2 ตอน 02 ในคืนดาวตกคืนนั้น
โดย Rabbity
02
“ฉันเลือกยัยหนูใกล้ตายคนนี้”
“เอ๊ะ!?” เจ้าของห้องตกใจออกเสียงดังลั่น
“ไม่ได้หรอ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก แต่-”
“งั้นก็จบแล้วนี่ รีบ ๆ ดีดลงไปเร็ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
“ไม่สิๆๆ เดี๋ยวก่อน มันค่อนข้างจะยุ่งยากนิดหน่อยถ้าหากเลือกคนที่มีวิญญาณอยู่แล้ว ถึงจะใกล้ดับก็เถอะ คนอื่นก็มีให้เลือกเยอะแยะไม่ใช่หรอไร้ชื่อ ลองคิดดูใหม่เถอะ”
“ไม่เอาอ่ะ ถ้าลงไปแบบมีสติแล้วต้องไปอุแว้ ๆ แบบนั้นเสียศักดิ์ศรีจะตาย หรือว่าถ้าเลือกร่างนี้แล้วจะอยู่ได้แค่แปบเดียวแล้วตายหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ถ้าหากมีวิญญาณใหม่เข้าไปแทนที่ก็จะอยู่ได้ตามอายุขัยใหม่ แต่ว่าการเข้าไปแทรกแซงร่างที่มีวิญญาณอยู่แล้ว จำเป็นต้องขอเจ้าของวิญญาณซะก่อน ซึ่งส่วนมากก็ไม่มีใครยอมอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าเกิดขอได้ล่ะ? วิญญาณเดิมจะดับสูญไปเลยหรอ?”
“ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ถ้าเข้าไปร่างกายจะมีสองวิญญาณ วิญญาณเดิมจะมีเวลาเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก่อนจะดับหายไปเอง ถ้าเป็นเด็กคนนี้ก็คงจะมีเวลาเพิ่มอีกสักปี”
“แค่นี้เองหรอ งั้นลองให้ฉันคุยกับยัยหนูนี่หน่อยสิ”
“หา นี่พูดจริง ๆ หรอ เอาจริงใช่ไหมเนี่ย”
“เรื่องแบบนี้ใครจะล้อเล่นกัน เร็ว ๆ เถอะน่า”
“ก็ได้ ๆ แต่ถ้าเจ้าตัวไม่ให้ต้องมาเลือกวิญญาณใหม่นะ”
“จ้า ๆ รู้แล้วจ้า”
หลังจากวาลิแอร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เศษกระจกในเงามือก็สว่างขึ้น ภาพสะท้อนอื่น ๆ ค่อยเลือนหายไปเหลือเพียงภาพตัวฉันที่สะท้อนใบหน้าของใครบางคนอยู่
มือ เท้า ร่างกายที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้รู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องเก็บมันเอาไว้ก่อนเมื่อเห็นใครคนหนึ่งนั่งกอดขาอยู่มุมห้อง สองเท้าเล็กก้าวไปหาเป้าหมายด้วยความเงียบก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงของตน
“ยัยหนูน้อย”
อีกคนเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าตกใจ เจ้าของร่างกายที่ผอมซูบแทบจะเหลือเพียงกระดูกและนัยน์ตาสีแดงชาดที่หาได้ยากกำลังจ้องมองฉันอย่างไม่กะพริบตา
‘อ่า ใบหน้านี้เป็นของยัยหนูนี้นี่เอง’
เมื่อได้เห็นแล้วก็ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับภาพสะท้อนในกระจกได้แล้ว เป็นรูปร่างของดวงวิญญาณนี้นี่เอง ถ้าหากเข้าไปในของคนอื่นก็คงจะเปลี่ยนไปตามลักษณะของแต่ละคนด้วยสินะ
“คุณเป็นใครคะ?”
“เธอพูดว่าจะเป็นอะไรก็ช่าง ขอแค่ช่วยให้เธอมีเวลาเพิ่มสินะ”
“เรื่องนั้น คุณรู้ได้ยังไง?” เด็กน้อยถามด้วยเสียงสั่น
“ถึงจะไม่ใช่พระเจ้าหรือปีศาจใด ๆ แต่ฉันได้ยินคำขอของเธอ และฉันสามารถทำให้คำขอนั้นเป็นจริง”
“เป็นจีนี่หรอคะ?”
“ไม่ใช่!! อย่ามาขัดตอนจริงจังนะ!” ฉันเผลอขึ้นเสียงเมื่อโดนเด็กน้อยถามออกมาอย่างใสซื่อ
“ขะ ขอโทษค่ะ”
“เห้อ ฉันเองก็ขอโทษที่ขึ้นเสียง เอาล่ะ ฟังดี ๆ นะ ดวงวิญญาณเธอน่ะอยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน พูดง่าย ๆ ก็คือกำลังจะตาย แต่ว่าถ้าหากเธอยอมให้ฉันเอาวิญญาณเข้าไปในร่างของเธอ เธอก็จะมีเวลาอยู่เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งปี”
ฉันนั่งลงเพื่อพูดคุยกับเด็กตรงหน้าอย่างเท่าเทียม ก่อนจะอธิบายอย่างลวก ๆ เพราะหากให้เล่าตั้งแต่ต้น ชาตินี้ก็เล่าไม่จบแน่
“หมายความว่าเราจะแชร์ร่างกายกันอยู่หรอคะ?”
โอ้ว ถือว่าเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ไวดีแฮะ
“เอ่อ ก็อะไรทำนองนั้น…มั้ง สนใจรึเปล่าล่ะ?”
“มีเวลาให้เพิ่มเพียงแค่ 1 ปีเองหรอคะ?” เด็กสาวตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ช่างละโมบเหมือนมนุษย์เสียจริง ดวงวิญญาณที่ต้องดับไปน่ะยังไงสักวันมันก็ต้องดับสลายไป เพราะงั้นแทนที่จะคิดถึงเรื่องที่ทำให้ได้ยากอย่างขอเวลาเพิ่ม เป็นใช้เวลา 1 ปีนี้เพื่อบอกลากับครอบครัวเธอไม่ดีกว่าหรอ?”
“ครอบครัวฉัน…”
“ถ้าหากยอมรับข้อเสนอนี่แล้วละก็ฉันสัญญาว่าใน 1 ปีนี้ฉันจะมอบการอำลาที่ดีที่สุดให้กับเธอ”
“…ฉันต้องการสร้างความทรงจำที่ดีต่อครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยค่ะ หากท่านให้สัญญาข้อนี้ด้วยฉันจะยอมตกลงค่ะ”
“ก็ถ้าขอแค่นั้นก็ทำให้ได้อยู่แล้ว”
‘ต้องควักความทรงจำต่าง ๆ ที่ได้ดูเกี่ยวกับครอบครัวแสนอบอุ่นออกมาแล้ววางแผนให้สมบูรณ์แบบแล้วล่ะ เพื่อยัยหนูคนนี้’
“สัญญานะคะ!” เด็กน้อยชูนิ้วก้อยขึ้นมาเพื่อทำการสัญญาเกี่ยวก้อยของมนุษย์
“อา สัญญา”
นิ้วก้อยของเราทั้งสองเกี่ยวกันไว้ รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน น้ำตาที่เล็ดลอดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นทำให้ฉันเผลอยิ้มตามไปด้วย
“จากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะคะ”
ภาพข้างหน้าค่อย ๆ จางหายไปกับความมืด รู้ตัวอีกทีตัวเองก็กำเศษกระจกนั้นไว้ในมือแล้ว
“เอ๊ะ? ไม่ได้คืนร่างเป็นดาวกลับหรอ?” พอเห็นว่าตัวเองมีร่างกายจับต้องได้ก็เกิดความสงสัยขึ้นทันที
“หว่านล้อมสำเร็จงั้นหรอ!?” เสียงแหลมที่ดังเข้ามาในโสตประสาททำให้ตื่นจากภวังค์
“โห้! ทำยังไงน่ะไร้ชื่อ ไม่ใช่ว่าพวกวิญญาณใกล้ดับจะยอมกันง่าย ๆ นะ”
“ก็พูดไปตามตรงแค่นั้นแหละ ยังดีที่ยัยหนูนี้เข้าใจอะไรได้ง่ายและไม่ยึดติดเท่าไหร่ เลยยอมตกลงโดยดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะ เด็กคนนี้ก็มีฐานะมั่นคงไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน ต้องไปได้ไกลแน่ ๆ ไร้ชื่อ” วาลิแอร์พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ว่าแต่ช่วยอธิบายสถานการณ์ของโลกนี้ให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหม? ฉันไม่อยากไปทำความเข้าใจใหม่เยอะ ๆ”
“อ้อ ได้สิ ตอนนี้เวลาของโลกอยู่ปี 2035 เทคโนโลยีก็พอ ๆ โลกต้นแบบเลย ถึงจะมีของบางอย่างหลงยุคมาอย่างที่เคยบอกก็เถอะ แต่ว่าสิ่งที่เป็นปัญหาของโลกนี้อย่างแท้จริงน่ะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ค่อยดีซะมากกว่า อืม เรียกได้ว่าอยู่ในยุคของสงครามเย็นที่สามารถงัดระเบิดมาใส่ได้โดยพริบตาเลยล่ะ ถึงตอนนี้เป็นมีมหาอำนาจเพียงประเทศเดียวแต่ประเทศก็เตรียมตัวโค่นอำนาจนั้นเหมือนกัน"
"มนุษย์ของโลกนี้ยังชอบใช้กำลังทหารกันอยู่ เพราะไม่มีอาวุธนิวเคลียร์รุนแรงแต่ด้านอาวุธอื่นก็ยังมีทั่วไป เท่าที่ผ่านมา 30 กว่าปีหลายประเทศต่อสู้กันทางกลยุทธ์มากกว่ากำลัง ซึ่งกำลังเขม่นอำนาจกันได้ที่เลยทีเดียว…”
“หวา เธอนี่ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนก็ชอบสงครามมนุษย์เหลือเกินเลยนะ พูดมาตามตรงแอบใส่ความชอบส่วนตัวไปจนทำให้สงครามมันยืดเยื้อป่ะเนี่ย ปล่อยสงครามให้อยู่นานขนาดนี้เป็นเทพที่นิสัยไม่ดีเอาซะเลย”
“คะ คนเราก็ต้องมีการลองผิดลองถูกสิ ถึงเป็นเทพก็ไม่ได้สร้างแค่ความถูกต้องนะ อีกอย่างช่วงสงครามก็คลาสสิคจะตายไป” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างเลิ่กลั่ก ทำให้ฉันเผลอแสยะยิ้มขึ้น
“แสดงว่าเป็นคนปล่อยให้สงครามยืดเยื้อเองสินะ ชอบเห็นมนุษย์ตายเป็นมดเหลือเกินนะ”
“เป็นคนดูก็ต้องชอบอะไรแบบนั้นดูแล้ว ก็ฉันไม่ใช่คนที่ตายนี่นา”
“หวา…เทพเจ้าแบบนี้ก็มีอยู่จริงแหละ”
“อะแฮ่ม พูดถึงความคลาสสิคอีกอย่าง ตอนนี้หลายประเทศในโลกยังมีชนชั้นวรรณะแบ่งกันและเหยียดกันอยู่ แถมยังมีโรคระบาดที่ยังไม่หมดไปด้วย เพราะงั้นก็กลับไปศึกษา-”
“รสนิยมแย่ชะมัด…” ฉันแหวะอีกคนออกมาก่อนที่เขาจะพูดจบ
“อะไร! ระบบชนชั้นออกจากโรแมนติกจะตายไป ความรู้สึกนั้นเธอไม่เข้าใจหรอ!?”
“ดราม่าจะตายไป ทำไมถึงชอบให้คนต่างแตกกันขนาดนั้นเนี่ย มีคนที่โดนเหยียบย่ำเพราะระบบชนชั้นกี่ล้านคนก็น่าจะจำได้นี่ สร้างอะไรขึ้นมาอีกเนี่ยเอาโปรเจ็คเก่ามารียูสเร๊อะ?”
“ความแตกต่างนั้นไงที่ทำให้มนุษย์มีการพัฒนา ความดิ้นรนก็เป็นสิ่งหนึ่งของมนุษย์นะ!?”
ไม่รู้ว่าไปพูดอะไรแทงใจดำอีกคนเกินไปรึเปล่า ทำไมน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นถึงดูโกรธและน้อยใจสลับกันไปมาอย่างนี้ แต่ฉันเองก็ไม่หยุดที่จะพูดความในใจของตัวเองต่อไป
“ไร้รสนิยมจริง ๆ ว่าง ๆ ก็ไปหาหมอบ้างนะ”
“ฉันเป็นเทพเจ้านะ ไม่มีหมดให้ไปรักษาด้วยหรอกย่ะ! พอ!! ไม่คุยด้วยแล้ว! ลงไปเกิดเลยไป๊!!”
“เอ๊ะ! ดะ เดี๋ย-”
อยู่ ๆ ก็มีมือใหญ่มหึมาโผล่ขึ้นมาทำลายห้องมิติกระจก มือนั้นคว้าตัวฉันไว้และปั้นร่างฉันเป็นกลม ๆ เหมือนดินน้ำมันจนรู้สึกได้ว่าตนเองคืนร่างกลายเป็นดาวเหมือนเดิม ก่อนจะถูกนิ้วกลางดีดด้วยความเร็วสูงจนทะลุชั้นบรรยากาศชั้นต่าง ๆ ของโลกภายในเวลาไม่กี่วินาที
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
นี่ก็คือครั้งแรกของดาวดวงน้อยไร้ชื่อที่สามารถส่องแสงแวบวับให้มนุษย์อีกโลกหนึ่งได้เชยชม และนั่นก็คือจุดจบของชีวิตดาวดวงเล็ก ๆ ที่ไม่มีเคยมีใครค้นพบมาก่อน
ขอบคุณที่รับฟังมาถึงตอนนี้
.
.
.
“ยังไม่จบโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”
-------
xx กรกฎาคม 2035
ในคืนนั้น คืนที่ท้องฟ้าดูสงบสุข แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาภายในห้อง ดวงดาวพร่างพรายนับล้านดูโดดเด่นกว่าทุกคืน แม้จะทำได้แค่หันมองภาพทิวทัศน์จากหน้าต่างโดยที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้บนเตียงแต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมา
‘ถ้าได้ตายท่ามกลางดวงดาวแบบนี้ ก็ไม่แย่เท่าไหร่’
เจ้าของร่างผอมซูบได้แต่คิดในใจเมื่อได้เห็นท้องฟ้าค่ำคืนอันงดงาม เพราะไม่มีแรงจะพูดความปรารถนาออกมาด้วยริมฝีปากแห้งของตัวเอง ทุกส่วนของร่างกายกำลังจะพังลงมีเพียงแค่สมองเท่านั้นที่สั่งไม่ให้ตาย
‘หากความฝันเมื่อกี้เป็นจริงได้ก็คงดี’
การสะดุ้งตื่นยามกลางคืนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วตั้งแต่ล้มป่วย แต่ในคืนนี้กลับรู้สึกแตกต่างออกไปหน่อย ความฝันที่เหมือนความฝันแต่ดูสัมผัสได้จริงนั้นคืออะไร ไม่เลือนหายและยังคงความอบอุ่นไว้ที่ปลายนิ้วก้อย หากใครคนนั้นมีจริงก็คงดี…
แต่มันก็คงเป็นการฟุ้งซ่านจนเก็บไปฝันละนะ การใกล้ตายทำให้คนคิดเป็นตุเป็นตะ ในความจริงของโลกใบนี้ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติพวกนั้น ฉันรู้ดี มันก็แค่ความศรัทธาที่ทุกสร้างขึ้นเพื่อหาเหนี่ยวรั้งจิตใจตนเอง มันก็แค่เรื่องราวที่เราคิดไปเอง
ขณะกำลังคิดอะไรไปเรื่อย หางตาก็เหลือบไปเห็นแสงเส้นสีขาวที่กำลังตัดผ่านความมืดมิดของค่ำคืนนี้ ดาวตกที่กำลังตกผ่านมาให้เห็นนั้นใช้เวลาช้ากว่าการตกปกติ จึงทำให้ฉันสามารถที่จะขอพรลม ๆ แล้ง ๆ กับมันได้ ถึงแม้ส่วนหนึ่งในความคิดจะแอบคิดว่าดาวตกดวงนี้อาจจะเป็นการละเมอฝันเห็นก็ได้ ไม่มีทางที่ดาวตกจะตกช้าขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้แต่
‘ถ้าหากเป็นเรื่องจริงก็คงจะดี’
อึดอัด…
แน่นไปหมด…
ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้… นี่มันความรู้สึกอะไรกัน
เปลือกตาค่อย ๆ ขยับหลังจากที่ร่างกายรู้สึกเจ็บจุกจนไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้ ส่วนกลางของร่างกายเปล่งเสียงออกมาอย่างเป็นจังหวะเนิบนาบ เป็นสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ มือเรียวเล็กแสนเปราะบางที่มีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกไว้ สัมผัสร้อนผ่าวผิดปกติจากหน้าผาก และโสตประสาทหลายอย่างที่ไม่เคยรู้จักเข้ามาทักทายในยามเช้าที่พระอาทิตย์สาดแสงส่อง
‘อา ทำไมแค่หายใจออกมันถึงได้ลำบากถึงเพียงนี้’
เจ้าของร่างกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะหันไปเจอแก้วน้ำที่วางตั้งไว้ข้างเตียงขนาดใหญ่กว่าร่างกายตนเองเกือบสองเท่า มือเล็กเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำอย่างอ่อนแอพร้อมกับสอดส่องไปรอบตัวอย่างเชื่องช้า ห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราด้วยการแต่งแต้มสีทองอย่างโอ่อ่า ทั้งสะอาดสะอ้าน และถูกจัดวางทุกอย่างไว้อย่างเรียบร้อย เป็นห้องที่สมบูรณ์แบบเกินคาดหวัง
“เข้ามาในร่างนี้ได้จริง ๆ สินะ”
น้ำเสียงแหบแห้งที่ไม่คุ้นเคย ไม่สิ เรียกได้ไม่มีอะไรที่ตัวเธอคุ้นเคยเลยสักนิด ความรู้สึกของการเป็นมนุษย์นี้
“ว่าแต่ยัยหนูนี้เป็นใครกันนะ”
เพราะก่อนถูกดีดลงมาดันไปทะเลาะกับเจ้าเทพบ้าบอนั่นจนไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เลยต้องรีบค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้ให้ไวที่สุด แต่ร่างกายที่อ่อนแอปวกเปียกนี้ก็ไม่เป็นใจ แค่คิดจะขยับตัวก็เจ็บราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว ฉันจึงทำได้แค่ขยับไปมาอยู่บนเตียง
“โลกในสายตามนุษย์เป็นอย่างนี้เองสินะ งดงามเกินกว่าที่เคยเห็นมาอีก”
ภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ไร้ม่านบังทำให้เห็นภาพของดวงอาทิตย์และสัตว์ปีกตัวน้อย ๆ บินผ่านไปมา ช่างเป็นห้องที่มีวิวร้อยล้านเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นโรงแรมสุดหรูของมนุษย์กันนะ?
“อะ…แอสทีเรีย?”
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ฉันละสายตาจากหน้าต่างและหันไปมองหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความตกใจและตื้นตันใจผสมปนเปกัน
“ไปเรียกท่านพ่อกับท่านแม่มาเร็ว แอสทีเรียฟื้นแล้ว” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“อ่ะ..”
สัมผัสบางอย่างกำลังไหลออกมาจากรูจมูก ทำให้ฉันเผลอเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ และใช้มือแตะไปที่จมูกเบา ของเหลวสีแดงเข้มเปื้อนนิ้วเต็มไปหมดฉันจึงใช้มือเพื่อปาดให้มันออกไปจากใบหน้า
“อย่าทำรุนแรงอย่างนั้นสิ มานี่เดี๋ยวพี่เช็ดให้” มือเรียวยาวเอื้อมมาจับข้อมือฉันอย่างอ่อนโยนก่อนจะนำผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่กำลังไหลอยู่
“โธ่ เปื้อนหน้าหมดแล้ว” เธอเช็ดหน้าฉันด้วยแววตาที่แสนเป็นห่วง ความรู้สึกอบอุ่นจากปลายนิ้วที่สัมผัสได้นี่คืออะไรกัน รู้ตัวอีกทีมือของฉันก็กุมมือเธอคนนั้นไว้แน่นแล้ว
“ท- ท่านพี่…”
น้ำเสียงสั่นถูกเปล่งออกมาจากปากฉัน เอ่ยเรียกอีกคนโดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร อยู่ ๆ คำพูดนั้นมันก็ออกมาเองโดนที่สมองไม่ได้ออกคำสั่งอะไรเลย
“แอสทีเรีย ไม่เป็นไรหรอก”
เพียงแค่สัมผัสอ่อนโยนบนใบหน้า น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“หากมันเจ็บมากก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก แม้ไม่ต้องพูดพี่ก็เข้าใจเราได้” หญิงสาวคนนั้นค่อย ๆ นำหน้าผากมาแตะอย่างอ่อนโยน
“แอสทีเรีย!/ท่านพี่!”
กลุ่มคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นเป็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่แต่งตัวดูภูมิฐานกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังใส่ชุดนอนอยู่ ใบหน้าพวกเขาแต่งแต้มด้วยน้ำตาที่คลอเคล้าอยู่ในดวงตา แต่เห็นเพียงแค่นั้นคนที่บ่อน้ำตาแตกกลับเป็นฉัน ไม่สิ ไม่ใช่ฉันซะหน่อย
‘ทั้งที่คุมร่างกายนี้อยู่แท้ ๆ แต่ทำไมคุมอะไรไม่ได้เลยเนี่ย!’
“ท่านพ่อ ท่านแม่…เทอเรนซ์”
แขนข้างหนึ่งอ้าออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เชิญชวนสามคนนั้นเข้ามาด้วยน้ำตาและพวกเขาก็ไม่รีรอเข้ามากอดร่างฉันไว้แน่นทันที ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายพุ่งเข้ามาอย่างรับมือไม่ทัน
‘นี่มันอะไรกันเนี่ย’
แม้ตัวฉันจะกอดตอบพวกเขาและร้องไห้ไปด้วยกัน แต่สายตาฉันกลับลอกแล่กไปมาอย่างกังวลใจ
‘ครอบครัวของยัยหนูนี้เร๊อะ? จะรักกันเกินไปรึเปล่า ถ้ามากกว่านี้กระดูกจะหักเอาได้นะ’
‘แต่ก็คงจะเป็นห่วงกันมากสินะ คนในครอบครัวสภาพเหมือนผีแบบนี้คงใจหายกันน่าดู เอาน่า ครอบครัวธรรมดามันก็ต้องแสดงออกกันแบบนี้ก็คงไม่แปลก’
“เจ้าหญิงแอสทีเรียฟื้นแล้ว ไปตามหมอเร็ว!” เสียงตะโกนข้างนอกห้องทำให้ได้สติกลับมา
‘เจ้าหญิง?’
“เจ้าหญิงแอสทีเรียฟื้นแล้วววววววววว!!!”
คำเรียกยศดังขึ้นอีกครั้งราวกับต้องการย้ำเติมให้กับสิ่งที่ฉันกำลังสงสัย
“เจ้าหญิง?” ฉันเผลอเปล่งเสียงออกไปด้วยความงุนงง
“หลับไปแค่สองวัน อย่าบอกนะว่าลืมว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงของลูบริสเตนไปแล้ว”
หญิงสาวที่ฉันเอ่ยเรียกว่าท่านพี่กล่าวแบบติดตลก แต่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกขำไปด้วยเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังทำให้รู้สึกตกใจมากขึ้นกว่าเดิมอีก
‘ไม่ใช่แค่ลูกนายก หรือลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ แต่เป็นลูกของกษัตริย์เลยเร๊อะ!!?’
‘ยัยหนูใกล้ตายคนนี้เป็นถึงเจ้าหญิงของประเทศเลยงั้นหรอ’
‘ทำไมแกไม่บอกฉันก่อนจะดีดลงมา ไอ้เทพเจ้าเฮงซวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!’
#มงกุฎหนาม
Comments (0)