3 ตอน #2 เราก็แค่พบกันโดยบังเอิญในวันที่ฝนหยุดตก
โดย ข้าวมันไก่พิเศษจาน
02 || เราก็แค่พบกันโดยบังเอิญในวันที่ฝนหยุดตก
“คุณแนทเพื่อนรัก”
“…”
“เฮ้ย แนท อีแนท!!”
“เอ่อ!”
ในเช้าวันทำงานหลังจากฝนหยุดตก ฉันมาทำงานในสภาพไม่เต็มร้อย มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาเป็นระยะและอยากจะล้มตัวนอนตลอดเวลา สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะความพิเศษของร่างกายฉันที่จะไม่แสดงอาการเมาอะไรออกมาเลยในตอนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด ต่อให้ตัวเองดื่มหนักดื่มมันสักร้อยแก้วก็ไม่เมา แต่ภายหลังจากตื่นขึ้นมาอีกวันเท่านั้นแหละ บอกได้เลยว่า
รู้เรื่อง!!
อาการแฮงค์ที่เล่นงานฉันในตอนนี้จนเรียกได้ว่านี่แหละคือความ ทรมานอันแสนสาหัส ประหนึ่งคนกำลังจะตาย คือคำตอบชั้นดีเลยว่าเมื่อคืนฉันเมาหนักขนาดไหน โคตรอยากอ้วกเลยเว้ย...
“เสียงดังเพื่อ มึงเรียกเผื่อผีในยมโลกอยากรู้จักชื่อกูหรือไง” ฉันตอบกลับ ‘เตย’ เพื่อนสนิทในที่ทำงานอย่างหัวเสียตามประสาคนเมาค้างที่รำคาญมันเสียทุกอย่างแต่ความเพื่อนสนิท ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ยิ่งประชดมันยิ่งปากดีใส่
“มีปากไม่ขานรับ คนทักก็คิดว่าหูหนวก เลยต้องตะโกนให้ได้ยินเคม่ะ”
“มึงช่วยเงียบปากสักนิดได้ไหม ถ้าเงียบไม่ได้ มึงจะไปไหนก็ไป ไปให้ไกลกูที่สุดก็พอ”
“อะไร เป็นไรเนี้ย โมโหไรมา เมื่อวานทำงานให้พี่สองดึกนอนน้อยเลยอารมณ์ไม่ดีหรือไง ดะ เดี๋ยวนะ ทำไมสภาพมึงแปลกๆ”
“กูก็มีสภาพนี้ตลอดแหละ”
“ไม่ใช่ ถึงมึงจะทำตัวไม่สนโลก ก้มหน้าก้มตาทำงานตลอดก็เถอะแต่มึงไม่ใช่คนโมโหร้ายแล้วมาพาลมัว อาการแบบนี้มึงมักจะเป็นตอนกำลังจะเป็นประจำเดือนกับเมาค้าง อีดอก เมื่อวานกูชวนไม่ไปแต่มึง อีแนท เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ไปเมาไหนมา”
“เอ่อ”
“เอ่อ? แล้วอีเอ่อมันอะไรล่ะ เล่าดิเล่า มึงทุกข์ใจเลยไปเมาหรือมึงเจอผู้ถูกใจเลยร่านไปเมากับเขา”
“อย่างหลังนี่มันมึงแล้วเตย ไม่ใช่กู”
“เล่ามาเดี๋ยวนี้ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับมึง”
ฉันถอนหายใจก่อนจะหันไปจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และวางมือลงบนแป้นพิมพ์ทำงานของตัวเองต่อเพื่อเลี่ยงจะให้คำตอบ 'เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ' มีแต่เรื่องไม่คาดคิดและดูจะอเมซซิ่งกินไป ถ้าเตยมันรู้เข้า ภาพลักษณ์คนปกติของฉันคงต้องเปลี่ยนไปเพราะมันจะเอาเรื่องฉันไปเล่าต่อในทางที่ผิดแน่นอน แต่จะว่าไป เมื่อคืนเรื่องมันจบลงยังไงนะ รู้สึกว่าหลังจากที่ไปส่งเด็กหน้าสวยคนนั้นก็เหมือนมีอีป้าข้างห้องมาปากเสียใส่แล้วมันยังไงต่อ เอ่อ...เหมือนฉันจะรู้สึกโกรธนิดๆ เลยว่าจะอบรมป้าที่พูดแบบนั้นสักหน่อยแล้วต่อจากนั้นมัน เอ่อ...เอ่อ... เอ่อว่ะต่อจากนั้นมันมีเรื่องนั้นนิ…
'ย้อนกลับไปเมื่อคืน'
“ไปรับลูกมาจากไหน กลิ่นเหล้าถึงได้เหม็นหึ่งขนาดนี้”
“อ่า...เรื่องนั้น คือว่า”
“ลูกสาวหนีไปใจแตกมาสินะ”
“ห๊ะ”
อีป้า...พูดจาสุนัขไม่รับประทานขนาดนี้ถือว่าวอนเสียแล้ว ได้ป้า ถ้าอยากจะมีเรื่องก็ย่อมได้เลย เดี๋ยวคุณแนทจัดให้ป้าได้ลิ้มรสความปากดีอย่างสาสมเอง...
“ขอโทษค่ะ”
“ลูกสาวก็หน้าตาสวย ทำไมไม่สอนให้ทำตัวดีแบบหน้าตาเสียบ้าง ดูทำตัวเข้า อายุแค่นี้ปล่อยให้กินเหล้าแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ได้ยังไง นี่ยังดีที่ตัวเองพากลับมาได้แล้วถ้าลูกไม่ได้โทรไปเรียกให้พากลับมาล่ะ ไม่รู้เลยหรือไงว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยุคสมัยนี้มีแต่คนน่ากลัวทั้งนั้น ต้องสอนสิ”
“ค่ะ”
“สอนลูกไม่เป็นเลยสินะ ตั้งแต่เรื่องมารยาท เรื่องใช้ชีวิต ทำไมถึงเป็นแม่ที่ห่วยขนาดนี้ มีลูกตอนอายุยังน้อยใช่ไหมล่ะ”
"ค่ะ”
“โดยเฉพาะเรื่องมารยาท เรื่องการเคารพผู้ใหญ่ ต้องสอนให้เด็กมันเยอะๆ อย่าปล่อยให้มันมาทำตัวก้าวร้าวใส่คนอื่นไปทั่ว...”
ทุกคำที่อีป้าพ่นออกมา ในหัวฉันก็ได้สร้างคำด่ากลับมากมายแต่การกระทำของฉันมันกลับตรงกันข้าม สิ่งที่ฉันทำก็คือการเอ่ยคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยืนก้มหัวปล่อยให้ตัวเองโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่เถียง ไม่แสดงอาการก้าวร้าวหรือแม้แต่จะทำหายใจฟึดฟัดฉันก็ไม่แสดงออกไปเลยแม้แต่น้อย
ที่ฉันเป็นแบบนี้คงเพราะฉันรับเอาอิทธิพลในการทำงานมามากเกินไปจนเคยชินกับการต้องอดทน ต้องควบคุมอารมณ์และก้มหัวให้ทุกคน ทุกเรื่อง โดยไม่ต้องไปคิดว่าเรื่องที่ตัวเองถูกตำหนิอยู่นั้นจะเป็นความผิดของตัวเองหรือไม่ หน้าที่ของฉันคือการต้องยอมรับ
เดี๋ยวมันก็จบแล้ว อดทนต่อไปสักพักเดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป ถ้าไม่เถียงปัญหาก็จะไม่ลุกลามมากไปกว่านี้ อดทนเข้าไว้ ทำเป็นหูหนวกไปเลย อดทนไว้แนท อดทน...
“แฟน!!” ในตอนที่ฉันกำลังปล่อยอีป้าด่าอยู่นั้น เด็กผู้ชายวัยรุ่นที่ดูทรงแล้วอายุน่าจะไล่ๆ กับคนหน้าสวยก็เรียกทักชื่อของเธอเสียงดัง ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาประคองคนหน้าสวยอย่างร้อนรน “ทำไมถึงมานอนตรงนี้ นี่เมามาเหรอ แฟนตั้งสติหน่อยนี่บิ๊กเองนะ ได้ยินบิ๊กไหม ไปทำอะไรมาทำไมถึงเมาได้ขนาดนี้”
“เอ่อ คือว่า...” เมื่อเห็นท่าทางบวกคำพูดของผู้ชายคนนั้น ฉันจึงเดินเข้าไปสะกิดไหล่ของเขา เพื่อที่จะถามอะไรบางอย่างให้เกิดความแน่ใจ “รู้จักกันเหรอ”
“ครับ ผมเป็นแฟนของแฟนครับ”
“อ้อ”
“พี่คือ...”
“พาแฟนเข้าห้องไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เขาเจอมาหลายอย่างน่ะ พรุ่งนี้ค่อยให้แฟนเขาอธิบายเหตุผลเองแล้วกันแต่พี่ยืนยันให้ได้ว่าเขาไม่ได้ไปเมากับผู้ชายที่ไหน”
“ขอบคุณที่ดูแลแฟนให้นะครับ”
“ครับ”
หลังจากพูดกับฉันเสร็จผู้ชายคนนั้นก็พาคนหน้าสวยขี่หลังตัวเองเข้าไปในห้องพักของพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องกันแล้ว หน้าที่ของฉันก็หมด ฉันจึงตั้งใจจะกลับห้องตัวเองบ้างแต่ว่าก็ลืมไปเลยว่าอีป้ายังอยู่ ฉันจึงโดนอีป้าสวดต่อไปอีกยก ทั้งเรื่องที่ปล่อยให้คนหน้าสวยเมา ทั้งเรื่องปล่อยให้คนหน้าสวยอยู่กับเพื่อนผู้ชาย ทั้งเรื่องที่คนหน้าสวยทำมารยาทไม่ดีใส่และอื่นๆ ฉันตัดปัญหาทั้งหมดด้วยการทิ้งนามบัตรตัวเองให้อีป้าเอาไว้ อีป้าจึงยอมปล่อยฉันกลับ
สำหรับฉันแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับความฝัน หลังจากที่ตื่นทุกอย่างก็จบลงไปแค่ตรงนั้น เราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วมั่ง
“มีแฟนแล้วสินะ”
“ใคร ผู้ที่มึงร่านไปเมากับเขาเมื่อวานเหรอ มึงติดใจคู่นอนไม่ได้นะเว้ย จำกฎของคนร่านยามราตรีที่กูสอนมึงไม่ได้หรือวะ อึบได้แต่ต้องป้องกันและห้ามหลงคู่นอน เช้ามาเรื่องเมื่อคืนคือต้องจบ”
เพื่อนตัวดีที่ยังไม่ไปไหน แม้จะถูกฉันเมินแล้วเมินอีกแต่ก็ยังวนเวียนจนกว่าจะได้คำตอบ พูดแทรกขึ้นในตอนที่ฉันเผลอหลุดปากพูดบางอย่างหลังจากคิดเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว ฉันเลยวางมือออกจากแป้นพิมพ์แล้วหันกลับไปด่ามันอีกรอบ
“มึงยังอยู่อีก ไม่มีการมีงานทำไง ถ้าว่างมาก มามึงช่วยกูเรียงเอกสารใส่แฟ้มม่ะ”
“กูคาใจนี่หว่า สรุปยังไงติดใจเขาขนาดไหน”
“ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้นเว้ย กูไปเมาคนเดียวพอใจยัง”
“คนเดียวแล้วมึงบ่นว่ามีแฟนแล้วทำไม”
“กูพูดถึงดาราที่กูชอบ มันพึ่งออกข่าวเมื่อเช้าว่าเขากำลังคบหากับคนนอกวงการ จบม่ะ”
“มึงตอแหล คิดว่าจะหลอกเพื่อนของมึงคนนี้ได้เหรออีแนท”
ฉันเหนื่อยใจกับลูกตื้อของเตยอย่างมาก นี่แหละนะข้อเสียของการสนิทกับใครเกินไป เลยทำให้คนที่สนิทด้วยใช้คำว่าสนิทเป็นข้ออ้างในการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว โดยไม่แคร์ความรู้สึก ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอึดอัดกับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองมากแค่ไหน ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทก็เถอะ กับเรื่องแบบนั้น จะให้คนอย่างมันรู้เรื่องของเด็กคนนั้นไม่ได้
“ขอโทษนะคะ คุณแนทใช่ไหมคะ”
“เจน!!”
ในตอนที่ฉันกำลังอ้าปากจะด่าอีเพื่อนสุดที่รัก ได้มีเสียงของผู้หญิงที่ฉันน่าจะเป็นคนเดียวที่ไม่คุ้นเคยทักขึ้นมาก่อน แค่ได้ยินเสียง อีเตยผู้สนิทกับทุกคนในบริษัทก็พูดชื่อเจ้าของเสียงออกมาแล้วชวนเขาคุยเหมือนสนิทกับเขามายาวนาน ได้ไงว่ะ
“วันนี้สวยในระยะพันเมตรเลยนะ”
“เตยก็พูดเกินไป วันนี้เตยเองก็แต่งตัวดูดีนะ สีลิปสวยจังใช้ของอะไรเหรอ”
"พูดแบบนี้ เราต้องหาวันนัดไปช้อปปิ้งกันแล้ว"
"นัดมาเลย ช่วงนี้เราว่างอยากได้คนไปช่วยเลือกของอยู่พอดี"
ฉันมองทั้งสองคนยืนคุยกันโดยไม่เข้าไปแทรกบทสนทนา น่าแปลก ปกติถ้าอีเตยรู้จักใครฉันก็จะได้รับอานิสงส์รู้จักไปกับมันด้วย แต่คนนี้ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน ผู้หญิงที่มีรูปร่างดี ใบหน้าดุอย่างมีสไตล์แต่ก็สวย แถมเธอยังดูจะเป็นคนแต่งตัวเก่งอีก คนที่โดดเด่นขนาดนี้ เป็นใครกันนะ คันปากอยากถามเรื่องเสื้อสูทสีน้ำตาลของคุณเธอมากเลย นั้นมันสไตล์ฉันเลยนะ สวยถูกใจอยากหาซื้อมาใส่บ้าง
“แล้วนี่เจนมาหาอีแนททำไม”
“อ้อ เราส่งอีเมลขอเอกสารไปวันก่อน เห็นตอบเมลมาว่าจะตามเอกสารให้ จนตอนนี้เรายังไม่ได้เอกสารเลยมาทวง”
“มึงเขาถามหาเอกสาร”
“เอกสารเหี้ยไรวะ”
“ใจเย็นเพื่อน เก็บอาการเมาค้างก่อน อย่าก้าวร้าวใส่คนจากแผนกอื่น”
“กูไม่ได้ก้าวร้าวใส่เขา กูก้าวร้าวใส่มึง ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไรคะ เราคิดไม่ออก เหมือนไม่ได้รับอีเมลขอเอกสารอะไรเลยนะคะ”
“แปลกจัง เรายังได้อีเมลตอบกลับมาอยู่เลยค่ะ”
"เตยมึงได้ตอบกลับอีเมลอะไรม่ะ”
“ไม่อ่ะ ปกติคนตอบอีเมลแผนกเราจะเป็นมึงไม่ใช่เหรอ มึงทำเอกสารให้เขาแล้วหรือเปล่า คิดให้ดี อย่าปล่อยให้อาการเมาค้างเล่นงานมึง”
“คิดไม่ออกว่ะ”
“ให้กูเขย่าตัวเรียกสติไหมอ่ะ”
“ไม่เอา คนยิ่งคลื่นไส้อยู่” ฉันเกาหัวพร้อมกับพยายามคิดไล่เรียงไทม์ไลน์ชีวิตของตัวเองในช่วงนี้ ว่าฉันไปตอบกลับอีเมลอะไรตอนไหน ไม่นานนักฉันก็ได้รับคำตอบทั้งหมด เมื่อน้องในแผนกวิ่งเอาซองเอกสารมายื่นให้กับคนหน้าดุ
“นี่ค่ะ เอกสารที่ขอมา ขอโทษนะพี่แนท หลิวเห็นพี่ยุ่ง เลยเป็นคนตอบข้อความและทำเอกสารให้เองแหละ ไม่โกรธกันนะ”
“หลิวน้องรัก ใส่ใจอย่างสร้างสรรค์ น้องพี่” ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นไปกอดน้องในแผนกผู้แสนดีของตัวเองซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของหลิวกับฉันที่จะกอดกัน อย่างที่รู้ฉันเป็นคนที่รับฟังปัญหาของทุกคน หลิวก็เป็นหนึ่งคนที่จะแวะเข้ามาใช้บริการระบายปัญหาชีวิตให้ฉันฟังบ่อยๆ มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เราสนิทกัน "ทำไมถึงเป็นน้องที่น่ารักขนาดนี้ อีเพื่อนเวรไร้ประโยชน์ของพี่สู้หลิวไม่ติดเลย"
“อ้าวกูผิดเฉย เจนเห็นม่ะ เราบอกแกแล้วว่าอีแนทมันคนเหี้ย อย่าไปอยากรู้จักกับคนอย่างมันเลย”
คำพูดว่าร้ายฉันของอีเตยดูจะไม่ส่งผลอะไรกับคนหน้าดุเลย เมื่อเธอหันมาจับจ้องหน้าฉันก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าคนหน้าดุส่วนมากจะเป็นพวกยิ้มละลายใจกันทุกคนไหมแต่กับคนนี้รอยยิ้มของเธอ ทำท้องไส้ฉันปั่นป่วนสุดๆ และดูเหมือนรอยยิ้มของเธอจะส่งผลถึงน้องในแผนกของฉันด้วยเช่นกัน เพราะจู่ๆ หลิวก็เข้ามากระซิบที่ข้างหู
"พี่โดนเล็งแล้ว"
"หือ"
"ระวังให้ดีนะพี่ ผู้หญิงคนนี้น่าจะสายรุก"
"หา? เขาเป็นผู้หญิงเหมือนกันกับพี่นะ"
"จริงๆ เค้าก็ไม่ค่อยมั่นใจ คนที่มีรสนิยมแบบนั้นมันดูออกยาก แต่สังเกตจากสายตาที่ส่งมาให้พี่แนทหวานหยาดเยิ้มขนาดนั้น จ้องพี่คนเดียวตั้งแต่เดินเข้ามาในแผนกจนถึงตอนนี้ยังไม่เลิกจ้องอีก เค้าว่าใช่แน่ พี่อย่าเผลอตัวไปเมาที่ไหนกับเขานะ มีสิทธิ์โดนหิ้วสูง"
"พูดเรื่องอะไรเนี่ย พี่ปล่อยตัวขนาดนี้ใครที่ไหนมันจะอยากมาหิ้ว ถ้าพี่แต่งตัวแต่งหน้าก็ว่าไปอย่าง"
"เมื่อก่อนไม่มี ตอนนี้เค้าว่ามีแน่นอน พี่เคยได้ยินที่เขาว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เราชอบคนที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกันข้ามกับตัวเองไหม"
“พึ่งเคยได้ยินจากหลิวครั้งแรกนี่แหละ”
“พี่เชื่อหลิว แล้วพี่จะขึ้นคานอย่างปลอดภัย”
“จริงๆ มึงเกลียดพี่ใช่ไหมหลิว”
“เกลียดอะไร น้องรักและเป็นห่วงนะเนี่ย”
“อ่า เค ขอบใจ”
ขึ้นคานอย่างปลอดภัย ให้ตายเถอะ ฟังแล้วเจ็บในทรวง ฉันไม่สนใจใครใช่ว่าฉันอยากขึ้นคานนะ ถึงแม้ที่หลิวพูดมามันจะชวนให้โมโหแต่ฉันก็รู้สึกว่ามันตลกจนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่ได้นาน ฉันพึ่งจะมีเรื่องให้ได้หัวเราะออกมาบ้างแท้ๆ ทำไมถึงได้เอาความทุกข์มาให้กันอีก ไม่แฟร์เลย
“แนท”
“คะ”
“พี่สองเรียกให้ไปพบตอนนี้เลย”
“ค่ะ เดี๋ยวแนทตามไปค่ะ”
“ด่วนเลยนะ ดูจะอารมณ์ไม่ดีด้วย”
“ค่ะ”
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างรู้ตัวว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ทำไมวันนี้เจ้านายต้องเข้าออฟฟิศในวันที่ฉันมีอาการเมาค้างแบบนี้ด้วย ฉันใช้สองมือตอบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะเดินออกจากห้องแผนกเพื่อไปพบเจ้านายตามที่โดนเรียกและก็ไม่มีอะไรผิดไปจากที่ฉันคิด ฉันโดนด่าเหมือนเดิม แม้จะทำงานออกมาได้ดีแล้วก็ตาม งานที่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันตั้งแต่แรกด้วยนะ
“พี่เห็นรายงานของแนทแล้ว”
“ค่ะ”
“รายงานมันควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก แนททำออกมาได้แสดงว่าแนทรู้ว่ามันต้องทำยังไง แล้วทำไมไม่ทำมาให้พี่แบบนี้ตั้งแต่แรก”
“...”
“ทำไมล่ะแนท ทำไมต้องให้พี่ได้ด่า”
“...”
อยากตอบ อยากจะซัดหน้าคืนให้รู้เสียบ้างว่าต้นสายปลายเหตุมันเป็นยังไงแต่ก็นั่นแหละ ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากก้มหน้า เม้มปากแล้วเงียบอยู่แบบนี้ ในตอนที่ฉันเข้ามาทำงานใหม่ ตอนเจอเจ้านายถามแบบนี้ครั้งแรก ฉันเคยตอบแล้วก็โดนด่าหนักกว่าเดิม แถมยังโดนเพ่งเล็งอีกต่างหาก ทั้งที่สิ่งที่ฉันตอบมันคือความจริงทั้งนั้น นับจากนั้นมาฉันก็ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เจ้านายต้องการไม่ใช่คำตอบแต่คือการยอมรับ ที่เขาถามก็แค่จะตอกย้ำความผิดพลาดของเราในสายตาของเขาเท่านั้นเอง นี่แหละหนึ่งในรสชาติความขมขื่นของการทำงานที่ฉันต้องเจอมันทุกวันละ
“พี่ขอรายงานไป พี่ควรได้ในตอนที่ขอไปเลยทันทีและมันควรเป็นแบบที่สมบูรณ์ ใช้งานได้จริงเลยหรือเปล่าแนท”
“ค่ะ”
“รู้ไหมว่าที่ตัวเองทำผิดพลาดไป มันส่งผลอะไรต่อบริษัท บริษัทต้องเสียอะไรไปได้ใช้สมองคิดบ้างไหม”
“...”
“ความผิดครั้งนี้ พี่จะถือว่าที่ผ่านมาแนทยังไม่รู้ก็แล้วกัน แต่ถ้ายังมีครั้งต่อไป แนทยังสร้างปัญหาแบบนี้อีกพี่จำเป็นต้องลงโทษนะ”
“ค่ะ”
“ไป จะไส่หัวไปไหนก็ไป เหม็นขี้หน้า ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง”
“…”
พวกไม่ได้เรื่อง!? แม่ง แม่งเอ้ย!! ปากหมาฉิบหาย รวยเสียเปล่าทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้ว่ะ พูดแบบนี้กับคนที่ตั้งใจทำงานให้บริษัทมึงได้ยังไง คนไม่ได้เรื่องคือตัวมึงเองหรือเปล่าที่ไม่เคยคิดจะลงมาดูว่าลูกน้องระดับล่างว่าเขาทำงานอะไรให้มึงบ้าง ความรับผิดชอบในงานของกูทุกวันนี้มันมากขนาดไหน ไม่เห็นจะรู้เหี้ยอะไรสักอย่าง เป็นซีอีโอทำอะไรก็ถูกเหรอว่ะ ทีตัวเองบริหารไม่ได้เรื่องกูยังไม่ด่ามึงเลย ยัดเยียดให้ลูกน้องผิดเก่ง ทำงานมาตั้งหลายปี รายงานเขาก็ใช้แบบก่อนหน้านี้มาตลอด อยากให้เปลี่ยนแล้วไม่บอกว่าอยากได้แบบไหนตั้งแต่แรกว่ะ ผิดที่มึงลีลาเองป่ะ อีนี่ต้องมานั่งงมให้มึงคือกูผิดเหรอ กูควรถูกชมด้วยซ้ำไหม กูเองก็เหม็นขี้หน้ามึงเต็มทนเหมือนกันแหละ อยากลาออกเว้ย!!
“โดนด่าอะไรมาว่ะ ทำหน้าตาน่ากลัวจังว่ะ”
“อื้ม ก็เรื่อง...”
“หยุดๆ อย่าเล่า กูถามไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากฟัง ฟังแล้วเดี๋ยวกูเครียดตาม มึงอย่าไปใส่ใจมันมากเลย พี่สองแม่งก็ประสาทตลอดเวลาแหละ ไม่มีใครไม่เคยเจอนางทำตัวประสาทใส่ ช่างแม่งแล้วไปกินข้าวกัน คนที่ชื่อเจนที่มาขอเอกสารเมื่อเช้าเขาจะเลี้ยงข้าวเราด้วย ไปกินข้าวให้หายเครียดดีกว่า”
“กูไม่ไป มึงไปเถอะ กูจะออกไปธุระข้างนอก”
“เค งั้นกูไปก่อนนะ”
“อื้ม”
ความโกรธที่ได้รับมาจากเจ้านายนั้นมันมหาศาล แต่สิ่งที่ฉันทำได้กลับมีแค่การด่าและระบายมันอยู่ในใจคนเดียวจนถึงตอนเที่ยง ความโกรธที่ยังคุกรุ่นจนจุกอกจนแทบจะฝืนอดทนมันต่อไปไม่ไหว ทำให้ฉันปฏิเสธที่จะไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงานแล้วเดินออกจากออฟฟิศไปหาสถานที่เงียบๆ เพื่อให้ตัวเองได้ระบายมันออกไปให้หมดก่อนจะกลับมารับศึกงานในช่วงบ่าย
“พี่คะ?”
ไม่รู้ว่านี่มันเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจของใคร ถึงได้นำพาให้คนที่ฉันคิดว่าอาจจะไม่ได้พบกันอีกแล้วให้ได้มาเจอกันอีกครั้งแล้วเธอยังมาในชุดนักศึกษาอีก ที่ทำงานฉันก็ไม่ได้ใกล้กับมหาลัยของเธอเลยนะ ทำไมถึงได้มาเจอกันแถวออฟฟิศฉันได้ล่ะ โคตรบังเอิญไปหน่อยไหม
“อ้าว เอ่อ ไง มาทำอะไรแถวนี้เหรอ”
“แฟนเห็นประกาศรับสมัครงานพาร์ทไทม์แถวนี้ค่ะ ก็เลยมายื่นใบสมัครไว้”
“อื้ม ขอให้ได้งานนะ”
“ค่ะ พี่คะเรื่องเมื่อคืน ขอบคุณนะคะที่พาแฟนกลับ”
“พี่พาแฟนไปเมา พี่ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตแฟนอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ค่ะ แล้วเมื่อวานพี่จ่ายไปเท่าไหร่คะ แฟนจะได้จ่ายคืนให้”
“ไม่ต้องหรอก เก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นเถอะ”
“แฟนบอกแล้วนี่คะ ว่าจะให้พี่จ่ายคนเดียวได้ยังไง ไม่รู้แหละ ยังไงพี่ก็ต้องให้แฟนจ่าย บอกมาค่ะหมดไปเท่าไหร่”
“ไม่บอก”
“พี่คะ” คนหน้าสวยทำหน้ามุ้ยแล้วเอื้อมมือมาจับชายเสื้อของฉันไว้ไม่ยอมปล่อย ฉันมองท่าทีของคนหน้าสวยแล้วก็ต้องเกาหัวด้วยความสงสัย เด็กคนนี้คิดอะไรของเขาอยู่...
“ไม่ชอบของฟรีเหรอ”
“ของฟรีไม่มีใครไม่ชอบหรอกค่ะ”
“รังเกียจพี่?”
“ไม่ค่ะ!”
"แล้วทำไมล่ะ”
“คะ”
“ปกติคนทั่วไปเวลาถูกเลี้ยงไม่มีใครเขาปฏิเสธกันสักคน แล้วทำไมถึงอยากจ่ายคืนให้พี่ขนาดนี้"
"แฟน...ไม่ชินที่มีคนมาใจดีด้วยโดยไม่หวังอะไรกลับคืน"
"ปกติเจอแต่พวกหวังอะไรกลับคืนเหรอ"
คนตรงหน้าไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่ฉันรู้คำตอบได้ผ่านสีหน้าของเธอ จากนั้นความเอ็นดูและอยากช่วยให้คนตรงหน้าคลายกังวลก็แล่นเข้ามาในระบบประมวลผลของสมองฉันทันที อะไรของฉันเนี่ย ตัวเองแบกเรื่องทุกข์ใจอยู่เต็มอก ไม่อยากเป็นถังขยะของใคร แล้วเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นอีกทำไม กับคนที่พึ่งคุยกันแค่ไม่กี่ครั้งยังจะแคร์เขาอีกเหรอ
“หิวยัง”
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
“ไปกินข้าวกัน”
“คะ”
“อยากจ่ายคืนให้พี่ไม่ใช่เหรอ เลี้ยงข้าวเที่ยงให้พี่หน่อยแล้วก็ถือว่าหายกัน โอเคไหม”
“แต่เมื่อคืนพี่เสียไปตั้งเยอะ แค่ข้าวเที่ยงมันจะพอเหรอคะ”
“พอแล้วน่ะ ไปกันเถอะพี่หิวแล้ว”
ฉันเดินนำคนหน้าสวยไปยังร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศของตัวเอง เมื่อมาถึงที่ร้าน เราสองคนก็หาที่นั่งแล้วก็สั่งอาหารกัน ในระหว่างที่รออาหาร เพื่อจะละลายอึดอัดระหว่างเราฉันจึงเป็นฝ่ายชวนคนหน้าสวยคุยไปเรื่อย
“เมื่อวานตอนไปส่งที่ห้อง พี่เจอแฟนของเราด้วยนะ”
“อ๋อ บิ๊กบอกแฟนแล้วค่ะ”
“หายังไง”
“คะ”
“สอนพี่หาหน่อยสิ มีเคล็ดลับอะไรพิเศษ พี่อยากมีแฟนหล่อบ้าง”
“อ๋อ...อะแฮ่ม คือ แฟนมีแต่คนมาจีบก่อนค่ะ บิ๊กก็เป็นคนเข้ามาจีบแฟนก่อน ความพิเศษที่ทำให้เขาเข้าหามันเป็นเพราะแฟนสวย ดังนั้นจะให้แฟนสอน แฟนไม่รู้จะสอนอะไรค่ะ จะให้แบ่งความสวยให้ก็ทำไม่ได้ด้วย"
คำพูดของคนหน้าสวยทำฉันเบ้ปากออกมาเองตามธรรมชาติ เอาสิ คนสวยหลงตัวเองก็มา อยากจะสวนคืนให้เจ็บแสบบ้างอยู่นะ แต่มันก็สวยจริง เถียงไม่ได้ หมั่นไส้ คนหน้าสวยเมื่อเห็นฉันแสดงออกมาแบบนั้นก็หัวเราะชอบใจแล้วขยับตัวมาตีแขนฉันเหมือนกับหมั่นไส้
"พี่คะ เดี๋ยวเถอะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นใส่แฟน”
“อะไร แฟนนั่นแหละตีพี่ทำไม พี่ต้องเป็นคนตีแฟนมากกว่าไหม อยู่ๆ ก็หลงตัวเอง”
"มันคือความจริงค่ะ”
“พี่ว่าพี่อิ่มแล้ว พี่กลับไปทำงานดีกว่า”
“พี่คะ อย่าพึ่งไป อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”
“ไม่ดีกว่า เกิดพี่กำลังกินข้าวแล้วแฟนนึกคึกชื่นชมความสวยตัวเองออกมาอีก แล้วพี่เกิดสำลักข้าวตาย ขึ้นมาใครจะมารับผิดชอบชีวิตพี่ ประกันสมัยนี้ยิ่งใจโลเลอยากจะออกกรมธรรม์ก็ออก อยากยกเลิกก็ง่ายดาย พี่จะตายบนความไม่แน่นอนไม่ได้”
“เว่อร์”
"ไม่เว่อร์ เจอจ่ายไม่จบจองโลงศพสถานเดียว"
"เป็นคนแก่พูดจาเว่อร์ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวลูกหลานไม่นับถือนะ"
"โอ้โห้ เรียกคนแก่งี้ ลุกไปตบกันนอกร้านเลยม่ะ"
"โอ๋ ไม่ก้าวร้าวนะคะ แฟนแซวเล่นนะ ไม่โกรธ ไม่ฉุนเฉียวใส่เค้านะคะ"
"เอ่อ! พูดถึงเรื่องแก่ เมื่อวานป้าที่อยู่ข้างห้องแฟน เรียกพี่ว่าเป็นแม่ของแฟนเฉยเลย"
"ป้าข้างห้อง? อ๋อ แกบ่นอะไรให้ฟังหรือเปล่าคะ"
"บ่นดิ บ่นเหมือนแค้นมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว บอกให้สอนมารยาทในการพูดกับผู้ใหญ่ สอนเรื่องการใช้ชีวิตให้แฟนเยอะๆ แกเหมือนไม่พอใจแฟนเท่าไหร่ นี่เราไปทำอะไรผิดมา อยากให้พี่อบรมตามที่ป้าร้องขอไหม"
"พี่อบรมแฟนได้ แฟนยินดีจะตั้งใจฟังค่ะ แต่ขอให้แฟนได้อธิบายเหตุผลสักหน่อยได้ไหม"
"ไม่อยากฟังอ่ะ"
“ใจร้าย”
ก่อนหน้านั้นฉันยังเมาค้างและโมโหเจ้านายอยู่เลยแต่ดูตอนนี้สิ ฉันคุยเล่นและหัวเราะกับคนหน้าสวยขนาดนี้ได้ยังไง ทำไมถึงรู้สึกอารมณ์ดีสดชื่นขึ้นมากอย่างบอกไม่ถูก อย่างกับคนบ้าเลยฉัน
“แล้วเรื่องที่เล่าให้พี่ฟังเมื่อวาน งานกลุ่มเป็นไงบ้าง”
“อื้ม เรื่องนั้นน่ะ เพื่อความสบายใจ แฟนเลยไปขออาจารย์ทำเองคนเดียวแต่แกไม่ยอม เลยเรียกคนในกลุ่มให้มาคุยกัน แทนที่คุยแล้วจะจบ กลายเป็นว่าแฟนโดนเขม่นหนักกว่าเดิมอีก แล้วคือแฟนมีไอเดียงานอยู่แล้วเลยจะเสนอให้ฟัง แต่พวกนั้นพากันทำเมินใส่แฟน เป็นแบบนี้จะให้ทำงานด้วยกันได้ยังไง”
“ไอเดีย? พี่อยากฟัง เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“ได้สิ แฟนร่างภาพไว้ด้วยนะ อยากดูไหมคะ”
“อื้ม”
ฉันนั่งฟังและคอยถามเรื่องไอเดียงานของคนหน้าหวานอย่างใส่ใจ จนเมื่ออาหารมาแล้วเราก็ยังกินข้าวกันไปและยังคุยกันเรื่องเดิม ถึงแม้ฉันจะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะ ไม่เคยสนใจงานศิลป์มาก่อนแต่พูดได้เลยว่า คนหน้าสวยที่กำลังเล่า อธิบาย ให้ความหมายในงานศิลปะของตัวเองอย่างมีความสุขในตอนนี้ ‘เท่โคตร’ ยิ่งฟังก็ยิ่งถูกดึงดูดเข้าไปในโลกของเธอ
“เป็นไงบ้าง งานของแฟนมันฟังดูเข้าท่าไหมคะ”
"อื้ม เก่งจังนะ มีความสามารถขนาดนี้ ถ้าไม่ได้แสดงความเก่งออกมาให้คนอื่นรับรู้คงน่าเสียดายแย่"
ฉันพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปวางบนหัวของคนหน้าสวยแล้วลูบหัวของเธอเบาๆ คนหน้าสวยชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าหรือขัดขืน ที่ฉันชมเธอฉันพูดจริงนะ ฉันเป็นคนจำพวกที่ชื่นชมคนที่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตัวเองรักและตอนนี้ฉันอยากเห็นไอเดียของเธอออกมาเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ ในตอนนี้ผู้ใหญ่อย่างฉันควรแนะนำอะไรเด็กสักหน่อยแล้ว
"พรุ่งนี้แฟนลองไปคุยกับคนในกลุ่มอีกครั้ง ถามพวกมันว่าอยากรอดพ้นวิชานี้ไหม ถ้ายังไม่มีไอเดียก็ให้ฟังที่แฟนพูด บอกมันว่าอยากให้ช่วยเราก็ช่วยอยู่นี่ไง ตอนนี้มีเวลาเหลือกันอีกเท่าไหร่ จะเสียเวลามารวมตัวกันอีกกี่ครั้งโดยที่ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย แล้วพูดไอเดียของแฟนไปให้หมด ลงท้ายว่า คิดว่าไง อยากจะช่วยเราปรับไอเดียนี้ให้มันเป็นจริงดูไหม ไม่ชอบเรา ไม่พอใจเราได้ เราเข้าใจ แต่เราอย่ามาติด F ไปด้วยกันเลยจะดีกว่า พูดตามนี้เลย"
"พวกนั้นมันจะสนใจเหรอคะ"
"การทำงานอยู่กับทีมที่มีปัญหา พี่เจอมาบ่อยมาก การจะรับมือกับมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น แต่สิ่งที่ทุกทีมที่มีปัญหาต้องการที่สุดคือคนที่กล้า คนที่จะเป็นผู้นำในการพาทีมให้ออกจากปัญหา"
"แต่ทีมนี้แฟนเป็นปัญหานะคะ"
"คนที่มีปัญหากับแฟนในกลุ่มจริงๆ พี่ว่ามีอยู่ไม่กี่คนหรอก คนอื่นในทีมเขาก็แค่อยากผ่านพ้นงานนี้ไปก็เท่านั้น แต่เข้าใจไหม สถานการณ์มันบีบ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบคนนี้ กูก็ไม่อยากมีปัญหา เลยต้องตามคนส่วนมากไป แล้วถ้าเราดึงคนแบบนี้ออกมาได้ พวกที่มีปัญหากับแฟนก็จะกลายเป็นคนส่วนน้อยที่ต้องมาตามเสียงส่วนมากแทน"
"คนในทีมส่วนมากเขาเป็นเพื่อนกันนะคะ"
"เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ถ้าตัวเองถูกดึงเข้าไปในปัญหาที่ส่งผลให้เดือดร้อน พี่เห็นเพื่อนรักทิ้งกันมานักต่อนักแล้ว พี่เชื่อเลยว่าคนในทีมของแฟนตอนนี้รู้สึกได้ว่าทีมมีปัญหาและเสี่ยงจะไปไม่รอด แฟนต้องใช้ความกังวลของคนในทีมให้เป็นโอกาส ด้วยการแสดงออกมาว่าแฟนใส่ใจงานมากที่สุด แฟนตื่นตัวกับการทำงานตรงนี้แล้วอยากให้ทุกคนผ่านงานนี้ไปด้วยกัน คนในทีมมันจะฟังคนที่จะช่วยให้มันรอด ไม่ใช่พวกงี่เง่า"
"จะรู้ว่าได้ผลไม่ได้ผลต้องลองดูใช่ไหมคะ"
"ได้ผลสิ พี่เป็นคนแนะนำเลยนะ"
"งั้นแฟนจะลองดูค่ะ ขอบคุณนะคะที่รับฟังและยังให้คำแนะนำแฟนอีก"
“ก็เธออยากให้พี่รับฟังไม่ใช่เหรอ”
“แล้วพี่ละคะ”
“หืม?”
“เรื่องงานมีปัญหามาไม่ใช่เหรอคะ ถ้าอยากระบาย ระบายกับแฟนก็ได้นะ ถึงแฟนจะช่วยอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ แต่แฟนสัญญาว่าจะตั้งใจฟังเรื่องของพี่เป็นอย่างดีค่ะ”
คำพูดแค่ไม่กี่ประโยคของคนหน้าสวย ทำฉันอึ้งไปไม่น้อย เมื่อวานตอนที่ดื่มด้วยกันแล้วเธอบอกให้เล่าเรื่องของตัวเองตอนนั้นก็พอเข้าใจได้ว่าเมาเลยอาจจะหาเรื่องชวนคุย แต่ตอนนี้บนโต๊ะก็ไม่มีอะไรที่ดูจะทำให้เมาได้เลย เด็กคนนี้จะรับฟังปัญหาของฉันอีกแล้ว เป็นฝ่ายขอรับฟังเองโดยที่ฉันไม่ได้ร้องขออีกแล้ว ทำไมล่ะ
“พี่ถามได้ไหม ทำไมแฟนถึงรับฟังปัญหาของพี่ ปัญหาของผู้ใหญ่น่ารำคาญจะตาย”
“ก็...พี่อยากให้แฟนรับฟังไม่ใช่เหรอคะ”
ฉันนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา นี่ฉันถูกเด็กมันย้อนคืนเข้าให้เสียแล้วสินะ เด็กคนนี้ ร้ายชะมัด...
“พี่ต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะ”
หลังจากที่เรากินข้าวอิ่มและฉันก็ได้ปลดปล่อยเรื่องในที่ทำงานให้คนหน้าสวยฟัง จนตอนนี้อารมณ์ของตัวเองก็ดีขึ้นมามากแล้วและมันก็ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้ายกันเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง คนหน้าสวยเดินคุยกับฉันจนมาถึงจุดเดิมที่เราพบกัน ฉันจึงหันไปพูดเพื่อส่งสัญญาณบอกว่าเราต้องแยกย้ายกันตรงนี้แล้วนะ
“ค่ะ”
“งั้นพี่ไปแล้วนะ”
“เออ พี่คะ”
“หืม”
“สู้ๆ นะคะ มาผ่านปัญหางี่เง่าพวกนี้ไปด้วยกันนะ” คนหน้าสวยพูดพร้อมกับยื่นกำปั้นของตัวเองมาให้ ฉันมองท่าทีของคนหน้าสวยด้วยท่าทีนิ่งเฉย จริงๆ คือฉันประมวลผลไม่ทันแหละ คนหน้าสวยที่พอเห็นว่าฉันไม่ตอบสนองอะไรก็เริ่มแสดงใบหน้าเขินอายแล้วแก้เขินด้วยการจับผมทัดหูตัวเองก่อนจะบ่นออกมา “อะแฮ่ม..พี่ควรยื่นหมัดมาชนกับแฟนสิ”
“ห๊ะ อ๋อ เออ โทษที เอาใหม่ได้ไหม พี่ขอแก้ตัวอีกรอบ”
“ไม่เอาแล้ว จังหวะมันไม่ได้แล้วค่ะ”
“แค่ชนมือเองนะ”
“พี่คะเรื่องจังหวะมันสำคัญนะ แฟนไปทำงานพาร์ทไทม์แล้วดีกว่า ไปก่อนนะคะ”
ฉันพยักหน้าให้คนหน้าสวยเป็นการบอกว่าฉันรับรู้แต่ทว่าคนที่บอกว่าตัวเองจะไป กลับไม่ยอมไปไหนสักทีเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมแล้วก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอะไร ในเมื่อเธอไม่ไปฉันก็จะเป็นฝ่ายไปเอง พอคิดได้แบบนั้น ในตอนที่กำลังจะหันหลังกลับ คนหน้าสวยก็เข้ามาดึงชายเสื้อของฉันเอาไว้อีก ไม่เข้าใจ เธอทำเหมือนกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างจากฉันอย่างงั้นแหละ แล้วเธอต้องการอะไรล่ะ
“แฟน พี่ต้องไปทำงานแล้วล่ะ พี่จะเข้างานสายแล้ว”
“เรื่องจังหวะมันสำคัญนะคะ”
“อื้ม คือ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่กลับไปทำงานแล้วนะ เข้างานสายเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่อีก”
“ในตอนนี้ จังหวะที่เราจะจากกัน พี่ต้องบอกอะไรกับแฟนไม่ใช่เหรอคะ”
“บอกอะไร”
“พี่คะ”
คนหน้าสวยจ้องมองหน้าฉันด้วยใบหน้าจริงจัง เธอยังคงไม่ยอมปล่อยให้ฉันไปไหนจนกว่าตัวเองจะได้ยินในสิ่งที่ต้องการ แล้วฉันต้องบอกอะไรวะ คิดไม่ออก จังหวะจากลาเขาต้องพูดอะไรกัน ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่ได้กลับไปทำงานอีก ไม่รู้เว้ย ไล่มันทุกประโยคไปเลยแล้วกัน
“โชคดีนะ”
“…”
“ลาก่อน”
“…”
“เออ...ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“…”
“แฟนพี่คิดไม่ออกในหัวพี่มีแต่คำด่าของเจ้านาย ยอมแพ้แล้ว ใบ้ให้หน่อยเถอะ”
“Until the next time”
“อ๋อ อ๋อ!! ไว้มาเจอกันอีกนะ”
เมื่อได้ยินที่ฉันพูดคนหน้าสวยก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ใบหน้าของเธอแสดงให้เห็นถึงความดีใจอย่างชัดเจน ฉันมองท่าทีของเธอแล้วอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ นี่บีบให้ฉันต้องใช้ความคิดขนาดนี้ เพียงแค่อยากให้ฉันบอกแค่นั้นเองนี่นะ ไอ้เด็กคนนี้...มันน่ารักจริงๆ เว้ย
เมื่อได้ยินในสิ่งที่ต้องการแล้ว คนหน้าสวยก็ปล่อยมือออกจากเสื้อของฉันแต่ก่อนที่เธอจะเดินจากไป เธอก็ได้หยิบเอาลูกอมในกระเป๋าสะพายข้างของเธอมายัดใส่มือของฉัน
“เก็บไว้กินตอนเครียดนะคะ ของหวานๆ อาจช่วยให้พี่อารมณ์ดีขึ้น ขอให้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับพี่บ้างนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ”
ในวันธรรมดาที่ฉันต้องแบกรับความเครียด ความโกรธจากการทำงานตามปกติแบบที่เจอมาตลอดและฉันคิดว่าจะระบายอารมณ์ทั้งหมดออกไป ด้วยการหาที่เงียบๆ สักที่ เพื่อแอบไปร้องไห้คนเดียวแบบทุกครั้ง แต่มันกลับถูกลบหายไปได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่การได้เล่าให้ใครสักคนฟัง คนที่เปิดใจรับเรื่องไร้สาระพวกนี้โดยที่ยังไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ
ลูกอมพวกนี้ ฉันควรเก็บเอาไว้บูชาดีไหมนะ…
ขอให้มีคนอ่านเยอะๆ ขอให้คนอ่านหลงเข้ามามากมาย เติมพลังใจให้เราด้วยเถิดดดดดดด