01

 

 

 

22 พฤษภาคม 2035

 

สถานการณ์ของโรคระบาดชนิดใหม่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ประชากรทางเหนือมากกว่าครึ่งติดเชื้อจนต้องปิดพื้นที่และประกาศเป็นพื้นที่กักกันพิเศษชั่วคราว ทางเราและรัฐบาลพยายามประคับประคองสถานการณ์ให้ได้มากที่สุดระหว่างรอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิ ทั้งเรื่องยารักษา อุปกรณ์และบุคลากรทางแพทย์ แต่ความช่วยเหลือไม่เคยมาถึง จักรวรรดิกำลังปล่อยให้ลูบริสเตนตาย

 

3 มิถุนายน 2035

 

ความรู้สึกเจ็บหน้าอกรุนแรงขึ้นทุกที ช่วงนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอน ยังดีที่มือยังพอเขียนได้อยู่ ทั้งที่อยากจะคุยกับท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ และเทอเรนซ์แท้ ๆ แต่บางครั้งก็ไม่มีแรงจะเปล่งเสียงออกไปเลย หมอบอกว่าไม่ใช่อาการของการติดเชื้อจากโรคระบาด แต่ก็ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นโรคอะไร ไม่ใช่โรคติดต่อแต่ร้ายแรงกว่านั้น ทุกส่วนของร่างกายกำลังอ่อนแอลง ไม่ชอบเอาเสียเลย

 

14 มิถุนายน 2035

 

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความตายอยู่ห่างเพียงก้าวไปข้างหน้า ลมหายใจค่อย ๆ แผ่วลง

 

27 มิถุนายน 2035

 

ยังอยากจะอยู่กับพวกเขาอีก ครอบครัว

 

13 กรกฎาคม 2035

 

ยังไม่อยากต---

 

.

 

.

 

.

 

 

ห่างไกลออกไปหลายปีแสง หากมองจากที่ตรงนั้นคงจะมองเห็นฉันเป็นเพียงแค่แสงสว่างอันริบหรี่ หรือจะเรียกได้ว่ามองไม่เห็นเลยก็ว่าได้ เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่ได้ตั้งชื่อให้ฉันเหมือนกับคนอื่นรอบกาย แม้จะแอบน้อยใจอยู่เล็กน้อยแต่ความรู้สึกนั้นก็อยู่กับฉันได้ไม่ถึง 20 ปี

 

ก่อนจะหันไปสนใจหนังจอใหญ่เยอะที่มีนักแสดงเกือบล้านล้านคนเป็นนักแสดงนำ จากจุดที่ฉันอยู่สามารถมองดูวิวัฒนาการของพวกเขาได้อย่างชัดเจนราวกับใช้แว่นขยายส่องดู เลยรู้สึกเพลิดเพลินจนหลงลืมอะไรไปหลาย ๆ อย่าง ชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้นน่าสนใจยิ่งหนัก จากสิ่งมีชีวิตที่บังเอิญมีสมองที่แปลกประหลาดกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นแถมวิวัฒนาการเริ่มแรกก็ดูอ่อนแอ จนไม่น่ารอดมาได้กลับมีวิวัฒนาการใหม่ทุก ๆ ร้อยปีและกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลที่สุดบนดาว

 

‘มนุษย์นี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจเหลือเกิน’ 

 

พอคิดได้เช่นนั้นก็จดจ่อกับการดูชีวิตมนุษย์มาถึง 5,000 ปี พื้นดินพื้นน้ำที่ตอนแรกไม่อะไรตอนนี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างของมนุษย์เต็มไปหมด ถ้าลองซูมเอ้าท์ออกมาแล้วก็เหมือนกองขยะดีนี่แหละ แต่ความสามารถของมนุษย์นี่สิที่เหลือเชื่อ เชื่อมโลกทั้งใบได้ด้วยสัญญาณไร้สายและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แม้ในอดีตจะผ่านเรื่องเลวร้ายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง แต่เผ่าพันธุ์นี้ก็พัฒนาตัวเองเรื่อยมา จนตอนนี้กลายเป็นทั้งผู้สร้าง และทำลายล้างโลกไปพร้อม ๆ กัน

 

มนุษย์หลายยุคเชื่อว่าดาวตัวเองจะแตกในสักวัน แต่จนถึงตอนนี้แล้วก็ไม่เห็นจะแตกสักที อยากจะเห็นภาพดวงดาวแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างที่มนุษย์เพ้อฝันเอาไว้บ้าง ถึงจะคาดไว้แล้วว่าคงไม่เกิดขึ้นตอนที่มนุษย์มีชีวิตอยู่หรอก เพราะเมื่อวันนั้นมาถึงดาวดวงนี้คงไม่มีอากาศให้มนุษย์หายใจซะก่อนที่จะถึงจุดจบ และตอนนี้เองประชากรก็เหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเมื่อแทบกับ 500 กว่าปีก่อน คงใกล้ถึงเวลาสูญพันธุ์ของมนุษย์แล้ว

 

‘ก็นะ มันเป็นผลที่ต้องได้รับจากการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว มนุษย์ยุคก่อน ๆ เล่นทำอะไรไม่คิดเผื่ออนาคตเลย มันก็ต้องได้รับผลกลับมาแบบนี้ละนะ’ 

 

แต่เพราะแบบนั้นแหละ ฉันถึงอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ ภาพของมนุษย์คนสุดท้ายของโลกจะเป็นเช่นไรนะ แค่คิดก็ตื่นเต้นไม่ไหวแล้ว วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กันนะ!

 

ป๊อปคอร์น~ ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรดี ๆ มาเล่าบ้างหรอ?”

 

“อืม… ไม่มีแหะ ช่วงนี้มนุษย์ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยกันมาก”

 

“เราเองก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนกันละน้า เมื่อไหร่จักรวาลนี้จะแตกสักที ฉันละเบื่อเต็มที่แล้ว”

 

“คาดหวังไว้ใหญ่จังนะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายความว่าเราจะดับสูญไปด้วยนะ”

 

“ก็ยังดีกว่าลอยค้างอยู่ตรงนี้ละกัน ทำอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่ให้พวกนั้นเงยหน้ามองแค่นั้น แถมช่วงนี้ก็ไม่มีคนมองฟ้ากันแล้ว”

 

“ก็โลกตอนนี้เปิดไฟตลอดเวลาเลยนี่นา ไม่แปลกหรอกที่จะไม่เห็นพวกเรา”

 

ดาวโลก ดาวเคราะห์ที่ดูสงบสุขซึ่งอยู่เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 ของระบบสุริยะนี้ และฉันก็ลอยอยู่ใกล้ดาวเคราะห์ดวงนี้มากที่สุด

 

“นี่ ได้ยินมารึยังว่าหนึ่งในกลุ่มหงส์โดนท่านผู้นั้นเรียกลงไปข้างล่างล่ะ”

 

“เอ๊ะ? อีกแล้วหรอ? ถ้าจำไม่ผิด 500 ปีก่อนก็เรียกจากกลุ่มหงส์ไปนี่”

 

“ใช่ไหมล่ะ ๆ แบบนี้มันลำเอียงที่สุดเลย ดาวที่ไร้กลุ่มแบบพวกเราก็เบื่อนะ! รีบ ๆ เรียกลงไปจุติได้แล้ว”

 

“เวลาเกือบ 2,000 ปียังไม่พอรึไง ต้องให้รอไปถึงเมื่อไหร่ ฉันอยากมีร่างกาย อยากเปิดหูเปิดตาในโลกมนุษย์บ้าง อ๊ะ โทษทีนะป๊อปคอร์นลืมไปเลยว่าเธอรอมาตั้ง 5,000 ปีแล้ว”

 

คำพูดที่ตอกย้ำอายุนั้นทำให้อยากจะยิ้มเจื่อน ๆ ให้เหมือนกัน แต่ไม่มีหน้าอะนะ ใช่แล้วล่ะ ฉันเป็นดวงดาวเล็ก ๆ ที่หากมองจากโลกแล้วก็มองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ อยู่ห่างไกลและไม่มีกลุ่มก้อน จะมีก็แค่เพื่อนบ้านละแวกโดยรอบที่พูดคุยกันบ้าง แต่นั่นก็ไม่ทำให้เหงาสักเท่าไหร่

 

ป๊อปคอร์น เป็นชื่อเรียกที่เพื่อนบ้านมอบให้ เพราะเห็นว่าฉันชอบดูหนังเรื่องมนุษย์โลกจึงนำสิ่งที่มนุษย์กินตอนดูหนังมาเรียกเป็นชื่อฉัน และที่ไม่มีชื่อก็เพราะไม่มีใครเรียก ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้จักฉัน ไม่เคยมีใครค้นพบและตั้งชื่อให้ฉัน แม้จะอิจฉาเพื่อนรอบข้างที่มีชื่อกันแต่ได้ชื่อป๊อปคอร์นจากเหล่าดาวรอบข้างก็ไม่แย่เท่าไหร่

 

“แต่ว่า ท่านผู้นั้นมีจริง ๆ หรอ คนที่เรียกเราไปจุติน่ะ”

 

“มีจริงสิ ถึงช่วงหลังจะไม่โผล่หน้าออกมาแล้ว แต่ช่วงแรกก็มาเรียกเหล่าดวงลงไปจุติด้วยตัวเองนะ”

 

ฉันเล่าออกมาจากประสบการณ์จริง ที่ได้พานพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันนานแล้ว ถ้าเรียกตามมนุษย์คงจะเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ละมั้ง เพราะตัวตนของเพื่อนเก่าคนนั้นเปรียบเสมือนผู้สร้างจักรวาลนี้ เป็นเทพเจ้าแห่งการสร้าง

 

ตอนแรกก็ได้เจอกันบ่อยอยู่หรอก แต่เหมือนว่าจะมีงานให้ทำเยอะแยะไปหมดเลยไม่ได้เจอกันแล้ว หน้าที่ของเขากับดาวอย่างพวกเราก็คือการเรียกลงไปเกิดเป็นมนุษย์ทุก ๆ 10 ปี และเมื่อใดที่ลงไปจุติแล้วก็จะมีคนมาแทนที่เป็นดาวดวงนั้นต่อ

 

‘แบบนี้เรียกว่าวิญญาณรึเปล่านะ?’ 

 

‘อื้ม ใช่ ฉันเป็นวิญญาณของดวงดาวไร้ชื่อ ที่อยู่มา 5,000 กว่าปีแล้ว’ 

 

พูดเรื่องอายุแล้วก็อาจจะรู้สึกนานไปหน่อย แต่เพราะได้ดูหนังที่มีชื่อเรื่องว่ามนุษย์โลก เลยรู้สึกว่าเวลา 5,000 ปีผ่านไปเร็วจนไม่ได้ตระหนักอะไร แม้เพื่อนดาวรอบข้างบางดวงจะลงไปเกิดและมีจุติมาใหม่หลายรอบแล้วก็เถอะ แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่ได้อยากลงไปเกิดใหม่สักเท่าไหร่

 

‘ถ้าลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องเจ็บปวดนั่นสิ ร่างกายที่มีวันหมดอายุแบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก ช่วงเวลาหรรษาหรือช่วงวัยรุ่นที่ผ่านไปเร็วอีก ฉันไม่อยากจะผ่านอายุ 20 ปีแล้วปวดหลังตลอดชีวิตหรอกนะ!!’ 

 

‘สู้อยู่เป็นวิญญาณดวงดาวไร้ชื่อที่ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ได้เป็นพัน ๆ ปีโดยมีหนังจอยักษ์ให้ดูฟรี ๆ แบบนี้ดีกว่ากันตั้งเยอะ’ 

 

แต่แล้วก็เหมือนหมอนั่นได้ยินความคิดของฉัน ในยามค่ำ ณ ซีกโลกหนึ่งดวงดาวน้อย ๆ อย่างฉันกำลังพยายามเบ่งแสงตัวเองออกมาให้คนมองเห็น ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าทำไม่ได้แต่เพราะไม่มีอะไรทำเลยเล่นปัญญาอ่อนอย่างนั้นกับตัวเองบ่อย ๆ แต่ในขณะที่เล่นอยู่นั้นกลับรู้สึกว่าภาพภายหน้าดำมืดไปหมดก่อนจะโผล่มาในที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเงาสะท้อนของตนเอง

 

“วาลิแอร์?” 

 

ฉันเอ่ยเรียกนามของเพื่อนเก่าแก่

 

“ไม่เจอกันนานเลยนะ ไร้ชื่อ

 

เสียงสะท้อนกลับมานั้นมีทั้งเสียงเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ทั้งชายและหญิงปนเปกัน พอไม่ได้ยินมานานแล้วก็รู้สึกสับสนเหมือนกันนะเนี่ย

 

“อย่ามาเรียกด้วยชื่อนั้นนะ” ฉันตอบกลับอย่างไม่พอใจ

 

“ฮะฮ่า ขอโทษที ต้องเรียกว่าป๊อปคอร์นรึเปล่านะ?”

 

“ชื่อนั้นก็ห้ามเรียก อันนั้นสงวนสิทธิ์ไว้ให้เพื่อนบ้านเท่านั้น”

 

“งั้นหรอ งั้นก็เรียกไร้ชื่อเหมือนเดิมละกันนะ”

 

“..ยังกวนประสาทไม่เปลี่ยนเลยสินะ”

 

“แน่นอนสิ ฉันก็ยังเป็นเพื่อนเก่าเธอคนเดิมนี่นา ช่วงนี้ยังสนุกอยู่รึเปล่า?”

 

“ก็ได้เรื่อย ๆ แหละ แต่ว่า คงไม่ได้เรียกมาเพื่อถามแค่นี้ใช่ไหม?”

 

“สมกับที่เป็นไร้ชื่อ คือว่าอย่างงี้นะฉันเองก็ว่าปล่อยให้เธอรอมานานแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาของเธอแล้วล่ะ ได้เวลาลงไปจุ-”

 

“ไม่เอา”

 

“ปฏิเสธไวไปไหม!?”

 

“ฉันจะรอจุดจบของมนุษย์โลก ถ้าไม่ได้ดูก่อนก็ไม่ไปหรอก”

 

“หื้ม? แต่ว่านั่นต้องรอไปอีก 2-3 พันปีเลยนะ ถ้านานขนาดนั้นได้เป็นทวดของทวดของทวดของทวดวิญญาณดวงดาวพอดีนะ”

 

“แล้วทำไมมันถึงนานขนาดนั้นเล่า!!? นายเร่งให้มันเร็วกว่านี้ได้ไม่ใช่รึไง”

 

“เอ๋~ เรื่องนั้นไม่อยากทำเลยแฮะ เข้าไปยุ่มย่ามกับดาวเคราะห์แบบนั้นไม่น่าจะใช่เรื่องดีเท่าไหร่”

 

“คนที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์น้องไดโนเสาร์มีหน้ามาพูดแบบนี้ได้เร๊อะ!?”

 

“เอ๊ะ พูดถึงเรื่องอะไรน้า~ วุ่นวายไปหมดจนลืมเรื่องเก่า ๆ ไปหมดแล้วล่ะ ฮ่ะฮ่า”

 

“เห้อ แต่ไม่ใช่ว่าเพิ่งเรียกจากกลุ่มดาวหงส์ไปหรอ อาทิตย์ที่แล้วเองนี่” พอใจเย็นลงแล้วฉันเลยรีบกลับมาเข้าประเด็นทันที

 

“ใช่ เพิ่งเรียกไป แต่ว่าที่ที่จะส่งไร้ชื่อไปน่ะ ไม่ใช่ดาวโลกหรอก”

 

“ไม่ใช่โลก?”

 

“เป็นดาวเคราะห์หนึ่งที่อยู่อีกระบบสุริยะหนึ่งน่ะ ฉันสร้างขึ้นโดยใช้โลกเป็นโมเดล ทุกอย่างก็คล้ายกันหมดเลยเว้นแต่เรื่องวิวัฒนาการที่ดูจะวุ่นวายไปหน่อย”

 

“อ๋อ ที่บอกว่าไปเปิดโปรเจ็คใหม่คืออันนี้เองหรอกหรอ”

 

“ใช่ๆๆ จำได้ด้วยหรอไร้ชื่อ”

 

“ในโลกมีโลกปีศาจไหม หรือว่ามีซูเปอร์ฮีโร่ แวมไพร์ แม่มด หรือว่าโลกของวิญญาณ!?”

 

“เฮ้อ เรื่องแบบนั้นมันจะไปมีอยู่ได้ยังไงล่ะ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย พูดออกได้ยังไงน่ะ”

 

คำพูดเหน็บแนมทำเอาอยากเบะปากใส่ แต่ว่าก็ไม่มีปาก เลยได้แต่พูดออกมาอย่างหมั่นไส้ว่า “ชิ ไม่รู้จักความแฟนตาซีบ้างเลย น่าเบื่อจริง แล้ว…ไอ้เรื่องวิวัฒนาการที่มีปัญหานั่นมันอะไรล่ะ”

 

“แหะ แหะ คือว่าฉันน่ะนะตอนสร้างโลกใบนั้นฉันสร้างด้วยคำถามเต็มไปหมด แบบว่าถ้าหากมีอันนั้นให้เลยจะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าไม่ให้อันนี้ล่ะจะเป็นยังไง จนสุดท้ายวิวัฒนาการมันเกิดไม่เท่ากันน่ะสิ บางอันก็ไฮแทคไปเลยบางอันก็ยังติดอยู่ในยุคกลางอยู่เลย”

 

น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเลิ่กลั่ก เหมือนกับคนที่ทำอะไรผิดยังไงอย่างนั้น

 

“และทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีต่างกันขนาดนั้นมนุษย์ก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรจึงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะงั้นมันเลยกลายมาเป็นปัญหาน่ะสิ ตอนนี้น่ะโลกยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งเทคโนโลยี วัฒนธรรมการเป็นอยู่ปนเปมั่วซั่วไปหมด เพราะงั้นก็เลยอยากให้ไร้ชื่อลงไปช่วยให้มันดีขึ้นหน่อยน่ะ”

 

“เฮ้อ แล้วโลกเวอร์ชั่นสองมีอายุเท่าไหร่แล้ว”

 

“สะ สองพันปีแล้ว”

 

“ห๊า!!? บ้าไปแล้วหรอ ให้ทุกอย่างพังขนาดนั้นได้ไง คิดว่าเป็นเทพแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นหรอ รสนิยมหรือสมองมีปัญหารึเปล่าเนี่ย!?”

 

“ยะ..อย่าซ้ำเติมสิ เห็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกผิดอยู่นะ ไม่งั้นไม่มาคุยกับไร้ชื่อหรอก ไร้ชื่อลงไปช่วยให้มันสมดุลหน่อยนะ นะ?”

 

การแสดงน้ำเสียงออดอ้อนนั้นใช้ไม่ได้กับดวงดาวน้อย ๆ ที่ใจกล้าดวงนี้ “แกก็ลงไปแก้เองสิ” 

 

“ใจร้าย! ก็รู้นี่ว่าฉันลงไปไม่ได้ มีดาวหลายดวงที่ฉันต้องดูแลนะ”

 

“แล้วทำไมต้องเป็นฉันที่ลงไปด้วย!?”

 

“ก็จะมีใครรู้เรื่องโลกไปมากเท่าไร้ชื่ออีกล่ะ ทั้งสังคม วัฒนธรรม การเมืองหรือวิทยาศาสตร์ ไร้ชื่อถือว่าเป็นปรมาจารย์ด้านมนุษย์ทุกเรื่องเลยไม่ใช่รึไง ถึงตอนแรกว่าจะเลือกคนอื่นอยู่หรอก แต่ก็อยากได้คนที่มีอายุ มีประสบการณ์หน่อย สัก 4-5 พันปีนี่กำลังโอเคเลย”

 

“เอองั้นก็ไปหาคนอื่นสิ”

 

“มันไม่มีน่ะสิ! วิญญาณดวงดาวที่มีอายุขนาดนั้นเหลือแค่ไร้ชื่อแล้ว"

 

"เวลาเป็นสิ่งที่น่ากลัวจังเลยน้า รู้สึกว่าส่งลงไปไม่กี่คนแท้ ๆ แต่หายกันไปหมดแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็เลยเหลือแค่วิญญาณคุณทวดไร้ชื่อที่ต้องมาช่วยฉันแล้วล่ะ”

 

“…นั่นมันไม่ใช่คำขอร้องใช่ไหม?” ฉันถามขึ้นอย่างหวาดหวั่น

 

“คำขอร้องสิ~ แต่ถ้าไร้ชื่อไม่ทำตามละก็ฉันสามารถเปลี่ยนเป็นคำสั่งได้นะ”

 

‘ไอ้เทพเจ้าเฮงซวยนี่’ 

 

“ก็รู้นี่ว่าแค่คิดฉันก็สามารถทำให้เธอลงไปเกิดโดยที่ไม่ต้องขอความสมัครใจเธอได้เลย แต่เพราะเห็นว่าgikเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันก็เลยจะมาขอร้องสุดหัวใจ”

 

“ไม่เห็นรับรู้ถึงความจริงใจสักนิด”

 

“ฮะฮ่ะฮ่า พูดอะไรน่ะ นี่ก็จริงใจสุดแล้วนะ ไม่อยากลงไปเกิดจริง ๆ หรอ มีอะไรทำให้เยอะแยะเลยนะ ตั้งแต่ร้องอุแว้ ๆ จนถึงโอ๊ย ๆ หลังตูปวดไม่ไหวแล้วเลยนะ”

 

“…”

 

“ไม่สนใจหรอ? งั้นของกินล่ะ อาหารมนุษย์มีหลากหลายมากเลยนี่ อยากจะมีปากไว้ลิ้มรสใช่ไหมล่ะ? ถ้ายังเป็นวิญญาณดวงดาวต่อไปก็ไม่มีทางได้รับรู้หรอกนะว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร”

 

“ชอบมนุษย์ขนาดนั้นแท้ ๆ แต่กลับไม่รู้รสชาติของที่มนุษย์กินนี่มันก็น่าเศร้าจังน้า”

 

“แต่ถ้าอยากจะลองก็มีแค่ต้องลงไปเกิดเท่านั้นละน้า”

 

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วน้า~”

 

“…ขายตรงเก่งขนาดนี้ก็ลาออกจากการเป็นเทพเถอะ!”

 

“ฮิฮิ แปลว่าแอบสนใจอยู่สินะ เอาล่ะงั้นเราไปเลือกตัวเลือกกันเลย!”

 

“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ไม่ใช-”

 

ยังไม่ทันพูดจบแสงนับล้านก็พุ่งตรงเข้ามาล้อมรอบก่อนจะจางหายไป ในห้องที่เต็มไปด้วยเศษกระจกแตกกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพสะท้อนของใครมากมายรอบแสดงออกมาผ่านเศษกระจกเหล่านั้น และเสียงเรียกแผ่วเบาที่ได้ยินตั้งแต่เข้ามา

 

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องมิติแห่งกระจก” วาลิแอร์เทพเจ้าแห่งการสร้างเอ่ยเสียงดังก้อง

 

“มีอะไรแบบนี้ด้วยหรอ? ไม่ใช่ว่าจะดีดลงไปเกิดเลยหรอ?”

 

“ปกติก็ทำอย่างนั้นแหละ แต่ว่าของไร้ชื่อจะให้เป็นกรณีพิเศษ ทุกครั้งที่ดาวลงไปจุติเป็นมนุษย์นั้นเราเพียงแค่ดีดสุ่มให้เขาเข้าไปในวิญญาณใหม่ที่กำลังจะเกิด ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะไปลงที่ใดและไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับวิญญาณดวงดาวอีกต่อไป…”

 

“แต่ว่าของไร้ชื่อน่ะ ฉันจะให้เลือกได้เองตามใจชอบเลย แถมแพ็กเกจไม่ลบความทรงจำให้ด้วย”

 

“แน่สิ ถ้าลบความทรงจำฉันก็ใช้งานไม่ได้น่ะสิ” อีกคนหัวเราะคิกคักเมื่อโดนรู้ทัน “แค่เด็กคนเดียวจะเปลี่ยนโลกได้หรอ?”

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลย ในที่นี้ฉันคัดวิญญาณใหม่ที่กำลังจะเกิดจากพวกผู้มีอำนาจของโลกไว้แล้ว มีแต่ขาใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ เกิดมาแล้วเปลี่ยนแปลงโลกได้แน่นอน”

 

แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับเจ้าเทพคนนี้ทั้งหมด แต่ฉันก็เลือกด้วยวิญญาณใหม่ตามที่เจ้านั่นคะยั้นคะยอ ขณะที่เลือกดูเสียงโหยหวนของใครบางคนก็ยังไม่หายไป มันแผ่วเบาราวกับสายลมพัดผ่าน และดูเหมือนว่าวาลิแอร์จะไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย

 

‘ช่วยด้วย ฉันยังไม่อยากตาย ตายไม่ได้นะ ยังอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่อยู่เลย หากตายแล้วท่านคงเสียใจ ขอเวลาอีกนิดเถิด ขอให้ฉันอยู่ต่อกับพวกเขาเถอะ ไม่อยากตายๆๆๆๆๆ’ 

 

‘ไม่อยากตาย แต่เจ็บปวดเหลือเกิน’ 

 

“นี่ เศษกระจกฝั่งนั้นคืออะไรหรอ?” ฉันถามแทรกวาลิแอร์ถึงเศษกระจกในมุมมืดที่แสงส่องไม่ถึงจนไม่อาจมองเห็นว่ามี แต่เพราะเสียงนั่นทำให้ฉันรู้ว่ามีใครอยู่ตรงนั้น

 

“ตรงนั้นเป็นดวงวิญญาณที่ใกล้จะดับน่ะ ฉันรวมมาด้วยเพราะเป็นวิญญาณของลูกผู้มีอำนาจเหมือนกัน แต่อย่าไปสนใจเลย เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติของมนุษ- ไร้ ไร้ชื่อ?”

 

วาลิแอร์เรียกชื่อฉันเมื่อเห็นว่าฉันลอยเข้าไปใกล้เศษกระจกไร้แสง

 

“เด็กคนนี้กำลังจะตายงั้นหรอ?”

 

“เอ๊ะ? อื้ม” เสียงพลิกกระดาษดังก้องทั่วห้อง “กำลังจะตายด้วยโรค น่าจะอยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน”

 

‘โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ไม่มีเทพ ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ ช่วยให้เวลาฉันอีกเถอะ ขอร้องล่ะ’ 

 

โอ้ว เจ้าเด็กคนนี้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแต่ก็ยังเพ้อฝันเหมือนมนุษย์ปกติสินะ เพราะใกล้ตายรึเปล่านะ

 

‘ฉันแค่อยากจะอยู่กับครอบครัวต่อก็เท่านั้น’ 

 

ดูเหมือนว่าจะมีครอบครัวที่ดีนะ

 

‘ฉันไม่อยากตาย’ 

 

ฉันรู้แก่ใจดีว่าการตายของมนุษย์มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอ เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่เด็กน้อยคนนี้ ไม่สิ คงมีเด็กอีกเป็นล้านที่กำลังคร่ำครวญแบบนี้อยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโลก เพิ่งได้เริ่มใช้ชีวิตที่มีแสงสว่างแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องมัวหมองลงเร็วเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน

 

“จะว่าไปแล้วดวงวิญญาณของไร้ชื่อกับเด็กคนนี้ก็คล้ายกันอยู่นะ”

 

“หื้ม?”

 

“เด็กคนนี้น่ะมีความสามารถนะ แต่กลับไม่มีใครมองเห็นเลย เหมือนกับไร้ชื่อที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าแต่กลับไม่มีใครค้นพบนั่นแหละ เหล่าดวงดาวที่น่าสงสาร”

 

“วาลิแอร์”

 

“ฉันตัดสินใจแล้ว”

 

“เอ๊ะ เลือกได้แล้วงั้นหรอ ๆ เอาวิญญาณไหนเอ่ย มาทางนี้เร็ว”

 

 

“ฉันเลือกยัยหนูใกล้ตายคนนี้” 

 

 

 

#มงกุฎหนาม