Chapter 1: ความตายอันน่ายินดี


 

“ไปได้แล้ว” ผู้ชายในชุดสูทหลายคนเดินตรงไปหาผู้หญิงคนนึงที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองเลือดและเนื้อ รอบข้างของเธอมีร่างเงาสูงใหญ่ยืนอยู่คล้ายกับว่ามันคือผู้พิทักษ์ของเธอ

เสื้อผ้ากับหน้ากากถูกโยนส่งๆ ให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านใน 

“มารยาทหน่อยซี่” เสียงต่ำกว่าปกติถูกเปล่งออกมาจากลำคอ “จะรีบไปไหนเชียว ไม่ใช่ว่าจะส่งข้าไปไกลๆ อยู่แล้วรึ” 

ไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ชายสวมชุดสูทที่ยืนอยู่แม้แต่คำเดียว คล้ายกับว่าพวกเขาเลี่ยงที่จะพูดกับเธอ

“อะไรกัน ข้าไม่ใช่พวกสาริกาลิ้นทองเสียหน่อย เงียบปากทำไมเล่า” เสียงหัวเราะคิกคักของเธอไม่เข้ากับบรรยากาศตรึงเครียดที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย 

“พวกเด็กน้อยนั่น ไม่ใช่ว่าจะส่งข้าไปไกลรึ” — “เฉลิมฉลองให้ข้าเห็นหน่อยซี่” ร่างสะโอดสะองของเธอเดินมาหาชายคนนึงที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง 

“ข้าอยากเห็นพวกเจ้าเฉลิมฉลองให้กับความตายของข้า” 



 

สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น 

โกะโจ ซาโตรุยืนมองผู้หญิงตัวเล็กที่ถูกล่ามโซ่ที่ข้อมือที่ข้อเท้าเดินลงมาจากเครื่องบิน พร้อมกับกระเป๋านิรภัยใบนึง เขาพอจะเห็นเอกสารมาบ้างว่าทางการไทยส่งมาให้ญี่ปุ่นจัดการกับเธอซะ ในนั้นเขียนบอกเอาไว้คร่าวๆ ว่าที่ฝั่งนู้นต้องทำแบบนั้นเพราะว่าจะดึงเธออกมาจากแหล่งพลังงานให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เท่าที่รู้มาอีกว่าทางฝั่งนั้นส่งจดหมายกระจายเรื่องนี้ไปหลายประเทศแต่น่าเสียดายไม่มีประเทศไหนยินดีรับเธอมา นอกจากญี่ปุ่นที่พวกตาแก่หัวโบราณต้องการจะใช้ความสามารถของเธอในการปัดเป่าราชาคำสาปเรียวเมน สุคุนะ

จากข้อมูลที่ได้มา ทางฝั่งไทยเรียกเธอว่าบุตรีแห่งอสุรา เธอเรียกตัวเองว่ามกุฏราชกุมารีตนสุดท้ายแห่งยักษ์วงศ์พรหมและที่นี่เราตั้งชื่อให้เธอใหม่ว่า

โอนิฮิเมะ

คำสาประดับพิเศษ โอนิฮิเมะ 



 

“อืม ไม่มีส่วนไหนต่างจากมนุษย์” โชโกะ อิเอริเดินสำรวจรอบคำสาปที่พึ่งได้มาใหม่ มันค่อนข้างหายากที่จะให้เธอได้ดูแลคำสาปแบบเป็นๆ ไม่ได้มาเป็นซาก

เธอมองโอนิฮิเมะที่สวมหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าสีดำสนิทนั่งแกว่งขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนเตียงผ่าศพ ก่อนที่จะหยิบชาร์จข้อมูลออกมาเปิดอ่านเพื่อความแน่ใจ 

“เป็นคำสาปที่ไม่ต้องอาศัยภาชนะ” — “แปลว่าไม่ได้ถูกผนึกมาก่อนด้วย” 

โชโกะมองสายตาสอดส่องไปทั่วของคำสาปที่นั่งอยู่ 

เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะเอาพวกจัดการยากเข้ามาในประเทศอีกทำไมแค่นี้ก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว 

“ไง โชโกะ” ซาโตรุเดินเข้ามาในห้องผ่าตัดพร้อมกับอิจิจิในชุดสูท “เป็นยังไงบ้าง”

“สบายดี” โชโกะตอบ

“ไม่ๆ ไม่ได้หมายถึงเธอ” ชายหนุ่มผมขาวชี้นิ้วไปทางคนที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในห้อง “เธอนู้น”

“ก็ปกติ ไม่มีอะไร” หญิงสาวผมน้ำตาลยางยักไหล่ “เหมือนคนปกติแทบจะแยกไม่ออก ส่งไปโรงเรียนได้เลย” — “แต่ติดที่ไม่พูดนี่แหละ”

“ก็ฉันไม่รู้ภาษาของเธอนี่” เสียงต่ำๆ ไม่เข้ากับบรรยากาศดังรอดขึ้นมา มันเป็นภาษาญี่ปุ่นที่กระท่อนกระแท่นและออกเสียงเพี้ยนไปเยอะพอสมควร

“ไหนว่าพูดไม่ได้” ซาโตรุหันหน้าไปถามอิริเอะพร้อมกับเอามือชี้ไปที่โอนิฮิเมะอย่างไร้มารยาท

“ก็…เมื่อกี้ไม่ได้พูด” อิเอริตอบหน้าตายก่อนที่จะเดินเข้าไปจับๆ คลำๆ ตัวคำสาปอีกครั้งนึงเพื่อความแน่ใจ 

ไม่มีลูกกระเดือก มีหน้าอกนิด มีสะโพกหน่อย ก็เหมือนผู้หญิงทุกอย่างแต่ทำไมถึงได้เสียงต่ำพอๆ กับผู้ชายได้

“นี่จะจับอีกนานไหม” โอนิฮิเมะที่นั่งกางแขนให้อีกฝ่ายสำรวจถาม “ปกติดีที่อย่าง” 

“ไม่สิ ปกติแล้วผู้หญิงเส้นเสียงจะเล็กกว่าผู้ชาย ไม่มีทางที่จะพูดได้เสียงที่ต่ำขนาดนี้หรอกนะ”    


 

สิ่งใดคือเส้นเสียง? อสุรีถามในใจ พลางนึกถึงสิ่งสิ่งที่อยู่ในมนุษย์ 

บางทีน่าจะเป็นอะไรบางอย่างในลำคอกระมัง 

มือของนางสัมผัสกับคอของตนเองพลางนึกตามสิ่งที่ตนได้ยินมาคร่าวๆ เส้นเสียงของสตรีจะบางกว่าบุรุษ 

ถ้าข้ากรีดมันออกมาทำให้บางลงได้ไหมนะ หรือว่าข้าต้องลองกับผู้อื่นก่อน 


 

“นี่มนุษย์” — “ถ้าไม่มีเส้นเสียงจะเป็นยังไง”

“ก็พูดไม่ได้” โชโกะตอบง่ายๆ ก่อนที่จะหันไปคุยกับซาโตรุต่อว่าจะเอายังไงกับคำสาประดับพิเศษตนนี้ดี 

จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ไม่ได้ จะหอบกลับบ้านก็ไม่ได้อีกเพราะเป็นบุคลไร้ตัวตนในสังคม

“ดูๆ แล้วเธอก็ปกติดีสิ่งไปที่โรงเรียนก็ได้มั้ง” ซาโตรุพูดความคิดของตัวเองออกมา “ไม่ก็จับเรียนที่โรงเรียนสอนไสยเวทมันซะเลย”

“นายจะบ้ารึไง ให้คำสาประดับพิเศษเรียนเนี่ยนะ” โชโกะเอามือกุมขมับ “ถึงเธอจะเหมือนเราแค่ไหนก็ตาม”

“นี่…กินอะไรได้บ้าง” เสียงนั้นเรียกความสนใจของทั้งคู่ไปและพบกับความไม่ปกติทันที 

เขี้ยวคู่นึงที่งอกออกมาจากปาก 

“เธอไปโรงเรียนไม่ได้แล้ว ซาโตรุ” โชโกะตบบ่าเพื่อนของตัวเอง “ไปหาเรื่องจัดการเอานะ”



 

“นี่น่ะหรอ คนที่จะต้องตายพร้อมกับข้า” โอนิฮิเมะหยิบของที่อยู่ในกล่องออกมาดู มันเป็นอะไรสักอย่างที่ถูกพันด้วยกระดาษยันต์หนาเตอะ แต่ยังมีจุดที่พอมองออกว่ามันคือนิ้วที่แห้งกรัง

เท่าที่ดูก็มีอยู่หลายอันเสียด้วย

“สภาพอย่างนี้ฌาปนกิจเลยน่าจะดีกว่ามั้ง” — “น่าจะแห้งมานานแล้ว”

“ต้องหาให้ครบยี่สิบก่อน ถึงจะค่อยทำลายทิ้งได้” 

“ทำไม”

“ถ้าจะทำลายต้องทำลายพร้อมกันหมดทุกอัน เพราะว่ามันมีเสี้ยววิญญาณอยู่ในนั้น” โกะโจอธิบายให้อสุรีสาวฟังถึงความเป็นมาของมัน 

“ออ” โอนิฮิเมะพยักหน้าด้วยความเข้าใจก่อนจะวางมันลงบนกล่อง ปิดฝาและตบๆ ฝาสองสามทีคล้ายจะบอกว่า

‘ยินดีที่ได้รู้จัก’

“มัน ข้าและนาย ใครเก่งกว่ากัน” คำถามใหม่ถูกถามออกมาและคำตอบจากโกะโจคือ

‘ยังไง ผมก็ชนะ’ 


 

ข้าโดนจับถูกติดกับโกะโจ ซาโตรุและต้องอยู่ใต้ความดูแลของนักคุณไสยที่ทรงพลังที่สุดในญี่ปุ่น 

ที่นี่ตั้งชื่อใหม่ให้ข้าเพราะข้าไม่มีนามมาตั้งแต่แรก มีแต่ตำแหน่งลอยๆ 

พวกเขาเรียกข้าว่าโอนิฮิเมะ ที่แปลว่าองค์หญิงแห่งยักษา ข้าไม่ปฏิเสธนามนั้นเพราะมันเข้ากับข้าดี 

พวกที่โกะโจเรียกว่าตาแก่ให้ข้าถือกระเป๋านิรภัยที่ข้างในใส่ของของข้าเอาไว้ตลอดเวลา ทั้งยังล่ามมันเอาไว้กับข้อมือของข้าเสียด้วย 

โอ้ พูดถึงคู่หูคนใหม่ของข้า นับว่าเราเข้ากันได้ดีทีเดียว

 

แปดเดือนถัดมา

“นี่ข้าอยากกินไอ้นี่อ่ะ” โอนิฮิเมะยื่นโทรศัพท์ให้โกะโจดู มันคือบุฟเฟ่ต์เค้กที่โรงแรมนึงในโตเกียวไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก 

“ข้าอยากกินไอ้สิ่งที่เรียกว่าบุฟเฟ่ต์”  — “เจ้าหาข้ออ้างเรื่องปากข้าไม่ได้แล้วนะ” 

“วันนี้ต้องไปรับนักเรียนใหม่” โกะโจเอาผ้าพันแผลพันดวงตาสีฟ้าของตัวเอง 

“ใคร”

“อืม เป็นเด็กไม่ดีคนนึงที่อัดคนเข้าล็อกเกอร์ไปสี่คน” — “แล้วก็…ผมจองเอาไว้แล้ว” โกะโจพูดประโยคที่สองด้วยน้ำเสียงระรื่น 

“จริงรึ จองเพื่อข้ารึเปล่า” — “เจ้าต้องจองเพื่อข้าแล้วใช่ไหม” โอนิฮิเมะถามด้วยความตื่นเต้น

“ไม่คร้าบ”  — “ที่ร้านเขาไม่รับสัตว์เลี้ยง”

“นี่ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงเจ้ารึ!!” อสุรีสาวโวยวาย มือข้างนึงยกกระเป๋าขึ้นมาเตรียมฟาดอีกคน 

“ผมไม่ได้พูดน้าา พูดเองเออเองรึเปล่า” โกะโจรีบเปิดประตูห้องพักครูไป “ออใช่ ไปดูแลพวกปีหนึ่งปีนี้ด้วยนะ”

“เจ้า…เจ้า..” โอนิฮิเมะบดฟันของตัวเอง “ข้าขอให้เจ้าเดินสะดุดยอดหญ้า!”

“โอ๊ย เจ็บจัง” เสียงโกะโจที่ดังอยู่ลิบๆ ทำให้อสุรีอยากจะกระทืบเท้าถ้าไม่ติดว่า ถ้านางกระทืบแล้วพื้นมันจะถล่ม

“ในตึกเรียนไม่มียอดหญ้าให้เจ้าสะดุด” โอนิฮิเมะพูดเสียงดัง

“ผมสะดุดความหล่อของตัวเอง โอนิจังก็ระวังหน่อยนะ” – “ผมทำหกไว้เยอะเลย”

“เจ้า..เจ้า.”  — “ข้าขอให้เจ้าท้องเสีย!” 

โอนิฮิเมะกำมือแน่น นางอยากจะกระทืบเท้าระบายความหงุดหงิดแต่พื้นจะถล่มแล้วนางไม่มีอัฐจ่าย!! 



 

ข้านั่งสงบเสงี่ยมกดเกมส์อยู่ในโทรศัพท์ตอนที่นักเรียนปีหนึ่งเข้ามา มีอยู่สามคน ครบทุกสรรพนาม 

หญิงหนึ่ง ชายหนึ่งและอีกหนึ่งตัว 

สามคนนั้นยืนมองข้าก่อนที่จะมีคนนึงรูดซิปกระเป๋าออกมาและเอาง้าวชี้คอข้า อีกคนนึงเปิดปากที่มีรอยสัก ส่วนอีกตัว…ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร น่าจะสนับกระมังแต่ลายมันดูไม่ใช่

“ทำไมถึงได้มีคำสาปมานั่งอยู่ในนี้” ผู้หญิงถามพร้อมกับเอาของมีคมชี้คอข้า

“แล้วไอ้ตัวข้างเจ้าไม่ใช่คำสาปรึ” — “ข้าเห็นพลังงานคำสาปไหลเวียนอยู่ในตัวนะ” “แล้วก็มันบังจอโทรศัพท์ข้า”  โอนิฮิเมะตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาหลังจากที่ป้อมของฝ่ายตรงข้ามแตกแล้ว

“โกะโจให้ข้ามาดูแลนักเรียนปีหนึ่ง” 

“คำสาปเนี่ยนะ” ผู้หญิงถามพร้อมกับมองข้าด้วยความไม่ไว้ใจ

“ซาเกะๆ”  คนที่มีรอยสักพูด 

“บอกข้าหน่อยว่าตัวข้างๆ เจ้าคืออะไร” โอนิฮิเมะชี้ไปที่แพนด้าโดยที่ไม่สนใจอีกสองคน “ข้าไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบเจ้ามาก่อน” 

“กลิ่นไม่น่ากินเสียด้วย”

“แพนด้า นี่แกไม่ได้อาบน้ำมาใช่ไหม” ผู้หญิงเบ้จมูก “ถึงว่าฉันถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ” 

“ใช่ๆ ข้าก็ได้กลิ่น” อสุรีเออออตามไปด้วย “กลิ่นเหมือนมีใครถอดรองเท้า ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร” 

“เหม็นเปรี้ยว” ผู้หญิงตอบ

“ฉันอาบน้ำทุกวันโว๊ย เป็นแพนด้าที่สะอาด!” หนึ่งตัวโวยวายก่อนจะดมตัวเองสองสามทีเพื่อพิสูจน์ 

“เจ้าเป็นแพนด้า” โอนิฮิเมะมองสิ่งที่เรียกตัวเองว่าแพนด้าด้วยความสงสัย “แล้วสิ่งใดคือแพนด้า”

“มัน” ผู้หญิงชี้ไปทางตัวที่เรียกแทนตัวเองว่าแพนด้า

“ออ ข้าโอนิฮิเมะ” 

“เซนอิง มาคิ” ผู้หญิงแนะนำตัวก่อนจะชี้ไปที่ผู้ชาย “นี่อินุมาคิ โทเงะ”

“แพนด้า”

“ยินดีที่ได้รู้จัก” โอนิฮิเมะปิดบทสนทนาก่อนที่ความเงียบจะโรยตัวรอบห้องผสมกับความงงงวยที่ว่า

นี่ฉันเอาอาวุธจ่อคออยู่นะ แต่ว่าฉันชื่อนี้ๆ ยินดีที่ได้รู้จัก

เป็นตางงดีแท้ 

“เออ ข้าเป็นคำสาปที่ดีนะ” โอนิฮิเมะรีบเคลมตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก “ตั้งแต่มาอยู่นี่ข้ายังไม่ฆ่าใคร ไม่พังข้าวของ ใช่ๆ ข้าช่วยโกะโจปัดเป่าคำสาปด้วย” 


 

อา เอิ่ม ควรตอบว่าไงดี มาคิถามแพนด้ากับอินุมาคิทางสายตาก่อนที่จะได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวไม่รู้

“โกะโจบอกข้าว่าไปรับนักเรียนคนที่สี่ แถมยังเป็นคนที่อัดคนอื่นเข้าล็อกเกอร์ด้วย” โอนิฮิเมะพูดต่อ “เหมือนจะไปเซนได อีกเดี๋ยวคงจะมา” 

“แล้ว…เราควรทำอะไรต่อ” แพนด้าถาม เขายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างงงพอสมควรที่อยู่ๆ คำสาปก็มาคุยด้วยแบบเป็นมิตรสุดๆ 

“นั่งเฉยๆ ไม่ก็ไปหาอะไรกินก็ได้” โอนิฮิเมะล้วงบัตรเครดิตสีทองออกมาใบนึงก่อนจะแกว่งมันไปมาด้านหน้าของเด็กทั้งสามคน 

“บัตรของซาโตรุ”

“ความคิดนี้ดี” มาคิยิ้มก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียนที่อาจารย์ประจำชั้นยังไม่มา 

“ซาเกะๆ” อินุมาคิพยักหน้าเห็นด้วย “ทูน่ามาโย” 

“แต่ว่าไปร้านธรรมดาไม่ได้ สั่งเดลิเวอร์รี่กัน” โอนิฮิเมะมองไปที่แพนด้าก่อนที่จะพูดข้อจำกัดออกมา

“จัดไป” มาคิหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดหาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ โรงเรียน 



 

ยูตะไม่รู้ว่ามันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดทุกคนเอาอาวุธมาจ่อหน้าในสภาพพร้อมสู้มากๆ 

“ข้าจำได้ว่าเจ้าจะไปพานักเรียนมาไม่ใช่รึ” ผู้หญิงตัวเล็กที่สวมหน้ากากและฮู้ดสีดำถาม เสียงของเธอมันต่ำเกินกว่าที่จะเป็นเสียงของผู้หญิง 

“นายโดนสาปอยู่นะ” มาคิที่ถือง้าวอยู่พูดขึ้นมาขญะที่กระชับอาวุธในมือให้แน่นขึ้น “ที่นี่เป็นที่ร่ำเรียนคำสาป ไม่ใช่ให้คนที่ถูกสาปมา”

“อ๊ะๆ รีบอยู่ให้ห่างจากเขาดีกว่านะ” โกะโจเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ก่อนที่วินาทีต่อมาจะมีแขนและมือขนาดยักษ์ปรากฏออกมาขากกระดานดำที่อยู่ด้านหลังของอคคทสึ ยูตะ

“อย่าแกล้ง ยูตะนะ” เสียงแหบแห้งชวนสยดสยองของผู้หญิงดังออกมาจากหลังกระดานดำ

“ซาโตรุ ข้ากินได้หรือไม่” โอนิฮิเมะถามคนที่ถือว่าเป็นผู้ปกครองของตัวเองในตอนนี้ “กลิ่นกับพลังของมัน…ทำให้ข้าอยากกิน”

หน้ากากอนามัยถูกดึงลงมาไว้ที่คาง เผยให้เห็นเขี้ยวโค้งงอที่เป็นสัญลักษณ์ของยักษ์ 

“เด็กนี่ถูกสาป ให้ข้าจับกินเสียคงสิ้นเรื่อง” 

“อย่าแกล้ง ยูต่าาาาาาา” แขนขนาดใหญ่ทั้งสองข้างออกมากันเด็กหนุ่มออกจากทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า 

“ไม่เอาน่าโอนิฮิเมะ อย่าไปกินใครมั่วซั่ว” โกะโจยกมือขึ้นมาปราม “ลดอาวุธลงได้แล้ว โอนิจังรบกวนใส่หน้ากากกลับคืนด้วย”

“ตอนนี้ผมมีหน้าที่เป็นอาจารย์ของเขาครับ ดังนั้นโอนิจังไม่มีสิทธิมากินนักเรียนของผม”

“ก็ได้” 

“เอาล่ะ มาแนะนำตัวกัน” — “อคคทสึ ยูตะคร้าบ” “ฝากตัวด้วยนะครับ” โกะโจพูดแทนเด็กหนุ่มที่ยืนอ๊องและงงอยู่หน้าห้องก่อนที่จะเริ่มแนะนำตัวคนอื่นต่อโดยการบอกว่าทุกคนอยู่ในวัยต่อต้าน

“ผู้ใช้อุปกรณ์ไสยเวทในการปลดปล่อยคำสาป เซนอิง มาคิ” 

มาคิจับง้าวของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะทำทีไม่สนใจนักเรียนใหม่

“ผู้ใช้วาจาคำสาป อินุมาคิ โทเงะ” — “มีคำศัพท์แค่ไส้ข้าวปั้น พยามคุยเข้านะ” 

“สาหร่าย” อินุมาคิยกมือทักทายยูตะ

“ฉันคือแพนด้า ฝากตัวด้วย” แพนด้าพูดแนะนำตัวเองแย่งโกะดจก่อนที่อรกฝ่ายจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่โอนิฮิเมะ

“คำสาประดับพิเศษ โอนิฮิเมะ” — “เธอเป็นคำสาปในความดูแลของผม จนถึงทุกวันนี้นก็ยังไม่รู้ว่าเธอทำอะไรได้บ้าง”

“ข้าทำได้ทุกอย่าง ซาโตรุ” โอนิฮิเมะพูดขัดขึ้นมา ก่อนที่จะหันไปมองยูตะที่ยืนตัวลีบๆ หลบมุม

“ไม่ต้องกลัวข้าหรอก ข้าไม่ได้กินคนมาหลายร้อยปีแล้ว” 

“ผมว่านั่นไม่ใช่ประเด็นนะครับ” โกะโจตบมือเพื่อเรียกความสนใจของทุกคน “หลังจากนี้เราจะแบ่งทีมสองสอง แพนด้าคู่กับโทเงะและมาคิกับยูตะ” 

“แล้วก็เรามาเริ่มภารกิจแรกกัน” 


 

โอนิฮิเมะถูกส่งมาให้ดูแลแพนด้ากับโทเงะ ส่วนโกะโจไปดูแลอีกคู่นึง

“เอาล่ะ ข้าต้องแจกแจงภารกิจให้พวกเจ้าใช่ไหม” อสุรีสาวถามนิตยะที่เป็นคนขับรถอยู่ด้านข้างของตัวเอง

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวกัดผมจนขาวในชุดสูทตอบรับ 

“โอ้ ข้าอ่านคันจิของพวกเจ้าไม่ออก” — “งั้นอ่านเอานะ เดี๋ยวข้าส่งไฟล์ให้” โอนิฮิเมะกดเลือกไฟล์ล่าสุดที่โกะโจส่งมาให้ก่อนที่จะส่งมันต่อให้กับเด็กทั้งสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“ได้แล้วอ่านให้ข้าฟังด้วย” 

แพนด้าแพ่งหน้าจอโทรศัพท์ของอินุมาคิเพื่อที่จะอ่านและจับใจความก่อนที่จะบอกให้กับคำสาปที่นั่งอยู่ด้านหน้าฟัง

“ปราบคำสาประดับสองที่ตึกร้างแถวมินาโตะ ตัวตึกมีประวัติว่ามีคนเคยเข้ามาฆ่าตัวตายในนี้ด้วย”

“ถ้าข้าจำไม่ผิด อินุมาคิอยู่ระดับสอง ส่วนแพนด้า ข้าไม่มั่นใจเท่าไหร่” — “แต่ถ้าประเมินดูแล้ว พวกเจ้าน่าจะจัดการกันเองได้” 

 “ให้ฉันกางโทบาริให้ไหมคะ” นิตยะถามทุกคนที่อยู่ในรถ 

“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวข้ากางเอง” โอนิฮิเมะแจกแจงรายละเอียด “เจ้าไปหาซื้อพวกน้ำหวาน น้ำเปล่า ยาแก้ไอแล้วก็ของกินมาดีกว่า” 

“ค่ะ”


 

โทบาริหรือว่าม่าน มันคือเขตแดนที่คนด้านนอกมองเข้ามาไม่เห็นและจะทำให้คำสาปปรากฏออกมา 

ซาโตรุบังคับให้ข้าเรียนวิชานี้และบอกเรียบร้อยเสร็จสรรพว่าจะให้เป็นคู่หูของตัวเองเพราะว่าอีกฝ่ายมีเรื่องให้จัดการเยอะเกินไปทั้งในและนอกประเทศ

“จงปรากฏตัวจากความมืดดำสนิทยิ่งกว่าอันธกาล จงชำระล้างและปัดเป่ามลทินนั้น”

ท้องฟ้าเหนือตึกร้างมีสิ่งหนึงก่อตัวขึ้นมา มันค่อยๆ ไหลลงมรคลุมตึกร้างเอาไว้ไม่ต่างจากหยดน้ำหมึกที่ไหลในกระดาษ เมื่อมันปกคลุมถึงพื้นดิน

โอนิฮิเมะที่ยืนอยู่ด้านนอกก็มองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นแล้ว 



 

แต่ขึ้นชื่อว่าโลกของผู้ใช้คุณไสยและคำสาป ถ้าจะอยู่กันสงบๆ คงไม่ใช่เรื่อง 

ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงฝั่งของข้าหรอกนะ เด็กสองคนนั้นทำภารกิจได้เป็นอย่างดี เรียบร้อย สวยงามแต่ว่าทางฝั่งของซาโตรุดันมีเรื่องเกิดขึ้น

โอริโมโตะ ริกะ วิญญาณแค้นต้องสาประดับพิเศษปรากฏตัวขึ้นระหว่างการทำภารกิจ ทำให้คู่หูของข้าถูกพวกเด็กน้อยบ้าอำนาจเรียกเข้าไปหา 

ยังไงก็น่าจะโดนเรียกเข้าไปบ่น 


 

“มาคิเก่งไม่หยอก” โอนิฮิเมะมองการซ้อมต่อสู้กันของยูตะและมาคิที่สนามของโรงเรียน ในมือของเธอมีถุงขนมอยู่ ส่วนอีกข้างที่ถูกล่ามไว้กับกระเป๋านิรภัยก็คอยหยิบกิน 

“ข้าได้ยินว่านางมาจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ แต่ว่า…สิ่งใดคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่” 

ไม่ได้คำตอบจากคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“ข้าถามว่าสิ่งใดคือสามตระกูลใหญ่ ไม่ได้ยินข้ารึ” 

“ซาเกะ” อินุมาคิเอาศอกกระทุ้งแพนด้าให้เป็นคนตอบคำถาม

“ก็เป็นตระกูลใหญ่ของผู้ใช้คุณไสยของญี่ปุ่น ทรงพลังมากแล้วก็มีส่วนร่วมในการผนึกเรียวเมน สุคุนะเมื่อพันปีก่อนด้วย” — “มีตระกูลโกะโจ เซนอิงและคาโม่” แพนด้าอธิบายให้โอนิฮิเมะฟัง

“ออ ข้าพอเข้าใจละ” อสุรีพยักหน้าตอบรับก่อนจะส่งถุงขนมให้แพนด้าทั้งถุง “การรวมกลุ่มกันของพวกมนุษย์ ยิ่งมีเป้าหมายเดียวกันยิ่งแข็งแกร่ง แถมยังรวมตัวเพื่อเอาชีวิตรอดเสียด้วย”

“แล้วเรียวเมน สุคุนะเป็นคนเช่นไร” โอนิฮิเมะถามต่อ เมื่อสามเดือนก่อนนางเจอเพียงแค่ซากนิ้วและไม่ได้คิดสิ่งใดต่อ

“ราชาคำสาป” แพนด้าเล่าต่อ “ไม่มีใครรู้ไปมากกว่านี้หรอก คนที่รู้ก็ตายกันไปหมดแล้ว” 


 

โอนิฮิเมะใช้เวลาสักพักเพื่อที่จะย่อยข้อมูลที่ได้รับมาก่อนที่สายตาของเธอจะมองไปที่เหล่าเด็กน้อยที่เล่นสนุกกันอยู่ตรงหน้า

คนที่จะตายพร้อมข้ามีศักดิ์เป็นถึงราชาเชียวรึ ครั้งก่อนเคยเก่งกาจถึงเพียงไหนกันเชียว

แต่ช่างมันเถิด ยังไงข้าก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว รับรู้ไปก็ไม่ได้มีสิ่งใดมากกว่านั้น ความคิดของข้ามีเพียงแค่หากข้าตาย ก็อยากให้คนจดจำได้บ้าง อยากให้คนเหล่านั้นจัดงานเฉลิมฉลองให้กับความตายของข้า

เพียงเท่านี้