บทที่ 2

เสียงระฆังตีบอกเวลาย่ำค่ำนกเวทส่งสารตัวหนึ่งก็มาเกาะบริเวณข้างหน้าต่าง ตรงบริเวณปลอกจดหมายมีตราของโบสถ์สลักอยู่คีอาร์จึงเปิดรับนกตัวนั้นเขามา เมื่อรับถอดจดหมายออกนกตัวน้อยที่สร้างจากเวทมนตร์ก็สลายหายไปทันที

เด็กหนุ่มอ่านข้อความในจดหมายเสร็จเขาเผากระดาษแผ่นน้อยทิ้ง คีอาร์มองเปลวไฟจนมันค่อย ๆ มอดแสงลง แต่เขายังคงจ้องไปยังที่ที่เดินอย่างเงียบงันราวกับว่าไฟที่อยู่ตรงนั้นยังลุกไหม้อยู่ จนอาดินที่อยู่ข้าง ๆ ต้องถามขึ้นว่า


 

“ในจดหมายเขียนว่ายังไงบางครับ? ”


 

“...เขียนว่าให้เก็บของรอ สักพักจะมีรถม้ามารับ” คีอาร์พูดเสียงเครียด


 

“เอ้!” อาดินตกใจเมื่อได้รับคำตอบ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่คาดเดาไว้จะเลวร้ายกว่าที่คิด

“แต่ไหนพี่บอกว่าหลวงพ่อบอกว่าให้อยู่ในบ้านจนกว่าจะถึงตอนเช้าไงครับ”


 

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจดหมายอันนี้เป็นของจริงหรือเปล่า แต่ยังไงปลุกน้อง ๆ ตื่นขึ้นมาเก็บของไว้ก่อนแล้วกัน ถ้ามีรถม้ามาจอดหน้าบ้านค่อยประเมินสถานการณ์อีกที่”


 

“ขะ…เข้าใจแล้วครับ”


 

“เก็บแค่ของสำคัญ เอาแค่ที่พอแบกขึ้นหลังวิ่งได้นะ”


 

“ครับ”


 

หลังจากนั้นทุกคนในบ้านก็ขึ้นไปเก็บของใช้ส่วนตัวด้วยความเร่งรีบ คีอาร์รับรู้ได้ความกดดันในบ้านเพิ่มขึ้น เด็กหนุ่มเองก็เก็บของไปพร้อมใจที่รู้สึกสับสน

หากเขาออกจากบ้านไปคนเดี๋ยวจะดีกว่ามั้ยนะ เพราะเป้าหมายของพวกนั้นคือเขาแค่คนเดียว

นั้นสิอยู่กับเราก็อันตรายเปล่า ๆ

ปลอดภัยอะไร อยู่ที่ไหนก็อันตรายทั้งนั้น

แต่อยู่กลับเราอันตรายที่ซู้ด…

พูดบ้าอะไร

เก็บไปเป็นวิธีสุดท้ายเถอะ

ถ้าจวนตัวจริงค่อยแยกกัน

เมื่อคีอาร์เก็บของส่วนตัวเสร็จเด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องของวีดาร์ผู้เป็นพ่อ มองเข้าไปในห้องนอนแคบ ๆ มันเป็นห้องนอนที่เล็กที่สุดในบ้าน แต่เมื่อไร้ผู้เป็นเจ้าของมันก็ดูกว้างแต่อ้างว้างกว่าที่ปกติ คีอาร์เดินไปรอบ ๆ มองดูของในห้องที่มีเพียงน้อยนิดว่ามีสิ่งไหนที่ต้องเอาติดตัวไปด้วยหรือเปล่า

หลังจากนั้นสักพักเขาก็พบกล่องไม้เล็กที่ซุกอยู่ใต้เตียง เด็กหนุ่มถือวิสาสะเปิดกล่องออกมาดู ของที่บรรจุอยู่ในกล่องไม่มีผ้าเช็ดหน้าปักรูปดอกไม้หนึ่งผืน ม้าไม้แกะสลักหนึ่งตัว ก้อนหินที่ถูกน้ำพัดจนกลมมนหนึ่งก้อน คีอาร์รู้ทันทีว่าของพวกนี้เป็นของที่เขาเคยให้วีดาร์ในโอกาสต่าง ๆ และในกล่องไม้ยังมีกำไลข้อเท้าเด็กทารกที่ทำจากเหล็กหล่อดูไม่มีราคาอะไรแต่วีดาร์กลับเก็บกำไลเอาไว้ในห่อผ้าไหนอย่างดี

 

“ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันนะเจ้าพ่อบ้า” คีอาร์พึมพำกับตัวเองก่อนเก็บกล่องไม้ใส่กระเป๋า แล้วหันไปเปิดดูลิ้นชักที่โต๊ะข้างหัวเตียงข้างในนั้นมีสมุดบันทึกเล่มหนาเล่มหนึ่งวางอยู่ บนหน้าปกตัวอักษรเขียนด้วยลายมือลวก ๆ ว่า วีดาร์ มัคฮาซัน ปี 2 ห้อง 1 คีอาร์เปิดดูผ่าน ๆ เห็นว่ามีโน้ตย่อเต็มไปหมด ภาพเด็กชายวีดาร์ที่เป็นเด็กเรียนตั้งใจจดโน้ตหน้าชั้นช่างคีอาร์จินตนาการไม่ออกเมื่อเทียบกับภาพวีดาร์ในปัจจุบัน เขาพลิกหน้ากระดาษเหลืองกรอบตามกาลเวลาไปมาสักพักก่อนจะเก็บสมุดบันทึกเล่มนี้ลงกระเป๋าไปด้วย

หลังจากเก็บขอเสร็จทุกคนก็มานั่งรวมกันในห้องนั่งเล่น จูเลียร์ ลิเลียร์กำลังจัดแจงนำแก้วชามาวางไว้ ก่อนจะรินชารสอ่อนผสมนมอุ่นลงในแก้วแต่ล่ะใบ

“ใส่น้ำผึ้งมั้ย? ” คีอาร์หันไปถามเจคอป เด็กชายพยักหน้ารับคีอาร์จึงตักน้ำผึ้งใส่ให้หนึ่งช้อนก่อนส่งให้เจคอป


 

“รถม้าจะมารับเราจริงหรือเปล่าคะ” จูเลียร์ถาม


 

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” คีอาร์ตอบกลับไปตามตรง


 

“จูเลียร์ไม่ยากออกจากบ้านเลย ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหนด้วย”


 

“เข้าใจว่ากังวลแต่จะพูดเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะ” ลิเลียร์พูด


 

“พี่คีอาร์! มาดูตรงนี้หน่อย” อาดินพูดพร้อมชี้นิ้วไปแนวขอบฟ้าที่มีแสงสีส้มส่องสว่างขึ้น


 

“ไฟไหม้…” คีอาร์พูด


 

การเกิดอัคคีภัยในเขตดาลิลาไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่การที่เกิดไฟไหม้พร้อมกันหลายจุดแบบนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องปกติ

พวกมันจะเล่นใหญ่ขนาดจุดไฟเผาทั้งเขตเพื่อเขาคนเดียวเลยเหรอคีอาร์คิด แต่หากคนจากลัทธิเป็นพวกที่ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่เขาเล่าลือมาการทำแบบนี้ก็คงจะเกิดขึ้นได้


 

ใจเย็นใจเย็นไว้ เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง

ตู้ม! ตู้มั่นใจ! ตู้ม! เสียงระเบิดดังติดต่อกันแววมาไกลเหตุการณ์เริ่มเลวร้ายมากขึ้น ในตอนนั้นเองที่กระดิ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น รถม้าคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบตามที่จดหมายได้แจ้งไว้ นักบวชสองคนที่ยืนเฝ้าที่ประตูหน้าบ้านก็ไม่มีปฏิกิริยาแปลกประหลาดอะไร แต่เพื่อความปลอดภัยตีอาร์จึงบอกให้น้อง ๆ รออยู่ในบ้านก่อน


 

“คีอาร์มาพอดีเลย ได้รับจดหมายโบสถ์แล้วใช่มั้ย” นักบวชหนุ่มที่ขับรถม้ามาเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าคีอาร์ นักบวชคนนี้เป็นนักบวชที่คีอาร์คุ้นหน้าคุ้นตาดีทำให้เชื่อได้ว่าเป็นคนของทางโบสถ์จริง

 

“ได้รับครับ แต่หลวงพ่อสั่งไว้ว่าไม่ให้ออกจากบ้าน” คีอาร์พูด

 

“อ้าวงั้นเหรอ? แต่หลวงพ่อสั่งให้มารับเรากับน้องไปโบสถ์ตอนนี้เลย สงสัยแผนคงปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์นั่นแหละ”


 

“แล้วหลวงพ่อล่ะครับอยู่ที่โบสถ์มั้ย” คีอาร์พยายามหาเรื่องคุยยื้อเวลาเพราะเมื่อมายืนอยู่ใกล้เขาก็รู้สึกว่าบาทหลวงสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านนิ่งเงียบผิดปกติ


 

“หลวงพ่อเหรอ? เห็นว่าไปติดต่อกับใครสักคนนี่แหละ เถอะตอนนี้ไม่ใช่เวลามายืนคุ้นกันนะรีบขึ้นรถม้ากันเถอะ”


 

ในตอนที่คีอาร์เริ่มชั่งใจอยู่ว่าจะทำตามที่บาทหลวงหนุ่มคนนี้พูดหรืออยู่ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นจนไล่เมฆที่ลอยบดบังแสงจันทร์ออกไป ทำให้แสงจันทร์ที่ทอแสงลงมากระทบเส้นใยสีเงินบาง ๆ ที่ผูกตรึงร่างกายของนักบวชที่สองคนโยงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับทั้งสองคนเป็นหุ่นเชินที่ถูกใครสักคนชักใยอยู่


 

“หืม…แย่ล่ะสังเกตเห็นแล้วเหรอ อุตส่าห์มาช่วงเมฆลงแล้วแท้ ๆ เพราะแบบนี้ไงถึงไม่ชอบทำงานตอนคืนเดือนเพ็ญ”

 

หลังจากพูดจบบาทหลวงหนุ่มก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งร่างของชายโชคร้ายทั้งสองคนก็พุ่งเข้ามาหาคีอาร์ แต่เด็กหนุ่มก็ไหวตัวทันก่อน

คีอาร์กัดนิ้วมือให้เลือดออกก่อนจะปายเลือดลงไปบนพื้นเพื่อเปิดใช่วงจรเวท เกิดม่านเวทมนตร์คลุมรอบบริเวณบ้านทำให้ร่างของคนที่พุ่งเข้ามากระเด็นกลับออกไป


 

“โอ้โหสุดยอดไปเลย สร้างวงจรเวทแบบฝั่งพลังเวทได้แถมยังแรงขนาดนี้เนี้ยสมกับเป็นผู้มีพลังเวทระดับหนึ่ง อยากเจอตัวจริงจังเลยน่า” นักบวชหนุ่มพูด “คราวหน้าถ้าเจอพ่อของเธอฝากบอกด้วยนะว่าแอนดิโกเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาเลย ถ้ามีคราวหน้าอ่ะน่ะ” เมื่อเปิดเผยตัวแอนดิโกก็สลัดคราวนักบวชหนุ่มแสนสุภาพออกจนหมดสิ้น เหลือเพียงชายหนุ่มโรคจิตที่ชอบเล่นสนุกกับร่างกายมนุษย์คนอื่น


 

“อาจไม่มีคราวหน้าเพราะนายอาจตายวันนี้” คีอาร์พูด


 

“ปากดีจัง แต่แบบนี้ล่ะถึงจะดี”แอนดิโกยิ้มสุขสมเมื่อถูกคีอาร์ด่า “รู้มั้ยการฝั่งพลังเวทต่อให้เป็นผู้ผูกพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพที่มีพลังเทวเหลือล้น ถ้าเปิดใช้งานไปเรื่อย ๆ สักวันพลังที่ใส่ไว้ก็จะค่อย ๆ หมดไปเหมือนแบตเตอรี่ นายรู้จักแบตเตอรี่หรือเปล่า? เจ้าก้อนๆ ที่ใช้เก็บพลังงานได้นะ นวัตกรรมใหม่ล่าสุดเลยนะน่าสนุกใช่มั้ยล่ะ”


 

พูดมากชะมัด

อยากต่อยมัน

อดทนไว้

รีบกลับไปหาน้อง ๆ เถอะ


 

“แล้วถ้ายิ่งกระตุ้นให้ปล่อยพลังงานออกมาบ่อย ๆ พลังเวทลดลงเร็วมากขึ้น ทำแบบนี้แบบนี้ไง ฮ่าฮ่าฮ่า” แอนดิโกบังคับร่างทั้งสองให้วิ่งชนกำแพงเวทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่เขาปะทะพวกเขาก็จะผลักออกไปอย่างแรง คีอาร์ไม่อาจหวังว่าคนทั้งสองจะยังมีชีวิตอยู่


 

แม้จะรู้สึกเสียใจแต่คีอาร์จำเป็นต้องหันหลังให้แล้วกลับไปหาน้อง ๆ ที่รออยู่


 

“พี่คีอาร์!” อาดินพูดเมื่อเห็นคีอาร์เปิดประตูเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อน เด็ก ๆ ที่หลบในตู้ก็ค่อยออกมาสมทบ


 

“ตอนนี้คนของโบสถ์ก็เชื่อใจไม่ได้” คีอาร์พูดราวกับพึมพำกับตัวเอง “หลวงพ่อเชื่อใจได้ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่ออยู่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า”


 

“พี่คีอาร์หมายความว่าไงคะ? ” ลิเลียร์ถามเสียงตื่น


 

“แล้วที่อยู่หน้าบ้านเราไม่ใช่คุณแอนดิโกเหรอทำมั้ยเขาทำแบบนี้ล่ะ” จูเลียร์ถาม


 

ทั้งเสียงของน้อง เสียงระเบิดทั้งแววมาตามลม เสียงของร่างที่ชนกับกำแพงเวท และเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของแอนดิโกทำให้คีอาร์เกือบสติแตก

คีอาร์อาจคิดไปเองแต่ตอนกำแพงเวทถูกกระแทกเขารู้สึกได้ว่ากำแพงเวทที่มองไม่เห็นเริ่มร้าวขึ้นเรื่อย ๆ และแอนดิโกเองก็ดูมีพลังเวทเหลือเฟือ การจะรอความช่วยเหลืออยู่ในบ้านดูจะเสี่ยงเกินไป แต่คีอาร์มั่นใจว่านอกจากแอนดิโกตอนมีคนอื่นอีกและไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาสมทบตอนไหน


 

“อาดินพาน้อง ๆ ไปแอบที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ที่โบสถ์ ไปที่ไหนล่ะ งั้นไปที่กองทหารพัลโทก่อน ไม่สิที่นั่นก็ไว้ใจไม่ได้ ”


 

แม้จะพยายามแต่เหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นต่างนานารุมโหมกระหน่ำเข้ามาในหัวจนคีอาร์ไม่สามารถสงบใจได้ ในตอนนั้นเองที่มือน้อยๆ ขอเจคอปกุมไปที่มือหนาหยาบกร้านกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันของคีอาร์ เด็กจึงหนุ่มก็พยายามรวบรวมสติ ในตอนนี้พวกน้อง ๆ มีเขาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว

 

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะว่าน้อง ๆ ไปหลบแล้วเปลี่ยนที่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเช้า เอาแบบนี้ดีมั้ยครับ” อาดินเสนอ

 

“ตกลงตามนั้น” คีอาร์พูด


 

“หมายความว่าไง? แล้วพี่คีอาร์ล่ะ”


 

“เราต้องแยกกันเพราะเป้าหมายของพวกมันคือพี่ จูเลียร์เป็นเด็กเชื่อฟังอาดินนะ”

 

คีอาร์พูดจูเลียร์ได้แต่เบะปากเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธอะไร


 

“ไป!”


 

“แล้วเจอกันนะคะ” ลิเลียร์พูด


 

คีอาร์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


 

“สัญญานะคะ”


 

“อืม”


 

หลังจากตกลงกันเสร็จคีอาร์ก็ใช้เลือดของกระตุ้นวงจรเวทเพื่อเปิดการทำงานของกลไก เผยให้เห็นประตูของช่องทางลับที่เชื่อมไปยังคลองส่งน้ำหลังบ้าน เด็ก ๆ รีบทยอยลงไปในช่องนั้นปิดท้ายด้วยอาดิน


 

“ฝากน้อง ๆ ด้วยนะ” คีอาร์พูดกับอาดิน


 

“จะพยายามครับ”อาดินกล่าวตอบ


 

หลังจากที่น้องออกจากบ้านไปกันหมดแล้วคีอาร์ก็เริ่มคิดว่าจะเอายังไงดีระหว่างปักหลักอยู่ในบ้านกับหนีออกไป แต่แอนดิโกก็ไม่ปล่อยให้คีอาร์คิดอยู่เงียบเขายังกระหน่ำโจมตีมาที่กำแพงเวทเรื่อง จนคีอาร์รู้สึกได้ว่ากำแพงเริ่มปริแตก เด็กหนุ่มมองออกไปหน้าบ้านก็เห็นว่าตอนนี้นอกจากแอนดิโกยังมีชายแปลกหน้าเพิ่มมาอีกสองคน

ในที่สุดกำแพงเวทก็มาถึงขีดจำกัด เสียงกำแพงเวทแตกดังสนั่น ตอนนี้คำตอบที่พุ่งขึ้นมาในหัวของคีอาร์คือหนี หนีเพียงอย่างเดียวเพราะแม้เด็กหนุ่มจะมั่นใจว่าตัวเองจะมีฝีมือเรื่องการต่อสู้บาง และแม้จะเป็นนักเวทป้ายทองระดับหนึ่งที่มีการต้านทานเวทตามธรรมชาติสูงแต่การรับมือนักเวทสามคนก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่าง อีกทั้งดูจากที่แอนดิโกใช้เวทติดกันเป็นเวลานานก็พอจะอนุมานได้ว่าเขาคงเป็นนักเวทระดับป้ายทอง ซึ่งการต้านทานเวทตามธรรมชาติที่คีอาร์มีไม่มีประโยชน์อะไร


 

หนีคือคำตอบเดี๋ยว


 

เพราะสิ่งที่คีอาร์มั่นใจว่าเอารู้จัดเส้นทางในเขตนี้เหนือกว่าแน่ ๆ เพราะตั้งแต่เด็กนอกจากการต่อสู้เบื้องต้นวีดาร์จะบอกให้คีอาร์จดจำเส้นทางลัด ทางเชื่อมไปยังถนนเส้นต่างเพื่อใช้หลีกเลี่ยงผู้คน


 

ต้องหนีไปคนล่ะทางกลับพวกน้อง ๆ


 

เมื่อคิดได้ดังนั้นคีอาร์จึงนำกระเป๋าสัมภาระที่เตรียมไว้ขึ้นบ่าเตรียมจะออกจากบ้าน ในที่สุดแอนดิโกแล้วพวกก็สามารถเข้ามาในบริเวณบ้านได้ พวกมันไม่รอช้ารีบตรงมาที่ตัวบ้านชายคนหนึ่งร่ายเวทเป่าประตูบ้านจนกระเด็น แต่ทันทีที่ทั้งสามก้าวพ่นธรณีประตูบ้านคีอาร์ที่แอบอยู่ก็รีบวิ่งสวนออกไปทันที


 

“ไอ้เด็กนี้!” ชายคนหนึ่งพูดก่อนจะพยายามร่ายเวทโจมตีคีอาร์แต่โดนแอนดิโกหยุดเอาไว้ก่อน


 

“มึงจะทำอะไร! เด็กนี้มีค่าแค่ไหนรู้มั้ย ถ้าไม่ถึงที่สุดห้ามทำให้เขาบาดเจ็บเด็ดขาด” แอนดิโกพูดก่อนหันไปสั่งชายอีกคน “ติดต่อคนอื่นว่าเด็กออกจากบ้านไปแล้ว แผนคนออกมาจากแผนนกต่อครึ่งหนึ่งมาตามหาเด็ก”


 

“รับทราบ”


 

“อ้อ แล้วให้ตามหากลุ่มเด็ก 5 คนด้วย เป็นเด็กชายเผ่ามาฮัส 1 คน เด็กชาย มอปซา 1 คน แล้วก็ เด็กหญิงแฝดเผ่าอราทูร์ จับเป็นพยายามอย่าให้มีริ้วรอย และเมื่อจับได้ให้ติดต่อมาหาฉันทันที”


 

“ครับ”


 

หลังจากคีอาร์วิ่งออกมาจากบ้านได้สักพักเขาก็หยุดพักในที่ซ่อนที่หนึ่งเพื่อออมแรงให้ตัวเองสามารถหนีไปเรื่อย ๆ ได้จนถึงเช้า

“นึกว่าจะโดนโจมตีใส่” คีอาร์พึมพำกับตัวเอง แบบนี้ก็พอจะเบาใจได้อย่างหนึ่งว่าพวกนั้นจงไม่คิดที่จะทำร้ายเขาอย่างน้อยก็คงไม่ทำจนเจ็บปางตาย เมื่อพักพอได้หายใจคีอาร์ตัดสินใจย้ายไปยังที่ซ่อนที่ใหม่ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเลยว่าที่ข้อเท้าของเขามีเส้นด้ายบางใสเส้นหนึ่งพันอยู่และที่ปลายด้านหนึ่งนั้นโยงไปหานักล่าที่กำลังไล่ตามเขามาอย่างใจเย็น



 

หลังจากคีอาร์วิ่งออกมาจากบ้านได้สักพักเขาก็หยุดพักในที่ซ่อนที่หนึ่งเพื่อออมแรงและซ่อนสัมภาระที่เอาออกมาจากบ้านให้เรียบร้อย

“นึกว่าจะโดนโจมตีใส่” คีอาร์พึ่มพำกับตัวเอง แบบนี้ก็พอจะเบาใจได้อย่างหนึ่งว่าพวกนั้นจงไม่คิดที่จะทำร้ายเขาอย่างน้อยก็คงไม่ทำจนเจ็บปางตาย เมื่อพักพอได้หายใจคีอาร์ตัดสินใจย้ายไปยังที่ซ่อนที่ใหม่ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเลยว่าที่ข้อเท้าของเขามีเส้นด้ายบางใสเส้นหนึ่งพันอยู่และที่ปายด้านหนึ่งนั้นโยงไปหานักล่าที่กำลังไล่ตามเขามาอย่างใจเย็น


 

ใกล้รุ่งสางเสียงระเบิดและไฟไม้ตามที่ต่าง ๆ ในเขตก็เริ่มสงบลง หลังจากที่วิ่งไปมาในเขตตลอดทั้งคืนคีอาร์ก็เริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากขึ้น เด็กหนุ่มรู้ดีว่าช่วงนี้คือเวลาที่เขาอ่อนแอมากที่สุด คีอาร์จึงกำหนดเป้าหมายที่จะมุ่งหนา้เป็นจุดต่อไปคือบริเวณโบสถ์ใหญ่ เพราะถึงจะรู้สึกว่านอกจากหลางพ่อซิลวาคนในโบสถ์คนอื่นก็ไม่สามารถไว้ใจได้ แต่ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงนักบวชชราไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง อีกอย่างจากจัตุรัสกลางที่ตั้งของโบสถ์ใหญ่ก็มีเส้นทางลัดไว้ใช้เป็นทางหนีเชื่อมไปที่ต่าง ๆ ในเขตมากมาย อีกทั้งเมื่อถึงตอนพระอาทิตย์ขึ้นคีอาร์ก็คิดว่าเขาน่าจะไปขอความช่วยเหลือที่กองทหารพัลโทในตอนที่พวกเขากำลังสับเปลี่ยนกำลังในตอนเช้า ซึ่งจะเป็นช่วงที่นายทหารมาร่วมตัวกันที่ศูนย์บัญชาการมากที่สุด หากมีคนที่เป็นคนของลัทธิแผงตัวเข้ามาคนพวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบามกลางดงศัตรู 

เมื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงและผลลัพท์ที่จะได้เรียบร้อยคีอาร์เตรียมออกวิ่งอีกครั้ง แต่เมื่อมาถึงถนนเส้นรองคีอาร์ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกคิบางอย่าง เพราะคนในเขตนี้ส่วนมากมีอาชีพเป็นแรงงานรับจากในตลาด หรือโรงงานที่ตั้งอยู่รอบ ๆ ดังนั้นการเริ่มต้นวันใหม่จึงมักจะเริ่มตั้งแต่ก่อนเช้าตรู่ ต่อให้เป็นถนนสายรองที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านพลุกพล่านแต่ก็ควรมองเห็นแสงไฟลอกออกมาจากบ้านเรือนบาง

แต่ทุกอย่างกลับมืดและเงียบสนิดราวกับที่แห่งนี้ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่นานสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มก็ได้รับการยืนยัน เมื่อคีอาร์เห็นชายคนหนึ่งเดินโซซันโซเซมาตามถนนข้อมือของเขามีของเหลวสีแดงไหลออกมาเป็นทางยาว 

“เจอตัวแล้ว” เขาพูดเมื่อพบคีอาร์ก่อนจะล้มลงไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มน่าขนลุก


 

ไม่มีเวลาให้ตกตะลึงคีอาร์ทุกเส้นประสาทสั่งให้หนีออกจากที่นี่ทันทีแต่ก็ช้ายังไป เขตแดนเวทที่สร้างจากรอยเลือของชายคนนั้นทำให้คีอาร์ไม่สามารถออกจากบริเวณนี้ได้ และแน่นอนว่าคนนอกก็ไม่สามารถเข้ามาได้


 

“วิ่งไปทั่วเลยนะ ตอนเสียเพื่อนรวมงานไปตั้งสามคนแหนะถึงจะล้อมนายได้” เสียงแอนดิโลดังขึ้น เมื่อคีอาร์มองไปทางต้นเสียงก็เห็นเขานั้งห้อยขาอยู่บนขอบระเบียงบ้านหลังหนึ่ง


 

“ดูไม่เห็นเสียใจเหมือนที่พูดเลย” 


 

“ได้สละชีวิตเพื่อนภารกิจนับเป็นเกียติสูงสุดเลยนะ การแสดงความเสียงใจแบบออกนอกน่าไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาทเหรอ” 


 

“ได้คุยกันตรง ๆ แบบนี้ขอถามนายอย่างหนึ่งได้มั้ย?” คีอาร์ถามคำถามแต่ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ เขาเกิดอยากรู้เรื่องขอแอนดิโก แต่คีอาร์ถามเพื่อตอนการยื้อเวลาให้ได้นานที่สุดเพื่อเขาจะได้เก็บข้อมมูล หาทางหนีที่ไล่และจำนวนศัตรูที่ต้องรับมือ


 

“แน่นอน ด้วยความยินดีเลย” แอนดิโกพูดก่อนจะกระโดดลงมาจากระเบียงแล้วเปลี่ยนบันไดน่าบ้านหลังหนึ่งเป็นที่นั่งด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกลับไม่มีสิ่งใดในโลกที่ทำให้เขากังวลใจได้


 

“นายเป็นคนของลัทธิมาตั้งแต่ก่อนมาอยู่โบสถ์นี้หรือเปล่า” 


 

“ช่าย…เป็นมานานตั้งแต่เป็นก่อนนักบวชด้วยซ้ำ” 


 

“โห้ ฟังแบบนี้แล้วนับถือนายขึ้นมาเลย” 


 

“ก็ดีใจที่นายนับถือ แต่ว่านับถือเรื่องอะไรเหรอ”


 

“เรื่องที่นายทนกราบไหว้สิ่งที่นายไม่ศรัทธาได้ตั้งหลายปี”


 

“ก็ไม่เห็นจะยากอะไรนิ” แอนดิโกพูดเสียงสบาย ๆ ก่อนจะเริ่มท่องบทสวนภาวนาที่นักบวชจะสวดในพิธีกรรมตอนเช้าทุกวัน  “เห็นมั้ยง่ายจะตาย นายถามฉันมาเยอะแล้วขอฉันถามกลับได้มั้ย” เมื่อพูดจบเขาก็เริ่มถามคำถามทันที่โดนไม่รอคำตอบรับของคีอาร์

  “จริงอยู่ที่คำพูดทุกคำสามารถก่อเกิดเป็นคำร่ายเวทที่รุนแรงได้ แต่มันก็มีสำหรับผู้มีพลังอย่างเรา คนที่มีแต่ศัทธาแต่ไร้พลังต่อให้สวดอ้อนวอนจนขาดใจก็ไม่สามารถใช้พลังเวทได้ 

แล้วนายเคยตั้งคำถามมั้ยว่าทำไมมีเพียงแค่มนุษย์ไม่กี่หยิบมือที่มีพลังเวท แล้วศาสนาที่พ่ำบอกให้เราศัทธาพระเจ้าที่ไม่ได้มนุษย์เท่ากันมันจะไปมีประโยชน์อะไร”


 

“เพราะงั้นนายถึงเลือกศัทธาในลัทธิเหรอ” คีอาร์ถามกลับ


 

“อืม…จริง ๆ ก็ไม่ได้ศัทธราอะไร แค่ฉันไม่ได้เกลียดคำสอนของลัทธิ แล้วก็มีอะไรเรื่องสนุก ๆ ให้ทำเยอะเลย”


 

เหตุผลแค่นี้เนี้ยนะคีอาร์คิด แต่ถ้าคิดให้ถี่ถ้วนแอนดิโกคงจะเป็นคนเหมาะสมในการแฝงตัวในศาสานจักรมากที่พูด เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่เลือดเย็นโดยธรรมชาติ ทุกการกระทำของเขาไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำจึงไม่มีใครสงสัยในตัวเขาแม้แต่น้อย 


 

“อ่ะ หือ…” แอนดิโกทำท่าทางเหมือนกำลังเงี่ยหูฟังบางอย่าง “น่าเสียดายแต่โดนเร่งมาล่ะ “ลิกาเร่” แอนดิโกร่ายเวทออกมา คำร่ายที่สั้นกระชับล่ะบทสวดอ้อนวอนออกไปแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักเวทที่เชียวชาญ จึงเป็นเรื่องยากที่เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนประสบการณ์อย่างที่อาจจะหลบทัน แต่ด้วยความอยากล้อเล่นหรือเพราะความประมาณเวทที่แอนดิโกปล่อยออกมาก็ยังอ่อนแรงเกินกว่าที่จะสามารถทำออันตราคีอาร์ที่ร่างกายต้านท้านเวท


 

“สุดยอดเลยนายมีพลังเวทจริง ๆ ด้วย ตอนแรกฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ แต่พอเห็นแบบนี้รู้เลยว่าทำมั้ยพวกนั้นถึงได้รีบแล้วก็เล่นใหญ่ขนาดนี้” แอนดิโกพูดอย่างร่าเริงราวกับเด็กน้อยที่ได้เจอของเล่นชิ้นใหม่ คีอาร์จึงใช้โอกาสนี้วิ่งออกไปที่ซอยข้าง ๆ เพื่อพยายามหาทางหนี แต่พอวิ่งไปได้สักพักคีอาร์ก็วิ่งชนกำแพงเวทที่มองไม่เห็น


 

“อย่าพยายามเลยกำแพงเวทนี้สร้างด้วยเลือดของมนุษย์ที่ตั้งประนิภาแรงกล้าว่าต้องการกักขังในนายไว้ตรงนี้”


 

“เวทคำสาป” 


 

“ถูกต้องนะครับ เก่งจังเลย”


 

แม้ทางการจะมีการใช้เวทคำสาปในกระบวนการค้าทาสเช่นการตีตราทาสอย่างแพร่หลาย แต่เวทประเทศนี้ก็สร้างผลกระทบให้กับตัวนักเวทผู้ใช้มากกว่าเวทสายอื่น ๆ ทำให้เวทมนต์ในสายนี้ส่วนมากถูกจัดเป็นเวทต้องห้าม หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุคคือตัดลิ้น 

คีอาร์ไม่อยากจะคิดว่าเวทคำสาปบทไหนถึงทำให้ชายคนนั้นที่คีอาร์เห็นถึงอยู่ในสภาพนั้น และถ้าหากเป้นไปตามที่แอนดิโกพูดกว่าจะล้อมเขาได้สำเร็จต้องใช้คนสังเวยไปตั้งสามชีวิต แม้จะได้ยินว่าพวกคนในลัทธิเต็มไปด้วยคนคลั่ง ยอมสละเพื่อสิ่งที่ตัวเองตัวศัทธามาบาง แต่การเห็นคนตายไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทำให้ขนลุกซู่  นอกจากนั้นคีอาร์ยังอับจนหนทางเด็กหนุ่มรู้สึกสิ้นหวัง ทำได้แค่เพียงวิ่งไปมาเหมือนหนูติดจั่น


 

น่าสมเพช!!!


 

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาในหัวคีอาร์


 

ใช่ ตัวเขาช่างน่าสมเพช ได้แต่วิ่งหนีไปมาด้วยความหวาดกลัว


 

ถ้าหนีไม่ได้ก็สู้

ใช่!สู้มัน

ไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว

ต้องลากมันลงนรกไปด้วยให้ได้


 

ความกลัว กังวล แปลเปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธคีอาร์หยุดวิ่ง หันกลับไปเผชิญหน้า 


 

“เลิกเล่นไล่จับแล้วเหรอ” แอนดิโกที่ตามมาทันพูด


 

คีอาร์ไม่ตอบ เด็กหนุ่มรู้สึกเลือดในกายเดือดพล่านจนร่างกายรู้สึกร้อน ภาพตรงหน้าเริ่มพล่ามัว ไม่ได้ยินเสียงพูดของแอนดิโก รู้เพียงแค่ว่าชายตรงหน้าช่างน่ารำคาญ ทุก ๆ อย่างในโลกสุดแสนจะรกหูรกตา อยากให้ทุกอย่างหายไปเสียให้หมด


 

ผลันทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความมึด ทุกสพรรสิ่งเงียบเสียง ไม่มีสิ่งได้เคลื่อนไหว มีเพียงความว่างเปล่า คีอาร์กับรู้สึกผ่อนคลายอยากประหลาด ร่างกายเบาสบาย อยู่ดีความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็มลายหายไปราวกลับเป็นเรื่องโกหก


 

สิ่งที่ตามมากับกลายเป็นแรงระเบิด ประตู หน้าต่าง หลังคาบ้านที่อยู่ในรัศมีถูกเป่าไปตามแรงระเบิด 

เพราะการระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันทำให้แอนดิโกต้องร่ายเวทป้องกันอย่างกระทันหันทำให้ไม่สามารถต้านทานแรงระเบิดได้ เขาลอยไปกระแทกทับผนังอยากแรง ชายหนุ่มถุยของเหลวสีแดงออกจากปาก แอนดิโกรู้สึกว่าตอนนี้ซี่โครงของเขาคงจะหักสักสองสามซี่ แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยไม่ได้แสดงความเจอปวดออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อตั้งหลักได้ใหม่แอนดิโกจึงร่ายเวทป้องกันขึ้นอีกครั้งจนสามารถลุกขึ้นมายืนได้ 


 

“สุดยอดเลย…” แอนดิโกพึมพ่ำ ถึงจะอยากประทับภาพที่อยู่ตรงหน้าให้นานที่สุดแต่ไม่ทำอะไรสักอย่างการปล่อยพลังเวทมหาศาลอย่างสะเปสะปะไร้แบบนี้วงจรเวทที่ยังไม่ถูกประกอบขึ้นอย่างสมบูรณ์ของคีอาร์อาจถูกทำลายลง ถึงแอนดิโกจะไม่ได้เชื่อในสัทธิถึงขั้นมอบกายถวายชีวิตเพื่อทำภาระกิจเหมือนคนอื่น แต่ตอนนี้เขารู้สึกสนใจคีอาร์ว่าจากนี้ต่อไปเด็กหนุ่มจะถูกโชคชะตาลิขิตไปทางไหน คีอาร์อาจเป็นตัวหลักในนิยายที่นำพาชีวิตเขาให้พบกับความตื้นเต้นที่ไม่เคยคาดฝันถึงได้


 

หากปล่อยตายไปก็น่าเสียดาย แอนดิโกคิด


 

“เปิดการสื่อสาร เอเพอร์ตา คอนทาทู” ทันทีที่แอนดิโกร่ายเวทเปิดการสื่อสารเสียงของคู่สนทนาก็ดังขึ้น


 

“แอนดิโกไอ้ห่า มึงทำอะไรลงไป แรกระเบิดนี้มันคืออะไร ถ้าเด็กนั้นไดรับอัตรายกูจะจับมึงขังคุกมืดตลอดชีวิต” เสียงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกร้าด


 

“เออ เอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้ขอคนสามคน” 


 

“ห่ะ ให้ไปตั้งห้าคนอย่างบอกน่ะว่าใช้ไปหมดแล้ว”


 

“หมดแล้ว บวกกับคนของโบสถ์อีกสองเป็นเจ็ด”


 

“ไอ้…ไม่รู้จะหาคำไหนมาด่า” 


 

“เดี๋ยวค่อยด่า ตอนนี้เหตุด่วน ท่านชายของทุกคนกำลังปล่อยพลังเวทออกมาถ้าปล่อยไว้ไม่นานเด็กนี้ไม่ตายก็พิการแน่”


 

“ว่าไงนะ!!! อนุมัติ”


 

“อยากให้ว่าง่าย ๆ แบบนี้ทุกครั้งจังเลย”  


 

หลังจบบทสนทนาแอนดิโกก็ร่ายเวททันที “เจรันต้า อานิม่า เซนติทีนัม วีเต้ ผูกวิญญาณ สูบพลังชีวิต” 


 

แอนดิโกสัมผัสได้ว่าเส้นด้ายโปร่งใส่ที่ปายนิ้วของเขามีแรงตรึงขึ้นนี้เป็นสัญญาณว่าเวทของเขาได้รับการตอบรับจากปลายทาง


 

“เตรียมการเรียบร้อย เอาล่ะได้เวลาสงบสติอารมณ์แล้วครับ เพเนทาเร่ ลิการเร่ อาริกาเร่ “


 

เส้นด้ายโปร่งใสกลายเป็นสีแดงเข้มพุ่งเข้าไปผูกมัดคีอาร์ที่กำลังคลุมคลั่ง 


 

“สงบที่เถอะฉันเสียคนไปให้นายตั้งเยอะแล้วนะ ถ้าใช้มากกว่านี้ฉันโดนบ่นจนหูช้าแน่ ๆ” 


 

ด้ายสีแดงเข้มไม่แค่ผูกมันคีอาร์ให้อยู่กับที่แต่ปลายด้ายทุกเส้นแทงเข้าไปในร่างกายตามจุดต่าง ๆ 


 

“อิเลกทิก้า” แอนดิโกปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไปตามเส้นด้าย ร่ายกายของคีอาร์กระตุกเกรงและหมดสติไป พายุที่เกิดจากพลังเวทของเด็กหนุ่มก็หยุดลง


 

“จับตัวได้สักที แต่เอาเถอะที่ยุ่งอยากแบบนี้ก็เป็นเพราะฉันมั่วแต่เล่นสนุกเกินไปเองแหละ” 


 

แอนดิโกพูดก่อนจะเดินไปหาคีอาร์พยายามจะอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นบ่นบ่า ยักแย่ยักยันอยู่สักพักแอนดิโกก็ล้มเลิกความคิดแล้วใช่พลังเวทแบกคีอาร์แทน


 

“ตัวใหญ่เกิน…” แอนดิโกบ่นก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืด