16/04/ค.ศ.2443

 

12:05 AM.

 

ทะเลเขตญี่ปุ่น




 

ท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แสงแดดที่ส่องกระทบผิวน้ำจนเกิดเป็นประกายแสงระยิบระยับราวกับมันคืออัญมณีขนาดใหญ่สีน้ำเงินที่แผ่กว่างออกไปไกลสุดสายตา

 

ท้องฟ้าในฤดูร้อนนั้นแทบจะไม่มีเมฆเลยแม้แต่น้อย ถึงมีก็จะเป็นเมฆจางบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปอีก เสียงลมที่พัดผ่านราวกับบทเพลงขับขานจากชมแผ่นดินที่ร้องร่วมกันกับลมทะเล อากาศถึงแม้จะร้อนไปบ้างแต่ลมก็พอที่จะทำให้ค่อยยังชั่วขึ้น




 

บนเรือไม้เก่าๆที่สีนั้นเริ่มซีดและลอกออกตามกาลเวลานั้นได้มุ่งหน้าไปที่แผ่นดินตรงหน้า มันเป็นเรือประมงหาปลาที่ในยุคนี้ถือว่าเป็นวัตถุโบราณหายากราคาสูงลิบลิ่ว แต่บนเรือกลับติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัยเอาไว้ด้วย

 

บนเรือนั้นมีหญิงสาวผิวสีแทนในชุดเสื้อฮาวายสบายๆแบบปลดกระดุม โดยที่สวมเสื้อสีเทาไว้ด้านใน ผมสีดำเงาที่ถูกตัดจนสั้นสะท้อนแสงอ่อนๆ ดวงตาสีเขียวขี้ม้าได้จับจ้องไปที่แผ่นดินที่อยู่ในสายตาของเธอ เธอคือหญิงสาวร่างสูงร้อยแปดสิบปลายๆที่ดูมีมวลกล้ามเนื้อมากแผ่นหลังที่ดูบึกบึน ราวกับเพิ่งผ่านการฝึกทหารมาใหม่ๆ ทำให้เธอดูน่าเกรงขามมาก ที่แขนและมือของเธอมีโลหะสีดำที่มีลักษณะคล้ายถุงมือยาวอยู่ โดยข้างๆเธอนั้นคือมอร์เตอร์ไซค์วิบากสีเขียวแดงสดใสจอดทิ้งไว้อยู่

 

"ทำไมต้องมาจ้างลุงแก่ๆอย่างฉันให้มาส่งเธอด้วยเนี่ย"เจ้าของเรือบ่น เขาเป็นชายแก่ชาวญี่ปุ่นที่มีแผลเป็นบนใบหน้ามากมาย ดวงตาที่มองมาแต่ละครั้งนั้นราวกับกัปตันเรือที่กำลังสอดส่องหาสิ่งผิดปกติบนเรือ แต่ด้วยการแต่งตัวที่เป็นเสื้อกล้ามสีส้มอ่อนกับกางเกงขาสั้นสีทรายและรองเท้าแตะหูหนีบง่ายๆ ทำให้บุคลิกเขาดูเข้าถึงง่ายขึ้น

 

"ก็มาทะเลมันสบายกว่านั่งเครื่องบินนี่นา ตารางก็ต้องเป๊ะ สัมภาระก็มีจำกัดน้ำหนัก นี่ขนาดได้รับสิทธิ์ [Commando] พนักงานสนามบินยังไม่ให้ฉันเอาของสำคัญไปมากเลย"หญิงสาวบ่นก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่ม

 

"ขนาดน้ำดื่มยังห้ามเอาขึ้นเลย นี่ขนาดผ่านมาสี่ร้อยปีแล้วกฏงี่เง่านี่ยังอยู่อีก"เธอบ่นก่อนจะวางขวดไว้ที่เดิม




 

"อีกชั่วโมงจะถึงท่าแล้วนะ"เจ้าของเรือบอกก่อนจะเริ่มเร่งเครื่องเรือ




 

"นางาซากิสินะที่เธอถูกส่งมาเข้าประจำการในฐานะคอมมานโดน่ะ"ชายเจ้าของเรือกล่าวก่อนจะเปิดระบบนำร่องอัตโนมัติก่อนจะมานั่งข้างๆหญิงสาวชุดฮาวาย

 

"ช่ายๆ~ แถมฉันเป็นคอมมานโดที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับC.C. (Confident of Church: สำนักงานศาสนา) ด้วยเพราะว่าที่นางาซากิขาดคอมมานโดรุนแรงมากๆ การที่พวกเขายอมเสี่ยงยื่นคำขอกับสหประชาชาติให้ดึงตัวฉันมาที่นี่น่าจะหนักหนาพอดู เพราะขนาดระดับฉันไม่มีขื่อเสียงแถมไม่มีชื่อในระบบรับรองคอมมานโดยังโดนเรียกเลย"เธอกล่าว




 

"ไม่ต้องมาถ่อมตัวให้น่ารำคาญเลย เธอน่ะเป็นมากกว่าไอ้พวกที่ถูกจัดอันดับโดยซีซีอีก"เจ้าของเรือกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายกับการถ่อมตนของอีกฝ่ายก่อนจะหยิบเครื่องดื่มมาดื่มและมองไปที่แผ่นดินตรงหน้าที่ค่อยๆขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ




 

"แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเธออยู่ดีนั่นแหละ ถ้าวันนั้นเธอไม่ไปเดินเล่นที่ท่าเรือวันนั้นฉันกับครอบครัวคงไม่ได้มาส่งเธออยู่นี่หรอก"เจ้าของเรือกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งเปี่ยมสุขและใบหน้ายิ้มแย้ม




 

"เฮ้อ~ ฉันแค่กระทืบมันไปเองนะ"เธอกล่าว










 

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง




 

เรือได้เข้าเทียบท่าเรียบร้อย หญิงสาวได้เข็นมอร์เตอร์ไซค์คู่ใจลงจากเรือ เธอโบกมือลาอีกฝ่ายก่อนที่เจ้าของเรือนั้นจะขับเรืออกไปจนลับสายตาเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะมองไปที่บรรยากาศเมืองริมท่านางาซากิ สถานที่ที่เคยถูกอาวุธร้ายแรงถล่ม

 

ตอนนี้มันคือเมืองท่าที่ทันสมัยที่สุดในยุคนี้และมีอัตราการค้าขายทางเรือสูงสุด แม้ว่าการขนส่งของผ่านการเทเลพอร์ตหรือทางอากาศจะเร็วกว่า แต่การขนส่งทางเรือยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขนส่งต่ำและสามารถส่งได้หลายชิ้นแต่แลกมาด้วยเวลาการขนส่งที่นาน

 

เธอตัดสินใจสตาร์ทเครื่องและเริ่มขับออกไปด้วยความเร็วไม่มากนักเพราะว่าที่นี่กฏจราจรจะเคร่งเป็นพิเศษ

 

เธอขับผ่านตึกอาคารสูงที่มีรูปทรงคล้ายกับผลึกแร่ที่ตั้งเป็นเขตที่ชัดเจน ถัดจากโซนตึกสูงจะเป็นเขตที่อยู่อาศัยแบบบ้านทั่วไป บางหลังนั้นมีรูปแบบคล้ายกับบ้านในยุคเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว แต่บางหลังก็ยังเป็นบ้านสไตล์โบราณซึ่งมีความเก่ากว่าสี่ร้อยปีขึ้นไป บางหลังนั้นกลายเป็นสไตล์โมร์เดิร์นที่ดูมีสีสันโดดเด่น

 

เธอขับผ่านจุดนึงที่เป็นภูเขาสูง ที่นั่นมีศาลเจ้าเก่าที่ยังมีคนเข้าไปสักการะอยู่ประปรายแม้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้จะอายุหลายร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ก็ได้รับการบูรณะและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

 

ป้ายจราจรบางส่วนและทางม้าลายถูกแทนที่ด้วยการฉายแสงโฮโลแกรมแทนเพื่อลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ เธอได้หยุดรถรอสัญญาณไฟ แม้ว่าเธอจะเป็นมอร์เตอร์ไซค์ แต่เธอก็ต้องทำตามกฏของที่นี่ การจอดรอสัญญาณไฟนั้นห้ามจักรยานยนต์ขึ้นไปกองนำหน้ารถเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุ

 

ต้องขอบคุณความเป็นระเบียบของคนประเทศนี้อย่างมากที่ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่

 

ระหว่างที่หญิงสาวกำลังชื่นชมความงานของบ้านเมืองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงไซเรนดังขึ้นพร้อมกับรถคันหนึ่งที่ขับพุ่งตัดหน้าไปด้วยความเร็วสูง ก่อนจะมีรถตำรวจอีกสองคันตามหลังมาติดๆ

 

"Suka!"หญิงสาวสบถก่อนจะเลิกสนใจสัญญาณไฟและเร่งเครื่องตามรถตำรวจไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด เบื้องหน้าของเธอคืออุโมงค์ที่ไม่ค่อยมีการจราจรหนาแน่นมากนักเธอจึงขับตามรถตำรวจไป แต่รถตำรวจคันที่อยู่ด้านหลังนั้นถูกยิงเข้าที่ล้อทั้งสองหน้าทำให้เสียหลัก หญิงสาวจึงใช้มือของเธอคอยประคองรถให้เข้าข้างของอุโมงค์ ก่อนจะรีบเร่งเครื่องและขับตามไป

 

เสียงปืนของรถตู้คันสีดำด้านหน้านั้นได้สาดอาวุธมาอย่างบ้าคลั่งโดยหวังผลแค่การทำลายรถตำรวจเพียงแค่คันเดียว ทันใดนั้นประตูท้ายก็เปิดออกเผยให้เห็นชายคนหนึ่งที่สักเต็มตัวในชุดสูทได้ถือเครื่องยิงจรวดไว้ในมือ

 

"เครื่องยิงจรวดติดตามนี่นา!"หญิงสาวตะโกนก่อนจะเร่งเครื่องอีกเพื่อหักหลบจรวดที่พุ่งเข้ามา

 

ทันทีที่ลั่นไก จรวดติดตามก็ถูกปล่อยออกมาพุ่งเข้าหารถตำรวจที่อยู่ในระยะของมัน แต่คนขับกลับหักหลบได้อย่างเชี่ยวชาญก่อนจะทำสิ่งที่ไม่คาดถึง

 

รถตำรวจได้เปิดไอพ่นออกมา ซึ่งความเป็นจริงแล้วรถตำรวจไม่ควรมีของแบบนี้ติดตั้งก็ตาม มันได้พุ่งหลบไปที่ข้างอุโมงค์ก่อนจะไต่กำแพงอุโมงค์หมุนวนไปมาจนจรวดนั้นได้พุ่งผ่านไป ก่อนที่รถตำรวจคันนั้นจะลงมาจากการไต่และแซงออกไป

 

เมื่อพวกเขาขับออกมาจากอุโมงค์ก็พบว่ามีตำรวจหญิงคนที่ออกมายืนนอกรถตำรวจคนที่ขับหลบจรวดไป

 

ผิวสีขาวที่ถูกเครื่องแบบตำรวจปกปิดไว้เช่นเดียวกับผมสีส้มอ่อนนัยน์ตาสีสนิมที่ดูไร้ชีวิตชีวาได้จ้องรถที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับรถที่พุ่งเข้ามานั้นคืออากาศธาตุ

 

"ชนแม่นั่นเลย!!!"เสียงตะโกนในรถตู้สีดำดังขึ้นพร้อมกับความเร็วรถที่เพิ่มขึ้น




 

ตำรวจสาวคนนั้นได้ง้างหมัดก่อนจะมีเสียงแปลกๆดังขึ้นจากแขนของเธอ แขนของเธอมีบางอย่างเปิดออกมาคล้ายกับเครื่องรับแรงกระแทก เมื่อรถพุ่งเข้ามาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอต่อยพอดีเช่นกัน




 

โครม!!!




 

เสียงดังสนั่นดังขึ้นก่อนที่ตัวรถตู้ดำส่วนหน้าจะยุบและตัวรถได้หมุนคว้างในอากาศสักพักก่อนจะกระแทกพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังพร้อมกับรถตู้ที่อยู่ในสภาพคว่ำและล้อที่หมุนอย่างช้าๆ กลุ่มคนในรถตู้ที่ยังมีแรงพอนั้นก็รีบหยิบอาวุธที่อยู่ในรถและยิงตำรวจสาวที่ยืนอยู่

 

แต่พวกเขาก็ต้องพบว่าพวกเขาทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะกระสุนที่ยิงออกไปนั้นได้สะท้อนออกมาจากร่างตำรวจสาวราวกับยิงใส่รถถังทำให้หลายคนเริ่มที่จะลนลานและเริ่มสติแตก แต่หญิงสาวในชุดฮาวายก็ได้อาศัยจังหวะนั้นขี่จักรยานยนต์เข้าไปในระยะก่อนจะเบรคและแบบทันทีและใช้แรงหมุนจากการบิดและการเบรคกะทันหันทำให้ล้อหลังได้ฟาดหน้ากลุ่มคนที่ถือปืนพอดี

 

“เส้นยาแดงผ่าแปด” หญิงสาวกล่าวก่อนที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ให้ตำรวจจัดการต่อเอง







 

แต่กลับกลายเป็นว่าเธอโดนลากมาที่สถานีตำรวจมาด้วยซะงั้น



 

เธอได้แต่นั่งอ้ำอึ้งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องสืบสวนเงียบๆโดยรอให้จะมีตำรวจสักคนเข้ามาคุยกับเธอเพื่อให้ความเช้าใจนั้นตรงกัน ห้องสอบสวนที่นี่ดูใหม่มากเนื่องจากวันดุที่ใช้นั้นสำหรับ การกันสัญญาณโทรศัพท์ออกไปหรือเข้ามา ภายในห้องนั้นดูอึดอัดเพราะมันเป็นห้องปูนรอบด้าน และมีแสงสลัวๆคล้ายกับหนังสืบสวนสอบสวนจากยุคเก่าๆ จนเธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำห้องให้มีแสงแบบนี้เพราะมันแทบจะไม่มีผลดีต่อสุขภาพตาเลย



 

เธอเหลือบตามองไปที่แผ่นปูนที่เป็นผนังห้องแผ่นนึงก่อนจะถอนหายใจ

 

“กระจกปูน (กระจกที่มีความแข็งแรงและลักษณะเหมือนคอนกรีต) สินะ” เธอกล่าวพร้อมกับจ้องสวนกลับไป

 

“นี่~ ถ้าไม่ออกมาคุยแล้วจะปล่อยให้ฉันนั่งอยู่นี่ทั้งวันรึไง” ทันทีที่เธอพูดจบประตูเหล็กก็เลื่อนเปิดออกพร้อมกับเจ้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบชายคนนึงที่เดินเข้ามาพร้อมกับไฟล์อะไรบางอย่างเขาเดินมาเงียบๆก่อนจะนั่งลงอย่างใจเย็น




 

“เอาล่ะ เรามาทำความรู้จักกับคุณกันก่อนดีกว่า คุณเป็นใคร?” ตำรวจหนุ่มถาม

 

“ฉันชื่อ เทียน อรินทราช อายุ22 เป็นเจ้าหน้าที่คอมมานโดกำกับกองบินและกองกำลังผสมที่8 ประจำเมืองนางาซากิ ฉันเพิ่งถูกโอนย้ายมาที่นี่เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน” เทียนตอบแบบตรงไปตรงมา



 

“แต่ชื่อคุณไม่มีในระบบรายชื่อคอมมานโดนะครับ” นายตำรวจสวน



 

“จะมีก็บ้าแล้ว! ฉันเป็นคอมมานโดนอกสังกัดไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนระบบบ้าบออะไรนั่นสักนิด!” หญิงสาวผมสั้นกล่าวด้วยท่าทีหงุดหงิด

 

“นายคิดว่าคอมมานโดทุกคนต้องลงชื่อในระบบทุกคนรึไง ทุกวันนี้ตอนที่นายนั่งจุ่มตูดอยู่นี่ คอมมานโดที่หลุดจากระบบก็เริ่มมีขึ้นมากทุกวัน ก็เหมือนเวลานายอยากเล่นเกมคนเดียวนั่นล่ะนายจะลงทะเบียนออนไลน์มั้ยล่ะ?” เทียนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



 

“ผมเป็นคนถาม คุณไม่มีสิทธิ์จะมาถามผมกลับนะ” นายตำรวจหนุ่มกล่าว



 

“งั้น…ให้ผมถามเธอดีมั้ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับชายสูงวัยในชุดทหารบกที่รีดและดูแล อย่างดีแผ่นป้ายยศที่แปะไว้ตรงไหล่บ่งบอกว่าเขาเป็นยศพันเอก เขาเป็นชายสูงวัยที่มีใบหน้าหล่อเหลาและผิวที่กร้านแดดและริ้วรอยสูงวัยที่บ่งบอกถึงสังขารที่โรยรา



 

“ท่านพันเอกมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?!” นายตำรวจหนุ่มรีบลุกยกมือวันทยาหัตถ์อย่างร้อนรน



 

“ก็จะมารับตัวคอมมานโดที่เรายื่นเรื่องขอตัวมาจากสหประชาชาติคนนี้ไง” พันเอกกล่าวก่อนจะชี้มาที่เทียน เทียนลุกขึ้นและทำวันทยาหัตถ์ทันทีด้วยความเคารพ



 

“เทียน อรินทราช จากนี้ดิฉันจะเป็นคอมมานโดกำกับให้กองบินและกองกำลังผสมที่8 ค่ะ!” เทียนกล่าวชัดเจนชะชานก่อนจะเอามือลง

 

“เอาล่ะเราไปสายแล้ว ฉันคิดว่าเราควรจะไปกันได้แล้วล่ะ” พันเอกกล่าวก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเทียน ทิ้งไว้ให้ตำรวจหนุ่มรายนั้นยืนงงเป็นไก่ตาแตก



 

พันเอกพาเธอขึ้นรถทหารที่มีรูปร่างคล้ายกับรถสปอร์ตสีเขียวขี้ม้า แต่ตัวล้อนั้นเป็นทรงกลมมนสีดำ แต่เทียนปฏิเสธเพราะเธอต้องนำมอร์เตอร์ไซค์คู่ใจไปด้วย





 

หลังจากขับตามรถพันเอกไปได้สักพัก เธอก็มาถึงส่วนของฐานทัพหลัก มันดูเรียบง่ายและไม่สะดุดตาถ้ามองจากในเมืองไกลๆ มันมีทั้งโรงจอดยานบิน โรงเก็บยานเกราะ แต่สิ่งที่สำคัญคือโรงจอดหุ่นรบ [Build] ที่มีจำนวนมาก

 

พันเอกได้จอดรถพร้อมกับที่เทียนก็หาที่จอดมอร์เตอร์ไซค์ด้วยก่อนที่พันเอกจะพาหญิงสาวเดินชมรอบๆฐานพร้อมกับบรรยายไปด้วย

 

“ในบรรดาฐานปฏิบัติการกองกำลังผสม ฐานทัพที่นางาซากิถือว่าเป็นฐานทัพที่มีอายุน้อยสุดและขาดแคลนคอมมานโดและนักบินมากที่สุดเช่นกัน

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เรายื่นเรื่องคำร้องต่อสหประชาชาติเพื่อขอเธอมาสังกัดกองกำลังที่นางาซากิ ตอนนี้เราขาดแคลนทั้งหุ่นรบและกำลังคนรุนแรงมาก แต่ขณะเดียวกัน นางาซากิก็มักจะเป็นเป้าการโจมตีบ่อยครั้ง แต่ที่เรารอดมาได้เพราะว่าทีมโตเกียวส่งกำลังมาช่วยตลอด รวมไปถึงทีม “พรายน้ำ” ที่เป็นหน่วยรบที่มีประสิทธิภาพที่สุดตอนนี้ อา พูดถึงก็มาพอดีเลย” พันเอกกล่าวก่อนที่เสียงเจี้ยวจ้าวจะดังขึ้น



 

นั้นทำให้เทียนถึงกับตกใจอย่างมากเพราะพวกเธอยังเป็นแค่เด็กมัธยมต้นห้าคนเท่านั้นเมื่อทั้งหมดเห็นเทียนต่างก็รีบพุ่งปรี่เข้ามาจนน่ากลัวก่อนจะมองหน้าอีกหญิงสาวร่างสูงด้วยแววตาเปล่งประกายราวกับได้เห็นซานตาคลอส

 

“พันเอกคะ….อย่าบอกนะว่านี่….” เทียนกระซิบกับอีกฝ่ายเบาๆ พันเอกพยักหน้าเน้นย้ำ นั่นทำให้หญิงสาวถึงกับหัวเราะแห้งทันที



 

เหล่าเด็กสาวในชุดทหารเรือสีน้ำเงินลายพรางดิจิตอลได้ยืนนิ่ง ก่อนจะมีอีกคนที่เดินก้าวเข้ามาข้างหน้า เธอเป็นดาร์คเอล์ฟสาวผิวสีแทนและมีสีผมสีขาวสะอาดราวกับหิมะ ดวงตาที่ดูมั่นใจสีฟ้าคู่นั้นได้มองมาที่เทียนพร้อมกับกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัด



 

“ทั้งหมดตรง! ทำความเคารพเจ้าหน้าที่คอมมานโด เทียน อรินทราช วันทยา-หัตถ์!” ดาร์คเอล์ฟกล่าวก่อนที่ทุกคนจะทำวันทยาหัตถ์ ซึ่งเทียนก็ทำรับเช่นกัน

 

“ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ฉันหัวหน้าทีมพรายน้ำ กัปตันเรือพิฆาตนิวโฮป วาเลนไทน์ โอซาดะค่ะ!” วาเลนไทน์กล่าว



 

อีกคนเด็กเด็กสาวเอล์ฟผมหางม้าไว้หน้าม้ารุงรังจนบดบังใบหน้า ดูเป็นคนขี้อายและตัวเล็กสุดในกลุ่ม

 

“ท…ทามากิ โนยามาโนะ รองหัวหน้าหน่วยและรองกัปตันค…ค่ะ!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อย




 

“ทามิโยะ วาคากิ พลอาวุธเบาและหนักค่ะ!” รายนี้เป็นเด็กสาวที่มีผิวขาวซีดราวกับศพและนัยน์ตาสีส้ม เธอมีรอยแผลเป็นลากยาวตั้งแต่หางตาถึงริมฝีปากฝั่งซ้าย ดูเป็นสายบวกประจำกลุ่มที่สุดแล้วเนื่องด้วยการเป็นพลอาวุธและท่าทางที่ดูมีพลังตลอดเวลาและรูปร่างที่ดูดุดันและมีส่วนสูงสูงสุดในกลุ่ม



 

“ชิยูริ อีฟ พลอิเล็กทรอนิกส์และช่างซ่อมค่ะ!” นัยน์ตาสีแดงเลือดได้มองมาที่เทียน เธอเป็นครึ่งเสือโคร่งสาวที่มีหูและหาง รวมไปถึงลายบนใบหน้ามีรูปแบบของเสือโคร่ง โดยรวมเธอคืนคนที่สูงที่สุดในกลุ่ม




 

“มิเชล ไอซาว่า พลชี้เป้าและสื่อสารค่ะ!” เธอเป็นมังกรสาวที่มีคอและใบหน้าบางส่วนที่ยังมีเกล็ดมังกรสีน้ำทะเลติดอยู่ ดวงตาสีฟ้าแบบสัตว์เลื้อยคลานและปีกที่มีสีเดียวกันกำลังหุบอยู่



 

“ฝากตัวด้วยนะทุกคน” เทียนกล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย นั่นทำให้กลุ่มพรายน้ำต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะขอตัวแยกย้ายออกไป




 

“อย่างที่ฉันบอกไป หน่วยพรายน้ำคือหน่วยที่ทำให้นางาซากิรอดพ้นจากการโจมตีทุกครั้ง แต่เราก็ไม่อยากจะหวังพึ่งพวกเธอตลอด ดังนั้นฉันอยากให้เธอเกณฑ์คนมาเป็นนักบินหุ่นรบ ฉันได้ขอใบอนุญาตและตราคอมมานโดของเธอแล้ว ดังนั้นเธอสามารถเกณฑ์คนมาได้ แต่มีข้อแม้ว่าตัวเด็กต้องยินยอม” พันเอกอธิบายก่อนจะหยิบบัตรสีดำเปล่าๆมาให้หญิงสาว



 

เมื่อเทียนหยิบมันขึ้นมามันก็ปรากฏชื่อและรายละเอียดของเธอ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรูปโลโก้กระสุนปืนไขว้และมีดาบแทงลงตรงกลางพร้อมกับตัวหนังสือที่แปลได้หลายภาษาว่า




 

กองกำลังนางาซากิ




 

“ยินดีต้อนรับสู่ฐานทัพนางาซากินะ” พันเอกตบบ่าเทียนก่อนจะรีบเดินออกไปตามเสียงเรียกของทหารช่างคนหนึ่ง



 

เทียนถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำ



 

“ไอ้เรื่องหุ่นรบน่ะฉันพอจะจัดการได้อยู่หรอก แต่เรื่องคนนี่มันซับซ้อนมากกว่าการผลิตหุ่นอีกนะ” เธอกล่าวก่อนจะเก็บบัตรที่พันเอกให้ลงและเดินออกไปหาอะไรทานตามเสียงท้องร้อง