บทนำ

 

“รู้ตัวไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง คราวหน้าเดินระวังรถด้วยสิ!”

“ยังมาทำหน้าซื่อตาใสใส่อีก”

“อะ นั่นรถไอติมมะพร้าวนี่นา น่ากินจังเลยอะ หยางซื้อให้เราบ้างสิ”

“แต่...ไม่เอาดีกว่า เราอยากกินข้าวหน้าแซลมอนมากกว่า คิดถึงจังเลยน้า ไปอิซากายะกับหยางทีไร หยางจะสั่งแต่ไข่หวานทุกที ฮ่า ๆ คิดถึงจังเลยน้า...”

เสียงเอะอะโวยวายเสียดแก้วหู เสียงบ่นค่อนขอด เสียงที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาสดใสเอ่ยทักเรื่องรถเข็นขายไอติมมะพร้าวที่กำลังปั่นตามท้ายรถสองแถว และเสียงที่เอาแต่พูดคำว่า ‘คิดถึงจังเลยน้า’

เป็นเสียงที่มาจากคนคนเดียวพูด และเป็นเสียงที่ไม่มีใครในนี้ได้ยินนอกจาก…ผมเพียงคนเดียว เสียงนั้นพูดขึ้นมาอีกว่า

“หยางหลังจากนี้กลับโรงแรมกันดีกว่านะ ดูสิฝนใกล้จะตกแล้ว หยางไม่ได้พกร่มมาด้วยเดี๋ยวเปียกเอา เป็นหวัดแล้วเราดูแลไม่ไหวหรอกนะ หยางป่วยทีไรชอบกวนเราทุกที แต่ไม่เป็นไรหรอก พอหยางหายเราก็จะกวนหยางกลับ”

 

ผมกำลังนั่งอยู่บนรถสองแถว ก่อนหน้านี้มีคนกดกริ่งเพื่อจะลง ทำให้ที่นั่งข้าง ๆ ผมว่าง แต่ไม่นานก็มีคนวิ่งข้ามถนนมาทางนี้ ท่าทางเหมือนว่าเขาจะขึ้นรถสองแถวคันที่ผมนั่งอยู่ รถสองแถวยังไม่เคลื่อนตัวออกไปไหนเพื่อรอ

คนที่กำลังข้ามถนนมาดูท่าทางเร่งรีบ ไม่เกรงกลัวรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับเข้ามาใกล้อย่างน่าหวาดเสียวจนเกือบจะชนอยู่แล้ว แต่เขาคนนั้นก็สามารถข้ามถนนมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นมาบนรถสองแถวหน้าตาเฉย หย่อนก้นลงที่นั่งข้าง ๆ กับผม พร้อมกับเสียงนั้นก็เข้ามาใกล้ขึ้น พร้อมกับรถที่ออกตัว

“ยังดีเนอะที่เหลือที่นั่ง เดี๋ยวเรายืนคุ้มกันหยางตรงนี้ให้เอง”

เสียงยังคงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ไม่กลัวว่าคนฟังจะฟังทัน ไม่กลัวว่าจะตอบกลับทันหรือไม่ เสียงนั้นพูดไปเรื่อย ๆ เหมือนเพลงที่ไม่มีวันหยุด เหมือนคลื่นที่ไม่เคยหยุดกระทบฝั่ง พูดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เปลี่ยนไปตลอดทาง

ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกอึดอัด รับรู้ถึงเสียงนั้นอยู่ด้านหน้า ราวกับมีคนยืนโหนราวจับอยู่เยี่ยง ๆ กับตัวผม เพียงแต่ในสายตาของผมมองเห็นเพียงแค่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ไม่มีใครโหนราวจับอยู่สักคน แต่เสียงพูดที่ผมได้ยินก็ยังยืนยันว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ตรงนั้นจริง ๆ

“จะหลับไม่ได้นะหยาง เดี๋ยวหลงทางอีกหรอก ถ้ากลับโรงแรมไม่ถูกจะโทรหาพี่หลินก็ช่วยไม่ได้ทันแล้วนะ พี่เขากลับกรุงเทพไปแล้ว เราบอกให้หยางเรียกแท็กซี่ก็ไม่ยอม ทำไมดื้ออย่างนี้นะ ฟังที่เราพูดบ้างสิ”

ฟังจากเสียงบ่นกระปอดกระแปดผมก็รู้โดยอัตโนมัติว่า ‘หยาง’ คือชื่อของคนที่เพิ่งขึ้นรถสองแถวมาใหม่เมื่อกี้ เป็นคนที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ และตอนนี้ก็เริ่มสัปหงก ทั้งที่เพิ่งขึ้นมายังไม่ทันถึงสิบนาที

ผมเหลือบมองเล็กน้อยอย่างสนใจ คนข้าง ๆ หน้าตาน่ามองจริง ๆ ติดตรงที่ดูอิดโรยคล้ายกับคนนอนไม่พอ ผมดึงสายตากลับมาทางอื่นไม่อยากจะฟังเสียงที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนบ่นฟ้าบ่นฝนเป็นวรรคเป็นเวรแล้ว

แต่ทำไงได้ล่ะใครบอกให้ผมเซ่อซ่าทำหูฟังหายระหว่างทาง

เจ้าของเสียงที่ไร้ตัวตนดูท่าจะเคยเป็นคนที่ชอบขี้บ่นจนน่าปวดหูแน่ ๆ ถึงได้พูดไม่หยุด แต่คนที่ถูกบ่นอยู่ตอนนี้กลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เสียงนั้นราวกับเสียงของลมที่พัดผ่านใบหู กลายเป็นสารไร้เสียง ผู้รับสารทำเพียงนั่งทื่อไม่รับรู้อะไร ไม่ได้เฝ้ารอสาร และไม่เคยรู้เลยว่าสารนั้นพยายามแค่ไหนที่จะส่งไปถึง

กลับกลายเป็นผมที่ได้ยินแทน แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นสื่อกลางให้หรอก ผมมีเรื่องมากมายให้จัดการเหมือนกัน ไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอก

ผมมีความสามารถหนึ่ง จะว่าเป็นความสามารถหรือจุดด่างพร้อยดีล่ะ เป็นความสามารถที่ไม่เคยมีข้อดีให้ชื่นใจเลยสักครั้ง ต้องลำบากลำบนพกหูฟังติดตัว เปิดเพลงสุดเสียงเพื่อกลบเสียงรบกวนจากด้านนอก

ไม่ใช่เสียงผู้คน แต่เป็นของวิญญาณที่มักจะมาทุกรูปแบบ ทั้งกรีดร้อง ทั้งโหยหวน ทั้งขอความช่วยเหลือ มาแบบปกติคล้ายคนธรรมดาก็มี อย่างหลังนี่น่าปวดหัวสุด พอเผลอตัวตอบรับโดยไม่ทันตั้งตัว วิญญาณก็อาจจะตามติดชนิดไม่ยอมปล่อย ลำบากลำบนต้องไปนอนวัดกับหลวงลุงที่อุดร

เช่นครั้งนี้ที่ผมต้องกลับบ้านเกิดเพราะดันเสียท่าตอบกลับเสียงวิญญาณอีกแล้ว

ระหว่างนั่งรถสองแถวเพื่อไปสถานีขนส่งกลับกรุงเทพก็ยังต้องมาได้ยินเสียงวิญญาณอีก เฮ้อ ผมไม่น่าทำหูฟังหายเลยจริง ๆ แถมเสียงวิญญาณคนนี้ก็แสนจะขี้บ่น พูดมาตลอดทางไม่รู้จักเหนื่อย

จะว่าไป...วิญญาณมันรู้จักเหนื่อยซะเมื่อไหร่ล่ะ

ผมเหลือบมองคนที่สัปหงกหัวอยู่ข้าง ๆ อีกครั้ง รู้ชื่อเขาจากวิญญาณที่พร่ำเรียกว่าหยางอย่างนั้น หยางอย่างนี้อยู่ตลอด จนผมสามารถรู้ว่าคนคนนี้ชอบกินไข่หวาน ขี้หลงทาง มีคนรู้จักชื่อหลิน

“หยางจะไปพิงไหล่ผู้ชายคนอื่นนอกจากเราไม่ได้สิ! เราหึงนะ เอาหัวออกมาเดี๋ยวนี้เลย หยางงง”

เสียงวิญญาณฟังดูกระเง้ากระงอด ส่งเสียงครางงื้อ ๆ ประท้วงเหมือนเด็ก ก่อนจะปรับเสียงพูดจริงจัง ฟังดูก็รู้ว่าเขาหันมาพูดกับผมที่เป็นเจ้าของไหล่

“ขอโทษนะครับ แฟนผมง่วงมากเขาไม่ได้ตั้งใจพิงคุณนะ”

อยากจะขำกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ก็ทำได้แค่นั่งเกร็งหน้า เกร็งไหล่ที่ถูกศีรษะของใครบางคนใช้พิงอยู่

ผมเหลือบมองเส้นผมที่พัดหวือขึ้นตามลม ทำให้มองเห็นสีหน้าอ่อนล้า ขอบตาดำคล้ำอย่างคนอดนอน ริมฝีปากบางสีซีดปรากฏรอยแตกเหมือนไม่ค่อยได้ดูแลตนเอง เขาสวมเสื้อยืดสีดำสนิท กางเกงยีนก็สีดำไม่รู้ว่ากำลังไว้ทุกข์ให้กับใครบางคนรึเปล่า

แสงหน้าจอโทรศัพท์ในมือของคนชื่อหยางสว่างวาบ และสายตาของผมเหลือบไปมองโดยอัตโนมัติ เห็นข้อความไลน์เด้งเข้าแต่ผมไม่สะดวกใจอ่านเนื้อหาทั้งหมด แต่กลับไปสะดุดกับภาพล็อกหน้าจอที่ปรากฏรูปชายหนุ่มสองคนถ่ายคู่กันมากกว่า

ทั้งสองต่างก็มองกล้อง คนหนึ่งยิ้มกว้าง ท่าทางสดใสร่าเริง และอีกคนทำเพียงยิ้มบาง ๆ ซึ่งก็คือเจ้าของโทรศัพท์นั่นแหละ ผมละสายตาออกมาตอนแสงหน้าจอดับลง หันกลับมามองปลายขนตาของคนที่นั่งหลับข้าง ๆ แทน

รู้จักเพียงไม่ถึงสามสิบนาที เรื่องราวของเขากลับทำให้ผมตาแดงก่ำ รู้สึกขัดจมูกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“เพราะเมื่อคืนหยางเอาแต่คิดถึงเราไง ไม่ยอมหลับยอมนอน ถึงได้มานั่งหลับบนรถแบบนี้”

เสียงอ่อนใจปนความเศร้า ทว่าเจ้าของเสียงนั้นก็ยังฝืนทำเป็นสดใส ทั้งที่รู้ว่าคนที่พูดด้วยไม่ได้ยิน แต่ก็ยังกังวลว่าจะทำให้รู้สึกไม่ดี ต้องรักกันมากขนาดไหนกันนะ

หลังจากเห็นรูปคู่หน้าจอโทรศัพท์ไป ผมก็เหมือนจะรู้จักหน้าค่าตาเจ้าของเสียงไปโดยปริยาย เป็นคนแรกในระยะเวลาอันสั้นที่ผมได้เห็นหน้าของวิญญาณเจ้าของเสียง และยังรับรู้สถานะระหว่างทั้งสองคนว่ากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน

เสียงนั้นคงเป็นเสียงของแฟนหนุ่มที่ตายไปของคนที่ชื่อหยางอย่างแน่นอน ถึงแม้จะตายจากไปแล้วแต่วิญญาณก็ยังตามเป็นห่วง

...

 

จะมีคนสนใจแนวนี้กันไหมนะ รับรองว่าไม่น่ากลัวมาก เพียงแค่ไม่อ่านตอนกลางคืนก็พอแย้วว ? คอมเมนต์ให้กำลังใจเราด้วยน้าา อยากรู้ว่ามีคนชอบมั้ยยย

ปล.ลองแต่งแบบบุรุษที่ 1 ไม่รู้เป็นไงบ้างติชมกันได้น้าา