี่ พอตเตอร์มากเกินไปจนอิน? ไม่เอาน่าสเตรนจ์ นี่ยุคไหนแกยังระบุไม่ได้เลย
สเตรนจ์กับคลิ้นท์เล่นจ้องตากันได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าวิ่งก็ดังใกล้เข้ามาหาพวกเขา เจ้าของเสียงคือโทนี่ สตาร์คในชุดท่านเอิร์ล...คนตัวเล็กสวมหมวกทรงสูงสีดำ เสื้อเชิ้ตสีเปลือกไม้ที่ถูกยัดเข้าในกางเกงสีเดียวกันอย่างเรียบร้อย และสวมฮู้ดมีหูแมวสีน้ำตาล คนรวยเป็นอันดับต้นๆ ของนิวยอร์คสวมอัญมณีสีเลือดเม็ดเป้ง แถมยังถือไม้เท้าซึ่งด้านบนประดับด้วยมงกุฎราชินีที่มีเพชรขนาดหนึ่งกะรัตฝังอยุ่รอบฐาน สเตรนจ์ถึงกับตะลึงไปเลย เขาไม่ได้ตกใจกับเสื้อผ้าอลังการและความร่ำรวยของโทนี่ แต่เขาตกใจที่ได้เจอโทนี่อีกครั้ง ทันใดนั้นร่างกายมันก็ขยับอัตโนมัติ เขาลดเกราะเวทมนตร์ลงแล้วเดินเข้าไปหาคนหน้าหนวดที่ทำหน้างงและสับสนอย่างถึงที่สุด ณ วินาทีนี้ สเตรนจ์ยอมรับว่าทุกอย่างรอบตัวถูกละลายเป็นสีขาวจนเขามองเห็นโทนี่อย่างชัดเจน ความตื้นตันผสมความปิติยินดีกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่นานทีมีหนคนอย่างสเตรนจ์จะเสียมันให้กับใคร เขายังจำช่วงเวลาที่เห็นโทนี่เสียใจต่อการจากไปของเขาได้ เขายังจำการเห็นโทนี่สูญเสียทุกอย่างบนดาวไททันได้
สเตรนจ์ยังจำความเจ็บปวดอันมหาศาลที่ตัวเองต้องแบกรับมาพร้อมกับความตายของตัวเองได้
ดังนั้น การพบกับโทนี่ในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดใจพอๆ กับดีใจจนเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาพุ่งเข้าไปสวมกอดโทนี่เสียเต็มรัก เจ้าผ้าคลุมเองก็ร่วมกอดด้วย ทำให้เขาสัมผัสความอบอุ่นแสนคุ้นเคยจากร่างเล็กได้แนบชิด จนเผลอคลี่ยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว
“ฉันคิดถึงนาย” นี่คือประโยคเดียวที่มีอยู่ในหัวสเตรนจ์ คุณหมอผู้อัจฉริยะและถือทิฐิสูง แถมยังเย่อหยิ่งเกินกว่าจะยอมให้ใครมาเอาชนะได้ ณ ตอนนี้ เวลานี้กลับยอมพูดความในใจออกมาตามตรง
อาจเพราะการสูญเสียได้สอนอะไรหลายๆ อย่างให้สเตรนจ์ได้เรียนรู้
แต่ยังไม่ทันทีที่เขาจะได้พูดประโยคต่อไป เขาก็ถูกคลิ้นท์ใช้ลูกธนูปักเข้าเต็มต้นคอ สติของเขาถูกพรากไปโดยไม่ทันได้ถามเจ้าผ้าคลุมสักคำว่าทำไมไม่ระวังหลังให้ฉัน
“เจ้าควรฟังคนอื่นบ้างนะคลิ้นท์”
“เจ้าเองก็ควรหัดฟังคนอื่นเช่นกัน”
“ข้าคิดว่าคนแปลกหน้าคนนี้ไม่เป็นอันตราย”
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรวิชั่น”
เสียงถกเถียงกันที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ปลุกสติของสเตรนจ์กลับมาทีละนิด ก่อนพวกมันจะโถมเข้าใส่เขาเหมือนสึนามิซัดเข้าหาฝั่ง แล้วตัวของเสตรนจ์ก็สะดุ้งลุกขื้นนั่ง เขามองไปรอบตัวพร้อมลูบคลำร่างกายตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ถูกใครทำมิดีมิร้ายหรือตัดอวัยวะส่วนใดไปขาย แล้วสิ่งที่เขาเห็นในเวลาต่อมาคือห้องขนาดไม่ใหญ่นัก น่าจะประมาณห้องเช่าอพาร์ตเม้นต์ราคากลางๆ ทั่วไป ด้านในมีเฟอร์นิเจอร์จำเป็นอยู่ครบถ้วน คือโต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ไม้สี่ขา โต๊ะไม้พร้อมแจกันดอกหอมหมื่นลี้ เตียงเดี่ยวทำจากไม้ที่เขาใช้นอน และตู้เก็บของ น่าแปลกที่พวกมันเป็นของใหม่ทั้งหมด
ตรงหน้าต่างข้างขวามือของเขามีชายสามคนยืนอยู่ สองคนในนั้นคือคลิ้นท์กับโทนี่ที่เปลี่ยนชุดแล้ว ...จริงๆ พวกเขาแค่ถอดเสื้อโค้ตออก ส่วนอีกคนมีรูปร่างแปลกตา และพอใบหน้าสีแดงเข้มหันไปมองโทนี่เขาก็พบว่าคนคนนี้คือวิชั่นนั่นเอง ตรงกลางหน้าผากของอีกฝ่ายไม่มีมายด์สโตนอยู่อีกต่อไป มันกลวงและว่างเปล่า ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้
นี่มันเรื่องอะไรกัน แต่ว่า...ปวดหัวตุบๆ เลย
“ดูเหมือนแขกของเจ้าจะตื่นแล้วโทนี่” คลิ้นท์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นสเตรนจ์ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวยืนอยู่ตรงข้ามเขาพอดี “เจ้าเคลียเอาเองแล้วกัน”
“ไงคุณคนแปลกหน้าที่ใช้เวทมนตร์ได้” โทนี่หันมาทัก สเตรนจ์เงียบ เขาเฝ้ามองคนตัวเล็กที่เดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง พอคิดว่านี่ไม่ใช่โทนี่ที่เขาอาจรู้จักก็ได้ ร่างกายเกิดต่อต้านที่จะพูดคุยขึ้นมา “ตอนแรกยังกอดข้าด้วยท่าหมีรัดอยู่เลย ไหงคราวนี้ถอยหนีอย่างกับจะถูกทำมิดีมิร้ายเล่า”
“ปลอดภัยไว้ก่อน เคยได้ยินสโลแกนนี้มั้ยคุณสตาร์ค”
โทนี่ทำหน้างง แต่เขาก็เก็บอาการได้ดีตามประสาคนถูกสั่งสอนมาอย่างดี หรือไม่นี่ก็เป็นงานถนัดของโทนี่อยู่แล้ว เก็บความรู้สึกไว้กับตัวเองโดยไม่บอกใคร สร้างหน้ากากขึ้นมาสวมปิดบังความจริงในใจ
“ก็อยากต่อปากต่อคำด้วย แต่นั่นอาจเป็นการถ่วงเวลาให้เจ้าได้ คุณพ่อมด ตอบพวกข้ามาตามตรงเสียดีๆ ว่าเจ้าคือใคร มาจากที่ใด และมีจุดประสงค์ใด”
“ถ้าเขาอยากบอก เขาบอกข้าตั้งแต่ตอนเจอกันละ”
คลิ้นท์แขวะ โทนี่กลอกตาแล้วกลับมามองสเตรนจ์ต่อ
“ฉันต่างหากที่ต้องถามคำถามพวกนาย นี่ความฝันหรือโลกหลังความตายเหรอวะ ไม่คุ้นสักนิด”
โทนี่หันไปมองคลิ้นท์และวิชั่น ในขณะที่ทั้งสองคนนั้นก็มองโทนี่เช่นกัน ก่อนคุณหนูตระกูลดังจะหันมาเลิกคิ้วใส่เขา แล้วขยับปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เลือกที่จะเงียบแล้วเปลี่ยนไปถามแทน
“ไม่อยากพูดแบบนี้เลยแต่ดูเหมือนไม่พูดคงไม่ได้” แล้วโทนี่ก็หน้าแดงก่ำ เสียงเข้มเปลี่ยนเป็นพึมพำอย่างเขินอายในลำคอแทน “เจ้าน่ะ เป็นคู่หมั้นของข้าที่มาจากต่างโลกใช่มั้ย”
.......................................................................................................หา?
สเตรนจ์ถึงกับอ้าปากค้างและงงเหมือนโดนใครสักคนรมยาสลบชนิดแรงใส่ คำพูดมากมายที่ตั้งใจอยากถามสลายกลายเป็นหมอกควันไปกับความเงียบอันน่าสยองภายในห้องพัก คลิ้นท์กับวิชั่นไม่ตอบอะไร แค่ทำหน้าจริงจังปนไม่ไว้ใจนิดๆ แต่พวกเขาไม่เอ่ยแย้งใด ราวกับว่าเรื่องที่โทนี่พูดเป็นความถูกต้องตามธรรมชาติ
ซึ่งไม่ ไม่โว้ย มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง
“เผื่อเจ้าสงสัย” วิชั่นเป็นคนทำลายความอึดอัดลง “ทุกตระกูลในเมืองอเวนเจอร์สจะได้รับคำทำนายเพียงข้อเดียวซึ่งเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของตระกูลโดยท่านมหาเทพ และคำทำนายนั้นจะเป็นจริงอย่างมิอาจกังขา” ก่อนแอนดรอยด์จะหยุดเพื่อดูว่าสเตรนจ์ตามข้อมูลทันหรือไม่ เขาพยายามอยู่ พยายามทำความเข้าใจทุกคำพูดของโทนี่และวิชั่น แต่นี่มันมากเกินไปไหม “สำหรับตระกูลสตาร์ค โทนี่จะมีคู่หมั้นจากต่างโลกมาช่วยปกป้องเมืองนี้ เขาจะเป็นคนทำให้เมืองนี้กลับมาสงบสุข”
“โอเค ฉันควรตื่นจากฝันนี้ได้แล้ว” สเตรนจ์บอกตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร โทนี่ก็ตบเขาฉาดใหญ่จนทำเอาหน้าหัน แก้มซ้ายชาทั้งแถบ สเตรนจ์หันขวับไปคาดโทษคนตัวดี “ทำบ้าอะไรของแก!”
“ช่วยยืนยันว่านี่ไม่ใช่ฝัน และอย่ามาทำเหมือนเจ้าไม่อยากมีข้าเป็นคู่หมั้น มันเสียมารยาท”
“ทำอย่างกับนายอยากมีฉันเป็นคู่หมั้นอย่างนั้นแหละ” สเตรนจ์ตอกกลับ โทนี่ไหวไหล่ “นิสัยเสียแบบนี้แค่คิดจะเป็นเพื่อนด้วยยังทำไม่ลงเลย”
“ข้าเองก็ไม่อยากคบหาสมาคมกับเจ้าเช่นกัน แต่จะบอกอะไรให้ ไม่มีใครฝ่าฝืนคำทำนายได้”
ด้วยใบหน้าจริงจังของโทนี่ มันทำสเตรนจ์นึกเชื่อในคำทำนายไร้สาระขึ้นมา จากความเจ็บแสบที่รับรู้เมื่อครู่เขามั่นใจว่านี่ไม่ใช่ฝันหรือโลกหลังความตาย ที่นี่ไม่ใช่สรวงสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่นรก และจากการประมวลผลคำพูดต่างๆ ของคนทั้งสาม สเตรนจ์คิดว่าเขาหลุดเข้ามายังมิติโลกคู่ขนาน
การปรากฏตัวของสเตรนจ์เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วเมืองอเวนเจอร์ส แทนที่เขาจะมีตำแหน่งพ่อมดผู้ทำให้ชาวเมืองหวาดกลัว ดันกลายเป็นว่าเขาถูกพูดถึงในตำแหน่งว่าที่คู่หมั้นของโทนี่ สตาร์ค ลูกขุนนางผู้มีเชื้อพระวงศ์จากกษัตริย์องค์ก่อนแทน
ว้าว เยี่ยมไปเลย ได้กลับมาเป็นคนดังอีกแล้ว ว้าว ว้าว ว้าว...
สเตรนจ์ได้รับการปรนนิบัติจากข้ารับใช้ในปราสาทสตาร์คเป็นอย่างดี เขามีอาหารกินครบทุกมื้อ มีคนคอยให้รับใช้ ชีวิตที่เคยตกอับกลับเปลี่ยนเป็นดั่งราชาในปราสาทการ์ตูนดิสนีย์ เขาควรมีความสุขกับมันและกอบโกยช่วงเวลาที่โลกใหม่นี้ให้มากที่สุด แต่ไม่ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัยและข้อกังขามากมาย เขายังมีคำถามอีกมากที่อยากได้รับการชี้แจ้ง เขายังมีปัญหาให้ต้องขบคิด เขายังมีหน้าที่รออยู่...เขาต้องกลับไปช่วยโทนี่อีกมิติหนึ่ง
เพราะคิดอะไรเพลินๆ ทำให้สเตรนจ์ไม่ทันสังเกตเห็นการเดินมาของโทนี่ เขาชนคนตัวเล็กจนอีกฝ่ายเซ มือของเขาเอื้อมไปคว้าเอวคอดแล้วออกแรงดึงเข้าหาตัวทันที ทำให้ใบหน้าหวานดั่งหญิงสาวในนิยายขยับมาให้เห็นอย่างชิดใกล้เป็นครั้งแรก
สเตรนจ์ยืนจังงังไปทันที เขามองนัยน์ตากลมโตสีคาราเมลด้วยความหลงใหล วันนี้โทนี่สวมเสื้อเชิ้ตลายตารางหมากรุกสีเทาตัดดำเข้ม ผูกเนคไทสีแดงเลือดหมู กางเกงสีขาวตัดกับเชิ้ตเป็นอย่างดี นอกจากนี้เจ้าตัวยังสวมถุงมือสีดำและห้อยอัญมณีสีเลือดดังเดิม พอมองๆ แล้วสเตรนจ์นึกถึงริมฝีปากสีกุหลาบของเจ้าของมันอย่างบอกไม่ถูก
“นี่มันที่สาธารณะนะคุณชายคู่หมาย” คำพูดยียวนของโทนี่ปลุกสติสเตรนจ์ให้กลับมา เขารีบผละตัวออกพร้อมประคองให้คนตัวเล็กยืนดีๆ แล้วปั้นหน้านิ่งมองจ้องคนปากเสีย “ไว้ข้ากลับจากเดินสำรวจเมืองแล้วจะรีบไปหาที่ห้อง รอหน่อยนะที่รัก”
สเตรนจ์เบ้ปากให้กับการขยิบตาของโทนี่ คนตัวเล็กหน้าบึ้ง ก่อนขำเบาๆ แล้วจะเดินผ่านตัวเขาไป ผ้าคลุมรีบยกชายผ้าขึ้นขวางคนตัวเล็กทันที และนั่นทำให้มันถูกสายตาสนอกสนใจของโทนี่มองอย่างกับจะกลืนกิน สเตรนจ์รู้สึก...อิจฉาหน่อยๆ แฮะ
“เจ้านี่เป็นผ้าคลุมวิเศษที่เสกขึ้นจากเวทมนตร์อันแกร่งกล้าสินะ” โทนี่หันมาถามสเตรนจ์ น้ำเสียงเหมือนเด็กเจอของเล่นถูกใจทำเขาหลุดยิ้มเล็กน้อย
“ใช่ แต่ไม่ใช่เวทมนตร์ของฉันหรอก เป็นคนอื่นน่ะ”
“เจ้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดหรอกเหรอ” โทนี่ถาม น้ำเสียงฟังดูผิดหวังเล็กน้อย แต่สเตรนจ์แกล้งทำเป็นไม่สนใจ “ขอยืมหน่อยได้มั้ย ถ้ามีเจ้านี่ข้าอาจไม่ต้องใช้มือหยิบนู่นถือนี่ก็ได้ มันดูให้ความสะดวกสบายดีอ่ะ”
ผ้าคลุมเกาะสเตรนจ์แน่น แน่นอนว่าฉันก็ไม่ยอมให้แกตกไปอยู่ในมือโทนี่เหมือนกัน
“เห็นทีต้องปฏิเสธ คุณดูมีความคิดอันตรายซ่อนอยู่ในหัว”
“แล้วเจ้ารู้ได้ไงว่าข้ามีความคิดเช่นนั้น? พลังอ่านใจเหรอ”
“จากประสบการณ์และการอยู่ร่วมกันกับคุณมา” สเตรนจ์ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์บนยานโดนัทของพวกต่างดาว แล้วความเจ็บแปลบก็มาพร้อมความทรงจำสีเทา มันทำเขาเศร้าได้ไม่ยาก “...สักพัก”
“เป็นอะไรหรือเปล่าคนหน้าแปลก บาดเจ็บตรงไหนหรือ ทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้”
โทนี่โบกมือไปมาตรงหน้าสเตรนจ์ เขาส่ายหัวแล้วมองไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตัวเองไม่พร้อมคิดถึงเรื่องทั้งหมดก่อนตายแล้วมาโผล่ยังโลกคู่ขนาน
“ถ้ามีอะไรบอกได้นา ยังไงเราก็ต้องเป็นคู่ผัวตัวเมีย เมียมีปัญหาคนเป็นผัวก็ต้องรับฟัง” โทนี่ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
เส้นข้างขมับของสเตรนจ์ปูดขึ้นทีเดียวสามเส้น “นายต่างหากที่ต้องเป็นเมีย มาทำยืดทำอวดเบ่ง สูงให้มากกว่าฉันก่อนค่อยมาขอคำว่าผัวคืน”
“หา!? จะหาเรื่องกันหรือไง เจ้านี่ปากหมาใช่ย่อยนะ” โทนี่ท้าวเอว สีหน้าพร้อมมีเรื่องเต็มที
แทนที่สเตรนจ์จะตอกกลับด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่เขากลับหลุดหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เจอโทนี่ที่โลกนี้ครั้งแรกผุดขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเห็นว่าโทนี่ที่โลกนี้มีนิสัยคล้ายกับโทนี่ที่อยู่ยังโลกที่เขาจากมา เขายิ่งเจ็บปวดและยินดีไปพร้อมๆ กัน ความรู้สึกอันขัดแย้งในตัวเขาชวนให้ปวดหัวก็จริง แต่สเตรนจ์คิดว่าเขาคงหาคำตอบพบในสักวัน ไม่แน่ว่าตอนที่ได้รู้คำเฉลยแล้ว มันอาจเป็นเรื่องคาดไม่ถึงจนทำเขาใจเต้นตึกตักเลยก็ได้
แม้กระนั้น สเตรนจ์ก็อยากกลับไปหาโทนี่ที่ตอนนี้คงกำลังหวาดกลัวและรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บนดาวไททัน เขาไม่รู้ว่าป่านนี้โทนี่คนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง จะร้องไห้และกำลังโศกเศร้าให้กับการจากไปของสไปเดอร์แมนหรือเปล่า หรือกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อช่วยโลกให้ปลอดภัยอย่างที่ซูเปอร์ฮีโร่ควรทำ หรือ...ตายแล้วมาเกิดใหม่ที่นี่เหมือนกันกับเขา
ถ้าเป็นตามข้อหลัง ขอให้เรื่องราวของพวกเราต่อจากนี้ไม่มีโชคร้ายแล้วได้ไหม
สเตรนจ์ออกมาเดินที่เมืองเป็นเพื่อนโทนี่ แม้เขาจะยังไม่ชินกับการเป็นที่จับตามองของผู้คน แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้โทนี่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ตามลำพังได้ ลางสังหรณ์ร้องเตือนเขา แถมเขายังมีอาการกระวนกระวายคล้ายสัตว์เวลารับรู้ได้ถึงอันตราย อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสไปเดอร์เซ้นส์เหมือนสไปเดอร์แมน เขามีแค่ความรู้สึกและเซ้นส์แบบมนุษย์ธรรมดาที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี อย่างน้อยก็พอจะวิเคราะห์และคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ได้ แม้ภาพที่เห็นจะไม่ออกมาเป็นรูปร่างชัดเจนจนเล่าได้เป็นฉากๆ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันตรายอยู่ดี
โทนี่เป็นที่รักใคร่ของชาวเมือง น่าแปลกที่พวกชนชั้นล่างและชนชั้นแรงงานมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับชนชั้นสูง ยิ่งเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าไปกันได้ แต่ดูเหมือนโทนี่จะก้าวข้ามกฎเหล่านี้ไปแล้ว เพราะเขาสามารถเดินเข้าไปทักทายกับพวกพ่อค้าแม่ค้าและชาวเมืองทั่วไปได้อย่างสบายๆ ถึงแม้เขาจะไม่ยอมรับของจากมือพวกชาวเมืองและวางตัวสนิทสนมเกินไปก็ตาม
สเตนจ์คิดแบบนี้ เขาเดาว่าพวกชาวเมืองคงเห็นโทนี่เป็นตัวให้ประโยชน์แก่พวกเขา พอหมอนี่ทำตามความต้องการของพวกชาวบ้านไม่ได้เมื่อไหร่ พวกเขาคงผลักไสไล่ส่งโทนี่ไปไกลๆ หรือไม่ แค่พอโทนี่หันหลังให้คนพวกนี้คงพร้อมใจกันนินทาวาร้ายเจ้าตัว
เหมือนที่โลกเดิม โลกที่โทนี่ต้องยืนหยัดอยู่ท่ามกลางคำประณามและคำด่า
“คุณชายสตาร์คช่างเป็นคนอ่อนโยนเสียจริง”
“นั่นสิลุง ถึงจะทำตัวเย่อหยิ่งและวางท่าชวนหมั่นไส้ แต่เอาเข้าจริงก็เป็นคนดีกว่าที่คิด แถมยังฉลาดเป็นกรด”
สเตรนจ์หันไปมองด้านหลังตัวเองเมื่อได้ยินชื่อโทนี่อยู่ในบทสนทนา เอาเข้าจริงเขาแอบตกใจเล็กน้อยที่เห็นคนชมโทนี่จากใจจริง ตาแก่กับชายร่างใหญ่กำยำเหมือนยักษ์อายุไม่เกินห้าสิบปีคุยกันไปพลาง มองโทนี่ที่กำลังคุยเล่นกับแม่ค้าร้านผลไม้ไปพลาง แล้วทั้งสองก็หลุดหัวเราะออกมาเมื่อโทนี่หน้าเบ้จากการกินเกรปฟุตส์ซึ่งยังเปรี้ยวปรี๊ดอยู่ เจ้าตัวเล็กเต้นแร้งเต้นกากลางถนนจนทำทุกคนขำก๊ากกันทั่ว
เขาเองก็เช่นกัน
“เป็นคุณชายที่ร่าเริงเสียจริง”
สเตรนจ์เห็นด้วยกับคำพูดของตาแก่ เขาหันไปมองชายต่างอายุกันที่เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ก่อนหันกลับไปมองโทนี่ตามเดิม คนตัวเล็กยังก้อร่อก้อติกแม่ค้าสาวสวยร้านขายผลไม้ไม่หยุด เห็นแบบนี้สเตรนจ์อดของขึ้นไม่ได้ เขาเดินไปดึงคอเสื้อชายคู่หมายให้เดินต่อโดยไม่สนเสียงโวยวายที่ดังขึ้นด้านหลัง
Comments (1)
อิเซไกตามประสาคนฉลาดที่ดันแพ้ให้เธอ โถ พ่อคุณ กำลังช็อกกับสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไปก็ยังป้องกันตัวเองได้ดีขนาดนี้ สุดท้ายมาตายรังเพราะเจอโทนี่ในโลกนั้น 555555 แต่นะ โผล่มาแบบคุณหนูคนงามนั่นน่ะ ใครจะไม่สนใจได้ล่า ~
น่าสนใจกว่าคำทำนายคือการที่สตีเฟนสังเกตเห็นใครใครในโลกนี้ก็รักโทนี่ … ฮึก หัวอกคนเป็นมัมหมีอ่านแล้วน้ำตาจะไหลค่ะ ลูกได้เป็นที่รัก u_u
แต่จะได้รักกันดี ๆ ไหมนะคู่หมั้นต่างโลกคู่นี้น่ะ ฮึ่ย ~ รออ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ ชอบเซ็ตติ้งมาก ๆ เลย <3