3 ตอน คาบเรียนที่ ๒
โดย ภาพิมล
นับแต่รู้ความจริงว่าตนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ พงศ์ตะวันก็เศร้าซึม จากเด็กที่ไม่ค่อยมีปากเสียงอยู่แล้วก็เงียบลงกว่าเคย ผู้ใหญ่ทั้งสองพร้อมจะให้เวลาแกปรับตัวปรับใจ ทว่าไม่ใช่กับพันดาราที่หมดสนุกไปโขเพราะขาดเพื่อนเล่นเพื่อนทะเลาะดังเคย
เด็กหญิงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เธอป้องปากกระซิบข้างหูคนที่เอาแต่นั่งจุ้มปุ๊กวาดรูปเล่นทั้งวัน
“ไปเร็ว”
พงศ์ตะวันจำต้องลุกตามแรงฉุดกระชาก เสียงฝีเท้าตึงตังของเด็กๆ เรียกความสนใจจากพ่อที่ดูลูกศิษย์ฝึกซ้อมใกล้ชิดติดขอบเวที
“นั่นจะไปไหน! บอกแม่หรือยัง”
พันดาราไม่สนใจคำถามของพ่อ เธอขี่จักรยานออกไปโดยมีพงศ์ตะวันซึ่งชักสนใจใคร่รู้ ‘ปริศนาขุมทรัพย์' ที่เด็กหญิงว่าไว้ ขี่จักรยานอีกคันตามไปติดๆ
ที่ตั้งของบ้านและค่ายเดชดำรงยิมอยู่ในซอยท่ามกลางที่ดินเปล่าซึ่งยังไม่ถูกพัฒนา ต้นไม้ใบหญ้ายืนต้นสูง หากวันใดฝนตก ที่ดินรกร้างก็แปรสภาพเป็นแอ่งน้ำ ยิ่งทำให้มันกลายเป็นสถานที่ผจญภัยในสายตาเด็กแก่นแก้วอย่างพันดารา
“จอดๆ จอดตรงนี้” เด็กหญิงยกมือบอกเพื่อนพร้อมกระโดดลงจากรถจักรยานหน้าที่ดินผืนใหญ่ที่ล้อมด้วยรั้วลวดหนาม
พงศ์ตะวันมองตามผู้ที่มุดรั้วเข้าไป เขาวางจักรยานเอนลงกับพื้น ก้าวไปยืนเกาะรั้วลวดหนามอย่างไม่มั่นใจ
“เข้าไปในนั้นทำไม”
“ก็เพราะหีบสมบัติอยู่ในนี้น่ะสิ”
“แต่มันอันตราย เกิดถูกจับได้ล่ะ”
“ใช่ไง ไม่งั้นจะเรียกสมบัติลึกลับเหรอ”
คำตอบด้วยสุ้มเสียงกระซิบกระซาบฟังดูเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา เด็กชายนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones ที่พ่อเช่าวิดีโอมาดู แล้วตัดสินใจลอดรั้วตามพันดาราเข้าไป
“รู้หรือเปล่า ที่นี่ยาวไปถึงถนนอีกฝั่งเลยนะ” เด็กหญิงบอกเล่าอวดภูมิ
“ไม่รู้”
“ก็บอกอยู่นี่ไง” พันดาราเอ่ยพลางกลอกตาอ่อนใจ “เราได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกว่าอีกหน่อยเขาจะถมที่ทำหมู่บ้าน ถ้าเราไม่รีบหาสมบัติ มันก็จะถูกฝังในดินตลอดไป”
สิ่งหนึ่งที่พงศ์ตะวันไม่ทันฉุกคิด เด็กหญิงก็ติดภาพยนตร์เรื่องเดียวกับตน
“แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันถูกซ่อนไว้ที่ไหน”
“ไม่รู้ เราถึงต้องช่วยกันหาไง” พันดาราอดจินตนาการไปไกลไม่ได้ “นายว่าที่นี่จะมีผีเฝ้าขุมทรัพย์ไหม”
“ผีต้องเฝ้าสุสานไม่ใช่เหรอ”
“เออเนอะ” เด็กๆ คุยกันเป็นตุเป็นตะ “ถ้ามีตังค์เยอะๆ เราจะซื้อรถคันใหม่ให้พ่อแหละ รถปิ๊กอัปพ่อน่ะแอร์ร๊อนร้อน นายจะเอาตังค์ไปทำอะไร”
เด็กชายครุ่นคิดตาม ก่อนพบคำตอบในใจ
“เอาไปตามหาพ่อกับแม่”
“ตามหาทำไม เขาทิ้งนายนะ”
พงศ์ตะวันไม่ตอบ เขาก้มหน้าก้มตาเดินแซงพันดาราไป
ที่ดินเปล่านับสิบไร่เปรียบเสมือนป่ามหัศจรรย์ในโลกจินตนาการของเด็กๆ พวกเขาเจอทั้งโทรทัศน์ พัดลม และโถสุขภัณฑ์ที่ถูกนำมาทิ้งบนที่ดินรกร้าง แต่สิ่งที่เรียกเสียงกรีดร้องจากเด็กหญิงได้กลับเป็นต้นตะขบที่ลูกดกเต็มต้น
“ตะวัน ดูนั่น!”
พันดาราทิ้งกิ่งไม้แล้ววิ่งไปหยุดยืนใต้ต้นที่สูงถึงสามเมตร แหงนหน้ามองผลสีแดงราวลูกเชอร์รี่ด้วยดวงตาทอประกาย
“เหมือนต้นที่อยู่หลังโรงอาหารเลย”
เด็กหญิงพยายามกระโดดเอื้อมคว้ากิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายเพื่อเด็ดลูกผล ทว่าพงศ์ตะวันเลือกใช้วิธีป่ายปีนลำต้นขึ้นไป
เห็นดังนั้นพันดาราก็อยากปีนขึ้นไปบ้าง เธอสั่งให้เขาช่วยฉุดเธอ ครั้นขึ้นมาบนต้นไม้สำเร็จ เด็กหญิงก็บิผลตะขบเต็มกำมือแล้วแบ่งให้เพื่อนกินด้วยกัน
“แหวะ ฝาด” เด็กชายคายทิ้ง
“กินอันสีแดงเข้มสิ มันแก่กว่า หวานๆ ดี”
พงศ์ตะวันมองผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตากินผลไม้ลูกเล็กพลางฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี เขายิ้มออกอีกครั้ง แล้วลองกินผลของมันอีกหน
“เป็นไง”
“ก็กินได้ แต่เราไม่ชอบ”
“ดี เราจะได้ไม่มีคนแย่ง” พันดาราย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
น้ำหนักของเด็กสองคนส่งผลให้กิ่งไม้โยกคลอนน้อยๆ เหมือนม้าโยก พงศ์ตะวันนึกสนุกเก็บผลตะขบสีแดงเต็มกำมือ แล้วยัดใส่มืออีกฝ่ายบ้าง
“พอแล้ว” เด็กหญิงบอกกลั้วหัวเราะ
เด็กชายเช็ดมือกับขากางเกง ขณะที่พันดาราสนุกกับการกินไปพ่นเม็ดตะขบไป
“แข่งกันว่าใครไกลกว่า” เธอท้าพร้อมกับส่งผลสุกให้เพื่อน
เด็กสองคนนำผลไม้ใส่ปาก เคี้ยวกินจนเหลือแต่เม็ด แล้วสูดหายใจลึกเพื่อพ่นเม็ดออกไปให้ไกลที่สุด ลืมขุมทรัพย์หีบสมบัติที่พวกตนตามหาไปสนิทใจ
การได้ออกมาเล่นนอกบ้านกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันคนเดียวที่มีสร้างความสุขสนุกสนานแก่พันดารายิ่ง เด็กหญิงลืมความบาดหมางที่เคยทะเลาะกันประสาคนโกรธง่ายหายเร็ว ครั้นเสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลและเมฆหนาตั้งเค้า พงศ์ตะวันช่วยเธอปีนต้นไม้กลับลงมา เด็กหญิงก็ลั่นวาจาตอบแทนน้ำใจท่ามกลางสายฝนโปรย
“เราจะช่วยนายตามหาพ่อแม่อีกคน”
พงศ์ตะวันหยุดวิ่ง เขาตะโกนถามเสียงดังกว่าปกติ “จริงเหรอ!”
พันดาราหันกลับไปหาเพื่อน เธอพยักหน้าแข็งขันแทนคำตอบ จากนั้นทั้งสองจึงวิ่งกลับไปที่รถจักรยานด้วยกัน
เด็กสองคนขี่จักรยานฝ่าสายฝนเนื้อตัวเปียกปอน ทว่ารอยยิ้มของคู่หูนักผจญภัยก็พลันเลือนหายจากใบหน้า เมื่อกลับมาพบแม่ยืนกอดอก ส่วนพ่อนั้นถือไม้เสียบลูกโป่งรอ
‘จำไว้! ถ้าพากันไปเล่นที่เปลี่ยวอย่างนั้นจะต้องโดนตีด้วยไม้ลูกโป่งอีก รู้ไหมว่ามันมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไอ้ชาติเคยเจอไอ้เหลือมตัวเท่าขา มันกินพวกแกตายพ่อไม่รู้ด้วยนะ!’
คำขู่ของพ่อประทับแน่นในจิตใต้สำนึกนานเท่ารอยไม้เรียวบนสะโพก ไม่นานพันดาราก็เบื่อที่ได้เล่นอยู่แค่บริเวณบ้าน ยิ่งช่วงปิดภาคเรียนกลางภาคด้วยแล้ว เด็กทโมนสุดเซ็งที่ต้องอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน
“ตะวัน ไปเล่นที่นั่นกัน พ่อออกไปสนามมวยแล้ว”
“ไม่เอา”
พันดาราคิดแล้วเชียวว่าอีกฝ่ายต้องปฏิเสธ เธอเปิดกระเป๋าสะพายให้เด็กชายดู
“นายไม่อยากรู้เหรอว่าพ่อนายเป็นใคร เราแอบเอาอัลบั้มรูปนักมวยในค่ายที่เคยขึ้นชกและออกข่าวหนังสือพิมพ์มาด้วยนะ”
ได้ผล...พงศ์ตะวันตาวาว แต่ครั้นจะหยิบอัลบั้มออกมาดู เจ้าของกระเป๋าก็เบี่ยงหลบอย่างไหวตัวทัน
“อยากดูก็ต้องไปด้วยกัน ถ้าแม่เห็นก็รู้น่ะสิว่าเราขโมยมา”
“แล้วถ้าแม่รู้ว่าเราไปที่นั่นอีกล่ะ”
“ไม่รู้หรอกน่า” เด็กหญิงยักคิ้วหลิ่วตา
ขาดคำนั้นพันดาราก็พิสูจน์ด้วยการตะโกนลั่นบ้าน บอกแม่ที่กวาดถูอยู่ชั้นบน
“แม่จ๋า! หนูไปรอรถลูกชิ้นหน้าซอยนะ”
พงศ์ตะวันตาโต แต่ก็รีบตามเด็กหญิงแล้วขี่จักรยานออกไปด้วยกัน
พันดาราไม่ได้โกหกเสียทีเดียว เธอขี่จักรยานออกไปรอรถลูกชิ้นศรีไทยที่มักผ่านปากซอยเวลาบ่ายเช่นนี้ประจำ เด็กหญิงล้วงกระเป๋าหาเศษเหรียญที่เก็บหอมรอมริบจากเงินรายวันที่พ่อแม่ให้ติดตัวไปโรงเรียน ส่วนคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาซื้อของกินไม่มีเงินติดตัวสักบาท ถึงอย่างนั้นพันดาราก็เสนออย่างมีน้ำใจ
“เราเลี้ยงไม้นึงก็ได้ เลือกเร็วสิ”
เด็กชายยิ้มกว้าง เขารีบหยิบไส้กรอกออกมาจากตู้กระจกก่อนที่เจ้ามือจะเปลี่ยนใจ ครั้นเสบียงกรังพร้อม ทั้งสองคนก็ขี่จักรยานกลับเข้าซอยไปยังสถานที่ผจญภัยต่อทันที
แม้ไม่ได้มาที่นี่อีกเลยนับแต่ถูกพ่อลงโทษเมื่อเดือนก่อน พันดาราก็จำทางไปต้นตะขบนั้นได้ทั้งที่หญ้าขึ้นสูงพรางตา คราวนี้เด็กหญิงไม่ได้ปีนต้นไม้ แต่นั่งขัดสมาธิกับพื้นดินที่โคนต้น ใบไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่เด็กๆ
“เหมือนตอนที่พ่อพาไปปิกนิกที่บางแสนเลยเนอะ ขาดแต่ครกกับส้มตำ” เด็กหญิงผู้รักสนุก เปรยอย่างอารมณ์ดี
“ไหนอัลบั้มล่ะ”
ผู้ที่ถูกทวงตวัดหางตามองค้อน เธอเลิกแกล้งเล่นตัว แล้วหยิบอัลบั้มเล่มใหญ่ออกมาจากกระเป๋าสะพาย
ก้อนเนื้อในอกเด็กชายเต้นตึกตัก เขาเปิดอัลบั้มรวบรวมภาพข่าวที่ตัดจากหนังสือพิมพ์ดูทีละหน้า บางภาพนั้นซีดจาง แทบมองหน้าตานักมวยที่ขึ้นชกไม่ออก ยิ่งเปิดดูก็ยิ่งจนปัญญาคาดเดาว่าใครคือพ่อของตน
พงศ์ตะวันเลื่อนอัลบั้มคืนเพื่อนในที่สุด งอเข่าขึ้นมากอดอย่างผิดหวัง
“เราดูไม่ออก ไม่เห็นรู้จักสักคน”
“นายจะรู้จักได้ไงล่ะ นายไม่เคยเห็นหน้าพ่อนี่”
เด็กชายพยักหน้าหงอยๆ ขณะที่เด็กหัวไวอย่างพันดาราบังเกิดความคิดดีๆ เมื่อไล่สายตาเจอชื่อนักมวย
“คนนี้ชื่อ ‘อาทิตย์สว่าง เดชดำรงยิม' ชื่อคล้ายนายเลย!”
“แล้วไง”
“เอ๊า! ถ้าพ่อรู้ว่านายเป็นลูกใคร พ่อก็อาจตั้งชื่อนายให้คล้ายคนนั้นไง”
พงศ์ตะวันทึ่งกับความคิดของเพื่อน เขารีบขยับไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อช่วยกันสะกดคำอ่านในเนื้อข่าวแต่ละหน้า ศีรษะแทบชนกัน
“คนนี้ก็ด้วย ‘พงศ์ศักดิ์สยาม เดชดำรงยิม' “
“แล้วจะรู้ได้ไงว่าเป็นใคร”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก” พันดาราสารภาพพลางยักไหล่ “แต่ถ้าคิดออกก็บอกเองแหละน่า”
เด็กชายไม่มีทางเลือกนอกจากพึ่งพาความคิดของคนฉลาดเฉลียวเจ้าแผนการ ในสายตาเขา...พันดาราเป็นคนเก่งกล้าน่าชื่นชม เธอออกหน้าปกป้องเขาจากเพื่อนซึ่งเอารัดเอาเปรียบ เพราะเธออีกเช่นกันที่ทำให้เขาพบเบาะแสของผู้ที่อาจเป็นพ่อแท้จริงของตน และจะจดจำสองชื่อนั้นไปชั่วชีวิต
หลังจากลูกชิ้นลูกสุดท้ายหมดลงและเล่นพันด้ายมือต่อมือสลับกันไปมาจนเบื่อ เด็กๆ ก็เก็บของกลับบ้าน พันดารายักคิ้วหลิ่วตากับพงศ์ตะวันเชิงโอ้อวดที่ไม่มีใครจับได้ว่าพวกตนหนีไปไหนมา ทั้งสองโหย่งฝีเท้าขึ้นบันได นำอัลบั้มไปเก็บไว้ในตู้เก็บของของพ่อดังเดิม
พลันเสียงกราดเกรี้ยวก็ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอาคู่หูวัยเยาว์ขนคอลุกชัน
“พ่อกับแม่พูดไม่เชื่อใช่ไหม! โดนตีอีกสักทีจะเป็นไร”
ไม้ลูกโป่งก้านยาวในมือนางกนกพรสั่นระริก แค่เห็น...พงศ์ตะวันกับพันดาราก็แสบแผลเก่าขึ้นมาจนน้ำตาเล็ด
เพื่อตัดปัญหาเด็กๆ ออกไปเล่นซน อดีตครูวิชาชีพอย่างนางกนกพรตัดสินใจหาที่เรียนพิเศษให้พวกแก เข้าทางพันดาราที่ขอแค่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านก็ดีใจ ส่วนพงศ์ตะวันนั้นอย่างไรก็ได้เหมือนเดิม
เพราะมีสิ่งอื่นหันเหความสนใจ นานวันเด็กหญิงก็ลืมคิดหาวิธีการตามหาพ่อของพงศ์ตะวันไปสนิท เด็กๆ ตื่นเต้นระคนสับสนกับอนาคตของตัวเอง เมื่อแม่บอกว่าจะย้ายชื่อพวกแกไปอยู่ในทะเบียนบ้านของน้า เพื่อมีสิทธิ์จับสลากเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังซึ่งอยู่เขตพื้นที่เดียวกัน
“ปีนี้พวกมันแค่ ป.สาม เอง อีกตั้งหลายปีนี่แม่”
“อ้อยแนะนำว่าให้ย้ายไปเนิ่นๆ เคยมีคนย้ายทะเบียนบ้านก่อนแค่ปีเดียว ชวดสิทธิ์จับสลากด้วย” กนกพรตอบสามี
“แล้วถ้าพลอยจับได้ แต่ตะวันจับไม่ได้ล่ะแม่ ตะวันก็ไม่ได้เรียนต่อเหรอ”
เด็กชายมองค้อนคนที่ตั้งสมมติฐานเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไรมาพันดารามักเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจเสมอว่าเขาต้องด้อยกว่าเธอ ร้ายกว่านั้น...เขาเกลียดที่เธอคิดถูกเสียด้วยสิ
“ไม่ว่าใครแม่ก็ต้องหาที่เรียนมัธยมให้ได้นั่นแหละ”
“ตื่นเต้นไหม อีกหน่อยเป็นเด็กมัธยมก็ต้องตัดผมสั้นเท่าติ่งหูด้วยนา” ทองดำถามลูกสาว
“ดีสิพ่อ พลอยขี้เกียจสระผม”
“เรานี่มันซกมกจริงๆ” ผู้เป็นแม่ค่อนว่าไม่จริงจัง
พ่อแม่ลูกหัวเราะขบขันด้วยกัน เว้นแต่พงศ์ตะวันที่รับฟังและมองดูรอยยิ้มทุกคนอย่างเงียบงำ
สมมติฐานของพันดาราทำให้เด็กชายหมายมาดในใจว่าจะเข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐแห่งเดียวกันให้ได้ ไม่เป็นภาระให้แม่ต้องเดือดร้อนหาสถานศึกษาอื่นให้เขา หรือถ้ากลับกันเป็นพันดาราที่จับสลากไม่ได้ เธอจะได้เข้าใจความรู้สึกของการถูกสั่นคลอนความมั่นใจเสียบ้าง
พงศ์ตะวันรู้ตัวดีว่าเขาเรียนไม่เก่งเท่าพันดารา วิชาที่เขาชื่นชอบที่สุดคือศิลปะ แม้แต่พ่อกับแม่ก็คิดว่าเขาอาจจับสลากและสอบเข้าด้วยตัวเองไม่ได้ พวกท่านจึงฝากความหวังไว้ที่โครงการช้างเผือกที่เปิดรับนักเรียนผู้มีความสามารถทางด้านกีฬา ทุกวันเขาจึงต้องฝึกฝนร่างกายร่วมกับนักมวยในค่าย อีกทั้งทุกวันหยุดสุดสัปดาห์พ่อจะพาเขาไปติดตามการต่อสู้ถึงขอบเวทีมวยไทย
ทว่ากลับเป็นพันดาราที่เดือดร้อนเพราะขาดลิ่วล้อลูกไล่ เธอถึงกับเสนอตัวช่วยติวหนังสือให้ด้วยการสวมบทบาทเล่นคุณครูนักเรียน
“ไม่ใช่ หารใหม่สิ” เด็กหญิงสอนไปก็พานหงุดหงิดลูกศิษย์ไป “แค่นี้ก็ทำไม่ได้ โง่จัง”
พงศ์ตะวันมองเพื่อนตาเขียว เขาลุกเดินหนีจากไปทันที
“อย่าเดินหนีเรานะ ไอ้ตะวัน!”
เสียงโวยวายนำมาก่อนตัว ทองดำหันมองเด็กสองคนที่ลงบันไดตึงตังอย่างอิดหนาระอาใจ
“ทำการบ้านเสร็จแล้วใช่ไหม ไปเตรียมตัววิ่งกับพ่อ”
เด็กทั้งสองชะงักพลางสบตากัน ก่อนที่พันดาราจะแลบลิ้นใส่คนที่บังอาจแข็งข้อกับเธอ แล้ววิ่งกลับขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ข้างบน
นี่ก็เป็นอีกชนวนเหตุที่ทำให้เด็กๆ ทะเลาะกัน นับแต่แม่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเข้าบ้าน พันดาราก็ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ถ้าแม่ไม่ออกปากให้พงศ์ตะวันได้ใช้ด้วยกัน อย่าหวังว่าเด็กชายจะได้แตะมันหรือแม้แต่นั่งหน้าจอ พันดาราเอาแต่ใจและขี้หวงอย่างร้าย บ่อยครั้งที่เธอทำให้เขาโกรธจนไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ไม่นานก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขานึกนิยม ชื่นชม หรือแม้กระทั่งรู้สึกร่วมกัน
วันหนึ่งที่เด็กชายกลับจากสนามมวยกับพ่อ เขาก็ได้รู้ข่าวร้ายจากแม่
“กินกันเลยนะ เย็นนี้พลอยมันไม่กินข้าว”
“อ้าว เป็นไรของมันอีกล่ะ” ทองดำเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เมื่อกลางวันเจ้าของโครงการเขาให้คนมาถมที่ดินแปลงนั้นแล้วน่ะสิ ลูกสาวเจ้าร้องไห้ใหญ่...พอรู้ว่าเขาตัดต้นไม้เหี้ยนหมด”
แม้บัดนี้พงศ์ตะวันจะโตพอแยกแยะจินตนาการกับความเป็นจริงออกจากกัน ไม่มีขุมทรัพย์หรือป่ามหัศจรรย์ เขาก็ยังใจหายอยู่ดีและพลอยกินข้าวไม่ลงเช่นกัน
เด็กชายรวบช้อนอิ่ม พ่อแม่จึงไล่ให้ขึ้นไปอาบน้ำ ครั้นเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่ปูด้วยฟูกสองอันติดกันสำหรับครอบครัวสี่คน เขาถึงเห็นพันดาราหันมาทั้งน้ำตา
“คอยดูนะ เราจะแช่งให้หมู่บ้านนั้นขายไม่ออก” เด็กหญิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยอย่างแค้นเคือง
“แต่แม่บอกว่าแถวนี้จะได้เจริญขึ้น”
“เราไม่ได้อยากเจริญ! มันมาตัดต้นตะขบของเราทำไม! ”
พงศ์ตะวันนั่งลงข้างๆ พลางวางมือบนไหล่คนที่ฟูมฟายอย่างเสียอกเสียใจนักหนา...เช่นที่ครั้งหนึ่งเธอเคยปลอบเขา ก่อนเด็กชายจะพลันตัวแข็งทื่อ เมื่อจู่ๆ พันดาราก็อิงซบไหล่ตน