3 ตอน ตอนที่ 2 บทเรียนที่ 1 ทำตัวให้ชิน
โดย อัญมณีสีน้ำเงิน
ตอนที่ 2 บทเรียนที่ 1 ทำตัวให้ชิน
จากความงงที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวาน เมื่อคืนผมก็ได้ลองทักไปถามพี่ปลื้มอีกครั้ง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าพี่ปลื้มจะสอนฉากอย่างว่าให้ผม เพราะรำคาญที่ผมเล่นไม่ได้สักที แถมยังหงุดหงิดหาว่าแค่นี้ผมก็ไม่เข้าใจ พอพี่แกเหวี่ยงมาขนาดนั้น มีเหรอผมจะกล้าปฏิเสธ แม้จะกลัว และเกรงใจพี่แกมากแค่ไหน แต่ผมก็ต้องยอมอยู่ดี
พี่ปลื้มนัดให้ผมไปหาที่คอนโด ผมแอบแปลกใจเหมือนกัน ที่พี่ปลื้มเลือกคอนโดเป็นที่สอน เพราะคิดว่าคนแบบที่เขา น่าจะเป็นคนหวงความเป็นส่วนตัว แต่มาคิดแล้วก็เข้าใจได้ เพราะถ้าไม่ไปคอนโด ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนแล้ว ซ้อมฉากอย่างว่า จะให้ไปที่ร้านกาแฟมันก็เกินไป
‘มาถึงแล้วครับ’
ผมไลน์บอกพี่ปลื้มแบบกล้า ๆ กลัว ๆ สักพักพี่ปลื้มก็อ่าน แต่ไม่ได้ตอบอะไร รอไม่นานพี่เขาก็เดินลงมารับผม แล้วพาผมขึ้นห้องไป
“กินอะไรมารึยัง”
นี่เป็นคำถามแรก หลังจากที่ผมตามพี่ปลื้มเข้าไปในห้อง อย่างน้อยก็ยังดีที่พี่ปลื้มพูดอะไรบ้าง ไม่ใช่ปั้นหน้าตึงให้ผมอึดอัดอย่างเดียว
“ยังเลยครับ”
“งั้นกินข้าวก่อน”
พี่ปลื้มพาผมไปนั่งบนโซฟา จากนั้นก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากด ๆ ผมเดาว่าคงกำลังสั่งอาหาร
ระหว่างที่พี่ปลื้มสั่งอาหาร ผมก็แอบมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องของพี่ปลื้มค่อนข้างใหญ่ แต่ภายในห้องมีของไม่เยอะ ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ สบายตา ไม่รู้ว่ามีแม่บ้าน หรือพี่ปลื้มทำเอง ถ้าทำเองก็นับว่าพี่เขาเป็นคนที่มีระเบียบน่าดู
ผมมองไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าห้องนี้ดูไม่ได้มีของใช้ที่เหมือนของใช้ผู้หญิงเลย ถ้าให้เดาแบบผิวเผินเลยก็คือ พี่ปลื้มน่าจะยังไม่มีแฟนรึเปล่า
อ่า แต่จะมีไม่มีผมก็ไม่ควรไปยุ่งเนอะ
ระหว่างที่ผมกำลังทำตัวเป็นพวกสอดรู้สอดเห็น มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย พี่ปลื้มที่ผมคิดว่ากำลังสั่งอาหารอยู่ ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ทำเอาผมสะดุ้งโหยง ผมกำลังจะกล่าวขอโทษที่สอดรู้สอดเห็นจนเสียมารยาท แต่พี่ปลื้มก็พูดขัดขึ้นก่อน พร้อมยื่นโทรศัพท์มาให้ผม
“สั่งซะ กูไม่รู้ว่ามึงกินอะไร”
“ครับ”
ผมพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะรีบกดสั่งอาหารทันที
หลังจากสั่งอาหารไป เราก็นั่งรอกันไม่นาน อาหารก็มา พี่ปลื้มพาผมไปกินข้าว แม้เราจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะเดียวกัน แล้วผมก็ยังเป็นน้องที่สนิทของพี่โด้ เพื่อนสนิทของพี่ปลื้ม แล้วเราก็ยังมีโอกาสได้เรียนแอ็กติงด้วยกันอยู่หลายครั้ง แต่มาจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่หายกลัวพี่ปลื้มเท่าไร มื้ออาหารระหว่างเรามันจึงเต็มไปด้วยความเงียบ มากกว่าที่ควรจะเป็น
เรานั่งกินข้าวกันแบบเงียบ ๆ ไปจนเสร็จ พี่ปลื้มก็ปล่อยให้ผมนั่งพักผ่อนสักพัก ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างผม แล้วเข้าเรื่องทันที
“จำบทที่กำลังจะถ่ายคิวหน้าได้หมดรึยัง”
“จำได้หมดแล้วครับ”
เราต้องถ่ายทำกันอีกทีสัปดาห์หน้า แต่ผมก็จำบทได้หมดแล้ว แล้วก็ไม่ใช่แค่ที่กำลังจะถ่าย แต่ผมยังจำได้ทั้งเรื่องเลยด้วย เพราะบทมันไม่ได้เยอะมาก แล้วพี่โด้ให้คิดบทพูดเองค่อนข้างเยอะ มันเลยจะใช้ความเข้าใจมากกว่าความจำ แล้วบวกกับผมอยากทำให้มันดี เลยทำการบ้านหนัก เรียกว่าบทมันฝังไปในหัวผมแล้วละ
“ดี จริง ๆ มึงจำบทได้ดี แล้วก็โอเคเลยนะในฉากอื่น ๆ จะเสียก็แค่ฉากเมื่อวาน”
พี่ปลื้มเริ่มคอมเมนต์การแสดงของผม ผมเองก็อยากจะรู้ในมุมมองของผู้กำกับมืออาชีพแบบพี่ปลื้มเหมือนกัน ซึ่งพอได้ยินว่าผมเล่นโอเค ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ เพราะไอ้ฉากที่พี่ปลื้มพูดถึงเนี่ยแหละ
“พี่ปลื้มว่าผมควรแก้ตรงไหนบ้างครับ”
“ทั้งหมด”
“เอ่อ”
“ฉากอื่นเล่นธรรมชาติ แต่ฉากเอากันมึงดูแข็งมาก สายตาก็ดูกล้า ๆ กลัว ๆ แถมยังดูตื่นเต้นเกินบทไปเยอะ ตอนแสดงอารมณ์ก็ดูงงไปหมด หน้าตาดูงงมากกว่าเสียว แถมร้องก็เสียงแปลก ร้องไม่ตรงจังหวะกับที่กูทำให้ด้วย ของแบบนี้มันต้องดูจังหวะคนที่แสดงด้วย เพราะเราต้องร้องเหมือนกำลังโดนทำจริง ๆ”
“อ่า เยอะจริงด้วยครับ”
ผมถึงกับเครียดเมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเองต้องปรับปรุง เข้าใจเลยว่าทำไมพี่โด้มันยอมยกกองง่าย ๆ แบบนั้น คงดูว่าผมไม่น่าจะไหวแล้วจริง ๆ แหละ
“อย่าเครียดไปเลย ของแบบนี้มันก็ไม่ได้แก้ยากขนาดนั้นหรอก”
พี่ปลื้มตอบชิล ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบรีโมต แล้วกดปิดให้ม่านเลื่อนมาปิดกระจก บังวิวห้องสุดหรูไว้ ผมงงนิดหน่อยว่าทำไมต้องปิด เพราะวิวมันก็ดูสวย และมองเพลินดี แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ยังไงมันก็ห้องของพี่ปลื้มอยู่แล้ว
“กูจะสอนมึงเอง งานจะได้เร็ว แล้วก็ไม่ให้เสียชื่อน้องคนสนิทของไอ้โด้ ที่มันอุตส่าห์อยากจะตั้งใจปั้น”
“ขอบคุณมากเลยครับพี่ปลื้ม”
แม้ที่ผ่านมา พี่ปลื้มจะดูน่ากลัว แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกขอบคุณ และปลื้มใจในความมีน้ำใจของพี่ปลื้มมาก ๆ ผมรู้ว่าเวลาของเขามีค่า แต่ยังอุตส่าห์เจียดเวลามาช่วยเด็กน้อยอย่างผม
“ก่อนจะไปแก้เรื่องแอ็กติง ขั้นตอนแรกเลย เราควรจะชินกับร่างกายของกันและกันก่อน เวลาเล่นจะได้ไม่ต้องมัวแต่เขิน หรือตื่นเต้นจนเลิ่กลั่กแสดงไม่ได้แบบเมื่อวานอีก”
“ครับ”
“โอเค”
พอพี่ปลื้มพูดแบบนั้น ผมก็คิดไปต่าง ๆ นานาว่า พี่ปลื้มจะทำยังไงให้เราคุ้นชินร่างกายของกันและกัน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดออก พี่ปลื้มก็ยืนขึ้น แล้วถอดเสื้อออก ทำเอาผมรีบหันหน้าหนีแบบอัตโนมัติเพราะกลัวเสียมารยาท แต่ก็โดนพี่ปลื้มสั่งให้หันกลับไปอยู่ดี
“หันหนีทำไม มองสิ จะได้ชิน”
“เอ่อ”
“เร็ว!”
พี่ปลื้มเร่ง ผมจึงจำใจหันกลับมามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาคอผมแห้งผาก ที่เข้าฉากกันเมื่อวานมันมีแต่ผมที่ต้องถอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นร่างกายกำยำของพี่ปลื้ม แบบเต็ม ๆ ตา
ผมเข้าใจแล้ว ว่าทำไมจากผู้กำกับ พี่ปลื้มจึงกลายมาเป็นพระเอกได้ นอกจากหน้าตาที่หล่อเหลา ฝีมือการแสดงที่สุดยอด หุ่นพี่ปลื้มก็เหมาะกับการเล่นหนังที่ต้องโชว์ร่างกายสุด ๆ กล้ามพี่ปลื้มแน่นมาก ๆ ทั้งตรงหน้าอก แขน ซิกซ์แพ็กก็เรียงสวย ผิวแทนนิด ๆ แล้วยังเนียนเสมอกันอีก
นี่มันหุ่นพระเจ้าปั้นชัด ๆ
“มึงก็ถอดด้วยสิ เวลาแก้ผ้าเข้าฉากด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมาเขินที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้ากูอีก”
“เอ่อ”
“อย่าเอ่อบ่อยได้ไหม ทำอะไรให้มันรวดเร็วหน่อย มันน่าหงุดหงิดนะ”
“ครับ ๆ ๆ ผมรีบถอดแล้ว”
พี่ปลื้มก็ยังเป็นพี่ปลื้ม ไม่รู้จะดุอะไรนักหนา พอโดนดุมาแบบนั้น ผมก็รีบถอดเสื้อยืดที่ใส่ออกทันที ตอนแรกก็รีบถอดเพราะกลัวโดนบ่นอีก แต่พอถอดเสร็จก็รู้สึกเขินขึ้นมา พอเทียบกับพี่ปลื้ม หุ่นผมดูแห้งชะมัด ผิวก็ขาวซีด ไม่ได้ดูเข้ม ดูสวยแบบของพี่ปลื้มเลย
หลังจากถอดเสร็จ ผมก็ยืนนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร ตอนแรกก็อาย ๆ กับหุ่นตัวเอง ที่ไม่ได้ดีแบบพี่ปลื้ม แต่พอยืนไปสักพัก ผมก็เริ่มอายกับสายตาพี่ปลื้มแทน ตอนนี้พี่ปลื้มกำลังมองร่างกายของผมไม่วางตา แถมแววตาของพี่ปลื้ม มันก็ดูต่างออกไปจากตอนปกติที่เราคุยกัน นี่อาจจะเป็นวิธีการในการทำความคุ้นเคยกับร่างกายของอีกฝ่ายฉบับมืออาชีพละมั้ง
“ถอดข้างล่างด้วยสิ”
“ฮะ ข้างล่างด้วยเหรอครับ”
“เวลาเล่นก็ต้องถอดหมดนะ”
พูดจบพี่ปลื้มก็ทำให้ดูด้วยการถอดกางเกงของตนเองออก เผยให้เห็นกางเกงใน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้มองมันมาก กางเกงในตัวนั้นก็โดนถอดออก จนตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผม มันมีแค่แก่นกายของพี่ปลื้มเท่านั้น
ผมถึงกับเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก จะหันหนีก็กลัวโดนบ่น แต่จะจ้องมากก็กลัวจะดูโรคจิตเกินไป ผมควรจะทำยังไงต่อดี
“มองสิ ถอดเพราะจะให้มองให้ชินนะ”
“เอ่อ ครับ”
แล้วพี่ปลื้มก็หาทางออกให้กับผม แต่เป็นทางออกที่ทำเอาผมไปไม่เป็น ผมกลั้นใจมองส่วนนั้นของพี่ปลื้ม ระหว่างที่มองก็พยายามทำสีหน้าให้ปกติ กลัวพี่ปลื้มจะว่าผมโรคจิต
ส่วนนั้นของพี่ปลื้มมันกำลังหลับอยู่ แต่ขนาดหลับ ผมก็รู้สึกว่ามันดูใหญ่ เดาว่าตอนมันตื่นเต็มที่ ขนาดของมันก็จะต้องใหญ่โตมากแน่ ๆ แต่ส่วนที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ทำไมตรงนั้นของพี่ปลื้มยังมีขนดกดำเยอะแยะเต็มไปหมดอยู่เลย แล้วทำไมตัวผมถึงโดนสั่งให้ไปจัดการขนล่ะ
“ทำไมของพี่ปลื้มมีขนล่ะครับ”
“คนเราเกิดมาก็ต้องมีขนรึเปล่า”
“ผมหมายถึงว่าทำไมยังไว้ได้น่ะครับ ของผมพี่โด้บอกให้เอาออก”
“อ่อ ในทางภาพมันดูดีกว่า แล้วคนดูก็ชอบแบบไม่มีขนน่ะ ส่วนของกูที่ต้องไว้ เพราะโด้มันอยากได้ภาพที่ใส่กางเกงในแล้วเห็นขนแพลม ๆ อะไรแบบนี้ด้วย ก็อย่างว่านะ ถึงโลกนี้จะไปถึงไหนต่อไหน ใครจะมีขนหรือไม่มีก็ได้ แต่หนังอีโรติกเรื่องแรก แล้วค่ายก็หวังกำไรกับเรื่องนี้มาก เลยต้องทำเอาใจคนดูหน่อย ส่วนใหญ่เขาชอบแบบนี้น่ะ”
“อ่า เข้าใจแล้วครับ”
“ดี เข้าใจแล้วก็ถอดสิ”
คราวนี้ผมยึกยัก ไม่อยากจะถอดเท่าไร ไอ้เรื่องหุ่นมันพอยอมอายกันได้บ้าง แต่ข้างล่างนี่ไม่อยากให้พี่ปลื้มเห็นเลย กลัวโดนพี่ปลื้มล้อว่าเหมือนของเด็ก ยิ่งถ้าเทียบกับของพี่ปลื้มแล้ว นี่มันรุ่นพ่อรุ่นลูกชัด ๆ
“เราไม่ต้องถึงขั้นถอดข้างล่างก็ได้นี่ครับ ยังไงตอนถ่ายก็มีเซฟให้” ผมยกเรื่องนี้มาอ้าง เพราะในตอนถ่ายจริงจะมีกางเกงในแบบที่คลุมเฉพาะแก่นกายกับพวงไข่ทั้งสองเพื่อเซฟนักแสดงอยู่
“กูคุยกับโด้แล้ว ว่าครั้งหน้าจะเอาเซฟออก เพื่อความสมจริงน่ะ”
“ฮะ”
“เพราะงั้นก็ ถอดได้แล้วละ”
มาถึงตรงนี้ ผมก็หมดทางเลือก จำใจต้องถอดกางเกงของตนเองออกบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าพี่ปลื้มก็ทำความคุ้นชินกับร่างกายของผม ด้วยการมองส่วนนั้นของผมแบบไม่วางตา ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกไปหมดแล้ว
เราต่างคนต่างยืนมองกันไปมองกันมาสักพัก จู่ ๆ พี่ปลื้มก็เหมือนคิดอะไรได้ เลยคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างรวดเร็ว แล้วไปหยิบกุญแจรถ เหมือนจะไปไหน ผมเลยใส่ตามบ้าง รู้สึกดีใจนิด ๆ ที่ไม่ต้องแก้ผ้า ถึงผมจะยังไม่ชินกับร่างกายของพี่ปลื้ม แต่ให้ยืนแก้ผ้ามองกันต่อก็ไม่ไหว ตอนนี้ขอมีอะไรคลุมร่างกายหน่อยก็ยังดี
“พรุ่งนี้มีงานอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีครับ พรุ่งนี้ผมว่าจะซ้อมบทต่อ”
“งั้นกลับไปเก็บเสื้อผ้ามาที่นี่ เดี๋ยวกูพาไป”
“เก็บมาทำไมเหรอครับ”
ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่คำตอบที่ได้ ก็ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกยิ่งกว่าเดิม
“กูประเมินดูแล้ว มึงตื่นเต้นกว่าที่กูคิด น่าจะยากที่จะแค่ดูร่างกายกันและกันแป๊บเดียวแล้วหายเกร็ง เพราะงั้นไปเอาเสื้อผ้ามานอนที่นี่สักคืนสองคืน ไม่สิ จริง ๆ ไม่ต้องไปเอาก็ได้นี่ เพราะยังไงก็ต้องทำความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว งั้นอยู่ที่นี่สักสองคืน แบบไม่ต้องมีเสื้อผ้าเลยน่าจะดีกว่า”
“ฮะ”
“เอาละ ถอดใหม่อีกครั้งสิ”
Comments (0)