2 ตอน #1 เราดื่มด้วยกันในวันที่ฝนตก
โดย ข้าวมันไก่พิเศษจาน
01 || เราดื่มด้วยกันในวันที่ฝนตก
จะให้พูดว่าหลวมตัวมากับเขาก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเพราะสมองทุกส่วนของฉันได้ทำหน้าที่ในการคอยเตือนถึงภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างหนักแน่นแล้วย้ำเตือนว่าให้ปฏิเสธเธอไป แต่ไอ้ร่างกายที่แสนดื้อรั้นนี่กลับดื้อรั้นไม่ทำตามคำสั่งของสมอง ไปเดินตามเขามาต้อยๆ เขาพาเดินไปทางไหนก็ตามเขาไปหมด ไม่มีปากไม่มีเสียง มีช่องว่างให้วิ่งหนีอยู่หลายครั้งแต่ดันไม่หนี จนสุดท้ายก็มาจบที่ยืนอยู่ในร้านเนื้อย่างกับเขาเป็นที่เรียบร้อย
วันนี้ไม่น่าได้ตายดีแน่ฉัน อายุก็ไม่ใช่น้อยดันไปหลงเชื่อตามผู้หญิงนี่นะ แล้วนี่ฉันจะไปตอบคำถามตำรวจหลังจากถูกปล้นยังไงไม่ให้อับอายขายขี้หน้าเพื่อนร่วมงานว่ะเนี้ย
“สวัสดีค่ะ มาสองท่านนะคะ”
“ค่ะ”
“เชิญด้านในเลยค่ะ ตอนนี้มีที่วางเหลืออยู่แค่ตรงมุมข้างหน้าต่างนะคะ”
“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
“เมนูค่ะ อีกสองนาทีจะมีพนักงานมารับออเดอร์นะคะ”
“ค่า”
เมื่อเข้ามาในร้านและได้ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อย ผู้หญิงหน้าสวยคนนั้นก็ก้มหน้าก้มตาดูเมนูอาหารที่ตัวเองต้องการสั่ง ส่วนฉันก็ใช้โอกาสที่เธอไม่สนใจหันมองไปให้ทั่วร้านด้วยความระแวงว่าพรรคพวกของผู้หญิงคนนี้จะโผล่มาตอนไหน
จะว่าไป นี่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพมันเปลี่ยนรูปแบบการทำงานกันไปขนาดนี้แล้วเหรอ แค่จะปล้นคนวัยทำงานคนเดียวต้องพามากินเนื้อย่างก่อนเลย ลงทุนเกินเบอร์มาก
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ห๊ะ ว่าไงนะคะ”
“ฉันเห็นเหมือนคุณกำลังมองหาอะไรอยู่ เลยถามว่าคุณมองหาอะไรอยู่หรือเปล่าคะ หรือว่าคุณมีธุระที่ต้องไปทำด่วน ถ้ามีปัญหาอะไรต้องรีบกลับก็กลับได้เลยนะคะ” คนหน้าสวยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบส่ายหัวปฏิเสธทันที พร้อมกับหาข้อแก้ตัวเพื่อให้คนตรงหน้าคลายความกังวล
“ไม่ ไม่มีธุระอะไรเลยค่ะ โคตรว่าง ว่างมาก แต่แบบว่า...”
“แบบว่า?”
“แบบว่า ฉันเป็นพวกชอบมองนั้นมองนี่ไปทั่ว แล้วร้านก็ตกแต่งภายในออกมาได้สวยจ๊าบมาก ฉันเลยอยากชื่นชมบรรยากาศเท่านั้นเองค่ะ” ฉันพยายามหาข้ออ้างสารพัดให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของตัวเอง เอาจริงดิ นี่ฉันจำเป็นต้องแคร์มากขนาดนี้ด้วยเหรอว่ะ จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างมั่วซั่วนั้นด้วย ฉันเป็นอะไรของฉันหนักหนา เขาเปิดช่องให้ได้หนีแล้วทำไมมึงไม่หนี ไปบอกเขาทำไมว่าว่าง
บ้าเอ๊ย!
“สวยจ๊าบ”
คนหน้าสวยทวนคำพูดของฉันก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วกลับไปดูเมนูต่ออีกครั้ง บอกได้เลยว่ารอยยิ้มของเธอนั้นไม่ธรรมดา ไม่รู้ทำไมแต่มันทำให้ฉันรู้สึกเขินแปลกๆ ทำตัวไม่ถูก ฉันจึงขอตัวไปห้องน้ำเพื่อสงบจิตสงบใจและไปตั้งสติ เตือนเน้นย้ำให้ไอ้ร่างกายนี้ได้เข้าใจสักทีว่านั้นน่ะ มิจฉาชีพนะเว้ย หนีได้แล้วมั่ง
ให้ตายเถอะ
ไปดึงสติตั้งนานไม่ได้อะไรเลย ถึงสมองจะบอกว่ามิจฉาชีพแต่ร่างกายมันไม่ยอมฟัง ฉันบอกตัวเองว่า หนีดิ เป็นล้านครั้ง สุดท้ายก็ยังกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม นี่สินะ ไอ้อาการที่คนโบราณเขาบอกไว้ว่า รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองน่ะ
“ฉันสั่งให้แล้วนะคะ” คนหน้าสวยกล่าวขึ้นหลังจากที่เห็นฉันกลับมานั่งที่โต๊ะ ฉันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการแสดงให้คนที่สนทนาด้วยรับรู้ว่าฉันรับทราบแล้ว แทนการพูด
ด้วยความเป็นร้านเนื้อย่างที่โดยปกติแล้วคนส่วนมากที่เลือกมาทานร้านแบบนี้ นอกจากจะอยากทานของปิ้งย่างแล้วก็คงหนีไม่พ้นมีเรื่องอยากจะเม้าท์กันไปยาวๆ ในระหว่างที่รออาหารสุก แล้วก็อย่างที่รู้กัน ระหว่างฉันกับคนหน้าสวยเราเป็นแค่คนแปลกหน้า จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูก
ในตอนนี้เตาไฟก็ถูกเปิดเป็นที่เรียบร้อย อาหารที่สั่งไปทั้งหมดก็ถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว เบียร์เองก็มาแล้วเหมือนกัน แต่ทั้งฉันกับคนหน้าสวยกลับไม่มีใครกล้าขยับตัวเราต่างนั่งก้มหน้าอยู่กันไปแบบเงียบๆ เหมือนกับต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดก่อน
อึดอัดเกินไปแล้ว
“ยังเรียนอยู่หรือเปล่าคะ” ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเปิดหัวข้อสนทนาก่อน ด้วยคำถามที่จะว่าไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองก็คงไม่ได้ บอกตามตรงฉันยังระแวงอยู่ เลยลองทำเป็นถามเรื่องทั่วไปดู เผื่อว่าจะได้ข้อมูลอะไรไปตอบตำรวจตอนให้ปากคำได้บ้าง
“ค่ะ ยังเรียนอยู่ค่ะ”
“มัธยมหรือว่ามหาลัย”
“ถ้าเรียนมัธยมคงไม่มีใครขายเบียร์ให้หรอกมั่งคะ”
“ขอดูได้ไหมคะ”
“ดูอะไรเหรอคะ”
“บัตรนักศึกษา”
“สักครู่นะคะ” คนหน้าสวยหันไปค้นของในกระเป๋าสะพายของตัวเองสักพัก ก่อนจะหยิบยื่นบัตรนักศึกษาของเธอมาให้ฉัน ให้จริงด้วยเว้ย ผู้หญิงคนนี้คงเป็นมิจฉาชีพมือสมัครเล่นสินะ ไม่มีความระแวดระวังอะไรเลยเว้ย “นี่ค่ะ”
“อ่อ ขอดูหน่อยนะ”
“ตามสบายเลยค่ะ”
ฉันรับบัตรของเธอมาด้วยความประหลาดใจไม่น้อย ใครจะไปคิดว่าเขาจะให้ดูจริงๆ ฉันแค่ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี เลยทำเป็นขอดูไปงั้นแหละ แต่ถ้าให้มาแล้วก็ขอเก็บข้อมูลไว้เผื่อให้ปากคำสักหน่อยแล้วกัน
จากข้อมูลบนบัตรนักศึกษาทำให้ฉันได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงหน้าสวยไม่มากนักแต่ก็พอจะรู้ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด ชื่อมหาลัยที่เรียน แอบผิดคาดเล็กน้อยนะที่ได้รู้ว่าคนหน้าสวยตรงหน้านี้เธอเรียนในสาขาวิจิตรศิลป์ สวยขนาดนี้ฉันนึกว่าจะเลือกเรียนนิเทศไปเป็นดาราอะไรแบบนั้นเสียอีกแต่นะการที่คนเราจะเลือกเรียนอะไรก็ตามมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาพลักษณ์ภายนอกอยู่แล้ว
เดี๋ยวนะ ปีเกิดนี้มัน...ถ้าเอาปี พ.ศ ที่เกิดหักลบกับ พ.ศ ปัจจุบัน อายุที่ออกมาก็จะเท่ากับ 20 ปี ตอนนี้ฉันอายุ 29 ก็เท่ากับว่าเราห่างกันเกือบสิบปีเลยเหรอ
เวรแล้วไง ไอ้แบบนี้มันแย่สุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ ฉันคงไม่ได้เผลอไปพรากผู้เยาว์ชักชวนลูกชาวบ้านไปในทางที่ผิดอยู่หรอกใช่ไหม หรือว่าไอ้ที่เราเป็นกังวลว่าเขาเป็นมิจฉาชีพนั้น มันจะกลายเป็นตัวเราเสียเองที่ต้องติดคุกในวันนี้เพราะไปพรากผู้เยาว์เขา พรากผู้เยาว์นี่มัน...ติดคุกกี่ปีว่ะ
“ชื่อเล่น แฟน ปัจจุบันพักอยู่อพาร์ทเม้นท์แถวมหาลัยที่เรียนอยู่ ชื่ออพาร์ทเม้นท์กู๊ดไนท์ไทม์ ห้องอยู่ชั้น 4 ห้องเลขที่ 424 ค่ะ”
“ยังไม่ได้ถามเลยนะ”
“แต่หน้าคุณมันฟ้องว่าอยากรู้นี่คะ”
เฮ้อ...กลัดกลุ้ม ฉันบอกเลยว่าฉันกลุ้ม พรากผู้เยาว์ต้องติดคุกกี่ปี จ่ายเงินให้พ่อแม่เขาเท่าไหร่เขาถึงจะไม่เอาความฉัน เครียดเว้ย ฉันยื่นบัตรนักศึกษาคืนให้คนหน้าสวยก่อนจะไปหยิบเบียร์มาเปิดเทใส่แก้วแล้วกระดกดื่มมันให้ลืมไปเลยว่าความซวยอะไรจะเข้ามาในชีวิตต่อจากนี้ แต่ทว่าคนหน้าสวยตรงหน้าก็ไม่ปล่อยให้บทสนาของเรามันขาดช่วงแล้วกลับมาอึดอัด คราวนี้เธอกลายเป็นฝ่ายสัมภาษณ์ฉันคืนบ้าง
“คุณชื่ออะไรคะ”
“ห๊ะ? เออ ชื่อแนท”
“คุณทำงานแล้วใช่ไหมคะ”
“อื้ม”
“เป็นงานเกี่ยวกับอะไรคะ”
“หมายถึงลักษณะการทำงานหรือว่าลักษณะการดำเนินงานของบริษัทล่ะ”
ถึงแม้จะดูอึดอัดกันในช่วงแรก คำถามที่เราถามกันก็ดูจะเป็นทางการไปเสียหน่อย แต่หลังจากที่ได้กินของอร่อย พูดคุยกันไปพร้อมกับเติมแอลกฮอล์ให้กับร่างกาย จนฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เริ่มทำงานจนได้ที่ คนหน้าสวยก็เริ่มออกอาการของคนเมา จำพวกเมาแล้วขอระบาย
บอกตามตรง ถึงแม้ฉันจะไม่อยากกลายเป็นที่ระบายของใครอีกเพราะลำพังเรื่องที่สุมอยู่ในหัวของตัวเองก็จะตายอยู่แล้ว แต่ก็เพราะว่าฉันรู้สึกแบบนั้นแหละ ฉันถึงได้เข้าใจดีว่าการที่มันมีเรื่องอยู่เต็มอกแล้วไม่ได้ระบายออกมามันทรมานแค่ไหน ฉันอยู่ในสถานะของพูดรับฟังมาตลอดจนมันกลายเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วจะฟังอีกสักเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอกมั่ง
“ที่จริง ที่แฟนชวนพี่มากินเบียร์ด้วยกันก็เพราะวันนี้มันห่วยแตก แล้วแฟนก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปคุยกับใครดี”
คนหน้าสวยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับผู้พูดนั้นกำลังข่มน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหล ก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ฉันมองการกระทำของเธอแล้วหันไปมองด้านนอกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกหนักก่อนที่จะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มตาม
ว่าแล้วเชียว ในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้คงไม่ใช่วันดีของใครสักคน
“ว่ามาสิ มันห่วยยังไง”
“พี่อยากจะฟังเรื่องของแฟนเหรอคะ”
“เธออยากระบายมันออกมาไม่ใช่เหรอไง ว่ามาสิ พี่จะฟังเรื่องห่วยแตกของเธอเอง”
คนหน้าสวยเมื่อได้ยินคำตอบของฉันก็จ้องกันด้วยแววตาเป็นประกาย เหมือนกับเด็กๆ ที่กำลังได้ของเล่นเลย น่ารักเป็นบ้าใครมันช่างใจร้ายรังแกได้ลงคอว่ะ
“คือว่า ที่บ้านของแฟนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ไม่อยู่ในสถานะพอกินพอใช้ด้วยซ้ำ คนที่บ้านเขาเลยไม่มีแผนจะส่งแฟนเรียนตั้งแต่มอปลายแต่แฟนดื้ออยากเรียนเอง เลยต้องทำงานเพื่อหาเงินส่งตัวเอง”
“อื้ม แบบนี้ก็ลำบากมากเลยสิ ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย”
“ลำบากสุดๆ เลยค่ะ”
“ไม่ได้กู้เรียนเหรอ”
“กู้ไม่ได้ค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ไม่มีใครยอมค้ำประกันให้”
“พ่อกับแม่ก็ไม่ค้ำให้เหรอ”
“ค่ะ พวกท่านเสียไปหมดแล้วค่ะ แฟนเหลือแค่ตากับยาย ตากับยายเองเขาก็ไม่ยอมค้ำให้ เขาให้เหตุผลว่าถ้าค้ำให้แฟนเขาก็กู้เงินไม่ได้ แฟนพยายามหาข้อมูลมาอธิบายแล้วแต่เขาไม่เชื่อ”
ฉันบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ไม่ออกเลย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปแล้วมันอาจจะไปทำร้ายความรู้สึกของคนตรงหน้าเข้าก็ได้ ฉันหยิบจึงหยิบขวดเบียร์ขึ้นมารินใส่แก้วให้คนหน้าสวยกับแก้วตัวเองแล้วยกแก้วขึ้นดื่มให้กับความรู้สึกเหล่านี้แทนการพูด
“ชีวิตของแฟนดูไม่มีอะไรดีเลยเนอะ”
“ไม่หรอก พี่ไม่คิดว่าแบบนั้นนะ แบบนี้เธอก็ทำงานส่งตัวเองมาตลอดตั้งแต่มอปลายเลยสิ”
“ค่ะ แฟนไม่เคยมีวันไหนที่ได้หยุดงานไปเที่ยวแบบเพื่อนเขาเลย ทุกวันแฟนเอาแต่คิดว่าจะต้องหางานทำอีกกี่ที่ เพื่อให้มีเงินเก็บพอจะจ่ายค่าเทอมกับค่าใช้จ่ายส่วนตัว หลังจากขึ้นมหาลัย แม้ว่าการเป็นเด็กมหาลัยมันจะได้เงินจากการทำพาสทามเพิ่มขึ้นก็เถอะ แต่ค่าใช้จ่ายมันก็เยอะขึ้นเป็นทวีคูณ”
“อ้อ เข้าใจ”
“ใช่ม่ะ แล้วแฟนต้องใช้เวลาว่างของแฟนในการทำงานเพื่อหาเงิน แต่ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้าใจแฟนเลย แฟนไม่เข้าใจอ่ะพี่ การทำงานกลุ่มมันจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องไปนั่งล้อมวงทำด้วยกัน แฟนรู้นะว่างานกลุ่มมันต้องใช้การระดมหัวกันทำ แบ่งงานกันทำ แล้วทำไมเขาไม่แบ่งมาให้แฟน แฟนทำหลังจากเลิกงานก็ได้ ทำเสร็จก็ส่งให้เขาได้นี่ อยากได้ความเห็นโทรถามก็ได้ ทำไมต้องผลักไสแฟนแล้วบอกว่าแฟนไม่ค่อยมาช่วยงานไม่อยากทำงานด้วย แฟนไม่ใช่ไม่ช่วยแต่เขาไม่ยอมแบ่งให้แฟนทำ แล้วแฟนจะรู้ไหมว่าต้องทำอะไร”
“ไอ้คนแบบนี้มีเยอะมาก คนที่ไม่ได้สนว่าใครทำงานออกมามีประสิทธิภาพ ไม่สนว่าใครทำงานจริง ทำเนื้องานออกมาดี รับผิดชอบอะไรบ้างหนักหนาขนาดไหน มันสนแค่ว่าเอ่อไอ้นี่เสนอหน้ามาให้เห็นว่ะ เท่ากับมันทำงาน ไอ้นี่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลยเท่ากับไม่ใส่ใจงาน เพราะมีคนจำพวกนี้อยู่นี่แหละ มันเลยไปสร้างคนจำพวกขี้ประจบประแจงขึ้นมาเว้ย พี่เข้าใจเธอ โคตรเข้าใจเลย”
“เรามีวิธีทำให้คนพวกนี้เข้าใจเราไหมคะ”
“มี”
“แฟนต้องทำยังคะ”
“ทำในสิ่งที่พวกมันต้องการ เธอต้องไปเสนอให้พวกแม่งเห็น”
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอคะ”
ฉันเงียบไม่ได้ตอบคำถามของคนหน้าสวยแต่ไปให้ความสนใจกับเนื้อบนเตาย่างแทน ฉันเลือกหยิบเอาเนื้อในเตาที่สุกแล้วใส่บนจานให้กับคนหน้าสวย ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะอยากจะปลอบใจเธอ ก่อนที่คำพูดของฉันต่อจากนี้อาจจะทำอะไรให้เธอต้องเสียใจ
“โดยปกติ ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่อยากให้คนอื่นเป็นในแบบที่ตัวเองชอบ เป็นในแบบที่ตัวเองต้องการ มันก็มีอยู่หรอกไอ้คนที่ยอมปรับตัวเข้าหาคนอื่น ยอมปรับตัวเพื่อเข้าใจคนอื่นแต่คนส่วนมากไม่ปรับตัวเข้าหาคนส่วนน้อยหรอกนะ”
“แฟนคือคนส่วนน้อยสินะ”
“พี่เองก็เหมือน” ฉันพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้กับคนหน้าสวย ที่พูดไปแบบนั้น ฉันไม่ได้พูดไปเพื่อแค่ปลอบใจหรือทำให้คนหน้าสวยรู้สึกดีขึ้น แต่มันคือคำพูดที่หลุดออกมาเองจากก้นบึ้งของจิตใจ
“ถึงเวลาแล้วค่ะ”
“หา เอ้อ ใช่ นี่มันก็เริ่มดึกมากแล้ว เราก็ควรกลับกันได้แล้ว เธอกลับไปได้เลยนะ เดี๋ยวเรื่องค่าใช้จ่ายพี่จัดการgv’ ”
“ดึกอะไรล่ะ แฟนไม่ได้บอกว่าถึงเวลากลับบ้านนะคะ ที่แฟนจะบอกก็คือถึงเวลาที่พี่ต้องเล่าเรื่องแย่ๆ ของพี่ให้แฟนฟังบ้างแล้ว และก็จะให้คนชวนไม่จ่ายเงินได้ยังไงคะ ถึงแม้แฟนจะเป็นแค่นักศึกษาไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่แฟนไม่ใช่คนงอมืองอเท้า แฟนไม่ชอบให้ใครมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ตัวเองก่อค่ะ”
คนพูด พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาฉันประทับใจอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าความประทับใจนี้มันเกิดขึ้นจากตรงไหน จะตรงที่เธอไม่ยอมให้ฉันจ่ายเงินเพียงคนเดียวทั้งที่เธอเองก็ลำบาก หรือตรงที่เธอเป็นคนแรกที่ขอรับฟังเรื่องราวของฉันโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ร้องขอ
“เล่ามาสิคะ แฟนรอฟังอยู่นะ” คนหน้าสวยพูดย้ำ พร้อมกับคีบเนื้อใส่จานให้ฉันบ้าง ฮึ ให้ตายเถอะ เลียนแบบกันอยู่สินะ แสบจริงๆ
“คนที่เอาแต่พูดพล่ามถึงความลำบากของตัวเอง โดยไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นรูปธรรมสักอย่าง สุดท้ายก็เป็นได้แค่พวกที่กดตัวเองให้ดูน่าสงสารแค่นั้น”
“อันนี้พี่ว่าแฟนหรือว่ายังไงคะ อะไรล่ะ แฟนไม่มีสิทธิ์พูดถึงความลำบากในชีวิตของตัวเองเลยเหรอ ในเมื่อทำตัวเข้มเข็มแล้วไม่เห็นจะมีใครเห็นใจแฟนสักคน”
“ไม่ใช่ พี่จะว่าให้แฟนทำไม มันเป็นคำพูดของหัวหน้าแผนกพี่เอง ไอ้...คือมันเป็นคนประเภทที่ชอบมาพูดปรัชญาไร้สาระใส่ลูกน้อง แล้วผลักภาระหน้าที่ความรับผิดชอบให้ลูกน้องแบบเนียนๆ ไม่ทำให้ตัวเองดูแย่แล้วยังทำให้ตัวเองดูเท่เพราะพูดอะไรที่มีหลักการ คำคมบาดใจ”
“หัวหน้าพี่เคยลำบากมาก่อนไหม”
“โอ้ว! อย่าถามว่าเคยลำบากไหม ต้องถามว่าเคยทำงานบ้างหรือเปล่าก่อน”
“เหมือนหัวหน้าที่ร้านสะดวกซื้อที่แฟนทำงานเลย ชอบพูดเล่าว่าตัวเองผ่านความลำบากอะไรมาบ้างต้องเหนื่อยขนาดไหนแต่ไม่เคยทำอะไรเลย ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว อย่างน้อยถ้าตัวเองว่างก็มาช่วยทำงานสักนิดสักหน่อยยังจะดูน่าชื่นชม ได้ใจคนทำงานด้วยกันมากกว่ามาพูดอะไรแบบนั้นอีก พวกคนแย่”
“แฟน!! อย่านะ อย่ามาลดขั้นไอ้พวกนี้เหลือแค่เป็นคนแย่นะ พวกมันคือโคตรมหาเหี้ย ในบรรดาคนเหี้ยหลายล้านชนิดบนโลกใบนี้ อีจำพวกเห็นแก่ตัวนี้แหละที่เลวร้ายที่สุด เป็นเศษสวะของมวลมนุษยชาติ”
“พี่ดูอัดอั้นมากเลย”
“อัดอั้นดิ!! พี่อยากทุ่มคอมใส่หน้าแม่งด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่หัวหน้านะแม่จะจับตอนไอ้จ้อนแม่งให้เข็ด อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าจะพูดอะไรก็ได้ไง จะเถียงก็ไม่ได้อีก ถ้าจะเห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ตัวไปดิ แต่มึงอย่ามาผลักภาระให้คนอื่น พูดแล้วขึ้น พี่เรียกแท็กซี่ไปตบมันถึงบ้านตอนนี้เลยดีไหม”
“ไม่ดี”
“ใช่ นั้นสิ ทำแบบนั้นมันอุกอาจเกินไป ต้องจ้างฆ่า!!”
“พี่คะ ใจเย็น นั่งลงก่อน”
“เราจะยอมให้พวกห่านี่ขยายเผ่าพันธุ์ไปมากกว่านี้ไม่ได้นะแฟน ลองคิดดูถ้าไอ้คนพวกนี้มันเกิดอยากจะเล่นการเมืองในอนาคตมันจะเป็นยังไง คนจำพวกนี้จะทำให้ประเทศชาติเราล้มจมนะ ไม่ดิโลกจะถึงขั้นกับแตกเพราะคนอย่างมันเลยก็ได้ เราต้องตัดไฟแต่ต้นลม ล้อมคอกก่อนวัวหายเว้ย ต้องฆ่าแม่งให้มันสูญพันธุ์ไปเลย”
“พี่คะ”
คนหน้าสวยระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกับขยับลุกจากที่นั่งของตัวเอง ย้ายมาที่นั่งฝั่งฉันเพื่อที่จะดึงฉันที่ลุกขึ้นโวยวายในตอนนี้ให้นั่งลงแต่ฉันก็ไม่ยอมหยุดพยายามจะลุกขึ้น ถึงจะโดนดึงลงหลายต่อหลายครั้งก็ตาม เมื่อโดนห้ามหนักเข้าฉันจึงเปลี่ยนวิธีการ หันไปว่าจ้างคนหน้าสวยให้ไปฆ่าหัวหน้าฉันแทน แลกกับเศษเงินในกระเป๋าเสื้อสิบบาท คนหน้าสวยส่ายหน้าไปด้วยหัวเราะไปด้วย เรียกว่าไม่ว่าฉันจะพูดอะไรไปในตอนนี้เธอก็พร้อมจะปฏิเสธและห้ามมันให้หมดทุกอย่าง
ขอไปเข้าห้องน้ำยังไม่ให้ฉันไปเลย คิดดู
“พี่ให้เพิ่มอีกยี่สิบบาทเลย ลองคิดดูนะ ปกติไม่มีใครเขาจ้างฆ่าคนด้วยเงินจำนวนนี้หรอก”
“ปกติเขาจ้างมากกว่านี้ใช่ไหมคะ”
“อ้าว ชงมางี้ แล้วพี่จะไปต่อไงอ่ะ”
“กินเนื้อไหมคะ สุกแล้ว”
“เปลี่ยนเรื่องก็มา...”
คนหน้าสวยคีบเนื้อยัดเข้าปากฉันเหมือนกับหมั่นไส้ ฉันเคี้ยวเนื้อที่เธอยัดเข้ามาในปากอย่างว่าง่ายก่อนจะแกล้งคืนด้วยการแย่งเนื้อที่เธอคีบมาพักในจานมากินและแน่นอน ฉันถูกคนอายุน้อยกว่าโวยวายแถมยังโดนตีอีก แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกอิ่มเอมใจขนาดนี้ ดูใบหน้าของเธอในตอนนี้สิ มันถูกแต่งเติมด้วยรอยยิ้มที่งดงาม ไม่เหลือเค้าใบหน้าแสนเศร้าที่เธอแสดงออกตอนอยู่ที่ร้านข้าวแล้ว ไหนจะท่าทางการกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยนี้อีก อารมณ์ดีขึ้นมาแล้วสินะ
เฮ้อ...สวยชะมัด จะขยับตัวจะทำอะไรก็สวย ในวันที่ฝันตกหนักแบบนี้ รอยยิ้มของคนแปลกหน้าที่พึ่งรู้จักกัน กลับกลายเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวของวันนี้ไปเสียได้
.
.
.
ฉิบหายของจริงเริ่มบังเกิด หลังจากเรานั่งกินและพูดคุยกันต่อไปได้อีกสักพัก เด็กที่พึ่งบรรลุนิติภาวะก็แสดงอาการคออ่อนออกมาให้เห็น คนหน้าสวยเมาเละ ชนิดที่ว่าสลบไป ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น
ประเด็นหลักคือ ถ้าเด็กคนนี้เป็นเพื่อนฉัน ฉันคงลากมันกลับไปนอนที่หอตัวเองไปแล้วแต่เด็กคนนี้ไม่ใช่เพื่อน แค่ฉันพาลูกชาวบ้านเขามาดื่มแอลกฮอล์ก็กลุ้มจะตายห่า นี่ถ้าฉันพาลูกเขากลับไปนอนหอมีหวังโดนหมายศาลข้อหาพรากผู้เยาว์แน่ แต่ภายใต้ความกำลังจะซวยก็ยังมีความโชคดีอยู่ เมื่อฉันเป็นคนความจำดีพอที่จะจำได้ว่าเด็กคนนี้ได้บอกชื่อที่พักไว้ ฉันจึงพาเธอนั่งแท็กซี่มาส่งถึงหอพัก
แต่ทว่า...ในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้ ฉันได้ออกกำลังกายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ฉันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่คนวัยทำงานอย่างฉันจะเค้นออกมาได้ ในการประคองคนหน้าสวย ที่สวยกว่า ตัวสูงกว่า หุ่นดีกว่า มีอะไรขั้นกว่าฉันไปทุกด้านยกเว้นอายุ พาเธอขึ้นบันไดไปชั้นสี่ เพื่อมายังห้องที่เจ้าตัวไปเช่าอาศัยอยู่ ไม่ต้องถามนะว่าทำไมฉันไม่ใช้ลิฟต์ ลิฟต์เสียงกำลังซ่อมบำรุง
“ดิจิตอล ดอร์ ล็อก เหอะ เหอะ อีของแบบนี้….รหัสอะไรวะ”
เมื่อมาจนถึงหน้าห้องของคนหน้าสวย ฉันค่อยๆ ประคองให้คนหน้าสวยนั่งพิงผนังข้างประตู เพื่อที่ตัวเองจะได้เปิดประตูได้สะดวกแต่พอเห็นประตูเท่านั้นแหละ น้ำตาฉันแทบไหล อุตส่าห์พามาจนถึงหน้าห้องแล้วนะเว้ย อีเทคโนโลยี อีความปลอดภัยขั้นสูง ทำไมต้องมาเป็นอุปสรรคอันหนักหนาสาหัสที่เข้ามาขวางกั้น ไม่ให้ฉันพาเด็กคนนี้เข้าไปในห้องของเธอด้วย
“แฟนรหัสห้องหนูอะไรอ่ะ ตื่นมาบอกหน่อยเถอะ ถ้าหนูตื่นตอนนี้พี่ให้ห้าบาทเลย ตื่นเถอะนะ อย่างน้อยก็แบบแวปตื่นขึ้นมาบอกรหัสสักหน่อยก็ได้ จะหลับแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ถ้าหนูยังจะหลับแบบนี้ งั้นพี่หลับด้วยแล้วหนูเข้ามาบอกเลขพี่ในฝันนะ” ฉันปลง ปลงชนิดที่นั่งคุยกับคนที่สลบไปแล้วได้เป็นตุเป็นตะ สงสัยฉันคงเอาตัวรอดมาไกลได้แค่นี้พรุ่งนี้ก็แล้วเตรียมใจรับหมายจับคดีพรากผู้เยาว์เอาไว้เลย การติดคุกครั้งนี้จะไปโทษใครได้อีก “ทำตัวเองทั้งนั้นเลยไอ้บ้าแนท”
เมื่อปลุกแล้วเขาไม่ตื่นทางเลือกเดียวเพื่อที่จะปกป้องคนหน้าสวยจากอันตรายทั้งปวงที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอ ฉันมีทางเลือกเดียวคือพาเธอไปที่หอของตัวเอง ฉันจึงขยับเข้าไปใกล้เพื่อที่จะประคองคนหน้าสวยให้ลุกขึ้นแต่จู่ๆ คนที่ควรจะหลับไม่รู้ตัวก็ลืมตาขึ้นมาแล้วก็เริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย
“แฟนตื่น อะ เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ”
“เหนื่อยจังเลย” คนหน้าสวยพูดทั้งน้ำตาก่อนจะโผล่เข้ามากอดฉันโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันแอบตกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกกอด แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรปล่อยให้เธอกอดฉันไปแบบนั้น “ทำไมไม่มีใครเข้าใจแฟนเลย บนโลกนี้ไม่มีสักคนเลยเหรอไงที่จะเข้าใจความรู้สึกของแฟนบ้าง”
“...”
“มันเหนื่อยนะ เหนื่อยมากๆ เลยนะ”
เมื่อได้ยินคำว่าเหนื่อยของคนหน้าสวย ฉันได้ดันตัวเธอออกเพื่อที่จะจ้องมองใบของเธอในตอนนี้ให้ชัดเจน แววตาโศกเศร้าที่เธอแสดงออก คาบน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า มือเล็กๆ ของเธอที่เจ้าตัวบีบมันไว้ที่กลางอก ทั้งหมดนั้นมันคือความอ่อนแอ่ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้แล้วฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้ไปขุดมันออกมา ทำไมจะไม่มีใครเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจมันอย่างดีเลย ทั้งความเหนื่อยและความต้องการใครสักคนหนึ่งที่จะเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะ” ฉันพูดพร้อมกับส่งมือของตัวเองไปลูบหัวคนหน้าสวยอย่างเบามือที่สุด “มันลำบากมากเลยใช่ไหม เจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะเลยใช่ไหม มีแต่พวกบ้างี่เง่าเต็มโลกนี้ไปหมดเลยใช่ไหม พี่เข้าใจ เธอพยายามได้ดีมาก เธอเก่งที่สุดแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
หลังจากที่ฉันพูดแบบนั้นออกไป คนหน้าสวยจ้องมองใบหน้าของฉันแล้วโผล่เข้ากอดอีกครั้ง เหมือนกับเด็กๆ เลย น่ารัก แต่หลังจากนั้นนี่สิ เธอดันสลบไปอีกครั้ง แล้วฉันจะทำไงต่อรหัสเข้าห้องยังไม่ได้เลยนะ
อะไรกันเนี้ยะ!!
“เฮ้ย อย่าพึ่งหลับสิแฟน ตื่นมาบอกรหัสเปิดห้องก่อน” คนหน้าสวยนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ในอ้อมกอดของฉันเหมือนกับเด็กๆ ทิ้งให้ฉันลำบากใจคิดไม่ตกอยู่คนเดียว สรุปคือฉันต้องพาเธอกลับห้องตัวเองใช่ไหม โดนแน่กูข้อหาพรากผู้เยาว์
ในขณะที่ฉันกำลังยุ่งอยู่กับการตัดสินใจว่าจะพาคนหน้าสวยลุกขึ้นยังไงดี เธอเล่นมากอดฉันไม่ยอมปล่อยแบบนี้ ประตูห้องพักข้างห้องของคนหน้าสวยก็ถูกเปิดออกมา พร้อมกับการปรากฏตัวของมนุษย์อันตรายคนหนึ่งที่แสนอันตรายและเต็มไปด้วยความน่ารำคาญ มนุษย์ป้า
“ทำอะไรน่ะ เป็นขโมยเหรอ”
“ปะ เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นขโมย”
“ไม่ได้เป็นขโมยแล้วมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ แถวนี้ อ้าว นั้นมันอีเด็กข้างห้องนิ”
“คือฉันจะพาเด็กคนนี้ไปในห้องของเธอแต่ฉันไม่รู้รหัสห้องของเธอก็เลย...”
ฉันรีบแก้ตัวเมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากใครบางคน ก่อนจะหันไปมองยังคนที่กำลังพูดอยู่แล้วก้มหัวให้แสดงถึงความนอบน้อมตามสัญชาตญาณของมนุษย์วัยทำงาน ที่ต้องก้มหัวให้กับทุกคน คนที่โวยวายฉันอยู่นั้น ดูจะเป็นผู้หญิงสูงวัยท่าทางไม่ได้ดูใจดีและดูจะไม่ได้เป็นคนที่ห่วงใยใครจากใจจริง ป้ามองฉันชนิดหัวจรดเท้า สลับกับมองคนหน้าสวยที่นอนสลบไม่รู้เรื่องอยู่ในอ้อมกอดของฉันแล้วทำท่าครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะพ่นคำพูดที่สามารถทำให้ฉันโกรธได้มากกว่าคำพูดของเจ้านายออกมา
“เธอเป็นแม่ของเด็กนี่สินะ”
“ม แม่?”
“ไปรับลูกมาจากไหน กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งขนาดนี้”
“เรื่องนั้น”
“ลูกสาวหนีไปใจแตกมาสินะ”
“ห๊ะ”
“เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยนะ”
“ห๊ะ”
“เลี้ยงลูกยังไงให้มันใจแตกได้ขนาดนี้”
อีป้า...พูดจาสุนัขไม่รับประทานขนาดนี้ถือว่าวอนเสียแล้ว ได้ป้า ถ้าอยากจะมีเรื่องก็ย่อมได้ เดี๋ยวคุณแนทจัดให้ป้าได้ลิ้มรสความปากดีอย่างสาสมเอง พวกมนุษย์เหี้ย!!
ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นหลายอย่างขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี
และเกิดเรื่องที่ดีขึ้นกับทุกคนนะคะ
หวังว่าจะนิยายตอนนี้จะทำให้ทุกคนมีความสุข
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
ยังไงก็ขอคนละคอมเม้นต์เพื่อเติมความชื่นใจให้เราบ้างก็ดีนะ
ขอบคุณค่ะ