บทที่ 1

ลมบกยามเช้าลอยเอื่อยหอบเอาไอเย็นที่ยังหลงเหลือจากพื้นดินไปยังทะเลกว้างอย่างเกียจคร้าน ต่างจากผู้คนที่เดินขว้าไขว้อย่างเร่งรีบเพื่อไปปยังจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ยกเว้นทั้งเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่จองมองไปยังเรือลำใหญ่ที่กำลังลำเลียงสินค้าลงมาอย่างไม่สบอารมณ์ ดูเหมือว่าวันนี้เขาจะเจออุปสรรคใหญ่ขว้างกันจนไม่สามารถเดินทางไปยังตลาดปลาที่อยู่ถัดไปจากนี้ได้

ตามปกติหากเป็นวันที่เรือค้าทาสมาจอดเทียบท่าคีอาร์ไม่แม้แต่จะคิดเดินมาเฉียดบริเวณท่าเรือเลยสักนิด แต่หากตามตารางเรือเข้าเทียบท่าที่หลวงพ่อซิลวาอุตส่าห์ไปขอคัดลอกจากกรมท่ามาให้ก็แสดงชัดเจนว่าวันนี้จะไม่มีเรือของพวกพ่อค้าทาสเข้ามมาจอด คีอาร์จึงพอจะอนุมานได้ว่าเรือลำนี้คงจะเป็นเรือที่มีขุนนางใหญ่คนใดคนหนึ่งให้การสนับสนุนจึงสามารถทำอะไรนอกกฏหมายอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้

เด็กหนุ่มจึงจำเป็นจึงตัดใจจากปลาราคาถูกที่อุตส่าเฝ้ารอมาทั้งสัปดาร์และหวังว่าลุงคนขายปลาจะยอมเข้าใจและไม่ตัดสิทธิ์เขาในการจองซื้อปลาในครั้งหน้า

เสียดายปลา

เสียดายชีวิตตัวเองเถอะ

อาจจะไม่ตาย

แต่อาจแย่กว่าจนอยากตายก็ได้

คีอาร์กระชับผ้าคลุมผมให้เขาที่ก่อนจะเอื้อมมือไปจับปลอกคอทาสที่เขาสวนอยู่อย่างเคยชินก่อนจะหันหลังเดินออกไปในทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปในตอนแรก แต่เมื่อเลี้ยวเข้าซอยแคบ ๆ เขาที่มักจะใช้ประจำเพราะมีคนเดินผ่านไปมาน้อย คีอาร์ก็รู้สึกตัวว่ามีคนกำลังเดินตามเขาอยู่

ฟังจากเสียงฝีเท้าน่าจะเป็นชายวัยฉกรรจ์ประมาณสี่ห้าคน แต่ถึงจะมารู้ตัวเอาตอนนี้ก็ช้าเสียจนคีอาร์อยากเขกหัวตัวเอง หากมั่วแต่หงุดหงิดเรื่องเรือค้าทาสลำนั้นจนประสามการรับรู้ทื้อลงเขาคงรู้สึกถึงตัวตนของคนกลุ่มนี้แล้วหาทางเลี่ยงไป ไม่เโดนล้อมหน้าล้อมหลังปิดทางหนีแบบนี้


 

“สวัสดี” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น


 

คีอาร์หยุดเดินไม่ได้ตอบอะไรกลับพร้อมเริ่มประเมินรอบข้าง 

คนกลุ่มนี้ต่อให้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาแต่ก็ไม่สามารถปกปิดกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่าดีได้  อีกทั้งท่าทางการยืนที่เตรียมพร้อมตลอดเวลาและไม่มีใครเลยที่ทำท่าทีลอกแลกหรือกะวนกระวายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นทีว่าพวกนี้คงจะไม่ใช่อันธพาลทั่วไป อาจเป็นพวกพ่อค้าที่เชี่ยวชาญ อาจเป็นทหารรับจ้างที่ชำนาญการต่อสู้เป็นอย่างดี 


 

“เราอยากให้เธอมากลับพวกเราหน่อย” ชายคนเดิมพูด


 

ถามแบบนี้จะหวังให้เขาตอบครับ แล้วเดินตามไปง่าย ๆ งั้นเหรอ คีอาร์คิดพร้อมถอยหลังเตรียมพร้อมไปหนึ่งก้าว ชายกลุ่มนั้นเองก็รีบก้าวมาประชิดตัวคีอาร์มากขึ้น ทุกเสียงในหัวสั่งให้คีอาร์หนีแต่ก็ยังช้าเกินไป

ในตอนที่รู้ตัวแน่ว่าคีอาร์จะไม่ยอมไปกับพวกมันง่าย ๆ ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคีอาร์ก็พุ่งเข้ามากระแทรกจนคีอาร์ล้มคม่ำ ตามสัญชาตญาณการป้องกันตัวคีอาร์จึงรีบยกแขนขึ้นมาป้องกันใบหน้า ทำให้ไม่ทันเห็นชายอีกสี่คนพุ่งเข้ามาจับแขนและขาคีอาร์กดลงไปกับพื้น ส่วนชายอีกคนเดินเข้ามากระชากผ้าคลุมคีอาร์ออก

เรือนผมและนัยน์ตาสีนิลทำให้คนพวกนี้ชะงักไปชั่วครูสายตาทุกคู่จับจ้องมายังเด็กหนุ่มแต่มันไม่ใช่สายตารังเกียจหรือหวาดกลัวอย่างที่คีอาร์เคยได้รับมาตลอดตั้งแต่จำความได้ แต่มันเป็นสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวังลุกโชติดังไฟที่ได้รับน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ก่อนจะมองลงเมื่อมองเห็นปลอดคอทาสที่คีอาร์สวมอยู่


 

“ถอดปลอกคอออกซิ” ชายคนหนึ่งออกคำสั่ง แน่นอนว่ามันถอดไม่ออกเพราะปลอกคอที่คีอาร์สวมเป็นปลอกคอลงเวทที่มีเพียงคนที่ได้รับการอนุญาตเท่านั้นจึงถอดออกได้ เป็นเวทชนิดเดียวกับที่ใส่ลงไปในปลอกคอทาส แต่ก็ไม่สามารถทำให้พวกมันยอมแพ้ได้ ชายคนเดิมที่ออกคำสั่งส่งสัญญาให้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

คีอาร์สังเกตเห็นว่าชายคนนี้ห้อยป้ายนักเวททองแดงระดับ 1 อยู่ จึงพอเดาได้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา เด็กหนุ่มพยายามดิ้นร้นสุดกำลัง จนต้องใช้คนเพิ่มถึงจะทำให้เขาอยู่กับที่ได้


 

“ข้าแต่พระเจ้าผู้สร้าง และอิเคียน่ามารดาแห่งสรรพสิ่ง สัตว์อสูรเทพผู้นั่งบนบันลังก์สวรรค์ ผู้โอบอ้อมอารี โปรดประทานความเมตตาแก่สัตว์โลกต่ำช้า เอริ เรเซราเล่”


 

ทันทีที่เสียงร่ายเวทจบลงแทนที่ปลอดคอที่คีอาร์สวมอยู่จะหลุดออกกลับกลายเป็นนักเวทคนนั้นที่ลอยกระเด็นออกไป ร่างกายเขาลอนเคว้งในอากาศเหมือนถูกแรงผลัดมหาศาลพุ่งชน ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรงจนหมดสติ ทุกคนในที่นี้ตกอยู่ในอากาศแข็งค้างไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น


 

“การต้านทานเวท!?! เด็กคนนี้มีเวทมนต์” ชายคนหนึ่งพูดด้วยเสียงปิติราวกับได้พบเจอสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน ทำให้คนกลุ่มนี้เริ่มส่งเสียงยินดีออกตาม ๆ กัน ลืมแม้กระทั้งพวกพ้องที่นอนสบลอยู่บนพื้น


 

ในจังหวะที่พวกเขาเผลอผ่อนแรงลงเพียงชั่วครู่คีอาร์ก็ดิ้นร้นสุดแรงอีกครั้งทำให้สามารถสลัดพันธนาการหลุด เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่แม้จะหันหลังกลับไปมอง ในขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์ผิดปกติสมองของคีอาร์ประมวลผลรวดเร็วกว่าปกติเขาจึงเดาว่าคนพวกนี้อาจเป็นคนจากลัทธิ กลุ่มคนที่เขาควรจะหลีกหนีมากที่สุด


 

ตั้งแต่จำความได้พ่อของเขาวีดาร์ก็เฝ้าบอกว่าการที่คีอาร์มีผมและตาสีดำจะทำให้เขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกคนเถื่อน

คนเถื่อนนับเป็นสินค้าหายากราคาแพงในตลาดค้าทาสเพราะนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายแล้ว การเดินทางไปยังทวีปทมิฬยังยากลำบาคต้องเดินทางพาทะเลฝ่าพายุคลั่งออกนอกข่ายเวทมนต์ออกไปยังแผ่นดินที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย จึงทำให้มีเพียงกลุ่มนักล่าฝีมือดีไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิตกลับออกมาพร้อมสินค้าตามใบสั่งได้

ดังนั้นการที่มีคีอาร์ผมและตาสีดำเดินไปเดินมาในเมืองก็ไม่ต่างอะไรจากถุงบรรจุทองคำจนเต็มห่อเดินได้ วีดาร์จึงให้แน่ย่ำให้คีอาร์สวมปลอกคอทาสทุกครั้งเมื่อออกจากตัวบ้าน เพื่อหลอกว่าคีอาร์เป็นทาสที่มีเจ้าของแล้ว แต่ปลอกคอนี้ก็ใช่ว่าจะช่วยได้ทั้งหมดบางครั้งก็มีพวกคนที่อยากลองเสี่ยงดวงสักครั้งเพราะการมีปัญหากับคนร่ำรวยสักคนก็ดูจะคุ้มค่ากับเหรียญทองที่ได้และอันตรายน้อยกว่าออกไปเจอกับสัตว์อสูรเป็นไหน ๆ วีดาร์รู้ถึงข้อดีจึงให้คีอาร์ฝึกฝนการต่อสู้ให้พอเอาตัวรอดได้

แต่พวกคนที่เจอวันนี้เป็นกลุ่มคนที่อันตรายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่ต้องทำคือหนี คนพวกนี้คือคนจากลัทธินอกรีดที่อ้างว่าคำสอนของศาสนจักรมีไว้เพื่อให้พวกขุ่นนางกดขี่ผู้คน ทำให้พระเจ้าผู้สร้างโลกและสัตว์อสูรเทพผู้พิทักษ์แปดเปื้อน 

 ตั้งแต่เริ่มเผยแพร่ความเชื่อสภาสูงก็เฝ้าจับตามองลัทธินี้มาโดยตลอด เมื่อลงความเห็นว่าลัทธินี้เป็นภัยประกาศกวาดล้างคนที่ศัทธาในลัทธินี้ก็กลายเป็นกฎที่รู้กันทั่ว 

ผู้ที่ไม่ยอมสยบยอมเลิกเชื่อคำสั่งสอนของลัทธิถูกจับกุมอย่างโหดร้าย และสุดท้ายก็กลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีเป้าหมายคือชีวิตของฝั่งตรงข้าม ฆ่าล้างเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นถูกต้อง 

จนเมื่อ 16 ปีที่แล้วกลุ่มลัทธิถูกกวาดล้างจนแทบหมดสิ้น และเมื่อตระกูลอัคเคร่าที่ถูกกล่าวหาว่าในการสนันสนุนลัทธิถูกกำจัดภายในชั่วข้ามคืน สภาสูงก็ประกาศชัยชนะเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานเกือบสองปี

แต่ความเชื่อของมนุษย์นั้นช่างน่าพิศวง เมื่อได้งอกงเงยเพียงครั้งแม้ถูกตัดต้นทิ้งไปแต่เมล็ดที่ได้หว่านลงดินยังมีชีวิตเฝ้ารอค่อยวันที่จะได้งอกเงินขึ้นอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ

จากบทเรียนครั้งที่แล้วคนในลัทธิที่หลงเหลืออยู่ก็ลงไปอยู่ในใต้ดินอย่างเต็มตัว เผยแพร่ความเชื่ออย่างลับ ๆ ซ่องสุ่มสร้างนักรบ นักเวท ที่แข็งแกร่ง ที่ช่ำชองการต่อสู้ และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมพร้อมสู้ถวายชีวิต ทำงานทุกอย่างอยู่ในเงามืดที่แทรกไปยังทุกชนชั้นของสังคม ทางการเองก็รับรู้เพียงว่ามีเงาวูบไหวใต้พื้นน้ำที่สงบนิ่ง แต่ยังไม่สามารถสัมผัสสัตว์ร้ายที่หลบซ่อนอยู่ได้ ทำได้เพียงนำพวกปลายแถวมาลงโทษอย่างรุนแรงและปล่อยข่าวลือมากมายเพื่อให้สร้างความหวาดกลัว และสร้างภาพลักษณ์เลวร้ายเพื่อตัดการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป

ตอนนี้เป้าหมายหลักของลัทธิมีเพียงอย่างเดียวคือตามหาราชาผู้ที่จะนำพามนุษย์เข้าสู่ยุคทองตามคำทำนาย


 

วีดาร์เองก็กังวลเรื่องนี้มาตั้งแต่คีอาร์อายุครบ 6 ขวบเมื่อเด็นน้อยได้เเข้ารับการประเมินพลังเวท แม้จะมีแม่เป็นคนเถื่อนแต่การที่มีพ่อเป็นผู้มีพลังเวทป้ายทองระดับหนึ่งทำให้ตัวต้นของคีอาร์สำหรับคนบางกลุ่มช่างน่าหวาดหวั่น วีดาร์จึงเก็บเรื่องของคีอาร์ไว้เป็นความลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนส่วนมากที่รู้ถึงการมีอยู่ของคีอาร์แต่ก็จะเข้าใจเพียงแค่ว่าเขาเป็นลูกทาสที่วีดาร์รับมาเลี้ยง แน่นอนการประเมินพลังเวทของคีอาร์ก็เป็นความลับมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ความกังวลของวีดาร์ยิงเด่นชัดเมื่อคีอาร์ตัวน้อยถูกประเมินว่าเป็นผู้มีพลังเวทระดับหนึ่ง ในฐานะพ่อเขาจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและภัยอันตรายที่คีอาร์อาจต้องพบเจอในอนาคต

วีดาร์บอกถึงความกังวลใจให้คีอาร์รับรู้ และร่ายเวทใส่ปลอกคอทาส หากไม่ร่ายเวทแก้ทางก็จะมีแค่วีดาร์และตัวคีอาร์เองที่สามารถถอดมันออกได้ แน่ย่ำให้คีอาร์สวมมันตลอดเวลาเมื่ออกจากบ้าน พร้อมสอนการต่อสู้ป้องกันตัวต่าง ๆ ให้ยกเว้นเรื่องการใช้เวทมนต์

คีอาร์เองเมื่อเติบโตก็ยิ่งเข้าใจการกระทำของพ่อมากขึ้น เขาเองก็มีความคิดคล้าย ๆ กับวีดาร์ที่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลัทธิอะไรนั้นนัก เขายินดีที่จะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาแม้จะมีผมและสีตาที่คนทั่วไปรังเกียจ แต่คนคนใกล้ตัวที่เข้าใจพร้อมมองข้ามเรื่องนี้ แม้จะถูกจ้องมองอย่างเหยียดหยามแต่เมื่อนานวันเข้ามันก็ไม่สามารถอะไรเขาได้อีก


 

โดนจ้องแบบนี้ยังดีกว่าถูกพุ่งเข้ามาทำร้ายเป็นไหน ๆ คีอาร์เคยพูดไว้ เขาจึงเมินสายตาของคนที่ตื่นตกใจเมื่อเขาวิ่งเข้ามาในโบสถ์กลางอย่างรีบร้อน หลวงพ่อซิลวาที่กำลังคุยกับแขกอยู่เมื่อเห็นสถาพไม่สู้ดีของเด็กหนุ่มหลวงพ่อก็รีบพาคีอาร์มาที่ห้องรับรองด้านหลังโบสถ์ทันที



 

“ไปมีเรื่องมาอีกแล้วเหรอ” หลวงพ่อพูดก่อนจะสั่งให้นักบวชหนุ่มที่อยู่ในห้องคนหนึ่งไปนำกล่องปฐมพยาบาลมาให้เขา


 

คีอาร์ขมวดคิ้วให้กับคำถามที่ดูเหมือนคำกล่าวหาของหลวงพ่อ แต่คิดดูอีกที่มันก็ไม่ใช้เรื่องแปลกใจอะไรนักเนื่องจากหลายครั้งที่คีอาร์มาหาหลวงพ่อด้วยสภาพนี้ก็มันจะเป็นเพราะเรื่องชกต่อยทั้งนั้น


 

“จะว่าไปก็ใช่ครับ” คีอาร์หยุดคิดก่อนจะกลืนความรู้สึกอยากประชดประชันลงคอกลับไป แล้วเล่าเรื่องที่เกินขึ้นให้นักบวชชราฟัง

“ตอนแรกผมก็นึกว่ามันเป็นพวกพ่อค้าทาสไม่ก็พวกนักเลงธรรมดา แต่พวกมันฝีมือดีกว่าที่คิด” พอคีอาร์เริ่มเล่าถึงตอนนี้มือที่เหี่ยวย่นที่กำลังทำแผลให้ก็หยุดลงทันที

“พวกมันพยายามถอดปลอกคอของผม แต่ตอนที่ร่ายเวทใส่มันก็โดนเวทสะท้อนกลับไป” คีอาร์พยายามพูดเสียงเรียบแต่สีหน้าคนฟังดูกังวลยิ่งกว่าที่เด็หนุ่มคิดไว้


 

“รีบกลับบ้าน ห้ามแวะที่ไหนเด็ดขาด พอถึงบ้านให้พาน้อง ๆ เข้าบ้าน ล็อคประตูหน้าต่าง เช็คทุกบานทุกกลอน ห้ามเปิดประตูให้ใครเด็ดขาดจนกว่าจะเช้า”

ท่าทีของบาทหลวงชราที่เคร่งขรึมกว่าปกติเป็นการเตือนกลาย ๆ ว่าคีอาร์ควรปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เด็กหนุ่มจึงรีบมุ่งตรงกลับบ้าน จนในที่สุดเขาก็เข้ามาในเขตเก่า ความกังวลใจที่เขาแบกมาตามทางก็ค่อยผ่อยน้ำหนักลงเมื่อได้อยู่ในที่ที่คุ้นเคย

บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของ คนที่รับใช้ตระกูลอัคเคร่า หากมองขึ้นไปบนเนินจะสามารถมองเห็นคฤหาสของตระกูลที่ตั้งอยู่บนเนินสูงนั้นได้จากบริเวณนี้

หลังจากเหตุการณ์กวาดล้างตระกูลอัคเคร่าจากข้อหาให้การสนับสนุนลัทธินอกรีตและคิดก่อกบฎ คนในตระกูลถูกตัดสินโทษประหารชีวิตทันทีในคืนนั้นยกเว้นท่านหญิงเอลิเซีย เธอได้รับการยกเว้นโทษตาย แต่ไม่ใช่เพราะได้รับความเมตตาอะไร หากเป็นเพราะเธอคือผู้ผูกพันะสัญญากับสัตว์อสูรเทพเลวีอาธาน หนึ่งใน 5 สัตว์อสูรเทพผู้ปกป้องแผ่นดีแห่งพร หากขาดผู้ผูกพันธะสัญญาไปเพียงหนึ่งคนข่ายเวทมนต์ที่ป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรจากภายนอกเขามารุกรานก็จะอ่อนแรงลง ท่านหญิงเอลิเซียก็รู้ถึงความสำคัญในข้อนี้ของตัวเองเธอจึงต่อรองให้ล่ะเว้นโทษตายให้แก่คนรับใช้ของเธอ

แน่นอนว่าศาสนจักรตอบตกลง แต่คนที่อยู่ในการปกครองทั้งหมดก็ถูกแบ่งออกไปยังสี่ตระกูลขุนนางที่เหลือตามสัดส่วนความดีความชอบในการกวาดล้างตระกูลอัคเคร่า ทำให้คนหนุ่มสาวถูกกวาดต้อนออกไปจนหมด เหลือเพียงไว้คนแก่ชรา คนป่วย เด็ก คนที่ไม่สามารถนำไปใช้แรงงานได้ ทำให้บ้านเรือนบริเวณนี้หลายหลังการเป็นบ้านร้างไร้ที่ผู้อยู่อาศัย ส่วนคีอาร์ในตอนนั้นที่ยังเป็นเด็กทารก ก็เป็นเด็กเพียงไม่กี่คนที่เหลือรอดจากการกวาดต้อน 

และแม้จะเป็นเด็กทารกที่มีผมสีดำตาสีดำแต่ทุกคนยังช่วยอุ้มชูเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่อย่างไม่รังเกียจ ทำให้เมื่ออยู่ในเขตนี้คีอาร์ก็ไม่จำเป็นต้องคลุมผมและเดินไปมาอย่างสบายใจไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครไม่รู้พุ่งเข้ามาทำร้าย ส่วนหนึ่งก็คงเพราะวีดาร์เป็นแซเทริน (บริวาณ) เพียงคนเดียวของท่านหญิงเอลีเซีย ผู้เอ่ยคำสาบานว่าจะเป็นดาบเป็นโล่ให้กับเธอ จึงทำให้หลายคนไม่เห็นด้วยที่เขาไปหนึ่งในคนที่ได้รับล่ะเว้นโทษตาย บางคนพยายามยกเหตุผลว่าวีดาร์คือหัวหน้าหน่วยที่พาท่านหญิงเอลิเซียหนีไปในตอนแรกจึงจำเป็นต้องได้รับโทษสูงสุด แต่ตระกลูอัควารีเซียที่เป็นหัวหอกในการกวาดล้างตระกูลก็ยืนยันว่าจะรับวีดาร์และหน่วยของเขามาดูแล เพราะอัควารีเซียต้องการกลุ่มคนมีฝีมือที่ค่อยทำงานในเงามืดให้ โดยใช้การมีอยู่ของท่านหญิงเอลีเซียเป็นประกัน หากท่านหญิงยังอยู่พวกวีดาร์จะไม่มีทางขัดขืนคำสั่งได้

คีอาร์เคยพูดกับวีดาร์ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด ต่างคนต่างมีชีวิตอยู่เพื่อให้อีกฝั่งมีชีวิตอยู่ต่อ แต่การมีชีวิตอยู่ต่อก็กลายเป็นเหมือนพันธะนาการที่ผูดรัดซึ่งกันและกัน ตอนนั้นวีดาร์เพียงแค่หัวเราะในลำคอเป็นการตอบกลับ

การเจอกันระหว่างพ่อลูกครั้งนั้นก็ผ่านมาได้เกือบสามเดือน แม้จะฟังดูนานแต่คีอาร์ก็คุ้นชินที่พ่อออกไปทำงานนานขนาดนั้นและกลับมาพักที่บ้านเพียงไม่กี่วันก่อนจะหายไปอีกหลายเดือน เพียงแต่ครั้งนั้นวีดาร์กลับมาพอเด็กชายผิวสีแทนผู้มีดวงตาสีเขียวสดใสคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมายังคีอาร์ด้วยความเป็นห่วง

คีอาร์พยายามยิ้มกลบเกลือนก่อนจะหันไปล็อกประตูหน้าบ้านให้เรียบร้อย แล้วหันไปพูดกับเจคอปว่า


 

“มารอรับพี่เหรอ? ”


 

เด็กชายพยักหน้าแต่ยังส่งสายตาเป็นห่วงมายังคีอาร์ไม่หยุด เด็กหนุ่มจึงถามต่อว่า


 

“มีอะไรหรือเปล่า? ”


 

เด็กชายตัวน้อยใช่มือชี้ไปที่หน้าผากตัวเองแล้วค่อยชี้ไปที่คีอาร์ เขาจึงเข้าใจว่าเจคอปคงจะเห็นแผลบริเวณศรีษะของเขาจึงรู้สึกเป็นห่วง

 

“อ้อ!แผลนี้เหรอไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้เป็นอะไรมาก เอาเป็นว่าเราเข้าบ้านก่อนดีกว่า”

คีอาร์ยิ้มให้เจคอปก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านสองชั้นขนาดกลางหลังหนึ่ง สวนย่อมด้านข้างถูกเปลี่ยนไปเป็นแปลงผักจนเต็มพื้นที่ ทันทีที่ทันสองคนก้าวผ่านธรณีประตูเด็กหญิงคนหนึ่งก็โพล่หน้าออกมาทักทายจากครัว


 

“กลับมาแล้วเหรอคะพี่คีอาร์ หนูกับจูเลียร์ล้างผักที่ใช้เตรียมทำซุปไว้เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูจะช่วยล้างปลาให้” เด็กหญิงพูดอย่างร่าเริงก่อนจะหุบยิ้มอย่างรวดเร็บเมื่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ


 

“ลิเลียร์ เอ่อ...คือพอดีมีเรื่องนิดหน่อยพี่ก็เลยไม่ได้ปลากลับมา” คีอาร์รีบสารภาพ


 

ก่อนที่เด็กหญิงลิเลียร์จะทันได้พูดอะไรต่อก็มีเด็กหญิงอีกคนที่หน้าตาเหมือนคนแรกอย่างกับเกะก็โพล่หน้าออกมาจากห้องครัว


 

“พี่ไปมีเรื่องมาอีกแล้วเหรอ? ” เด็กหญิงถามจบลิเลียร์ก็โพล่หน้าออกมาทันที


 

“คราวหน้าถ้าอาดินไม่อยู่ให้หนูกับจูเลียร์ไปซื้อของแทนจะดีกว่านะ” ลิเลียร์พูด “ตอนนี้หนูกับจูเลียร์ก็อายุ12แล้วแค่ไปจ่ายตลาดสบายมาก”


 

“ไว้จะคิดดูแล้วกัน” คีอาร์ตอบปัด


 

“ตอบแบบนี้อีกแล้ว” จูเลียร์โว้ยวายอย่างไม่พอใจ


 

“ว่าแต่อาดินยังไม่กลับมาเหรอ” คีอาร์ถามเพื่อพยายามหาทางเลี่ยงไปประเด็นอื่น


 

“ยังเลยค่ะ”ลิเลียร์ตอบกลับ “ทั้ง ๆ ที่บอกว่าจะกลับมาตั้งแต่เช้ามืดแท้ ๆ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”


 

“ไม่เป็นไรหรอก ก็ช่างหลอมแก้วนานจะเข้ามาขายของในเขตนี้สักทีนี่น่า จะฝากฝั่งตัวเป็นลูกศิษท์คงต้องคุยอะไรกันนานหน่อยล่ะมั่ง” จูเลียร์พูดขึ้น


 

“แต่สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ” ลิเลียร์บ่นอุบ


 

ตามนิสัยส่วนตัวลิลียร์เป็นคนจริงจัง ขยันเอาการเอางาน ความคิดความอ่านดูโตกว่าเด็กอายุ 12 ขวบทั่วไป ตรงข้ามกับจูเลียร์น้องสาวฝาแฝดจูเลียร์ที่ยังเป็นสาวน้อยร่าเริงเข้ากับคนง่ายแต่ยังติดเล่นแบบเด็ก ๆ แต่ด้วยโครงหน้าคมเข้มแบบชาวเผ่าอราทูร์ พร้อมนัยน์ตาสีเหลืองอ่อน ผิวแทนสีน้ำผึ้ง ทำให้พอจะเห็นแววว่าทั้งสองคงโตขึ้งคงกลายเป็นสาวงามที่หาคนเทียบได้ยาก ทำเอาคีอาร์แอบกลุ้มใจนิด ๆ

ส่วนอาดินน้องชายอีกพึ่งอายุครบ 15 ขวบเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่ ๆ ก็ประกาศมาออกมากลางโต๊ะอาหารว่าอยากจะไปเรียนเป็นนักหลอมแก้วที่เกาะวาเซนต้าที่ขึ้นชื่อเรื่องการหลอมแก้ว แม้ยังจะต้องรอคำอนุญาตจากวีดาร์ที่เป็นผู้ปกครองแต่อาดินก็ขอร้องว่าในระหว่างที่รอวีดาร์กลับบ้านเขาขอไปเรียนรู้วิชาจากพ่อค้าแก้วที่จะเข้ามาขายเครื่องแก้วในเขต คีอาร์จึงไปขอร้องให้หลวงพ่อซิลวาช่วยแนะนำอาดินกับพ่อค้าขายแก้วคนหนึ่ง ซึ่งพ่อค้าแก้วก็ตอบรับอย่างยินดีเพียงแต่ตอนนี้อาดินยังเด็กเกินไป พ่อค้าแก้วจึงเสนอว่าให้อาดินเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องแก้วที่ร้านขายเครื่องแก้วของในเขตดาลิลาในเวลาที่ขบวนคราวานแวะมาขายสินค้าที่นี้ จนกว่าอาดินจะอายุครบ 16 ปีหากตอนนั้นอาดินยังไม่เปลี่ยนใจเขาก็จะรับอาดินเป็นลูกศิษย์และพาเด็กชายไปเรียนรู้วิชาที่โรงหลอมแก้วของเขาที่เกาะวาเซนต้า

ทำให้เมื่อวานอาดินรีบออกจากบ้านไปตั้งแต่เเช้าตรู่ตรงไปยังตลาดนัดใกล้บริเวณท่าเรื่อเล็กที่ที่พ่อค้าจากเกาะต่าง ๆ จะนำสินค้ามาขายสัปดาห์ล่ะ 1 วัน ก่อนจะกลับไปยังเกาะบ้านเกิดแล้วนำสินค้ากลกับมาค้าที่เกาะกลางในสัปดาห์ถัดไป เริ่มตั้งแต่เขตซาร์บิย่า เอนเทีย คอร์ดิเรีย สุดท้ายคือเขตดาลิลา

ตามจริงอาดินพูดว่าจะกลับมาก่อนเช้ามืดเพื่อออกไปซื้อปลาแต่จนพระอาทิตย์โพล่พ้นจนขอบฟ้าแต่อาดินก็ยังกลับมาไม่ถึงบ้าน


 

“แบบนี้ไม่ดีแน่” คีอาร์พึมพำกับตัวเอง


 

“มีเรื่องอะไรไม่ดีเหรอคะ? ” จูเลียร์ถาม คีอาร์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็ก ๆ ฟัง


 

“ต้องรีบตามอาดินกลับบ้าน” จูเลียร์พูดพร้อมเดินไปเดินมาอย่างร้อนร้น


 

“แต่ออกไปข้างนอกตอนนี้มันอันตรายนะ” ลิเลียร์พูดห้ามแต่ก็ดูร้อนใจไม่ต่างจากแฝดน้องเท่าไหร่


 

คีอาร์เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กหญิงทั้งสองก็เริ่มคิดว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาไม่ควรเล่าเรื่องทั้งหมดให้น้องฟัง

ต้องเล่าสิจะได้รับมือได้ถูก

แต่ถ้าตกใจจนสติแตกก็มีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงหรือเปล่า

นั้นน่ะสิ

เชื่อใจน้องหน่อยเถอะ


 

ใช่…เวลานี้คงทำอะไไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจและพยายามทำให้น้อง ๆ คลายความกังวลลง


 

“พี่ว่าอาดินเอาตัวรอดได้ ดีไม่ดีอาจปลอดภัยกว่าอยู่บ้านด้วยซ้ำ ก่อนอื่นเรารีบแยกกันไปล็อคประตูหน้าต่างก่อนเถอะ อีกอย่างเหตุการณ์อาจไม่เลวร้ายแบบที่หลวงพ่อคิดก็ได้”


 

เมื่อฟังคำพี่ชายจบเด็ก ๆ ทุกคนก็แยกย้ายไปล็อคประตูหน้าต่างส่วนตัวคีอาร์เดินไปตรวจดูวงจรเวทที่วีดาร์วาดเตรียมไว้รอบ ๆ บ้าน ทุกอันยังอยู่ในสภาพดี วีดาร์เคยบอกวิธีใช้ให้คีอาร์ฟังพร้อมย้ำนักหนาว่าให้ใช้วิธีการนี้เป็นวิธีสุดท้าย และบอกเเพียงแค่ว่ามันเป็นวิธีที่ช่วยปกป้องเขาแต่ไม่ได้อธิบายว่าเมื่อเปิดใช้งานเกิดอะไรขึ้น


 

หลังจากที่ล็อกประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วทุกคนก็กลับมารวมตัวกันที่ห้องครัวและช่วยกันเตรียมอาหารเช้าจนเสร็จ แม้จะไม่ค่อยมีใครรู้สึกอยากอาหารนักแต่อาหารเช้าก็ถูกนำมาขึ้นโต๊ะตามปกติ ในตอนที่ทั้งสี่กำลังช่วยกันจัดโต๊ะเสียงตะโกนของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น


 

“จูเลียร์ ลิเลียน์ เจคอป พี่คีอาร์ ใครก็ได้เปิดประตูให้หน่อย ล็อกประตูหน้าบ้านทำมั้ยอ่ะ”


 

ถึงจะแน่ใจว่าเป็นเสียงของอาดินแต่จูเลียร์ที่อยู่ใกล้หน้าต่างมากที่สุดก็รีบพุ่งตัวออกไปส่องดูให้แน่ใจ แล้วก็เด็กชายหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้านพร้อมโบกไม้โปกมือให้


 

“อาดินจริง ๆ ด้วย” เด็กหญิงพูดแล้วกำลังจะรีบไปเปิดประตู แต่ก็โดนพี่สาวฝาแฝดรั้งเอาไว้


 

“อย่าพึ่งรีบสิ!อาจเป็นตัวปลอมก็ได้”


 

“โอ้ย!ไม่ใช่เหรอก็เห็น ๆ กันอยู่”


 

“เกิดอะไรขึ้นเนี้ย! มาเปิดประตูให้หน่อย แกล้งกันเหรอ? เราทำอะไรผิด? ” อาดินที่ยืนงง ๆ อยู่หน้าประตูบ้านเริ่มส่งเสียงโวยวาย


 

“งั้นเอางี้แล้วกัน” จูเลียร์พูดเหมือนหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ “ถ้าเป็นอาดินตัวจริงลองบอกความลับที่รู้กันแค่พวกเรามาสิ”


 

“งั้น….เอาเรื่องจดหมายที่ลิเลียร์ฝากเราเอาไปให้….”


 

“อ๊ากกก….” ลิเลียร์กรีดร้องก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดประตูให้คีอาร์อย่างไม่คิดชีวิต


 

“โธ่…ถ้าเรื่องที่ลิเลียร์ชอบพี่เรนทุกคนก็พอจะกันหมดแล้ว ไม่รู้ลิเลียร์จะปิดพวกเราไว้ทำมั้ย” จูเลียร์หันมาบ่นกับคีอาร์ เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มอ่อนรับเพราะเขาก็ไม่รู้จะรับมือเด็กสาวที่ตกอยู่ในห้วงรักยังไง


 

หลังจากอาดินเข้ามาในบ้านเรียบร้อยเด็กชายนำตะกร้าไม้ว่างไว้บ่นโต๊ะก่อนจะได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กชายคิ้วขมวดพร้อมกับกล่าวโทษตัวเองว่าหากวันนี้ถ้าเขาเป็นคนที่ออกไปซื้อปลาแทนคีอาร์

“มันไม่ใช่ความผิดของอาดินหรอก เรื่องมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้” คีอาร์พูดพร้อมย้ำประโยคสุดท้ายแต่มันก็แผวเบาราวกับเขาก็รู้ว่ามันอาจเป็นเพื่องคำปลอบเพื่อตัวเขาเอง


 

“จะเกิดเรื่องอะไรไม่รู้แต่ก่อนอื่นเรามาทานข้าวเอาแรงกันก่อนเถอะค่ะ” ลิเลียร์พูดพร้อมกับตักซุปใส่จานให้ทุกคน


 

“ใช่ค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” จูเลียร์พูดเสริม


 

หลังจากเวลาผ่านไปจนล่วงเข้าสู่ยามเย็น แม้จะใช่ชีวิตอยู่แค่ในบ้านตลอดทั้งวันแต่เพราะต้องตื่นตัวและอยู่กับควาเครียดเด็ก ๆ จึงมีอาการเหนื่อยล้าและผล็อยหลับไปในที่สุดเหลือเพียงแค่คีอาร์กับอาดินที่อยู่โยงนั่งคุยกันในห้องครัว


 

“เหมือนมีคนจากโบสถ์มาเฝ้าที่หน้าประตูบ้านเรา แบบนี้คงเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง” อาดินพูดขณะที่มองผ่านหน้าต่างไปยังประตูหน้าบ้าน คีอาร์มองตามออกไปก็พบนักบวชสองคนที่เขาเคยเห็นที่โบสถ์

“ช่วงบ่ายก็เริ่มเบาใจหน่อยว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่พอเห็นมีคนมาเฝ้าแบบนี้ก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอีกแล้วแหะ” อาดินพูด


 

“แต่ถ้าจะลงมือก็ต้องลงมือตอนกลางคืนใช่มั้ยล่ะ คงไม่พลีพลามทำอะไรตอนกลางวันหรอก”


 

“ผม…รู้สึกกลัว” อาดินพูดพร้อมกับมองหน้าคีอาร์อย่างรู้สึกผิด “ไม่รู้ว่าพูดออกมาแบบนี้มันจะดีมั้ย แต่พวกลัทธิที่ว่ามันเป็นพวกที่โดนประหารเมื่ออาทิตย์ที่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ ตอนที่ฟังคุณพ่อเล่าเรื่องลัทธิอะไรนั้นกับเรื่องของพี่คีอาร์ผมก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรมาก แต่พอมาเจอแบบนี้แล้วมันก็อดจะรู้สึกกลัวไม่ได้”

 

“ที่จริงพี่ก็กลัว” คีอาร์พูด เด็กชายดูแปลกใจเล็กหน่อยกับคำพูดของพี่ชาย คีอาร์จึงพูดต่อว่า

“พี่รู้สึกเหมือนอาดินเลย ถึงจะเตรียมใจว่าเรื่องพวกนี้อาจเกิดขึ้นสักวันพอเจอเข้าจริง ๆ ก็อดกลัวไม่ได้

วีดาร์เคยพูดไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เราจะรู้สึกกลัว ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรด้วย ความกลัวมันเหมือนสัญญาเตือนภัย หากไร้ซึ่งความกลัวมุนษย์จะไม่ตื่นตัวและมองเห็นสิ่งอันตรายที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน

แต่สิ่งที่ทำให้คนกล้าแตกต่างกับคนขลาดคือพวกเขาเหล่านั้นจัดการกับความกลัวที่อยู่ตรงหน้ายังไงต่างหาก”

“วันนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ยังไงเป้าหมายของพวกนั้นก็คือพี่ เพราะงั้นรับปากพี่ได้มั้ยว่าอาดินจะช่วยปกป้องน้อง ๆ หากคับขันขึ้นมาให้พากันหนีไปไม่ต้องสนใจพี่”


 

“ครับ” เด็กชายตอบรับแผ่วเบา เพราะเขาไม่แน่ในว่าสามารถทำสองสิ่งที่คีอาร์ขอได้หรือไม่