3 ตอน บทที่ 3
โดย Clavis_M22
บทที่ 3
คีอาร์ลืมตาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาบนเตียงสี่เสาหรูหรา ความหนานุ่มและความเรียบลื่นของภาพปูที่นอนที่ทำจากผ้าไหมที่ไม่คุ้นชินทำให้เด็กหนุ่มตื่นจากห้วงนิทรา ในห้องที่หน้าต่างทุกบานในห้องถูกปิดด้วยม่านหน้าหนักทำให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องเข้ามาได้จนไม่อาจรู้แน่ชัดว่าตอนนี้เวลากลางวันหรือกลางคืน
“ตื่นแล้วเหรอ หลับไปตั้งนานนึกว่าตายแล้วเสียอีก โชคดีจริงๆ ถ้านายตายฉันคงโดนจับขังคุกมืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแล้วก็ตายไปอย่างน่าเบื่อแน่ ๆ ” แอนดิโกที่นั่งเฝ้าคีอาร์อยู่ที่ปลายเตียงพูดด้วยน้ำเสียร่าเริง
อยากพุ่งเข้าไปต่อยหน้ามันคีอาร์คิด แต่หลังจากลืมตาขึ้นเขาก็รู้สึกปวดร้าวไปทุกส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อทุกมัดเต้นประท้วงอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทำให้เพียงแค่ลุกขึ้นมานั่งคีอาร์ยังทำไม่ได้ อีกทั้งที่ข้อเท้าของเขามีโซ่เส้นใหญ่ล่ามไว้ทันสองข้างพันธนาการไว้กับเตียงเป็นการป้องกันไม่ให้เขาคิดหนี
“ปวดตัวล่ะสิ ก็เล่นใหญ่ขนาดนั้นรอดมาครบสามสิบสองแบบนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว” แอนดิโกพูดพร้อมเดินมายังหัวเตียงแล้วรินน้ำจากเหยือกลงแก้วส่งให้คีอาร์
“กินน้ำหน่อยมั้ย”เขาพูด คีอาร์ไม่ตอบอะไรกลับเขาจึงยกน้ำแก้วนั้นขึ้นมาตื่นเสียเอง
“ไม่เอาน่า…มาญาติดีกันเถอะ ฉันไม่ได้ทำร้ายอะไรนายเลยนะ ที่เป็นอยู่นี้เพราะนายทำตัวเองล้วน ๆ เลย”
“...หมายความว่าไง? ” คีอาร์ถาม
“ก็นายเล่นระเบิดพลังเวทออกมา ตู้ม! ก็เคยอ่านเจอว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดอยู่บาง นึกว่าเป็นแค่ตำนานเสียอีก พอได้เห็นของจริงทำเอาขนลุกเลย อยากรู้จังเลยน่าว่ามันเกิดขึ้นได้ไง นายยังไม่เข้าพิธีผูกพันธสัญญาเลยไม่ใช่เหรอ พิธีต่อวงจรเวทก็ยังไม่ได้เข้า ทำมั้ยถึงปล่อยพลังเวทออกมาได้ขนาด นายคงเป็นคนพิเศษจริง ๆ น่าสนใจจัง”
ไม่น่าถามมันเลย
พูดไม่หยุด
เขาเหงาหรือเปล่าน่ะ
หนวกหูชะมัด
แอนดิโกพูดพล่ามไม่หยุดไปสักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น แอนดิโกจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างไม่พอใจ
“เขาตื่นหรือยัง” เสียงคนที่มาเคาะประตูถาม คีอาร์พยายามมองแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาว่าคนพูด จับได้เพียงน้ำเสียงที่พอจะเดาได้ว่าผู้พูดน่าจะเป็นหญิงอายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว
“ตื่นแล้วครับ เมื่อกี้กำลังคุยกับผมอย่างออกรสเลย” แอนดิโกพูด ถือวิสาสะนับเอาบทสนทนาที่เขาเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเป็นการพูดคุยอย่างออกรส
“คุยกับแกเนี้ยนะ” หญิงคนนั้นพูดน้ำเสียงเยาะเย้อย่างไม่ปิดบัง “แล้วนี่จะอยู่ในชุดนักบวชไปถึงเมื่อไหร่ ฉันบอกให้คนเตรียมชุดมาให้เปลี่ยนแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็แค่รู้สึกว่าชุดนี้มันใส่สบายกว่า”
“ชุดของนักบวชโสโครกมันจะไปใส่สบายตรงไหน พูดอะไรออกมาไม่ละอายใจบางหรือไง เอาเถอะ…ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนอย่างแกรีบไปเปลี่ยนชุดแกเองแล้วก็เปลี่ยนชุดให้เขาด้วย พิธีใกล้จะเริ่มแล้ว”
“แต่ตอนนี้เขายังลุกไม่ขึ้นเลยนะ”
“ไม่มีเวลาแล้ว ฉันรอวันนี้มาเกือบยี่สิบปีแม้แค่เสี้ยววินาทีเดียวฉันก็ไม่อยากรออีกแล้ว”
“ครับ ๆ เข้าใจแล้วครับ งั้นออกไปไป้หนุ่ม ๆ เขาจะแต่งตัว”
“ไอ้เด็กนี้ให้มันน้อย ๆ หน่อย รีบ….”
ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะพูดจบแอนดิโกก็ปิดประตูลงกลอนใส่หน้า เธอจึงทุบประตูอย่าหัวเสียเป็นการประท้วงสองทีก่อนจะเงียบไป
“หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนก็ขี้บ่นแบบนี้แหละ ฮอร์โมนเปลี่ยนเลยฉุนเฉียวง่ายอย่าถือสา”
แอนดิโกหันมาพูดกับคีอาร์ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้ก่อนจะเดินมาหาคีอาร์ที่เตียง
“นายคงได้ยินที่พูดเมื่อกี้นี้แล้ว จากนี้นายจะต้องไปเข้าพิธีบางอย่างซึ่งฉันก็จำไม่ได้อ่ะว่าพิธีอะไรเพราะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ นายต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสุดแสนจะ…น่าเบื่อนี้ด้วย”
ชุดที่แอนดิโกพูดเป็นชุดคลุมยาวสีขาวล้วนไร้ลวดลายดูคล้ายชุดคนไข้มากกว่าชุดที่จะใช้สวมตอนทำพิธี แต่คีอาร์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นตอนนี้สมองของเด็กหนุ่มกำลังคิดหาโอกาสที่จะหนีออกไปที่นี้
“ทำตัวว่าง่าย ๆ ถ้านายทำตัวดีคนพวกนั้นไม่ทำอันตรายอะไรนายหรอก หรือฉันต้องร่ายเวทกันไว้นะ ถึงนายจะเป็นผู้มีพลังเวทแต่ฉันว่าฉันยิงเวทเข้า แต่เพื่อความแน่ใจเดี๋ยวจะขอคนสักคนมาใช้ก็ได้”
“สภาพฉันตอนนี้ยังกับจะทำอะไรได้ จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ” คีอาร์พูดถึงในสมองกำลังคิดหาวิธีหนีแต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างกายของเขาไม่อยู่ในสภาพพร้อมสู้รบตบมือกับใคร
คงต้องยอมตามน้ำไปก่อน อีกอย่างตอนนี้เหมือนว่าเขาจะถูกพาตัวมาไว้ที่กบดานของลัทธิ ควรรอดูสถานการณ์ไม่ทำอะไรผลีผลามเพื่อรักษาชีวิตน่าจะดีกว่า
“นายลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อภาพเองได้มั้ย ต้องให้ช่วยหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง ถ้าจะช่วย ช่วยออกไปรอข้างนอกจะดีกว่า”
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้านายแอบหนีไปฉันก็แย่น่ะสิ ถึงคนพวกนั้นจะไม่ทำอะไรนายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอะไรฉันสักหน่อย” แอนดิโกพูดไม่มีแววทุกข์ร้อนในน้ำเสียงราวกับเรื่องเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเห็นได้ตามปกติ
หลังจากจัดแจงเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแอนดิโกก็ไปเอารถเข็นที่มุมห้องก่อนจะผายมือเป็นการเชิญให้คีอาร์นั่ง
ใครมันจะไปนั่งว่ะคีอาร์คิดในใจ แต่เก็บแรงไว้ใช้ตอนจะหนีจะดีกว่า อย่าฝืนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้นคีอาร์จึงล่ะทิ้งความอายพร้อมยันกายลุกขึ้นมานั่งบนรถเข็นแต่โดยดี
“น่าอายชะมัด” คีอาร์พึมพำเสียงเบาแต่ก็ยังไม่รอดพ้นหูของแอนดิโก
“ถ้าว่าง่าย ๆ แต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
แอนดิโกพูดพร้อมกับออกแรงเข็นพาคีอาร์ออกจากห้อง ตลอดทางเดินทอดยาวไร้การตกแต่งแตกต่างกับห้องที่คีอาร์ออกมาอย่างสิ้นเชิง ตลอดทางเดินนอกจากเสียงพูดของแอนดิโกก็ไม่ปรากฏร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นใด มีเพียงแสงไฟจากเชิงเทียนเวทส่องแสงสลัวทำให้บรรยากาศยิ่งดูน่าขนลุก
ในที่สุดคีอาร์ก็ถูกพามาหยุดอยู่ที่ประตูบานใหญ่ทำจากแผ่นหินหนาหนักไร้ลวดลาย แอนดิโกเพียงแค่ใช้ฝ่ามือแตะลงไปเบา ๆ ประตูก็เปิดออก
“มันลงเวทไว้น่ะ มีแค่คนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นถึงเปิดออก” แอนดิโกหันมาอธิบาย
คงเป็นเวทคล้ายกับเวทที่ลงไว้ที่ปลอกคอของเขาคีอาร์คิดพร้อมกับจับไปที่ปลอกคอที่เขาสวมอย่างเคยชิน มันยังอยู่บนคอคีอาร์เหมือนเดิม
“ปลอกคออันนั้นตอนที่นายหลับอยู่ก็พยายามถอดแทบตายเลยแต่ถอดไม่ออก ฉันเห็นว่ามันดูอึดอัดหรอกถึงได้พยายายถอดให้อย่างมองกันด้วยสายแบบนั้นสิ” แอนดิโกพูดแก้ตัวทันทีเมื่อเห็นสายตาตำนิจากคีอาร์
“เอาล่ะมาถึงแล้ว”
ก่อนที่คีอาร์จะทันได้พูดอะไรกลับไปพวกเขาทั้งสองก็มาถึงโถงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่มีเวทีทรงกลมตั้งอยู่ตรงกลาง และมีคนนั่งล้อมรอบประมาณหนึ่งคาดคะเนจากสายตาน่าจะมีเกือบหนึ่งร้อยคน สายตาทุกคู่จ้องมายังคีอาร์จนเขารู้สึกอึดอัด
“ในที่สุดก็มาถึงเสียที” หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเวทีฟังจากเสียงเธอน่าจะเป็นคนที่มาตามแอนดิโกที่ห้อง เธอดูสูงวัยกว่าและดูเหมือนคุณป้าข้างใจดีข้างบ้านมากกว่าคนที่คีอาร์คิด เธอเดินตรงมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดี
“ยิ้มหน้าบานเชียวนะ” แอนดิโกพูดแซว เธอหุบยิ้มแล้วกำลังเงื่อมมือขึ้นทำท่าเหมือนจะดีแอนดิโกแต่เมื่อเห็นว่าคีอาร์มองอยู่เธอก็ชักมือกลับ เมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นแอนดิโกจึงหัวเราะร่วนออกมาอย่างพอใจ
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่งเสียบาง” เสียงของผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างชายชราพูดขึ้น ร่างกายบึกบึนกำยำดังนักรบและบาดแผลยาวที่พาดผ่านตั้งแต่หางคิ้วยาวลงมาถึงข้างแก้ทำให้เถอะดูน่าเกรงขาม ทำให้ผมสีดอกเลาและริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัยเป็นเครื่องแสดงถึงวันเวลากำศึกมากตามความโรยราของร่างกาย
“ยกให้ผมสักวันไม่ได้เหรอ เห็นแก่ความดีความชอบที่ผมทำคราวนี้ไม่ได้หรือไง”
“ความดีความชอบ? ถ้าแกไม่ติดเล่นคงไม่ต้องเสียคนไปมากขนาดนี้”
“พอเถอะเชลล์ซี อย่างน้อยวันนี้แอนดิโกมันก็ทำประโยชน์ครั้งใหญ่ให้เราจริง ๆ ” ชายชราที่นั่งที่เก้าอี้พูดขึ้น แขนและนิ้วมือผอมติดกระดูกกุมไม้เท้าพยายามยันตัวขึ้น แต่ขาของเขาก็อ่อนแรงเกินกว่าจะลุกด้วยกำลังตนเอง เชลล์ซีจึงเข้าไปประคองเขาเดิน แต่ก็ยังไม่เร็วทันใจเพียงแค่เดินได้ไม่กี่ก้าวชายชราก็ปัดมือเธอออกรีบพุ่งเขามาหาคีอาร์ ขาลีบเล็กคู่นี้ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ชายชราจึงล้มกลิ้นไปกับพื้น คนที่ยืนอยู่รอบข้างพยายามจะเข้ามาช่วยแต่เขาก็ปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้นพยายามยืนมือมาจับขาของคีอาร์ แต่ก่อนที่มือของเขาจะเอื้อมถึงเป้าหมาย แอนดิโกก็ดึงรถเข็นที่คีอาร์นั่งอยู่ให้ถอยหลังไป
“ยืนขึ้นก่อนดีกว่าครับแบบนี้มันอันตรายนะ” แอนดิโกพูดเสียงเรียบ แม้จะเป็นเพียงแค่เวลาสั้น ๆแต่นี่เป็นครั้งแรกที่คีอาร์เห็นว่ารอยยิ้มกวนประสาทที่มักเปื้อนอยู่บนใบหน้าของเขาหายไปอย่างไรร่องรอย
ชายชรามองหน้าแอนดิโกอย่างไม่พอใจแต่ชายหนุ่มกลับทำเฉไฉแล้วหักมายิ้มให้คีอาร์ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ วันนี้หน้าที่ของผลเสร็จสิ้นแล้ว เพราะงั้นขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อพูดเสร็จแอนดิโกก็เดินออกไปทันที คีอาร์ทำได้แค่มองตาม ถึงคีอาร์จะคิดว่าแอนดิโกเป็นคนไม่ดีอย่างที่ไม่ต้องมีอะไรให้สงสัยแต่เขายังมองง่ายและแสดงความต้องการอย่างตรงไปตรงมาทำให้รับมือได้ง่ายกว่าที่คิด อย่างน้อยก็มากกว่ากลุ่มคนพวกนี้ที่มองความดวงสายตาเปี่ยมความหวัง ที่คีอาร์ไม่อยากจะคิดว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่
“ในที่สุดก็ได้เจอกันสักที ในสุดก็มีสิ่งยืนยันว่าคำทำนายเป็นเรื่องจริง” ชายชราพูดเมื่อยันตัวยืนขึ้นด้วยการช่วยเหลือของคนอื่น เมื่อเขาพูดจบทุกคนในที่แห่งนี้ก็ตบมือ พร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ บางคนถึงกับร้องไห้ออกมาก
บรรยากาศมันประหลาดจนคีอาร์รู้สึกอึดอัด เขาอยากออกไปจากที่นี้แต่ร่างกายยังรู้สึกนหนักจนไม่แน่ใจว่าเขาสามารถสูงหรือวิ่งหนีคนพวกนี้ไปได้
ต้องลองต่อรองดูอย่างน้อยก็เป็นการซื้อเวลาคีอาร์คิด เขาจึงถามออกไปว่า
“ตอนนี้ผมยังรู้สึกงง ๆ อยู่ ไม่ทราบว่ามีใครจะอธิบายให้ผมฟังได้มั้ยครับว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มพยายามพูดให้สุภาพที่สุดเพราะเขารู้ว่าคนสูงอายุจะชอบเด็กที่ทำตัวอ่อนน้อม การแสดงนี้ของคีอาร์ได้ผลกับหลายคนยกเว้นเชลล์ซีที่ยังมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง
“โธ่เด็กน้อย คนรู้สึกกลัวสินะก็เจ้าแอนดิโกน่ะมันคงใช้วิธีสกปรกมากมายเพื่อพาตัวเธอมา ทั้ง ๆ ที่ก็กำชับมันไปว่าไม่ให้ทำอะไรรุนแรงกับเธอ”
“อุลราเนียเธอพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถึงแอนดิโกจะติดเล่นแต่มันก็ทำงานสำเร็จทุกครั้ง อีกอย่างเธอไม่ได้เสี่ยงตายอยู่หน้างานจะไปรู้อะไร”
“จ้า…แม่คนเก่งใครมันจะไปรู้ดีเท่าเธอล่ะ แต่ยอมรับหน่อยเถอะว่าพวกลูกน้องของเธอมันมีแต่พวกป่าเถื่อนไม่ใช่แค่เจ้าเด็กแอนดิโกนั้น”
“อุลราเนีย!”
“ทั้งสองคนหยุดได้แล้ว อย่างมัวแต่เถียงกันแล้วเริ่มทำพิธีได้แล้ว” ชายชราพูด
“พิธีอะไรครับ”
“พิธีที่จะทำให้เธอได้พ บกับพลังที่แท้จริงของเธอโดยปราศจากพันธะใด ๆ พิธีที่จะนำรุ่งอรุณใหม่มาสู่มวลมนุษยชาติ” ชายชราตะโกนตอบด้วยเสียงกู่ก้อง พร้อมกับเสียงตบมือจากกลุ่มคนที่ที่นั่งอยู่รอบ
“ไม่ต้องห่วงนะและไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”
Comments (0)