3 ตอน Episode 1
โดย 은혜
จะเรียกว่าเป็นวันที่อึมครึมก็ไม่ใช่จะสดใสก็ไม่สุด ตอนนี้ธนินกำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ที่ได้ลงไปตามเว็บสมัครงานต่างๆ แล้วเกิดมีบริษัทมาถูกตาต้องใจเขาเข้าจึงได้นัดให้ไปสัมภาษณ์ที่บริษัทวันนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ตัวเขาได้มีเรื่องกับพนักงานบริษัทที่ทำงานอยู่มานานหลายปี เหตุเพราะเพื่อนร่วมงานไม่เคยมีใครให้เกียรติเขาเลยแม้แต่คนเดียว
“งานที่พี่โยนมาให้ผมทำพี่บอกผมว่ามันไม่ได้หนักหนาสาหัสเลยทำไมผมทำให้พี่ไม่ได้ แล้วทำไมการที่พี่บอกว่าไม่หนักหนาอะไรแล้วทำไมพี่ไม่ทำเองล่ะครับ”
“ไอ้เมลมึงจะมากไปแล้วนะกูเป็นรุ่นพี่มึงนะ”
“นั่นน่ะสิครับ คุณเป็นรุ่นพี่ผมคุณโยนงานที่คุณบอกว่าง่ายแสนง่ายมาให้ผมทำได้ยังไง”
“ไอ้โอเมก้าชั้นต่ำ!”
ผั๊วะ!
เกิดการชกต่อยทันทีที่เพื่อนร่วมงานดูถูกเขา ธนินยอมได้ทุกอย่างแต่ไม่ใช่กับการกดเพศรองของโอเมก้าให้ต่ำตามที่ชายคนนี้ได้บอกกล่าว
“เป็นโอเมก้าแล้วมันทำไมวะ ทีมึงเป็นอัลฟ่าแล้วปากเหี้ยคนเขายังไม่ด่ามึงเลยแล้วมึงมีสิทธิอะไรมาด่ากู มึงเป็นพ่อกูหรอ!”
“เฮ้ยเมลพอได้แล้ว” ในขณะที่เขาทั้งสองคนกำลังฟัดกันนัว เพื่อนของผู้ชายคนนั้นก็พยายามมาดึงตัวเขาออก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็โดนต่อยสวนกลับมาแต่ไม่มีใครคิดที่จะห้ามผู้ชายคนนั้นแม้แต่คนเดียว แม้ใจจะรู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นคนเริ่มความรุนแรงแต่ชายคนนั้นดูถูกกันเขายอมไม่ได้
“ทีมันเริ่มด่าผมก่อนทำไมทุกคนถึงไม่ช่วยผม ทำไมทุกคนเอาแต่ยืนมองเหมือนทุกอย่างที่ผมโดนเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องที่ผมสมควรโดน เพราะว่าผมเป็นโอเมก้าหรอวะ คนแบบพวกพี่แม่งทุเรศฉิบหาย” ผมผรุสวาทออกไปด้วยอารามอดทนอดกลั้นไม่ไหวเนื่องจากอารมณ์ที่โดนกดขี่ทางด้านร่างกายและจิตใจที่โดนมาตลอดหลายปีนั้นได้ระเบิดออก
หลังจากนั้นธนินก็ลุกขึ้นไปเก็บของที่โต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเดินฝ่ากลุ่มคนออกมา
“เมลจะไปไหน” หนึ่งในนั้นถามผมด้วยความสงสัย
“ผมจะไปลาออก”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหนึ่งชั่วโมงแล้วที่เขากำลังรอสัมภาษณ์กับทางบริษัท เนื่องจากคนเยอะมากแล้วตัวเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเนื่องจากตื่นเต้นที่จะได้สัมภาษณ์งานที่ใหม่ ถ้าเป็นไปได้เขาขอไม่พบเจอคนประเภทเดียวกับที่ทำงานเก่าของเขาก็เพียงพอแล้ว
“คุณธนินเชิญค่ะ” พนักงานสาวที่คาดว่าจะเป็นคนดูแลเรื่องการจัดการคนก็ได้เรียกเขาเข้าไปสัมภาษณ์ อดตื่นเต้นไม่ได้เลยแฮะ
ภายในห้องมีเก้าอี้วางอยู่กลางห้องหนึ่งตัวและมีผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดสามคนนั่งเรียงกันที่โต๊ะด้านหน้า เขานั่งลงที่เก้าอี้เอ่ยทักทายเพื่อสร้างความประทับใจและเริ่มต้นความประหม่าของตัวเองทันที
“ช่วยแนะนำตัวเองสักหน่อยครับ” ทุกที่ถึงแม้จะมีเรซูเม่ของเขาอยู่ในมือแต่ก็ยังถาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับผู้ที่มาสัมภาษณ์งาน หากแสดงความมั่นใจให้เห็นได้ก็สามารถเรียกคะแนนจากผู้สัมภาษณ์ได้ระดับนึง
“สวัสดีครับผมชื่อธนิน อายุ29ปี เป็นโอเมก้าครับ” ธนินจงใจที่จะพูดเพศรองของตัวเองไปถึงแม้สมัยนี้โลกจะพัฒนาไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วแต่ก็ยังมีพวกคนที่คิดว่าโอเมก้าต่ำต้อยส่วนอัลฟ่านั้นสูงส่งเพียงเพราะในอดีตอัลฟ่าสามารถทำได้ทุกอย่างที่ใจต้องการ
ไม่ว่าจะมีฐานะที่ดีกว่าหรือร่างกายที่แข็งแรงกว่าซึ่งแตกต่างจากโอเมก้าที่ทั้งตัวเล็กและรูปร่างบอบบาง แต่พวกเขาคงไม่รู้ว่าพวกเราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
พวกเขาคิดไปเองทั้งนั้น ไม่เคยมีใครถามโอเมก้าไม่มีใครล่วงรู้ว่าเราก็เหมือนกับอัลฟ่าทุกประการ
“ทำไมคุณถึงกล้าที่จะมาสัมภาษณ์ที่นี่ละครับทั้ง ๆ ที่เป็นโอเมก้าแท้ ๆ ” ผู้ชายที่นั่งด้านซ้ายเอ่ยด้วยความขบขันสร้างบรรยากาศกดดันให้เขาเพียงเพราะเพศรองของเขา
“มันคงไม่เกี่ยวหรอกครับว่าผมจะเป็นโอเมก้าหรือไม่เป็น เป็นเพียงเพราะว่าความสามารถของผมตรงกับความต้องการของบริษัทผมเลยมาตามที่บริษัทเรียกผมมาก็แค่นั้น” ผมพูดออกไปตามที่ใจคิดไม่มีการคีพลุคใด ๆ ทั้งสิ้น แสดงความจริงใจ เขาเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งที่จะทำงานให้บริษัท
หากเขาทำงานได้ บริษัทก็ตอบแทนเป็นเงินเดือนที่เขาสมควรได้รับ ถ้าหากทำไม่ได้ บริษัทก็หาฟันเฟืองตัวใหม่ไม่มีอะไรซับซ้อน
“แล้วคุณคิดเหรอว่าการเป็นโอเมก้าของคุณจะไม่ทำให้คนในบริษัทเดือดร้อนขึ้นมาหากคุณเกิดอาการฮีท” ผู้สัมภาษณ์ยังคงต้อนเขาไปเรื่อย ๆ คิดเหรอว่าธนินจะยอมแพ้ง่ายๆ
“ผมป้องกันตัวเองได้ จดบันทึกรอบฮีทไว้ในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนทุกเดือน พกยาแก้ฮีทติดตัวสองหลอดเพื่อความปลอดภัยของตัวเองเสมอ”
“กลับกันหากเป็นอัลฟ่ามาสัมภาษณ์คุณจะถามเขาเหมือนที่คุณถามผมหรือเปล่า หรือว่าเลือกที่จะรับเขาเข้าทำงานเลยเพราะว่าเขาเป็นอัลฟ่าล่ะครับ?” ธนินถามไปด้วยความสงสัยไม่ได้คิดจะกวนตีนผู้สัมภาษณ์เลยแม้แต่น้อย
ทั้งสามระเบิดหัวเราะกับความตรงไปตรงมาของธนิน พวกเขาเพียงสอบถามไม่ได้คิดจะดูถูกอีกฝ่ายเรื่องที่เป็นโอเมก้าแม้แต่น้อย เพียงแค่อยากรู้ทัศนคติของธนินเพื่อที่จะได้พิจารณาเข้ารับทำงานหรือไม่
ทั้งสามปรึกษากันและได้ความเห็นตรงกันว่าธนินปากแจ๋วใช้ได้สามารถต่อรองและรับมือกับลูกค้าของพวกเขาในอนาคตได้แน่นอนหากทำงานร่วมกัน
“พวกเรารับคุณเข้าทำงานและต้องขอโทษด้วยหากคำพูดของพวกเราทำให้คุณเกิดความไม่สบายใจหรือไม่พึงพอใจ”
“พวกเราเพียงแค่ทดสอบคุณเล็กน้อยก่อนที่คุณจะเริ่มงาน คุณสามารถเริ่มงานได้เลยในวันพรุ่งนี้นะครับ”
“ครับ” เขาตอบกลับไปแบบงง ๆ ไม่ได้ถือสาอะไรกับทั้งสามคน เหมือนมานั่งแลกเปลี่ยนคำพูดกันมากกว่า
หลังจากสัมภาษณ์เสร็จผมก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก่อนที่จะแวะแฟมิลี่มาร์ทใกล้ ๆ กับบริษัทเพื่อซื้อขนมปังรองท้องเขาเป็นโรคกระเพาะหาก ไม่กินเขาคงได้ถูกใครสักคนหามส่งโรงพยาบาลเหมือนตอนมหาลัยแน่นอน
จะว่าไปเขายังไม่ได้บอกเพื่อนเลยว่าลาออกจากที่เดิมแล้ว ว่าแล้วก็โทรหาสักหน่อยดีกว่า
[ฮัลโหล]
“มึง”
[ว่าไงอีตัวดี หายหัวไปเลยนะมึง] เริ่มทักทายก็จั่วหัวว่าโดนสวดชัวร์
“หายหัวที่ไหนแค่ไม่ได้อ่านไลน์เองมั้ยอีป้ามึงอย่าโวย” ธนินไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าหายหัวจริงตามที่เพื่อนกล่าวหา
[ปากเสียกูป้ามึงก็ลุงนั่นแหละ แล้วโทรหามีอะไร]
“กูลาออกจากที่เดิมละ” พอพูดถึงธนินก็เริ่มหัวร้อนทีละนิดเนื่องจากโดนกระทำมานานไฟย่อมลุกท่วมท้นเป็นธรรมดา
[อ้าว ทำไมอ่ะเกิดอะไรขึ้น]
ธนินจึงเล่าตั้งแต่เกิดเรื่องยันจบทำให้จีน่าถึงกับสบถคำด่าออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาต้องบอกเธอให้ใจเย็นลง
[ทำไมมึงไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้เมล ถ้ากูรู้เร็วกว่านี้กูคงไปแหกอกแทนมึงแล้ว]
“ไม่เอาหน่าจีน่า เรื่องมันผ่านมาแล้วปล่อยมันเถอะ” ธนินพูดตัดบทไปเพราะว่ารู้ว่าเธอทำจริง ๆ แน่ ความจริงเธอคือเจ้าของบริษัทที่ผมเคยทำงานอยู่นั่นแหละแต่ตอนนี้เธอไปเจรจาธุรกิจหลายที่ทำให้ไม่ได้เจอกันเลย
[แล้วนี่มึงไปทำงานที่ไหน โอ๊ย กูจะบ้าตาย]
“กูได้งานที่ TM แล้ว พึ่งสัมภาษณ์เสร็จเขาบอกให้กูเริ่มงานพรุ่งนี้เลย เริศป้ะ” ธนินพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
[เห้อ ดีแล้ว เดี๋ยวถ้ากูกลับไปแล้วจะจัดการให้ พูดแล้วก็โมโหอีกแล้วกู]
“หน่ามึง แค่นี้ก่อนนะกูเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงคอนโดเลยเนี่ย”
[เออ ๆ ดูแลตัวเองดีๆ โทรหากูได้ตลอดมึงอย่าลืม]
“จ้าแม่ คิดถึงมึงนะ” ธนินทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่จีน่า
[กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน ไว้เจอกันนะ]
ติ๊ด
ธนินเดินเข้าคอนโดด้วยความเฉื่อยชา แพลนของเขาวันนี้คือการไปสัมภาษณ์งานกลับห้องมาทำอาหารกินและเล่นกับแมว
ห้องของเขาเป็นห้องขนาดค่อนข้างใหญ่เนื่องจากความชอบส่วนตัวที่คิดว่าห้องแคบ ๆ ตามคอนโดทั่วไปสร้างความอึดอัดให้ตนเองหากต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ธนินไม่มีบ้านเพราะครอบครัวของเขาไม่มีใครอยู่แล้วจึงขายบ้านหลังนั้นทิ้งและมาซื้อคอนโดหรูอยู่ใจกลางเมือง
“พุดดิ้ง เมลกลับมาแล้ว” อย่างแรกที่ธนินทำหลังจากเปิดประตูเข้ามาคือการเรียกหาเจ้าแมวเหมียว
พุดดิ้งเป็นแมวที่เขาเก็บได้ที่ข้างถนนตอนกำลังเดินเล่นแล้วเจอมันนอนอยู่ในกล่องข้างถังขยะพร้อมกับลูกแมวอีกหลายตัว
ธนินพาเจ้าลูกแมวไปหาหมอทั้งหมดเพื่อเช็คสุขภาพร่างกายและทำเรื่องประกาศหาบ้านให้แมวหลังจากที่นำพวกมันไปรักษา
ตัวเขาถูกชะตากับเจ้าพุดดิ้ง มันมีสีส้มแซมขาวขนเรียบไปกับผิว ลื่นมือจนต้องลูบเล่นทั้งวัน
ยอมรับว่าตอนแรกตัวเขาไม่รู้ว่าแมวเป็นสัตว์นักล่าที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืน คืนแรกที่เขาเอาพุดดิ้งไปนอนด้วยเรียกว่าเหมือนตกนรก เขาหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืนเพราะเจ้าพุดดิ้งแหกปากให้เขาตื่นขึ้นมาเล่นด้วย หลังจากนั้นเขาก็สั่งซื้อที่นอนให้เจ้าพุดดิ้งนอนนอกห้องป้องกันการดีดในช่วงกลางคืน
เมี๊ยว
พุดดิ้งขานรับและเดินนวยนาดมาหาเขาด้วยความขี้เกียจเพราะว่าพึ่งตื่นนอนเลยเดินโงนเงน ช่างน่ารักเสียจริง
“พุดดิ้งหิวมั้ยวันนี้เมลแวะมาร์ทมาก่อนกลับด้วยเลยกลับมาช้าขอโทษนะ” เขาร้องถามเจ้าพุดดิ้งออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันร้องได้แค่เมี๊ยว ๆ
อันที่จริงตัวเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะเลี้ยงแมวตัวนึงให้เติบโตมาให้ดีนั้นตัวเองจะทำได้ไหม หรือว่าเขาจะรับผิดชอบชีวิตของพุดดิ้งต่อจากนี้ยังไงหลังจากที่ตัดสินใจเอามันมาเลี้ยง
ตัวเขาในตอนนั้นสับสนไปหมด ทั้งกลัวจะทำได้ไม่ดี กลัวจะมีเวลาให้ไม่มากพอ แต่ก็ได้คำแนะนำของเพื่อน ๆ ที่สนับสนุนตัวเขามาตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
ธนินกดมือถือเพื่อให้อาหารพุดดิ้งผ่านเครื่องให้อาหาร ส่วนตัวเขาก็เดินไปที่แพนทรี่เพื่อทำอาหารของตัวเอง พอทานอาหารเสร็จจบแพลนของวันนี้เขาจะได้พักผ่อนและเข้านอนอย่างสบายใจสักที
วันนี้เขาเลือกที่จะมาทำงานด้วยรถไฟฟ้าเลยต้องตื่นตั้งแต่เช้าเบียดเสียดกับผู้คนนับร้อยนับพัน โหนราวจับเหมือนกับคนที่ต้องฝึกกล้ามแขนตลอดเวลา เพราะรถติดเขาจึงเลือกโดยสารขนส่งสาธารณะที่เป็นตัวช่วยของคนเมืองกรุง เขาไม่ชอบความวุ่นวายแต่เพราะเลี่ยงไม่ได้จึงยอม
ขนส่งสาธารณะของประเทศนี้เขาเคลมว่าดีนักดีหนา ตรงเวลา ไม่ล่าช้า ราคาไม่แพง
ไม่จริง!
ล่าสุดก่อนหน้านี้เขาก็ได้ใช้บริการรถไฟฟ้าเพราะเป็นเวลาเร่งด่วนแต่แล้วก็เกิดเหตุขึ้น
ขออภัยผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้ได้เกิดเหตุขัดข้องมีประตูบานหนึ่งในขบวนได้เปิดออกไม่สามารถปิดได้ และรถก็ไม่สามารถหยุดได้ขอให้ท่านระมัดระวังตัวเองจนกว่าจะถึงสถานีหน้า ขอบคุณค่ะ
แล้วคุณรู้ไหมว่าประตูบานที่ว่านั่นน่ะ คือประตูที่อยู่ข้างเขายังไงล่ะ!! เฮงซวยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ค่าโดยสารก็แพงแสนแพงยังต้องใช้ชีวิตแบบยืนอยู่บนเส้นด้ายอีกเหรอ
เหมือนใช้ชีวิตเพื่อเป็นเซอร์ไวเวอร์วันต่อวันยังไงก็ไม่รู้
ในที่สุดเขาก็ถึงหน้าที่ทำงานของตัวเองเสียที ยืนตั้งแต่ขึ้นสถานีจนกระทั่งลงก็ไม่ได้หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ของขนส่งเลยแม้แต่นิด เขาปวดขาปวดแขนไปหมด
ร่างโปร่งเดินเข้าบริษัทด้วยความเร่งรีบและติดต่อบอกว่าเขาเป็นพนักงานใหม่ที่เริ่มงานวันนี้และยังไม่รู้ที่ทางของตัวเองนัก
เขารอจนในที่สุดก็มีพี่ที่แผนกมาพาเขาขึ้นไปที่ชั้นสิบซึ่งเป็นแผนกของเขาที่จะต้องทำงานที่บริษัทแห่งนี้ ตึกนี้มีทั้งหมดสิบชั้นและห้องของเจ้าของบริษัทก็อยู่ลึกเข้าไปสุดทางเดินที่เดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาก็มองเห็นได้ว่าห้องนั้นใหญ่แค่ไหน เพราะห้องทั้งห้องเป็นกระจกใสที่มีมู่ลี่ปิดอยู่ทั้งแถบ
บริษัทนี้ทั้งใหญ่และกว้างขวางกว่าบริษัทของจีน่ามากเพราะด้วยชื่อเสียงของบริษัทหรือแม้แต่ชื่อเสียงของเจ้าของบริษัทอย่างคุณเตชินท์หรือคุณเทียร์ที่ว่าเป็นอัลฟ่าใจร้ายและหน้าดุที่คนเขาเล่าลือกันมา
“เดี๋ยวเมลนั่งทำงานที่โต๊ะนี้ได้เลยนะ” พี่ที่พาเขามาชื่อวทันยูหรือว่านัทที่เขาเดาเอาเองว่าเป็นโอเมก้าร่างสูง ท่าทางใจดีและดูเป็นมิตรกับเขามาก
“ขอบคุณมากนะครับพี่นัท” เขาเอ่ยขอบคุณวทันยูและเริ่มสำรวจโต๊ะทำงานของตัวเองคร่าว ๆ เหมือนโต๊ะทำงานของสำนักงานทั่วไป มีโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง อุปกรณ์จดโน้ตต่าง ๆ ที่จำเป็น และคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
โต๊ะของเขาอยู่ติดกับห้องทำงานของคุณเตชินท์ เรียกว่าถ้าเปิดมูลี่มาก็จ๊ะเอ๋หน้าเขาก่อนใครเพื่อน
จะรอดมั้ยวะ...
หลังจากมีคนเริ่มอธิบายและเอางานมาให้ทำเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยง เวลาที่พนักงานบริษัทอย่างเราโหยหา
“เมลไปกินข้าวกับอิ่มมั้ยซอยข้าง ๆ มีร้านอร่อย ๆ เพียบเลย” อิ่มเป็นเบต้าสาวที่เอี้ยวตัวเข้ามาทักทายเขาตอนทำงานเนื่องจากเรานั่งทำงานใกล้กัน
“เอาสิ เราอยากกินก๋วยเตี๋ยวพอจะมีร้านใช่ไหม” เขาเอ่ยถามออกไป ธนินรู้สึกว่าตัวเขาช่วงนี้ชอบกินแต่อาหารเส้น ๆ ร้อน ๆ ถึงแม้อากาศภายนอกจะร้อนยิ่งกว่านรกก็ตาม
“มี ๆ เดี๋ยวอิ่มพาไปกินร้านป้าแอ๋วเด็ดมากกกกกก” เขาส่งเสียงหัวเราะออกมากับท่าทางและการลากเสียงคำว่าเด็ดมากของอิ่ม
“เดี๋ยวเราไปชวนพี่นัทแปปนึง เมลลงไปรอข้างล่างก่อนก็ได้นะ”
“โอเคงั้นเดียวเรารอตรงล็อบบี้นะ”
ธนินเดินลงมารออิ่มตรงล็อบบี้ ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้พนักงานมากมายแทบจะไม่ใช่บริษัทแล้ว แทบจะเป็นโรงแรมอยู่แล้ว ทั้งล็อบบี้ ทั้งห้องนั่งเล่นเวลาคิดงานไม่ออก หรือห้องสังสรรค์เวลาเลิกงานแล้วพนักงานอย่างพวกเขาเกิดอยากปลดปล่อยความเครียด
ตอนธนินเดินสำรวจบริษัทเมื่อเช้าเขาเกือบเป็นลมเพราะความโอ่อ่าของชั้นต่าง ๆ ถ้าบอกว่าเป็นโรงแรมก็เชื่อ
จู่ ๆ ข้างล่างล็อบบี้ก็เกิดการแตกตื่นของบริษัทเหมือนผึ้งแตกรัง เขาเหมือนคนตามไม่ทัน ทำอะไรก็ไม่ถูกเพราะเกิดการจลาจลเล็ก ๆ เกิดขึ้น
เขาได้ยินเสียงของอิ่มกับวทันยูดังมาจากทางฝั่งลิฟต์เลยเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วก็มีอัลฟ่าเข้ามากระชากคอเสื้อวทันยูแล้วตะคอกใส่
“งานที่กูให้มึงทำต้องได้ภายในเที่ยงนี้ทำไมมึงทำไม่ได้ งานแค่นี้เอง”
“แต่นี่มันพักเที่ยงนะครับคุณศิน ผมบอกไปแล้วว่าผมทำให้เร็วสุดได้ก่อนบ่ายสอง” วทันยูพูดตอบกลับไปอย่างสุภาพและพยายามจับมือที่กระชากคอเสื้อของตนให้หลุดออก
สถานการณ์คุ้น ๆ เหมือนตัวเองเคยโดนเมื่อไม่นานมานี้เลยแฮะ
“เห้ยแต่นี่มันงานด่วนนะ” ชายที่ชื่อศินยังไม่ยอมแพ้
“งานรีบงานด่วนแล้วทำไมไม่ทำเองล่ะครับ” ธนินไม่อยากให้วทันยูโดนเหมือนตัวเอง แล้วเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบที่เดิมเหมือนที่ผ่านมา
“มึงเสือกอะไรด้วย ไม่ใช่เรื่องของมึง”
อ้าว แบบนี้ก็สวยสิ
“โห ดูคำพูดคำจาผ่านการสัมภาษณ์มาได้ไงวะคุณ” นาทีนี้อัลฟ่าก็อัลฟ่าเถอะไม่กลัวแล้วโว้ย
“มึง!” ศินปล่อยมือจากคอเสื้อวทันยูแล้วถลาเข้ามาหมายจะชกธนิน
ธนินตกใจหลับตาปี๋คิดว่าคงไม่แคล้วโดนชกหน้าปูดแน่คราวนี้
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกเจ็บสักทีจึงลืมตาขึ้นมาดูก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งมารับหมัดนั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวพร้อมกับเริ่มปล่อยฟีโรโมนขู่ศิน
“คุณเทียร์...”
ฉิบหายของจริงเลยรอบนี้...
Comments (0)