2 ตอน คาบเรียนที่ ๑
โดย ภาพิมล
“ตายแล้ว! ไปตกถังน้ำมันที่ไหนมา”
เสียงตระหนกตกใจของแม่และเสียงหัวเราะกังวานของพ่อคุ้นหูพันดาราตั้งแต่จำความได้ อ้อ...แต่บางครั้งเสียงหัวเราะของพ่อก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตวาดกึกก้อง ขึ้นกับสถานการณ์ แต่โดยรวมแล้วเธอเติบโตมาในครอบครัวเอะอะมะเทิ่ง แถมยังมีนักมวยหนุ่มฉกรรจ์เต็มไปหมด นั่นทำให้พันดาราไม่ตื่นคน ไม่กลัวที่จะทำอะไรแผลงๆ อย่างที่เห็นผู้ใหญ่ทำทั้งนั้น
ใครๆ ก็บอกว่าเธอมีช่วงเวลาของการเป็นเด็กไร้เดียงสาอยู่แค่สองสามปีเท่านั้น เพราะตั้งแต่ย่างเข้าขวบปีที่สามเป็นต้นมา เธอก็ซนเป็นลิง...ซ่ายิ่งกว่าโซดาสิงห์
“ใครเริ่ม! บอกแม่มานะ ใครเป็นคนทำ”
สิ้นสุดประโยคคำถามคาดคั้นพร้อมกับที่แม่เท้าเอวกดดัน นิ้วชี้ป้อมสั้นของเด็กหญิงก็ชี้ยังเด็กชายที่เนื้อตัวเหนียวเหนอะด้วยน้ำมันมวยทันที
“วัน-ทัม”
ลืมแนะนำ...เจ้าของรอยยิ้มไม่รู้อีโหน่อีเหน่ข้างเธอคือเด็กชายพงศ์ตะวัน แฝดคนละฝาที่เห็นหน้ามาตั้งแต่จำความได้
“ไป เอามันไปอาบน้ำทั้งคู่นั่นแหละ”
นายทองดำตัดสิน แม้ขวดน้ำมันมวยจะเป็นหลักฐานคามือต้นเหตุตัวจริงอย่างลูกสาวเขาก็ตาม
หลังจากผละไปหยิบผ้าขนหนูไม่ทันไร นางกนกพรก็มีเรื่องท้าทายความอดทนอีกหน
“ตายแล้ว! ใครให้ลงไปอาบในตุ่มอย่างน้าน”
เด็กชายหญิงวัยห้าขวบสองคนลงไปแช่น้ำในโอ่งดินเดียวกัน คราบน้ำมันลอยบนผิวน้ำบ่งบอกว่าน้ำในโอ่งใบนี้ใช้การไม่ได้อีกต่อไป
“อย่างนี้จะให้แม่ตีใครก่อนดีฮะ”
“วัน!”
เด็กชายพงศ์ตะวันหันมองหน้าเด็กหญิงสลับกับมือของแม่ที่ง้างรอ แล้วเบ้ปากร้องไห้จ้าเมื่อรู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร
ที่อยู่อาศัยของพวกเขาเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นบนที่ดินกว่าหนึ่งร้อยตารางวา แค่มองผ่านรั้วเข้ามาก็จะเห็นเวทีมวยที่ชั้นล่างของบ้าน ม้าออกกำลัง และกระสอบทราย ถัดเข้าไปเป็นห้องพักของนักมวยในค่าย จนถึงครัวหลังบ้าน ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักเจ้าของบ้านและครอบครัว
แม้ที่ดินรอบข้างจะยังคงเป็นเวิ้งที่เปล่า แต่ที่นี่ไม่เคยเงียบเหงา ไม่ว่าด้วยเสียงนักมวยลงนวมฝึกซ้อม เสียงเพลงลูกทุ่ง หรือเสียงเด็กๆ เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวทะเลาะกัน
“พ่อ เจ้าไปซื้อเลือดไก่ที่ตลาดให้หน่อย แม่ลืม”
ต่อให้นายทองดำเป็นหัวหน้าครอบครัว อดีตนักมวยไทยเวทีราชดำเนิน และเป็นพ่อครูของศิษย์รุ่นหลัง แต่ใครๆ ก็ยำเกรงแม่หรือแม่ครู ในฐานะผู้รับผิดชอบปากท้องของทุกคนที่นี่
“ตะวัน ไปกับพ่อไหม”
ทันทีที่ได้ยินคำถามกึ่งชักชวน เด็กชายตัวจ้อยก็ทิ้งกิ่งไม้แล้ววิ่งมาปีนขึ้นด้านหน้ารถจักรยานยนต์
“หนูไปด้วย!”
เสียงตะโกนนั้นมาจากเด็กหญิงที่วิ่งจี๋ตรงมา ไม่เพียงเท่านั้นยังพยายามเบียดแทรกเด็กชายอีกคนออกไป
“ออกไปนะ เลาจะนั่งหน้า”
“แต่เลานั่งก่อน”
“ไม่เกี่ยว เลาจะนั่ง ออกไป๊!”
พันดาราง้างมือ คนพ่อยังไม่อยากเป็นกรรมการศึกวันทรงชัยตอนนี้จึงยุติปัญหาด้วยการบอกให้เด็กชายไปซ้อนท้ายแทน
“ไปซ้อนท้ายไปตะวัน ถ้าทะเลาะกันก็ไม่ต้องไปทั้งคู่”
“แต่พ่อชวนตะวันก่อน” พงศ์ตะวันเอ่ยจ๋อยๆ หากก็ยอมย้ายไปนั่งบนเบาะด้านหลังแต่โดยดี
เด็กชายเสียดายวิวด้านหน้า น้อยใจที่พ่อมักเข้าข้างพันดาราอยู่เรื่อย แต่คงเสียใจกว่าถ้าไม่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตานั่งรถกินลม แม้ตลอดทางไปตลาด พันดาราจะเป็นฝ่ายพูดคุยเจื้อยแจ้วคนเดียว
“ฝาแฝดเหรอจ๊ะ ตัวเท่าๆ กันเลย”
คำถามจากแม่ค้าเรียกสายตาเด็กสองคนที่ตัวเท่าๆ กันให้สบตากัน ก่อนต่างฝ่ายต่างสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง
“แฝดคนละฝาน่ะสิ” นายทองดำมักตอบใครๆ เช่นนั้นเวลาถูกเข้าใจผิด
“วันถูกเก็บมาจากถังขยะ” เสียงเล็กสอดขึ้น เล่นเอาผู้ใหญ่หน้าเหวอไปตามๆ กัน
“ไม่ใช่” พงศ์ตะวันโต้เถียง
“ใช่”
“ไม่จริง”
“จริง”
เมื่อเห็นท่าจะเกิดศึกกลางตลาดระหว่างเด็กสองคน ทองดำจึงพาตัวกลับ ครั้นมาถึงบ้าน เด็กชายก็วิ่งโร่ร้องไห้ไปฟ้องแม่ทันที
เย็นนั้นพันดาราถูกแม่ตีมือไปหนึ่งทีโทษฐานพูดจาไม่ดี เด็กหญิงลงไปนอนกรีดร้องชักดิ้นชักงอ ไม่ยอมกินข้าว และร้องไห้จนถึงเวลาเข้านอน พงศ์ตะวันได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองดูอีกฝ่ายมีน้ำตาด้วยความรู้สึกผิด
“เฮ้อ ไม่รู้ลูกสาวเจ้าไปเอาคำพูดอย่างนั้นมาจากไหน” กนกพรปรารภกับสามีกลางดึก
“ก็คงจำมาจากละครนั่นแล้” ทองดำตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“คิดถูกหรือคิดผิดนะที่เรารับตะวันมาเป็นลูกอีกคน”
“เอาน่า เดี๋ยวโตมันก็คงเลิกทะเลาะกันไปเอง ถึงไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็สอนให้มันดูแลกันแล้วกัน”
“เอ๊ะ หรือยายพลอยรู้จากลูกศิษย์เจ้า”
“มันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไอ้ลูกคนนี้มันชอบทำตัวเหมือนลูกอิจฉา”
คำตอบกลั้วหัวเราะสะท้อนดังในจิตใต้สำนึกของเด็กหญิง พันดาราที่ยังนอนไม่หลับเงี่ยหูฟังพ่อแม่คุยกัน หัวใจดวงน้อยเดือดปุดเมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกอิจฉา' เธอไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่าอะไร รู้จักแต่ที่เขาเรียกกันว่านางร้ายนางอิจฉาในละคร นั่นทำให้เธอไม่ชอบใจคำนั้นเอาเสียจริงๆ
ปีแรกในระดับชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน พันดารากับพงศ์ตะวันได้เรียนห้องเดียวกัน แม้อยู่บ้านเด็กทั้งสองจะเป็นไม้เบื่อไม้เมา แต่เมื่ออยู่แปลกที่ท่ามกลางเพื่อนใหม่ ทั้งคู่เลือกที่จะตัวติดกัน นั่งเรียนโต๊ะเดียวกัน
แน่นอนว่าคนที่ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดีกว่าคือพันดารา ไม่ช้าไม่นานเธอก็เริ่มมีเพื่อนสนิทกลุ่มเล็กๆ พงศ์ตะวันเป็นหนึ่งในนั้นอัตโนมัติก็ว่าได้ เขามีหน้าที่ร้อยหนังยางสำหรับโดดยางหรือต่อโซ่พลาสติกสำหรับเล่นหมากเก็บให้เธอ ขณะเดียวกันพันดาราก็คอยพิทักษ์ปกป้อง เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเวลาที่เขาถูกเอาเปรียบ
“โดนัท ยืมดินสอสีเราไปแล้วทำไมไม่เหลาคืน” พงศ์ตะวันท้วงเพื่อนร่วมชั้นที่ยืมดินสอสีเขาไประบายจนกุดแทบทุกแท่ง
“แค่นี้เอง นายมีกบ นายก็เหลาเองสิ”
พันดารามองสีหน้าสุดเซ็งของพงศ์ตะวัน ก่อนจะฉวยกล่องดินสอสีไปจากเขา
“เอาไปเหลาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“เราไม่เหลา มันทู่อยู่แล้ว ทำไมเราต้องเหลาคนเดียว”
“ไอ้หมูตอน! ถ้านายไม่เหลาดินสอสีคืนตะวัน นายเจอดีแน่”
เสียงระฆังบอกยกดังขึ้นเมื่อหมดเวลาพักกลางวัน พันดาราได้แต่ฮึดฮัดขัดใจที่โดนัทรอดพ้นความรับผิดชอบไปได้ แต่เธอจะไม่ปล่อยให้หมอนั่นรอดตัว
เด็กหญิงกระซิบแผนการกับพงศ์ตะวัน ทว่ากลับเป็นคนเดือดร้อนที่ร้อนใจกว่าเดิม
“ไม่เอา เดี๋ยวครูจับได้แล้วถูกทำโทษ”
“ไม่มีใครจับได้หรอกน่า ไม่เชื่อก็คอยดู” พันดารายักคิ้วมั่นใจ
ระหว่างคาบเรียนช่วงบ่าย เด็กหญิงขออนุญาตคุณครูออกไปเข้าห้องน้ำ มีแต่พงศ์ตะวันเท่านั้นที่รู้ว่านั่นเป็นแผนการบังหน้า
ใจหนึ่งเขาก็หวาดกลัวความผิด อีกใจก็อยากรู้อยากเห็นประสาเด็ก แล้วความรู้สึกหลังก็เป็นฝ่ายชนะ เด็กชายขอไปเข้าห้องน้ำบ้าง ทันทีที่เปิดประตูออกไป ผู้ที่กำลังด้อมๆ มองๆ แถวชั้นวางรองเท้าหน้าห้องเรียนก็สะดุ้งตกใจ
“ตกใจหมด” เธอกระซิบบ่น ก่อนดวงตากลมโตจะทอประกาย “เจอแล้ว รองเท้าไอ้หมูตอน”
พันดาราทำเสียงรังเกียจขณะหยิบรองเท้าของเพื่อนร่วมชั้น แต่แทนที่จะไปเข้าห้องน้ำดังที่บอกครู เด็กทั้งสองคนรีบลงบันไดมาชั้นล่างสุดของอาคารเรียน
“เดี๋ยว พลอย” พงศ์ตะวันรีบเรียกไว้
“อะไรอีกล่ะ จะถูกจับได้ก็เพราะนายนั่นแหละ”
“แล้วโดนัทจะกลับบ้านยังไง”
“ช่างมันสิ ทีไอ้หมูตอนทำดินสอสีกุดแทบทั้งกล่อง มันยังไม่สำนึก”
ถึงแม้ดินสอสีกล่องนั้นเป็นของพงศ์ตะวัน แต่อะไรที่เป็นของเขาพันดาราก็ถือเป็นสมบัติของตนเองเช่นกัน เด็กหญิงแก้เผ็ดเอาคืนด้วยการหย่อนรองเท้านักเรียนลงถังขยะ
“สมน้ำหน้า” เธอเอ่ยพร้อมกับเหยียดยิ้มร้ายกาจ “ต่อไปไม่ต้องให้มันยืมอีกนะ”
เด็กชายมีสีหน้าเหลอหลา ครั้นพันดาราสะบัดผมเปียเดินจากไป เขาก็ชะโงกหน้ามองรองเท้าในถังขยะ ดวงตาเบิกโต
เด็กนักเรียนเร่งรีบออกจากห้องเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เว้นแต่โดนัทที่เหลียวซ้ายแลขวาหารองเท้าของตน พันดารากับพงศ์ตะวันสบตากันและยิ้มขันยามเดินผ่านเด็กชายร่างใหญ่
มิตรภาพระหว่างพันดารากับพงศ์ตะวันแตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นทั่วไป เด็กคนอื่นไม่วายสงสัยที่พวกเขาไปกลับโรงเรียนพร้อมกัน นามสกุลเหมือนกัน และมีผู้ปกครองร่วมกัน มิหนำซ้ำยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็นจุดสนใจ เนื่องจากพวกเขามีตุ่มแดงขึ้นตามร่างกาย
“ตะวันเป็นเอดส์ พลอยเป็นเอดส์” โดนัทได้ทีล้อเลียน “ตะวันเป็นเอดส์ พลอยเป็นเอดส์”
“เราไม่ได้เป็น!” พันดาราตวาดกลับ หัวใจร้อนรุ่ม
เด็กหญิงกลับมาฟูมฟายฟ้องพ่อแม่ เธอหวาดกลัวโรคร้ายแรงที่เคยได้ยินข่าวสาร ว่ากันว่าผู้ติดเชื้อมักมีตุ่มหนองน่ารังเกียจ บางคนมีอาการรุนแรงและถึงแก่ชีวิต
“พลอยไม่อยากเป็นเอดส์! พลอยไม่อยากตาย! แม่ต้องว่าแล้วก็ตีตะวันนะ ตะวันเอามันมาติดพลอย”
พงศ์ตะวันหน้าสลด เขาเองก็สับสนและหวาดกลัวจนน้ำตาคลอ
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว เราสองคนแค่เป็นอีสุกอีใส เดี๋ยวก็หาย” กนกพรติงแกมปลอบ
“ต่อไปใครมันล้อพวกแกก็อย่าไปหวั่นไหวตาม ตอกหน้ามันกลับไป เข้าใจไหม” ทองดำสอนสั่ง
หลังจากหยุดอยู่บ้านไม่กี่วัน พันดารากับพงศ์ตะวันก็หายและกลับไปเรียนอีกครั้ง เพื่อพบว่าโดนัทติดอีสุกอีใสและต้องลาป่วยเช่นกัน
ถึงอย่างนั้น บ่อยครั้งเด็กชายหญิงก็มักถูกตั้งคำถามถึงความเกี่ยวพันทางสายเลือด พันดาราปฏิเสธฉะฉานด้วยความมั่นใจว่าเธอกับพงศ์ตะวันไม่ใช่ฝาแฝด หรือแม้กระทั่งไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
“ทำไมพลอยต้องบอกเพื่อนแบบนั้น” พงศ์ตะวันถามเปิดอกขณะนั่งรอพ่อมารับบนอัฒจันทร์ไม้
“ก็มันจริงนี่”
“ถ้าเราไม่ใช่ลูกพ่อดำกับแม่ก้อย เราจะอยู่ที่บ้านได้ไง”
“ก็ถูกเก็บมาเลี้ยงน่ะสิ”
“รู้ได้ไง”
“รู้สิ น้าอี๊ดที่ขายหมูปิ้งที่ตลาดเขาท้องตั้งเก้าเดือน ตัวเองเกิดหลังเราแค่ห้าเดือนจะเป็นน้องเราได้ไง มีแต่แม่หมาเท่านั้นแหละที่คลอดเร็วกว่า” พันดาราลอยหน้าลอยตาบอกเป็นตุเป็นตะ
“พลอยอาจถูกเก็บมาเลี้ยงก็ได้” เด็กชายลุกขึ้นเถียงกลับอย่างโกรธเคือง
“เอ๊ะ! ไอ้ตะวัน”
“เอ๊ะ! ไอ้พลอย”
ไม่บ่อยนักที่พงศ์ตะวันจะย้อนเธอ พันดารากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
“ไม่เชื่อก็ถามพ่อกับแม่เองสิ!”
เด็กชายไม่รู้ว่าพันดาราเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน ลึกๆ ในใจเขาอยากเชื่อว่าเธอต่างหากที่ถูกเก็บมาจากถังขยะ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น เขาก็หวังว่าจะไม่มีใครถูกเก็บมาเลี้ยง ทั้งหมดเป็นแค่สิ่งที่พันดาราคิดขึ้นมาเอง
ขากลับจากโรงเรียนเย็นนั้นไม่มีเสียงพันดาราเจื้อยแจ้ว ส่วนพงศ์ตะวันก็เพียงแต่นั่งรถเงียบๆ เช่นเคย เด็กสองคนไม่มองหน้ากัน กระทั่งกลับถึงบ้าน พันดาราจึงได้กระแทกปิดประตูรถกระบะพร้อมกับเลิกคิ้วท้าทายพงศ์ตะวันในที
“มีการบ้านไหม ไม่มีก็ไปวิ่งกับพ่อ”
เด็กชายมองผู้เป็นพ่อ ทุกๆ เช้าเย็นชายวัยสี่สิบเศษจะออกวิ่งกับนักมวยในค่ายตั้งแต่ถนนในซอยบ้านออกไปจนถึงถนนใหญ่ รวมระยะทางไปกลับกว่าสิบห้ากิโลเมตร เด็กอย่างเขาเหนื่อยปอดแทบฉีก แต่พ่อก็กระตุ้นให้เขาเดินลากขากลับมาโดยไม่แม้แต่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
พงศ์ตะวันไม่ตอบ แต่เดินเข้าบ้านตามพันดาราไปอีกคน
“เฮ้อ มันเป็นอะไรกันไปหมดว้า” ทองดำแสร้งบ่นเสียงดัง
สงครามเย็นของเด็กๆ ยังคงคุกรุ่นตลอดเย็นนั้น ต่างฝ่ายต่างหมายเอาชนะแม้กระทั่งตอนที่กนกพรถามถึงเมนูต้มจืดมื้อเย็น
“พลอยเอาไข่น้ำนิ่มๆ”
“ตะวันอยากกินต้มจืดไข่เจียว”
“แม่จ๋า เอานิ่มๆ นะ พลอยไม่ชอบไข่เจียวมันเลี่ยน”
“แต่ตะวันชอบ”
“เอาละๆ” คนกลางต้องตัดสินใจ “ไม่ต้องเถียงกัน กินแกงจืดเต้าหู้หมูสับนี่แหละ ง่ายดี”
“ก็ได้ เต้าหู้ไข่ก็เหมือนไข่นิ่มๆ ที่พลอยชอบ” เด็กหญิงรีบถือสิทธิ์เป็นชัยชนะเล็กๆ ของตนทันที แล้วแลบลิ้นใส่คนที่บังอาจจะเอาชนะเธอ
พงศ์ตะวันเบือนหน้าหนีข่มความน้อยใจ เขาไม่ตักต้มจืดสักคำ กินแต่กุนเชียงกับหมูยอทอด กินไปก็น้ำตาคลอไป
“อ้าว นั่นเป็นอะไร”
คำถามจากผู้เป็นแม่ยิ่งทำให้น้ำตาเด็กชายเอ่อท้นมากขึ้น พันดารามาเห็นคู่หูคู่แค้นยกคอเสื้อซับน้ำตา เธอพลอยชะงักพลางอมช้อนสังเกตการณ์
“เสียใจที่ไม่ได้กินไข่เจียวหรือไง เดี๋ยวแม่เจียวให้ก็ได้”
พงศ์ตะวันส่ายศีรษะ ยิ่งพ่อแม่ดีต่อเขา เขาก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พันดาราพูดย้ำอยู่เสมอ หัวใจเท่ากำปั้นน้อยอึดอัดคับข้องจนต้องโพล่งออกไป
“ตะวันไม่ใช่ลูกพ่อกับแม่เหรอ”
กนกพรตวัดสายตามองลูกสาวตัวแสบทันที ครั้นแว่วเสียงพูดคุยมาจากหน้าบ้าน นางก็นึกรู้ว่าสามีคงกลับมาจากการวิ่งแล้ว
“ไปเรียกพ่อแกมาซพลอย”
“ทำไมเหรอแม่”
“ไปเรียกมาเถอะน่า”
พันดาราลุกขึ้นทำตามอย่างเสียมิได้ แต่ก่อนจะออกไปจากครัวยังมิวายหันกลับมามองคนร้องไห้อีกครา
“พ่อจ๋า! แม่เรียก!”
เสียงตะโกนดังลั่นมาถึงในครัว กนกพรโอบไหล่เด็กชายพลางลูบศีรษะ ทั้งรักทั้งสงสาร แต่ก็ถึงเวลาที่ควรบอกให้แกรู้เสียที
“มีไรกัน” ทองดำรูดซิปแจ็กเก็ตผ้าร่มลง เผยให้เห็นเนื้อตัวชื้นเหงื่อเป็นมัน “อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันให้แม่เขาปวดหัวอีก พ่อจะตีทั้งคู่”
“พลอยเปล่านะ” เด็กหญิงพันดารารีบแย้งเสียงดัง
พงศ์ตะวันเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยคอเสื้ออีกครั้ง เขาไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าพ่อที่เป็นต้นแบบลูกผู้ชาย
“ตะวันมันถามเรื่องพ่อแม่” กนกพรเฉลยแก่สามี
ไม่เพียงแต่มือที่วางบนไหล่เด็กชายจะบีบเบาๆ ยังมีมือหนาวางบนศีรษะ ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ติดกัน
“ตะวันเอ๊ย แกจะเป็นลูกใคร อยู่ที่นี่แกก็เป็นลูกพ่อแม่สิวะ”
“แต่พลอยบอกว่าตะวันไม่ใช่น้อง เพราะตะวันเกิดทีหลังพลอยแค่ห้าเดือน” พงศ์ตะวันเอ่ยเสียงเครือ
“ฟังแม่นะ ตอนนี้ตะวันก็โตพอรู้ความ ถึงตะวันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อกับแม่ แต่พ่อแม่ก็รักตะวันเหมือนลูก” กนกพรตัดสินใจบอกความจริง “พ่อแม่ไม่ได้จะปิดบัง สักวันตะวันก็ต้องรู้ รู้อย่างนี้แล้วตะวันจะได้หมดข้อสงสัยคาใจเสียทีนะ”
เด็กชายยกมือสองข้างปิดหน้าซ่อนน้ำตา ไหล่เล็กๆ สั่นสะท้านตามแรงสะอื้นอย่างยากจะทำใจ แม้ลึกๆ ในใจเขาจะหวาดระแวงว่าพันดาราอาจพูดถูกมาตลอดก็ตาม
“แล้วพ่อแม่ตะวันเป็นใคร” เด็กหญิงที่ยืนฟังเรื่องราวเงียบๆ อยู่นานโพล่งถาม
สองสามีภรรยาสบตากัน ก่อนทองดำจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ก็คงเป็นนักมวยเก่าในค่ายนั่นแล้ ไม่งั้นใครจะกล้าเอาเด็กทารกมาปล่อยไว้หน้าค่ายเรา”
พงศ์ตะวันเช็ดน้ำตาป้อย กลั้นใจถามตะกุกตะกัก “แล้วพลอยล่ะ”
“เราก็เป็นลูกพ่อกับแม่สิ ถามได้”
คำตอบฉะฉานมั่นใจได้รับการยืนยันด้วยการพยักหน้าของผู้ใหญ่ พงศ์ตะวันผุดลุกวิ่งหนีขึ้นห้องนอน เขาซบหน้ากอดหมอนข้างพลางสะอื้นไห้ปิ่มขาดใจ
เด็กชายไม่รู้เวลา ไม่รู้พ่อแม่กับพันดาราจะพูดคุยอะไรต่อหลังจากนั้น ไม่อยากรับรู้สิ่งใด จวบจนฟูกที่นอนข้างกายยวบลงจนรู้สึกได้ พร้อมกับมือที่วางบนไหล่เขา
“เลิกร้องไห้ได้แล้วน่า ไม่ใช่ลูกพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นเป็นไร นายก็ยังอยู่ที่นี่ได้ เราจะปกป้องนายเอง”
พงศ์ตะวันพลิกกายหันมาสบตาเด็กหญิงที่เชิดหน้ายิ้มๆ ไม่อยากเชื่อว่าประโยคคำพูดนั้นจะมาจากพันดารา...คนที่มักแสดงออกอย่างกดขี่เขาตลอดมา
................................................
ชวนพรีค่า~☆ เรื่องนี้ไม่ได้วางร้านนะคะ พิมพ์ตามยอด
สามารถสั่งซื้อได้ที่ m.me/pen1books ถึงวันที่ 8 พ.ค.นี้เท่านั้นค่ะ
ป.ล. ที่คั่นจิบิน่ารักนุบนิบมากกกกก ขอบอกกก
Comments (0)