Mikey x Takemichi

 

 

ทาเคมิจิไม่เอาอะไรแล้ว เขาคิดว่าคงไม่สามารถช่วยใครได้อีกแล้ว ปลีกแยกตัวออกมาจากแก๊ง

หลังจากโคโค่พาส่งรพ.ได้ทันเวลา พอเช้าวันรุ่งขึ้น

เพื่อนๆ ที่จะมาเยี่ยมทาเคมิจิ ได้ทราบว่าอีกได้คนหายตัวไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าทาเคมิจิหายไหน

ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง หายสาบสูญจากวงโคจร เพราะวันนั้นเจ้าตัวอาการสาหัสมาก แขนหัก สภาพยับเยินมาก

ทุกคนช่วยกันตามหาก็ไม่พบ แต่ก็ยังไม่ล้มเลือกความตั้งใจ

 

ทางด้านเคมิจิหนีออกรพ.มาได้เดือนกว่าๆ ตัดสินใจได้แล้วว่าคงกลับอนาคตแล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติของตนเอง

เป็นแค่เพียงคนธรรมดา ไม่ใช่ฮีโร่ที่อยากช่วยคนอื่นอีกต่อไป ตราบาปนี้ยังคงติดอยู่ในใจเขามาเสมอ

 

ที่ตนเองนั้นไม่สามารถช่วยใครได้สักคน ฮีโร่อะไรล่ะ น่าขำสิ้นดี

 

เขามาดักรอเจอนาโอโตะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เจอเด็กน้อยคนนั้น เขาได้พบกับซาโนะ มันจิโร่ ซะก่อน

 

มาได้ยังไง

 

ทั้งสองคนสบตากัน แต่เป็นเขาที่หลบสายตาไปก่อน ทำยังไงดี ทำไมต้องมาเจอเวลาแบบนี้ด้วย

“นายจะไปไหนทาเคมิจจิ”

“…”

“จะทิ้งฉันไปอีกคนแล้วเหรอ”

ไมกี้พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง มันแฝงไปด้วยความรู้สึกเศร้าจนคนฟังหัวใจกระตุก

 

ร่างเล็กไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกไปนั้นคือเป็นคำตอบแล้ว

 

ซาโนะแค่นหัวเราะดังในลำคอ สองเท้าก้าวเดินมาใกล้คนผมเหลืองที่ค่อยๆ ถอยหลังด้วยความวิตก

ไมกี้ตอนนี้ดูแปลกไปกว่าทุกทีมาก

 

น่ากลัว..

 

สายตาที่มองมายังผมยังไม่ละไปไหน เขายังคงหัวเราะคลั่งราวกับคนบ้า

“นายจะไปจากฉันไม่ได้ ฉันไม่ให้นายไป”

อีกคนพึมพำอะไรผมไม่แน่ใจ ไมกี้พูดเสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยินอะไร สองขาของผมบอกให้ตัวเองรีบวิ่งหนี หนีออกไป เมื่อนึกได้จึงตัดสินใจที่วิ่ง แต่ว่าไม่ทัน..

 

ไมกี้คุงมาถึงตัวผมแล้ว

 

 

หมับ~

 

แรงกอดรัดจากด้านหลัง ไมกี้คุงกอดผมไว้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลซึมผ่านเสื้อผ้า

ไมกี้คุงร้องไห้

 

ทำไมล่ะ

 

“ได้ยินไหม ฉันไม่ให้แกไป”

“อย่าไปนะทาเคมิจจิ อยู่กับฉัน”

“ผ..ม” ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกไป

 

แรงกอดกระชับแน่นมากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าของอีกคนแนบกับแผ่นหลังของผม ไมกี้ตอนนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาอ่อนแอมากๆ ผมก็เช่นกัน

 

“ไม่ไปได้ไหม ฉันขอร้อง”

 

หยาดน้ำใสไหลจากดวงตาสีฟ้า หยดลงบนแขนเล็กที่โอบรอบเอวบาง

มือสั่นเทาของผมวางทับกอดกลับไมกี้คุง ผมก็อยากอยู่กับไมกี้คุงนะ แต่ผมตัดสินใจแล้ว

 

“ขอโทษนะไมกี้คุง”

 

ผมพยายามแกะสองแขนออกจากเอวตนเอง

 

จึ้ก!!

ปลายเข็มเล็กปักลงบนไหล่ของผม ก่อนสติของผมจะค่อยๆ เลือนหายไป ยาสลบสินะ

 

“ม ไมกี้”

 

 

 

 

 

 

ร่างเล็กตื่นขึ้นมายามบ่ายของอีกวัน ภาพตรงหน้าเบลอ สายตายังปรับโฟกัสไม่ค่อยได้ ผมมองไปรอบๆ ห้องนอน ไม่รู้จัก ที่นี้คือที่ไหน

ความทรงจำล่าสุดผมไปหานาโอะและเจอกับไมกี้คุง.. อ่า โดนจับมาสินะ

ทาเคมิจิลุกขยับตัวก่อนจะงุนงง เมื่อหนักตรงข้อเท้า

 

ผมโดนล่ามโซ่!

ให้ตายสิมันจิโร่ เอาแบบนี้เลยเหรอ

เหมือนจะเป็นห้องของไมกี้คุงละมั้ง ก็ห้องทั้งกว้างหรูขนาดนี้

 

“เห้ออ”

“ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นะ” กายเล็กเอนตัวลงนอนกับเตียงใหญ่ด้วยความเหนื่อย จะหนีตอนนี้ก็ไม่รู้จะหนียังไง ระบบรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนา หัวผมตึ้บไปหมด คงออกไปไม่ได้ง่ายๆ

 

อีกอย่างตอนนี้ผมรู้สึกมึนหัวไม่หายเลย นอนหลับอีกจะแปบละกัน ค่อยคิด แต่ไม่ทันที่จะได้หลับ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น

ผมลืมตาขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิม

“ตื่นแล้วเหรอ” ใกล้ไมกี้อยู่ใกล้มาก เดินมาไวชะมัด

“อือ” ผมตอบกลับไปทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“แกยังมึนหัวอยู่ไหม”

“อือ”

“…” ไมกี้ไม่ได้พูดอะไรอีก

 

ยวบ~

 

ผมรู้สึกถึงเตียงด้านข้างยวบลง ก็คงไมกี้คุงนั่นหละ จะมีใครอีก

“แกไม่โวยวายหน่อยเหรอ ฉันคิดว่าจะโดนแกด่าแล้วซะอีกที่ฉันจับแกมา”

ผมลืมตามองคนข้างตัว

“ถ้าผมโวยวายไป แล้วไมกี้คุงจะปล่อยผมไปหรือเปล่าล่ะ”

 

“ไม่!”

 

“เห็นไหมครับ ผมก็ไม่รู้จะพูดทำไม”

 

 

 

“แกเกลียดฉันไหมทาเคมิจจิ” มือของอีกคนขึ้นมาลูบแก้มผมแผ่วเบา มันอ่อนโยนที่สุดที่เคยได้สัมผัสมา

 

“ผมไม่เคยเกลียดไมกี้คุงเลยนะ กลับกันผมเกลียดตัวเองมากกว่า”

“ฮึกก..ที่ไม่สามารถช่วยใครได้เลย ทั้งที่ผมมีโอกาสช่วยแท้ๆ ฮือ …อึก แต่ผม ทำไม่ได้” ซบหน้าลงกับฝ่ามือนั้นปล่อยน้ำตาไหลริน

 

ไมกี้คุงมองหน้าผมด้วยแววตาเศร้า

“แกจะเกลียดฉันก็ได้ แต่อย่าเกลียดตัวเองเลย แกไม่ได้ผิดอะไร”

เสียงสะอื้นหนักหน่วงดังขึ้นกว่าเดิม ไมกี้สวมกอดคนตรงหน้าปลอบโยนราวกับว่ากลัวจะแตกสลายหายไป

“แต่ฉันเองก็ปล่อยแกไปไม่ได้เหมือนกัน อยู่กับฉันนะ อย่าจากฉันไปไหนอีกคน ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแก”

 

ถึงแม้แกจะไม่อยากอยู่กับฉันก็ตาม

 

 

end