00 || เราพึ่งคุยกันครั้งแรกในวันที่ฝนตก

 

ฉันมีชีวิต มีลมหายใจ มีทุกอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งบนโลกนี้พึงจำเป็นต้องมี แต่ทว่า ฉันกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย ความรู้สึกมันเหมือนกับติดอยู่บนถนนที่วุ่นวายในวันที่ฝนตกโหมกระหน่ำ มีสถานที่หลบฝนมากมายรอบตัว แต่ไม่ที่ไหนยินดีต้อนรับคนตัวเปียกโชกอย่างฉันให้เข้าไปพักพิงหลบฝน สิ่งที่ทำได้คือต้องจำยอมให้ตัวเองเปียกฝนอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าฝนจะยอมหยุดตกไปเอง...

 

“แนทในหนึ่งวันแนททำอะไรบ้าง ทำตัวให้มันมีประโยชน์ให้สมกับที่พี่จ่ายค่าจ้างแนทหน่อย งานแค่นี้เองทำไมถึงทำไม่ทัน”

“คือว่า...”

“แนทฟัง! สิ่งที่พี่ต้องการให้แนททำให้เสร็จ แนทก็ต้องทำให้ได้เพราะมันคือสิ่งที่พี่ต้องใช้ ถ้าพี่ไม่ใช้แล้วพี่จะให้แนททำทำไม รับผิดชอบในงานของตัวเองหน่อยแล้วก็ห้ามพูดแทรกพี่อีก เข้าใจไหม”

“…”

“เข้าใจไหมคะแนท!!”

“ค่ะ”

“เข้าใจแล้วก็ไปทำให้มันเสร็จภายในวันนี้ พูดแล้วยังจะเสนอหน้าอยู่อีก ไสหัวไป!!”

 

ในประเทศที่เอาแต่พร่ำบอกว่ากำลังพัฒนาแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ประเทศที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความเจริญกระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองหลวง ผู้คนในประเทศล้วนถูกกระตุ้นให้ต้องดิ้นรน ต่อสู้แข่งขันกันเองเพื่อจะประสบความสำเร็จและเพื่อเอาชีวิตรอด

 

ฉันคือคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในประเทศแห่งนี้ ฉันดิ้นรนต่อสู้ในสนามรบของการศึกษามาอย่างยาวนาน จนหลังเรียนจบปริญญาตรี ด้วยความฝัน ความตั้งใจทั้งหมดที่มี ฉันได้ตัดสินใจพาตัวเองเดินทางออกมาไกลจากบ้านเพื่อมาดิ้นรนตามหางานที่ตัวเองต้องการในเมืองหลวง จุดศูนย์กลางของความเจริญของประเทศโดยไม่รู้เลยว่าความสวยงามที่เห็นจากภายนอกนั้นมันไม่ได้เป็นของทุกคน

 

“แนทช่วยจัดการปรับข้อมูลใหม่ทั้งหมดด้วยนะ พี่สองอ่านไม่เข้าใจ”

“พี่ไก่ งานนี้พี่สองไม่ได้สั่งแนทมาโดยตรงนี่คะ แนทมีงานที่ต้องทำส่งให้พี่สองภายในวันนี้ด้วย แนททำให้พี่ไก่ไม่ได้หรอกค่ะ”

“งานที่พี่สองต้องการทำให้เสร็จภายในวันนี้แนทก็ทำไปสิ งานที่พี่ให้แนทแก้ พี่ไม่ได้ต้องการด่วน ทำอันนั้นเสร็จค่อยมาทำของพี่ต่อก็ได้มีเวลาตั้งหนึ่งอาทิตย์ พี่ไม่รีบ”

“แนทมีงานหลัก งานประจำที่ต้องทำต่อนะคะ งานที่พี่ไก่ให้แนทมาแก้ แนทต้องทิ้งงานหลักของตัวเองมาทำ แนทพึ่งโดนพี่สองตำหนิเรื่องทำงานไม่ทันมาด้วย”

“คนที่เอาแต่พูดพล่ามถึงความลำบากของตัวเอง โดยไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นรูปธรรมสักอย่างก็เป็นแค่พวกที่กดตัวเองให้ดูน่าสงสารแค่นั้นนะแนท โดนตำหนิก็ต้องกระตุ้นตัวเองให้มากกว่านี้เพื่อทำให้เสร็จสิ ฝึกลำบากเอาไว้เยอะๆ แนทจะได้ประสบความสำเร็จในอนาคต”

 

หลังจากย้ายมา ฉันได้ค้นพบว่าสิ่งที่ฉันวาดฝันเอาไว้มาตลอดนั้นมันยากเหลือเกินที่จะทำให้เป็นจริง กว่าจะหางานทำได้สักที่ไม่ใช่เรื่องง่าย งานในสายอาชีพที่ฉันรักกลับเป็นงานที่ฉันเกลียดมากขึ้นทุกวัน มารู้ตัวว่าที่แห่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากแค่ไหนก็ในตอนที่มันหันหลังกลับไปไม่ได้เสียแล้ว...

 

“ฮัลโหลแม่ คือลูก รู้สึกไม่ค่อยดี ลูกว่าจะลาออกจากงาน”

“แกนี่น่ะ ทำไมชอบโทรหาคนที่บ้านแล้วเอาแต่พูดเรื่องที่อยากจะลาออกตลอดเลย แกจะมาลาออกงานอะไรเอาป่านนี้ แกก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้วนะ งานสมัยนี้ก็ไม่ได้หากันง่ายๆ ด้วย แกต้องหัดอดทนให้มากกว่านี้ สมัยก่อนพ่อกับแม่แกยังลำบากกันมามากกว่านี้อีก ยังผ่านกันมาจนส่งเสียเลี้ยงลูกดูแกกับพี่แกให้เรียนจบได้ แล้วนี่มันเรื่องอะไรอีก โดนเจ้านายว่ามาอีกแล้วเหรอไง ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้แล้วแกจะมาลาออก แกไม่อายคนอื่นเขาหรือไงที่แกไม่รู้จักอดทน ไม่อยากให้เขาด่าแกก็ต้องตั้งใจทำงานให้เขาเห็นผลงานแกสิ แล้วนี่เงินเดือนแกจะออกวันไหน”

“ห๊ะ เอ่อ...อีกสามสี่วันอะแม่”

“เดือนนี้แม่ขอเงินแกเพิ่มอีกสักสองพันนะ”

“ตอนต้นเดือนลูกก็ให้แม่ตั้งเยอะแล้วนะ มันยังไม่พออีกเหรอคะ”

“แกอยู่ไกลบ้าน ไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบนั้น แกจะไปรู้อะไรว่าคนที่บ้านลำบาก มีค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน”

“อืม อืม แค่นี้ก่อนนะแม่ ลูกต้องรีบกลับไปทำงานต่อแล้ว เรื่องเงินลูกขอคิดก่อน ช่วงนี้ค่าครองชีพมันแพงขึ้นลูกก็ต้องเก็บเงินเอาไว้ใช้ยามจำเป็นเหมือนกัน บายค่ะ”

 

ฉันไม่เคยเข้าใจที่พวกเพื่อนหรือคนที่รู้จัก ชอบพูดเกี่ยวกับฉันให้คนอื่นฟัง ประมาณว่าฉันเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เข้มแข็ง อดทน เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล เป็นคนมีอารมณ์ขัน ไม่ว่าใครที่ได้คุยด้วยก็จะได้รับพลังบวกเสมอ ฉันคิดไม่ออกเลยว่าตัวเองไปแสดงออกอีท่าไหน ถึงทำให้คนอื่นคิดกับตัวเองแบบนั้น เพราะสำหรับฉันแล้ว ฉันไม่ได้เข้มแข็งอะไรเลย ฉันอ่อนไหวง่าย ร้องไห้ก็บ่อย เพียงแต่มันไม่มีใครอยู่กับฉันในช่วงเวลาที่ฉันร้องไห้ ฉันไม่ได้อดทน ฉันหมดความอดทนอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ฉันต้องระบายมันออกไปเองคนเดียวเพราะไม่มีใครจะอยู่รอฟังสิ่งที่ฉันระบายออกมา ในความคิดของฉันก็เต็มไปด้วยด้านลบที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับในทุกคืนและพลังงานของฉันก็เริ่มหมดลงไปทุกวัน ลำพังแค่หายใจเข้าออกยังเหนื่อยมากเกินไปด้วยซ้ำ

 

“เฮ้ย!! มึงไปกินเบียร์กัน พวกแผนกการตลาดมาชวนเลยนะเว้ย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่อีพวกนี้มันจะหลวมตัวลงมาชวนพวกเรา”

“พี่สองจะเอางานวันนี้ว่ะ”

“พี่สองเอาอีกแล้วเหรอ เมื่อเช้าแม่งไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนเหวี่ยงใส่ทุกคน แม่งเป็นประสาทแดกไปทุกวัน”

“อื้ม ก็นะ”

“เครียดว่ะ กูไปปลดปล่อยท่ามกลางแสงสีดีกว่า สู้ๆ มึง เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”

“เคร เมาเผื่อกูด้วยนะ”

“เดี๋ยวกูถ่ายรูปผู้ชายมาฝาก สร้างขวัญกำลังใจในการทำงานให้มึงเอาไหม”

“เอ่อ! ขอหล่อๆ แล้วกัน มึงถ่ายมาให้กูเมื่อไหร่ ไม่หล่อสักรอบ”

“อีนี่ มึงมันตาไม่ถึงเอง”

“ไม่ใช่กูแล้วที่ตาไม่ถึง”

“พูดงี้มึงลุกมาตบกับกูเลยมะ”

“ไม่ว่างเว้ยทำงานอยู่ มึงจะไปไหนก็ไปสักที กูจะทำงาน เดี๋ยวงานไม่เสร็จ”

“ไปก็ได้ เดี๋ยวนี้ไล่เก่งนะคุณแนท”

“วันนี้อย่าไปลากใครกลับล่ะ พรุ่งนี้มีประชุมตอนเช้า”

“จ๊ะแม่...”

 

“วันนี้ทำโอฟรีเหรอจ๊ะน้องแนท”

“แนททำโอฟรีมาทั้งอาทิตย์แล้วค่ะ”

“สู้ๆ พี่รู้ว่าแนทน้องพี่เก่งและแกร่งอยู่แล้ว พี่กลับก่อนนะแนท”

“ค่ะ เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะคะ”

 

“พี่แนท”

“ว่า”

“เค้าอกหักอีกแล้ว”

“อีกแล้วเหรอ ครั้งนี้พี่ไม่ปลอบนะงานเยอะ พี่สองจะเอางานวันนี้”

“ปลอบเค้าก่อนได้ไหม สักนิดก็ยังดี นะ น้องเสียใจมากเลย”

“อาการเป็นไง ไหนเล่ามาสิ๊”

 

ไม่ว่างานจะหนักหนาแค่ไหน ในช่วงเวลาโอทีฟรีของฉันก็มีเวลาจำกัดของมันอยู่ ฉันต้องรีบทำเวลาปั่นงานของตัวเองให้เสร็จก่อนที่เที่ยวรถเมล์จะหมด ที่พักของฉันนั้นอยู่ไกลจากที่ทำงานของตัวเองเอามากๆ ที่ฉันเลือกเช่าไกลจากที่ทำงานก็เพราะฉันคำนวณค่าใช้จ่ายมาเป็นอย่างดีแล้วว่าค่าเดินทางที่เอามาหักลบออกจากค่าเช่าหอพักใกล้ที่ทำงาน ยังประหยัดกว่ากันเยอะมาก

ดังนั้นในช่วงเวลาที่หมดไปกับการเดินทางอันแสนยาวนานก่อนจะถึงที่พัก ฉันจะพยายามลบความรู้สึกแย่ ความเครียด ความกดดันของตัวเองออกไปให้หมดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากก่อนจะนอนหลับ ฉันมักจะหาอะไรทำอยู่เสมอทั้งฟังเพลง อ่านอะไรไร้สาระ หรือการพยายามโทรหาใครสักคนเพื่อที่จะระบายความในใจ แม้ว่าสุดท้ายการโทรไปของฉันจะกลายเป็นฉันเสียเองที่ถูกผลักให้กลายเป็นผู้รับฟังปัญหาของคนอื่น แต่ว่ามันก็ยังช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแม้จะเล็กน้อย ไม่รู้สึกเดียวดายหรือถูกทิ้งไว้บนโลกนี้ตามลำพัง

 

“วันนี้ขายดีไหมคะป้า”

“วันฝนตกลูกค้ามีน้อย พอขายได้เรื่อยๆ แหละ ช่วงนี้เลิกงานดึกทุกวันเลยนะเราเนี้ย มาๆ เข้ามาในร้านก่อนเร็ว ฝนเริ่มจะตกหนักแล้ว วันนี้จะกินอะไรล่ะ”

 

ร้านข้าวประจำหลังเลิกงานของฉัน จะอยู่ที่ป้ายรถเมล์รองท้ายสุด ฉันชอบมาแวะร้านนี้เป็นประจำเพราะระยะเวลาในการรอรถเมล์สายที่จะไปจอดแถวที่พัก ต้องใช้เวลารอนานมาก บางครั้งก็เป็นชั่วโมง ยิ่งวันไหนฝนตกก็รอไปเถอะ สองชั่วโมง สามชั่วโมงก็ยังไม่มา เหมือนเช่นกับวันนี้

 

“เอาข้าวผัดหมูจานหนึ่งค่ะ”

“นั่งรอที่โต๊ะเลยเดี๋ยวป้ายกไปเสิร์ฟให้ถึงที่”

“ไม่ต้องให้ข้าวเยอะนะคะ ช่วงนี้หนูกินได้ไม่ค่อยเยอะ”

 

ช่วงเวลากินข้าวหลังเลิกงานเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันจะพยายามเยียวยาจิตใจตัวเองให้ได้มากที่สุด ตามปกติฉันมักจะยุ่งอยู่กับการ โทรคุยกับเพื่อน ดูซีรี่ย์ หรือไม่ก็เล่นเกม แต่ไม่รู้ว่าทำไมพักหลังมานี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ซีรี่ย์เรื่องไหนก็ไม่น่าดูสักเรื่อง เล่นเกมก็เบื่อ จะโทรหาใครก็ไม่อยากกลายเป็นที่ระบาย ฉันจึงได้ค้นพบบางอย่างจากการเงยหน้าออกมาจากโทรศัพท์ ภายหลังจากที่มันไม่สามารถเยียวยาจิตใจของฉันได้อีกต่อไป บางอย่างที่ว่านั้นก็คือหญิงสาวหน้าตาดี ที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ตรงหน้าของฉันในตอนนี้

หลังจากที่ฉันสังเกตเห็นเธอ ฉันได้กลายเป็นแฟนคลับตัวยงที่คอยเฝ้ามองเธออยู่เป็นประจำ จนพัฒนาเป็นงานอดิเรก ฟังไปก็อาจจะดูเหมือนโรคจิตแต่ฉันไม่ได้มองเธอคนนั้นด้วยความรู้สึกทางเพศ เธอคนนี้มีอะไรบางอย่างที่พอฉันยิ่งได้สังเกตยิ่งรู้สึกสนใจ เมื่อไม่นานมานี้เองฉันก็พึ่งค้นพบว่าเรามักจะมาทานข้าวที่ร้านเดียวกัน เวลาใกล้เคียงกัน โต๊ะเดียวกันเป็นประจำทุกวัน มันเหมือนกับว่าเราได้เผลอจองโต๊ะให้กันอย่างไม่รู้ตัว

 

>>วันนี้เป็นข้าวผัดธรรมดาเหรอ<<

 

การเลือกสั่งเมนูอาหารของเธอ เป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของฉันเป็นพิเศษ เธอมักจะสั่งอะไรที่แปลกจากอาหารตามสั่งทั่วไปอยู่เสมอ อย่างเช่นผัดกะเพรากุนเชียงใส่ไข่ผัดเข้าไปด้วย ราดหน้าใส่ใบกะเพราอะไรทำนองนี้ แล้วดูเหมือนของโปรดอันดับหนึ่งของเธอจะคือพริกหยวกเพราะทุกเมนูที่เธอสั่งมักจะมีพริกหยวกอยู่ด้วยเสมอ

พอได้เห็นเมนูบวกกับท่าทางการกินที่ดูจะเป็นคนกินอะไรก็อร่อยไปหมดเสียทุกอย่าง ทำให้ฉันอยากลองกินแบบเธอดูบ้างสักครั้งอยู่เหมือนกันแต่พักหลังมานี้ เมนูของเธอมันกลับมาเป็นปกติจนน่าใจหาย ท่าทางการกินที่ดูอร่อยจนชวนให้อยากอาหารตามได้หายไปจนหมดสิ้น เธอเริ่มที่จะเขี่ยอาหารอยู่บ่อยครั้ง แล้วกินเหลือทุกวัน ใบหน้านั้นนับวันก็ยิ่งฉายความเศร้าออกมาให้ได้เห็นชัดยิ่งขึ้น

เมื่อได้เห็นแบบนั้นแล้ว...ถึงแม้ชีวิตฉันจะแย่แค่ไหน ฉันอยากจะปลอบใจคนตรงหน้านี้สักครั้ง แม้เราจะไม่เคยพูดกันสักคำแต่อย่างน้อยเธอคนนี้ก็เป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้ฉันอยากอาหารมากขึ้นมานิดหน่อย ถึงจะอยากช่วยมากแค่ไหนแต่อย่างว่าเราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะคุยกันได้ ฉันจึงคอยแอบให้กำลังใจเธออยู่ในใจทุกวัน โดยหวังว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรดลบันดาลใจให้เธอจะกลับไปสั่งเมนูอาหารแปลกๆ ของเธอเหมือนเดิม...ว่าไปนั้น

 

>>เมนูอาหารปกติไม่มีอะไรพิเศษแบบนั้น วันนี้คงเจอเรื่องแย่มาไม่ต่างกันสินะ ในวันที่ฝนตกแบบนี้มักไม่ใช่วันที่ดีสำหรับใครสักคน สู้ๆ นะ<<

“วันนี้”

“...”

“คุณเองก็เจอเรื่องแย่ๆ มาเหมือนกันใช่ไหมคะ”

“...เอ๊ะ?”

“ทำไมชีวิตในแบบของเราถึงหาความสุขได้ยากจัง คุณคิดแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่าคะ”

 

เสียงพูดด้วยน้ำเสียงหวานฟังรื่นหูจากหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคย ถูกพูดขึ้นมาอย่างกับว่าผู้พูดนั้นได้ยินความคิดในหัวของฉัน เสียงนั้นถูกเอ่ยขึ้นโดยผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าของฉัน เธอจับจ้องมองตรงมาที่ฉันด้วยแววตาเศร้าสร้อยแต่ฉันกลับไม่ได้สนใจแววตาของเธอเลยสักนิด ที่ผ่านมาฉันคิดมาตลอดว่าเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาดีแต่พอได้มองหน้าเธอตรงๆ สบตากันจังๆ แบบนี้แล้ว หน้าหวานเป็นบ้า ตาก็สวย จมูกก็โด่ง เป็นคนสวยเลยนี่หว่า

 

“…”

“ไปดื่มเบียร์ด้วยกันไหมคะ”

“...”

"..."

"..." อะไร อะไรวะเนี่ย ไอ้สถานการณ์แบบนี้มันคือไอ้นั่นสินะ ที่เขาเรียกกันว่า มิจฉาชีพ ผู้หญิงคนนี้กำลังใช้ใบหน้าสวยๆ ของตัวเองเข้ามาหลอกฉันไปในสถานที่อโคจร แล้วหลังจากนั้นก็เรียกให้เพื่อนมาปล้นเงินของฉันไปสินะ ใช่แน่ มันต้องมาลงล็อกแบบนี้แน่นอน ปกติแล้วไม่มีใครเขาบ้ามาชวนคนแปลกหน้าไปกินเบียร์ด้วยกันหรอก จริงครับท่านใช่ครับผมตกลงครับท่าน พวต้มตุ๋น ว่าแต่ทำไมกู ทำไมไม่ไปล่อลวงผู้ชายว่ะ 

ไม่รู้หรอกว่ามีเหตุผลอะไรถึงมาเอาผู้หญิงมาล่อลวงฉันแต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องปฏิเสธแล้วแนท อย่าไปกับเขา ห้ามไปโดยเด็ดขาด เอ็งจะโดนผู้หญิงด้วยกันหลอกไม่ได้ เด็ดขาด!

"คุณ”

“...” ปฏิเสธเลยแนท ไม่ ไม่ไป Say no โล๊ด!!

“จะไปด้วยกันไหมคะ"

"เอ้อ ไปสิ"

 

จากบทสนทนาอันน่าเหลือเชื่อนี้ ใครจะไปคิดว่านี่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความรักของฉันหลังจากไม่ได้รู้สึกกับใครอีกเลยตั้งแต่มหาลัย ผู้หญิงวัยทำงานที่อายุเกือบจะขึ้นเลขสามอย่างฉันดันมาตกหลุมรักเด็กสาวคนนี้เข้าอย่างจังในเวลาอันสั้น ทั้งที่อยู่แล้วว่าร่มคันนี้มันไม่ใช่ของฉัน มันแค่เป็นความโชคดีในวันที่ฝนตกที่ดันมีร่มของใครสักคนปลิวมาตกตรงหน้าให้ได้หยิบขึ้นมาบังฝนชั่วคราวเท่านั้น

ดังนั้นฉันจึงเพียงขอ

.

.

.

ขออย่าให้ร่มในมือคันนี้ปลิวหายไปไหนเลย

 

 

 

สวัสดีค่ะ เราไรท์ข้าวมันไก่พิเศษจานนะคะ

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนที่ผ่านมาจะสนใจและติดตามเรื่องนี้ต่อนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ขอให้สนุกกับนิยายเรื่องนี้ ดูแลสุขภาพตัวเอง ถ้าชอบยังไงรบกวนแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจกันสักนิดนะคะ

แล้วพบกันตอนต่อไปค่ะ