03

 

 

หลังจากโดนสอบประวัติ ไม่สิ ตรวจร่างกายก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ อาการที่เคยเจ็บปวดมาแรมเดือนหายไปในพริบตา แม้ทุกคนจะมองด้วยสายตาเหลือเชื่อแต่ก็พร่ำบอกว่าโล่งอกกันหมด ทว่ายังจะให้ไปตรวจเพิ่มที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้อีกเพื่อความมั่นใจ

 

แล้วก็ถึงพอจะเดาได้จากหน้ายัยหนูนี้แล้วก็เถอะ แต่ว่าฉันลงมาเกิดเป็นคนยุโรปหรืออะไรเทือกนั้นสินะ ดูจากลูกบ้านนี้ที่ได้ยีนเด่นมาจากคนที่น่าจะเป็นพ่อมาเกือบหมดเลย ทั้งผลบลอนด์ ตาสีฟ้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทั่วไปของคนยุโรปเลยทำให้เดาไม่ยากสักเท่าไหร่ ส่วนนัยน์ตาสีแดงก่ำของยัยหนูนี้ที่ต่างไปจากพี่น้องคนอื่นก็คงมาจากฝั่งแม่สินะ หญิงสาวผู้มีผมดำทมิฬสลวยกับนัยน์แดงชาดที่ในยุคหนึ่งของมนุษย์เรียกคนมีลักษณะเหล่านี้ว่า ‘แม่มด’

 

“ไม่มีอาการปวดหัวอะไรแล้วจริง ๆ หรอ?” หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าสละสลวยลูบหัวฉันด้วยความเป็นห่วง

 

“ค่ะท่านแม่ หนูไม่เจ็บตรงไหนแล้วจริง ๆ” ฉันยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าฉันยังเป็นลูกสาวของบ้านนี้ตัวจริง ถึงจะไม่รู้นิสัยวิธีการพูดของยัยหนูนี้เลยสักนิดก็เถอะ แต่ถ้าเกิดพวกเขาสงสัยขึ้นมาว่าทำไมลูกสาวตัวเองเปลี่ยนไปคงจะชิบหายแน่ ๆ เพราะงั้นต้องตีเนียนไปก่อน

 

“พอเห็นเราหลับไปตั้ง 2 วันพ่อเขาก็นอนไม่หลับเลยนะ ทำให้แม่พลอยนอนไม่หลับไปอีกคน”

 

“เอ๊ะ ขนาดนั้นเลยหรอคะ? ไม่ต้องห่วงหนูขนาดนั้-”

 

“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะ! ฮึก ก็ตั้งแต่วันนั้นที่ลูกล้มวันนั้นก็อาการไม่ดีมาตลอดเลย ทั้งที่เป็นเด็กแข็งแรงมาแต่เกิดแท้ ๆ จะไม่ให้พ่อกังวลใจได้ยังไงล่ะ ฮืออออ”

 

ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่นองไหลแอบแก้มเป็นทาง ทั้งที่เพิ่งหยุดร้องได้เมื่อกี้แล้วแต่บ่อน้ำตาเขาก็แตกอีกครั้ง ก่อนจะโอบกอดลูกสาวคนรองทั้งน้ำตา

 

‘หมอนี่เป็นพ่อฉันใช่ไหม และฉันเป็นเจ้าหญิง เท่ากับหมอนี่เป็นพระราชาไม่ใช่รึไง? แสดงท่าทีอ่อนแอแบบนี้ออกมานี้ก็ได้ด้วยหรอ!?’

 

“ขะ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะคะท่านพ่อ” ฉันตบหลังอีกคนเบา ๆ เพื่อปลอบโยน

 

“ท่านพ่อล่ะก็อย่ากอดน้องแรงสิค่ะ เดี๋ยวแอสทีเรียเจ็บนะ”

 

หญิงสาวที่ฉันเรียกว่าท่านพี่ปรามผู้ใหญ่ข้างหน้า เธอใบหน้าที่งดงามไม่ต่างจากท่านแม่ ดวงตากลมโตสีฟ้าใสและรอยยิ้มแสนอ่อนหวานหยดย้อยราวกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้มอง

 

“แอสทีเรียเจ็บหรอ พ่อขอโทษนะ ฮึก”

 

“คราวนี้เราก็ปล่อยให้น้องพักผ่อนกันเถอะค่ะ สายป่านนี้แล้วน้องยังไม่ได้ทานอะไรเลย ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็ยังไม่ทานอะไรใช่ไหมคะ ออกไปทานก่อนเถอะ เดี๋ยวลูกอยู่ดูแลน้องต่อเอง”

 

“ฮือ เอาอย่างนั้นหรอ ลูกเองก็อย่าหักโหมเกินไปนะ ถ้าล้มป่วยอีกคนจะแย่เอา” ผู้เป็นพ่อแตะบ่าลูกคนโตอย่างกังวลใจก่อนจะทำตามที่อีกคนบอก

 

“ไปเถอะเทอเรนซ์ ลูกน่ะไปอาบน้ำก่อนแล้วรีบมาที่ห้องอาหารล่ะ”

 

‘บ้านนี้มันดูธรรมเกินไปที่จะเป็นราชวงศ์นะเนี่ย’

 

ผู้เป็นแม่จูงมือเด็กชายตัวน้อยที่ทำหน้าบู้บี้อยู่ ก่อนออกจากห้องเด็กคนนั้นหันมาจ้องฉันและชี้หน้าคล้ายกับออกคำสั่ง

 

“ห้ามท่านพี่หลับไม่ตื่นอีกนะ! ถ้าทำอีกละก็ผมจะงอนนะ!!”

 

‘ไอ้เด็กนี่…’

 

ก็พอเข้าใจอยู่ว่านั่นอาจเป็นการแสดงความเป็นห่วงของเด็ก ด้วยคำพูดตรงไปตรงมา แต่ท่าทางอวดเบ่งและน้ำเสียงขึงขังนั่นไม่ได้ทำให้ดูน่ารักเลยสักนิด

 

“เทอเรนซ์เองก็คงเป็นห่วงเธอมากเหมือนกัน” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปสั่งในเตรียมอาหารมาให้ฉัน

 

ข้าวต้ม…

 

นึกว่ามื้อแรกของการเป็นมนุษย์จะเป็นเนื้อวัวสุดหรูเกรดเอซะอีก ไอ้ข้าวที่ไร้รสชาตินี่มันอะไรกัน… เฮ้อ แต่นะถ้าขืนกินเนื้อวัวด้วยสภาพคนใกล้ตายแบบนี้คงได้ช็อคตายจริง ๆ นั่นแหละ ไว้ร่างกายนี้หายดีขึ้นมาเมื่อไหร่จะออกไปหาอะไรกินให้จุใจเลย

 

หลังจากทานอาหารเสร็จท่านพี่ก็อยู่ดูแลฉันตลอดเวลาไม่ไปไหน แม้จะมีพยาบาลอยู่ด้วยก็ตามแต่เธอก็ดูแลน้องสาวตัวเองด้วยมือของตน และไม่ยอมให้ใครมีแตะต้องนอกจากหมอประจำตัวที่เข้ามาตรวจช่วงบ่าย

 

“ท่านพี่ไม่เหนื่อยหรอคะ?” ฉันเอ่ยถามออกมา

 

“ไม่เลย กลับกันวันนี้พี่กลับรู้สึกมีความสุขเหลือที่ได้พูดคุยกับเธอเหมือนเดิม จากนี้ก็อย่าได้เจ็บป่วยอีกเลยนะ แอสทีเรีย”

 

เธอกุมมือฉันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างในท่าภาวนา ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย

 

“2 เดือนที่ผ่านมาพี่กลัวเหลือเกิน กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่ได้คุยกันอีก อย่าไม่สบายอีกเลยนะ แค่นี้ใจพี่ก็รับแทบไม่ไหวแล้วหากไม่มีเธอขึ้นจริง ๆ พวกเราอยู่กันไม่ได้หรอก แอสทีเรีย…”

 

เสียงสั่นเทาแสดงออกให้เห็นถึงความหวาดกลัว

 

“…”

“เพราะงั้นมาอยู่ด้วยกันนาน ๆ ไปจนแก่เฒ่าเถอะนะ”

 

พอเห็นความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความหวังแล้ว ฉันก็ไม่อาจพูดขัดคำตั้งใจของอีกคนไปได้ แม้ว่าน้องสาวของเธอคนนั้นกำลังจะดับสูญไปก็ตาม

 

“ค่ะท่านพี่..”

 

‘ช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและหาเจอได้ยากเหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยัยหนูนี้ถึงได้ยึดติดกับครอบครัวขนาดนี้’

 

มีไม่มากหรอกนะมนุษย์ที่จะมองครอบครัวตนเองเป็นเซฟโซนของตัวเอง ยิ่งได้รับรู้ว่าครอบครัวนี้เป็นถึงราชวงศ์ของประเทศแห่งหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกผิดคาดขึ้นไปอีก ไม่คิดเลยว่าจะได้รับความรักมากมายขนาดนี้ ถึงจะผ่านมาไม่ถึงวันแต่กลับรู้สึกได้ถึงความรักและพลังบวกที่ครอบครัวนี้มีให้กัน ความจริงใจที่แสดงออกมาอย่างไม่เก็บซ่อนนั้นเป็นภาพที่หาได้ยากจริง ๆ

 

‘มีครอบครัวที่ดีจังนะ ยัยหนู’

 

“อา จะไปแล้ว ท่านพี่คะ สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้างหรอคะ?” พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ดีนักจึงเอ่ยปากถามไป

 

“เพิ่งอาการดีขึ้นก็ถามเรื่องบ้านเมืองแล้วหรอ พักผ่อนสักหน่อยเถอะ ไปติดนิสัยแบบนี้มาจากใครกันนะ”

 

“แต่ว่าหนูอยากรู้จริง ๆ นี่คะ 2 เดือนที่ผ่านมา..ก็ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย” ฉันตอแหลออกไปหน้าด้าน ๆ

 

“เฮ้อ จริง ๆ เลย” อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะเดินไปหยิบแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งส่งมาให้ฉัน ในนั้นมีเว็บข้อมูลข่าวสารหลายแท็บที่เคยถูกค้นหา ฉันจึงอ่านแบบแสกนด้วยความรวดเร็วแสง

 

“แต่สถานการณ์ข้างนอกก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ ผู้ป่วยติดเชื้อทางเหนือมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องขยายพื้นที่กักกันเพิ่มอีก ถึงอาการผู้ป่วยจะไม่แย่เท่าช่วงแรก ๆ แล้วแต่กลายเป็นการป่วยเรื้อรังยาวนานนี่สิที่น่าเป็นห่วง”

 

“ป่วยเรื้อรังหรอคะ?”

 

“อื้ม เรียกว่า Long Covid น่ะ”

 

“คะ โควิด…โควิด-19?” ฉันอ้าปากเหวอเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อโรคระบาดร้ายแรงของโลกโมเดลในช่วงยุคหนึ่ง

 

‘ไอ้เทพเจ้าเซ็งเคร็งนั่นชอบเห็นมนุษย์ตายจริง ๆ สินะ มีสงครามไม่พอยังให้มีโรคระบาดอีก แล้วมันดีดฉันลงมาในโลกระยำแบบนี้ได้ยังไง!?’

 

“ไม่ใช่ 19 ซะหน่อยต้อง 30 สิ ลืมไปแล้วหรอ?”

 

“30?”

 

สงสัยว่าเหตุการณ์ของโลกเวอร์ชั้นสองนี้จะไม่เป็นไปตามโลกโมเดล แต่ว่าเมื่อกี้เธอพูดว่า 30 สินะ ฉันก้มลงไปดูวันเดือนปีในจอแท็บแล็ต

 

‘2035!?’

 

“ระ เราอยู่กับโรคนี้มาตั้ง 5 ปีแล้วหรอคะ!?”

 

“อืม ตกใจอะไรขนาดนั้นเนี่ย” อีกคนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นฉันขึ้นเสียง

 

นี่มันเกินไปรึเปล่า อย่างน้อยโลกโมเดลก็กำจัดโรคนี้ได้ภายใน 3 ปีกว่าเองนะ ไม่มีทางที่จะยืดเยื้อยาวนานขนาดนี้ได้แน่ หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของเทพบ้าบอนั่น… อื้ม น่าจะใช่

 

“แพทย์ที่ส่งไปวิจัยที่จักรวรรดิก็ไม่ส่งข่าวคราวกลับมา ทั้งยารักษา วัคซีน หรืออุปกรณ์การแพทย์อะไรที่บอกว่าจะให้ ทางจักรวรรดิก็เงียบ”

 

‘จักรวรรดิ..’

 

“ก่อนจะกลับมาบ้าน พอได้เห็นประชาชนฝั่งนู้นใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดจากโรคกันแล้วก็รู้สึกเศร้าใจเหลือเกินที่ประเทศเรายังไม่สามารถกำจัดโรคนี้ไปได้”

 

“จำเป็นต้องรอแพทย์ที่เราส่งไปจักรวรรดิด้วยหรอคะ หนูคิดว่าถ้าให้แพทย์ที่เหลืออยู่ในประเทศร่วมทำวิจัยด้วยน่าจะได้ยาและวัคซีนเร็วกว่านะคะ” ฉันพยายามกลั่นกรองข้อมูลที่ได้มาจากแท็บแล็ตและคำพูดของท่านพี่ออกมาและถามออกไป

 

“แต่แพทย์ที่เหลืออยู่ในประเทศตอนนี้มีแค่นักศึกษาแพทย์น่ะสิ ส่วนอาจารย์แพทย์ที่มีอยู่ไม่ถึงร้อยก็ต้องไปประจำทางเหนือเพื่อดูคนไข้อีก ตอนนี้ไม่มีแพทย์คนไหนว่างมาทำวิจัยหรอก”

 

‘อะไรกัน สถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้’

 

“แล้วนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยหรือเภสัชล่ะคะไม่เหลือเลยหรอ?”

 

ท่านพี่พยักหน้า “ก็ตอนนั้นทางจักรวรรดิขอความช่วยเหลือ ไม่สิ บังคับทางเราให้ส่งบุคลากรทางแพทย์ไปเกือบหมดเพราะสถานการณ์โรคระบาดจักรวรรดิเลวร้ายกว่าเรา แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาจะ 2 ปีแล้ว เห้อ…เธอเองก็อย่าคิดมากล่ะ เดี๋ยวก็ได้ล้มป่วยไปอีก”

 

“ค่ะ” แม้จะตอบรับความหวังดีไปแต่ฉันก็ไม่อาจหยุดหาข้อมูลของประเทศนี้และประเทศจักรวรรดินั้นได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงกลางคืน

 

“เห้อ…สรุปแล้วฉันลงมาเกิดเป็นเจ้าหญิงของประเทศนี้ ที่กำลังจะล่มสลายทางการเมืองสินะ”

 

ฉันกุมหัวเพื่อบรรเทาความรู้สึกปวดตุบตับข้างใน หลังจากที่นั่งอ่านข่าว อ่านบทความมาตลอดวันก็ได้รับรู้ข้อมูลคร่าวๆ มาแล้วว่าประเทศนี้คือ ลูบริสเตน ประเทศทางตะวันออกของทวีป ติดมหาสมุทร มีทรัพยากรมากมายหลากหลาย เป็นเมืองท่าที่เคยคึกคักและเต็มไปได้ผู้คนต่างชาติมาค้าขายกัน

 

แต่จากประวัติศาสตร์อันยาวนานเกือบร้อยปี ประเทศนี้ถูกกัดกินอำนาจจากประเทศจักรวรรดิประเทศเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนมหาอำนาจของโลกหนึ่งเดียวตอนนี้ ทั้งถูกแทรกแซงการเมือง การเงิน การค้าและการส่งออกต่าง ๆ ถูกกินรวบแทบทั้งประเทศ ถึงช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาลูบริสเตนลุกขึ้นมาต่อกรกับจักรวรรดิบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

 

หลังจากการวางแผนโค่นล้มจักรวรรดิของพระราชาองค์ล้มไม่เป็นท่า ทางจักรวรรดิก็ให้ท่านพ่อยัยหนูนี่ที่เป็นน้องชายของราชาองค์ก่อนขึ้นครองราชย์ โดยหวังว่าจะควบคุมท่านพ่อให้อยู่ใต้การบังคับและยึดครองลูบริสเตนให้เป็นประเทศเดียวกัน ด้วยการอ้างความผิดขององค์ราชาคนก่อนมาเข้าควบคุมการจัดการต่าง ๆ ในประเทศ ทำให้ตอนนี้ลูบริสเตนจึงอยู่ในช่วงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

“กำลังทหารก็มีไม่พอ อาวุธก็โดนยึดไปหมดตั้งแต่พระราชาองค์ก่อน จบสิ้นแล้วสินะประเทศนี้”

 

‘ยังไม่จบสิ้นสักหน่อยค่ะ!’

 

“อ๊ากกกกกกก!”

 

ฉันกรี๊ดร้องออกมาเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในแท็บแล็ตขยับได้และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงของฉัน

 

“อะไรๆๆ โลกนี้มีผีด้วยเร๊อะ ไหนบอกว่าไม่มีไง บ้าไปแล้วๆๆๆ”

 

‘เสียมารยาทนะคะ ฉันเป็นเจ้าของร่างนั้นแท้ๆ’

 

“เอ๋ ยัยหนูเองหรอ!?” ฉันพูดกับตัวเองในจอแท็บแล็ต

 

‘ก็ฉันน่ะสิ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะคะ คุณเป็นคนบอกว่าเราจะแชร์ร่างกายกันเองไม่ใช่หรอคะ’

 

“เอ๊ะ เอ่อ ก็ใช่…ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นในรูปแบบนี้ก็เถอะ”

 

‘ฮิฮิ ขอบคุณนะคะ! ในที่สุดหนูก็พูดออกมาได้แล้ว ได้กลับไปกอดท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ และคีแรนอีกครั้งด้วย’ เด็กน้อยยิ้มกว้างออกมาอย่างสมวัยต่างจากเด็กที่เคยนั่งจมความมืดในคืนนั้น

 

“อ่อ ตอนนั้นเป็นเธอเองสินะ ถึงว่าห้ามอะไรไม่ได้เลย ดีใจด้วยละกัน”

 

‘ขอบคุณจริง ๆ นะคะ นึกว่าวันนั้นฝันไปเองซะอีก ว่าแต่จะให้ฉันเรียกคุณว่าอะไรดีคะ?’

 

“ฉันไม่มีชื่อหรอก อยากจะเรียกอะไรก็เรียกเลย”

 

‘เอ๊ะ?’ เด็กสาวดูงุนงงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู

 

‘แอสทีเรีย! จากนี้ไปคุณชื่อแอสทีเรียแล้วนะคะ’

 

เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ฉันตกใจนิดหน่อย “จะดีหรอ?”

 

‘ดีสิคะ จากนี้ไปหนึ่งปีก็ฝากตัวด้วยนะคะแอสทีเรีย’

 

“อื้ม ฝากตัวด้วยนะ” พอฉันตอบอย่างนั้นอีกคนก็ยิ้มร่าอย่างมีความสุข ก็เป็นปฏิกิริยาที่สมวัยตัวเองดี ดีกว่าภาพลักษณ์ครั้งแรกที่ได้พบกัน ทั้งสิ้นหวัง หดหู่ ไร้ชีวิตชีวา แบบนี้ดีกว่ากันเยอะเลย

 

“คุยกันได้แบบนี้ก็ดีเลย ฉันเองก็อยากรู้เรื่องของเธอเหมือนกัน ถ้าไปถามคนอื่นคงจะถูกมองแปลก ๆ”

 

‘ได้เลยค่ะ ฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลยค่ะ!’ เด็กสาวพูดอย่างตื่นเต้น

 

“อ้อ ถ้าเป็นไปได้ละอยากจะถามเรื่องสถานการณ์ของราชวงศ์ด้วย ไม่สิ เธอคงเด็กไป คงยังไม่รู้เรื่องอะไร”

 

‘ถ้าเป็นเรื่องงานในราชวงศ์ฉันรู้ทุกอย่างนะคะ จะเป็นเรื่องการเมืองการค้าหรือว่าเรื่องอะไรของประเทศนี้ก็ฉันก็สามารถอธิบายได้หมดค่ะ เห็นแบบนี้ฉันก็แก่แดดพอตัวนะคะ’

 

“ทุกอย่างคือความรู้ละนะ มนุษย์เกิดมาเพื่อเรียนรู้อยู่แล้วเพราะงั้นไม่ใช่เรื่องแก่แดดหรอก” ฉันกล่าวความคิดเห็นตนเองออกมา

 

‘จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากรับรู้เรื่องอะไรแบบนี้หรอกค่ะ แต่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองมันบีบบังคับ และฉันไม่อยากเป็นเพียงเจ้าหญิงโง่เง่าที่ปิดหูปิดตาไม่รู้แม้กระทั่งสถานการณ์ของประเทศตัวเอง’

 

สายตาที่เศร้าหมองลงทำให้ฉันแอบรู้สึกเจ็บร่วมด้วย แม้จะไม่รู้ว่ายัยหนูนี้ผ่านอะไรมาบ้างก็เถอะ แต่คงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายสินะ

 

“แล้ว…สถานการณ์ฝั่งเราเป็นยังไงล่ะ? มีอะไรที่พอจะยึดกลับมาเป็นของตัวเองบ้างไหม”

 

‘ถ้าให้บอกตามตรง ก็แทบจะไม่มีเลยค่ะ..’

 

“จบสิ้นแล้วล่ะเรา”

 

‘ไม่สิ เดี๋ยวก่อนสิคะๆ ถึงแม้จะเรียกอำนาจกลับมาเป็นของตัวเองได้ยากเพราะรัฐบาลเป็นคนของทางจักรวรรดิ แต่ว่าท่านพ่อก็กำลัง-’

 

“หา นี่กำลังจะบอกฉันว่าแม้แต่รัฐบาลของประเทศก็มาจากจักรวรรดิงั้นหรอ?”

“…ค่ะ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ

 

“ชิบหายกันให้หมด ประเทศนี้”

 

‘อย่าเพิ่งสิคะ!! แล้วก็ระวังคำพูดพูดด้วย’ พอโดนเด็กที่มีอายุน้อยกว่าเป็นหลายพันปีตักเตือนเรื่องคำพูดก็ทำให้ฉันแอบสะอึกเล็กน้อยเหมือนกัน

 

‘ตอนนี้ท่านพ่อกำลังทุ่มงบให้กระทรวงเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้โดนจักรวรรดิยึดอยู่ค่ะ ส่วนมากก็เป็นการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่งออกประเทศต่าง ๆ ถึงจะยังสู้เจ้าใหญ่ในตลาดโลกได้ไม่เท่าไหร่ แต่จากการคาดการณ์ของแผนกการตลาดแล้วในอนาคตจะได้กำไรจากด้านนี้แน่นอนค่ะ’

 

‘แล้วทางด้านการเกษตร ท่านพ่อก็ไปเจรจากับทางจักรวรรดิสำเร็จในการยกเลิกการผูกขาดการส่งออกสินค้าเกษตรให้กับจักรวรรดิประเทศเดียว ทำให้ตอนนี้ยอดการส่งออกสินค้าเกษตรเริ่มพุ่งขึ้นมาแล้วค่ะ’

 

ฉันนั่งฟังเด็กน้อยพูดเหมือนกับฟังการพรีเซ้นในห้องเรียนอย่างฉะฉาน “เธออายุเท่าไหร่กันน่ะ?”

 

‘เอ๊ะ เอ่อ 15 ค่ะ’

 

พอได้ยินคำตอบก็ทำให้ฉันต้องอ้าปากค้าง เด็กอายุแค่นี้ทำไมถึงพูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างสมูทขนาดนี้ ระดับนี้นี่มันเท่ากับเด็กมหาลัยไม่ก็คนทำงานเลยนะ ยัยหนูนี่เป็นใครเนี่ย! ไม่มีเด็กคนไหนทำได้แบบนี้หรอกนะ!?

 

“อา อื้ม เท่าที่ฟังมาดูเหมือนว่าท่านพ่อของเธอจะกำลังจัดการได้ดีอยู่นะ ขัดจากภาพลักษณ์ปวกเปียกยังไงไม่รู้”

 

‘ใช่ไหมล่ะคะ! ถึงจะเห็นเป็นคนอ่อนแอไม่สู้คน แต่ท่านพ่อหนูเวลาทำงานน่ะเก่งมาก ๆ เลยนะคะ’

 

“ก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าถ้าอยากเรียกอำนาจกลับมาคืนจริง ๆ ก็ต้องเป็นใหญ่สักเรื่องของโลกละนะ ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ทำได้มีแค่การส่งออกอุปกรณ์อิเล็กนิกส์กับการเกษตร”

 

‘ถ้าหากว่ามีสินค้าอะไรที่เด่น ๆ กว่านี้ก็คงดีสินะคะ’

 

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ถ้าเป็นไอเดียละก็ฉันมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมดเลยละ จะสร้างสิ่งของที่ทำให้ทุกคนตะลึงให้ดู”

 

จะหยิบเทคโนโลยีปี 3000 ของโลกโมเดลมาโชว์ให้ดูเป็นขวัญตาเลย!

 

‘โห้วว แอสทีเรียสุดเท่~’

 

“หึ ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” พอได้ยินคำยินยอก็เผลอยิ้มรับไปอย่างอวดเบ่ง แต่จู่ ๆ ภายในท้องก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด

 

‘อ่า…แบบนั้นเป็นการปวดท้องนะคะ ต้องรีบไปห้องน้ำแล้ว’

 

“อะ อื้ม”

 

แบบนี้คือการปวดท้องถ่ายของเสียออกมาของมนุษย์สินะ ต้องจำความรู้สึกเอาไว้ซะแล้วล่ะ

 

ฉันพยุงร่างของตัวเองที่ไม่ค่อยมีแรงขึ้นมาจากเตียงและเกาะสิ่งของต่าง ๆ เพื่อเดินไปถึงห้องน้ำ จะว่าไปแล้วห้องนี้ก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในยุค 2000 ของโลกโมเดลเหมือนกัน จะมีก็เพียงแค่ประติมากรรมหรือเฟอร์นิเจอร์บางอย่างที่ดูหลงยุคโผล่เข้ามาปนเปด้วย

 

‘นี่สินะ ความแตกต่างที่วาลิแอร์เคยพูดเอาไว้’

 

สิ่งของหลายอย่างที่อยู่กันคนละยุคถูกรวมมาอยู่ในยุคเดียวกัน โดยที่ทุกคนไม่มองเห็นถึงความแตกต่างของมัน ก็ถ้าเป็นแค่อะไรเล็กน้อยแค่นี้ก็พอจะรับได้อยู่หรอก…

 

“เหี้ยอะไรเนี่ยยย!??” ฉันตะโกนขึ้นมาเสียงดังหลังจากเปิดไฟห้องแล้วพบกับบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดเกินรับได้

 

‘อะไรคะ เกิดอะไรขึ้นคะ!??’

 

“อ๊ากกกกกก!!”

 

ฉันกรีดร้องออกมาเป็นครั้งที่สอง เมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกขยับตามใจชอบอีกครั้ง

 

“โผล่มาได้ยังไงเนี่ย!?”

 

‘ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าแต่เป็นอะไรรึเปล่าคะเมื่อกี้ร้องเสียงหลงเชียว’

 

“ไอ่นั้นน่ะ ของปกติหรอ?” ฉันชี้ไปตรงสิ่งก่อสร้างชิ้นหนึ่งที่ไม่น่าจะมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้

 

‘…ชักโครกหรอคะ ก็ของปกตินะคะ’

 

“แต่นั่นมันแบบนั่งยอง ๆ ไม่ใช่หรอ ราชวงศ์นี้ตกต่ำถึงขนาดที่ไม่มีชักโครกปกติเลยหรอ ตายๆๆๆ งานนี้ตายแน่ จบสิ้นล่ะโลกตูไม่เอาด้วยแล้วว”

 

‘พูดอะไรน่ะคะ นี่ก็ชักโครกปกติที่มีทุกประเทศนะคะ’

 

ช็อค

 

นี่ยัยหนูนี่กำลังพูดว่าในยุคศตวรรษที่ 20 ของมนุษยชาติยังคงใช้ชักโครกนั่งยอง ๆ ที่แสนปวดขานี่อีกหรอ อุปกรณ์ฉีดตูดก็ไม่มีและยังจะมาพูดว่าไม่มีชักโครกที่นั่งปกติบนโลกนี้เลยอย่างงั้นหรอ!? แบบนี้มันเหลื่อมล้ำเกินยุคกันไปหน่อยมั้ง อ๊ากกกก!

 

“จะบอกว่าทุกคนใช้ไอ้นี้ฉี่แล้วก็ขี้งั้นหรอ”

 

‘ใช่ค่ะ ทั้งถ่ายหนักถ่ายเบา’ เด็กน้อยเอียงคออย่างสงสัย

 

“แบบนี้มันไม่ใช่แล้ววว! ดูซิเปิดตากว้าง ๆ เลยนะ ทั้งอ่างล้างมือ ฝักบัว อ่างอาบน้ำก็เป็นอัตโนมัติหมดแล้วไม่ใช่หรอ ไม่มีทางที่ชักโครกมันจะเป็นของ low tech แบบนั้นไปได้หรอก!!”

 

‘มันก็…ปกตินะคะ’ เด็กน้อยในเงาสะท้อนตอบกลับมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจท่าทีโมโหของอีกคน

 

“ฮู้ว ฮ้า โอเค ตั้งสติเรา…ยัยหนูออกไปได้แล้ว ฉันจะอึๆ” ฉันค่อย ๆ ปรับลมหายใจก่อนจะบอกอีกคนให้ออกไปเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในท้องมันจะออกมาแล้วจากการที่ใช้พลังเยอะเกินไปเมื่อครู่

 

‘ออกไปยังไงหรอคะ?’

 

“เอ๊ะ? เธอไม่รู้หรอ?”

 

‘แล้วคุณไม่รู้หรอคะ?’

 

ฉันอยากจะกรีดร้องออกมาอีกรอบเพื่อบรรเทาความอัดอั้นที่มีอยู่ข้างใน แต่ก็ต้องเก็บมันไว้และหันไปทำธุระของตัวเองเพราะความอดทนส่วนล่างกำลังจะหมด ฉันนั่งทำธุระอยู่อย่างนั้นโดยมียัยหนูนั้นอยู่เป็นเพื่อนข้าง ๆ ในการถ่ายหนักครั้งแรกของการเป็นมนุษย์ และระหว่างการทำธุระนั้นในหัวก็บรรเจิดไอเดียสุดเริ่ดที่จะทำให้ลูบริสเตนกลับมามีอำนาจต่อสังคมโลกได้ภายในพริบตาเดียว

 

“นี่ยัยหนูฉันมีแผน”

 

หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำ ฉันก็ออกมานั่งคุยกับยัยหนูนี้หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งด้วยสีหน้าจริงจัง

 

‘แผนอะไรงั้นหรอคะ?’

 

“แผนปฏิบัติการส่งออกสินค้าตัวใหม่ของลูบริสเตน”

 

.

 

.

 

.

 

 

“โครงการโถชักโครกที่มีสายฉีดตูด”

 

 

 

 

 

#มงกุฎหนาม