ท่าทีของเมขลาดูสงบนิ่งราวกับว่ากำลังทำสมาธินั่งเข้าฌานอยู่ ถึงตัวเมขลาจะดูผ่อนคลายแต่บรรยากาศรอบข้างกลับดูตึงเครียดยิ่งนัก

          รามสูรเป็นผู้ที่ชื่นชอบการต่อสู้ ข้อนี้เมขลารู้ดีกว่าสิ่งใดก่อนจะได้มาพบเจอกับรามสูรตัวเป็น ๆ เสียอีก

          ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวดูเหมือนผ่านสนามรบมามากมายแต่กลับเป็นผู้ที่ถูกยุยงและชักจูงได้ง่าย ๆ จนน่าประหลาดใจ หลังจากที่ได้แก้วมณีไปเจ้าตัวคงขอให้ไม่ว่าอะไรก็ราบรื่นแต่ดันลืมขอว่าอย่าให้มีใครจับได้นั่นแหละ ไหนจะหลงลำพองในตนเองจนไปท้าทายจันทราเทพเข้าอีก รายนั้นเห็นดูเปราะบางแต่แท้จริงแล้วร้ายกาจใช่ย่อย

          “แก้วมณีนั่นเจ้าจะนำคืนไปจริง ๆ หรือ” รามสูรเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ หน้าตาของยักษ์ที่ได้รับจดหมายร้องเรียนอันยาวเหยียดนี้เหมือนกับเด็กที่แอบขนมมารดากินแล้วถูกจับได้ไม่มีผิด

          “ถึงข้าจะใจดีแต่ตอนนี้ข้าดูเหมือนพูดเล่นรึ” เมขลาเชิดหน้าเอ่ยด้วยเสียงที่เคร่งขรึม เขาพยายามเป็นอย่างมากในการอดกลั้นเพื่อไม่ให้หลุดขำเมื่อได้เห็นท่าทางของรากษสตรงหน้า เอาล่ะอยากฟังเหตุผลที่จะนำมาต่อรองเสียจริง

          รามสูรลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือกระแทกกับโต๊ะดังปึง “เจ้าก็รู้ว่าแก้วมณีมันจำเป็นสำหรับข้าจริง ๆ มะ มารดา ใช่สิข้าต้องใช้มันเพื่อรักษามารดาของข้า ถ้าไม่มีแก้วมณีมารดาข้าต้องแย่แน่ ๆ เจ้าต้องการให้เป็นแบบนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นเทพที่ใจจืดใจดำมาก!” เขาโวยวาย ความจริงแล้วที่รามสูรต้องการมีแก้วมณีไว้ในครอบครองนั้นหาใช่เพราะอภินิหารของแก้วมณีแต่อย่างใด อยากได้ก็เพราะอยากได้ต่างหาก แค่ชอบเหตุใดต้องหาเหตุผลมารองรับด้วย

          “เช่นนั้นข้าก็จะให้แก้วมณีเจ้าอยู่หรอก แต่รามสูร มารดาเจ้าล่วงลับไปแล้ว เจ้าจะมีมารดาที่ไหนอีก”

          “มารดาบุญธรรม”

          “ล้อข้าเล่นหรืออย่างไร ตั้งแต่จุติลงมาได้ไม่ถึงยี่สิบปีเจ้าก็ตั้งตนเป็นใหญ่จะครอบครัวหรือบริวารล้วนล้มหายตายจากไม่ก็ถูกเจ้าไล่ตะเพิดไปสิ้นแล้ว” เมขลาส่ายหัวให้กับรามสูรจากยักษ์สันโดษไม่รวมกลุ่มกับผู้ใด บัดนี้ได้กลายเป็นยักษ์ที่มีมารดาทิพย์ไปเสียแล้ว เป็นข้อแก้ต่างที่ฟังไม่ขึ้นจริง ๆ

          “เจ้าสืบเรื่องข้าไปถึงไหนกัน!”

          “เรื่องของเจ้าใคร ๆ เค้าก็รู้กันทั่วนั่นแหละ แหมก็เจ้าดังมากในหมู่พวกเทพนี่นา”

          รามสูรทำหน้าไม่สบอารมณ์มองไปยังเศียรครอบคู่กายของตนที่วางอยู่ข้าง ๆ เวลานี้เขาควรจะนั่งหน้าระรื่นชื่นบานอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วมิใช่การมาต่อล้อต่อเถียงกับเมขลาเช่นนี้ ให้อยู่แต่ในวิมานกับเมขลาตลอดทั้งฤดูกาลก็เป็นอะไรที่น่าเอือมระอาเกินไปสำหรับรามสูร คิดจะหาทางหนีออกไปพร้อมกับแก้วมณีในตอนที่เมขลาไม่อยู่แต่ไม่ว่าวิธีไหนหากทำจริง ๆ ก็มีโอกาสที่แก้วมณีจะสูญหายไปได้ด้วยกลพิลึกของเมขลาแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็จะยิ่งถูกจับได้ง่าย ๆ ถึงเมขลาจะทำอะไรตนเองไม่ได้แต่บางครั้งมันก็น่ารำคาญมิน้อย แบบนี้มันจะยิ่งเป็นการเสี่ยงจนเกินไป

          เมขลากระแอมไอ “แล้วก็อย่าพยายามหนีออกไปเล่า อย่าลืมว่าเจ้าถูกกักบริเวณห้ามออกจากอาณาเขตวิมานที่อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะล่องหนหายตัวข้าก็สามารถรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ดี” ต่อให้เมขลาอ่านความคิดของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ความคิดทุกอย่างของรามสูรนั้นมันออกทางสีหน้าหมดแล้ว

          รามสูรชำเลืองมองเมขลาจากข้าง ๆ ที่นั่งตั้งกว้างใหญ่แต่กลับมานั่งเบียดเสียดกัน อยากจะเอาเล็บข่วนหน้าแล้วโยนเจ้าตัวออกไปไกล ๆ แต่ทำเช่นนี้ก็จะดูเหมือนว่าตนรังแกผู้ที่อ่อนแอไร้ทางสู้เนี่ยสิ มันจะดูหน้าไม่อายจนเกินไป ทั้งที่มีหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมแท้ ๆ ทำไมถึงชอบทำเหมือนว่าเป็นเจ้านายของตนกัน ไม่ว่ารามสูรจะขู่เช่นไรหรือแม้แต่วิ่งเอาขวานไล่ฟันเมขลามากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ยังคงยิ้มร่าชอบอกชอบใจด้วยสีหน้าที่เหมือนมีคำพูดออกมาว่า ‘แน่จริงก็จับข้าให้ได้สิเจ้ายักษ์น้อย’ ยิ่งเห็นแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเป็นเท่าตัว “ข้าล่ะเกลียดเจ้าเสียจริง”

          เมขลายิ้มจนตาปิดตอบกลับ “แต่ข้าชอบนะ เจ้าดูรับมือด้วยง่ายดี” ความจริงแล้วแก้วมณีนี้เมขลามิได้คิดที่จะยึดไปเลย ถ้ารามสูรลองคิดพิจารณาดี ๆ รามสูรนั้นมิได้ทำอันใดที่เป็นการผิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ในคราแรกสักนิด หากรามสูรแย้งและยกข้อนี้ขึ้นมากล่าวก็จบเรื่องแล้ว พอได้ยินว่าจะยึดแก้วมณีคืนคงหน้ามืดตามัวจนลืมสิ้นไปทุกอย่าง เมขลาเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของรามสูรแล้วยิ่งรู้สึกทำให้อยากแกล้งขึ้นมาอีก

          เมขลาก้มหน้างุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสร้งว่าเศร้า “อีกอย่างเจ้าบอกว่าจะเป็นคู่รักให้ข้าแต่ที่เจ้าทำอยู่ไม่เห็นจะเหมือนคู่รักกันตรงไหน เอะอะเจ้าก็จะฟาดข้าตลอดข้าเสียใจมากเลยนะ”

          ยังไม่ทันจะหันหน้าไปหาอีกฝ่ายดีก็ถูกริมฝีปากหนึ่งทาบทับประกบเข้าหาพร้อมทั้งลิ้นสอดแทรกเข้าหยอกเย้าเหมือนต้องการจะสำรวจทั่วทั้งโพรงปาก สัมผัสที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้เมขลาตัวแข็งทื่อมือไม้ไร้เรี่ยวแรงไปหมด

          รามสูรผละออกจากเมขลามือก็เช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาเลอะคาง “หุบปากน่ารำคาญของเจ้าไปได้แล้ว”

          เมขลาผู้ทำหน้าประดุจว่าถูกช่วงชิงวิญญาณไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ขะ ข้ายังไม่พร้อมจะมีลูกตอนนี้นะ!”

          สิ่งนี้เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของเมขลาไม่น้อย เมขลามั่นใจว่าตนเองมีประสบการณ์ในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาก็ไม่น้อยถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวมาก็ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งพอเป็นรากษสที่ช่วงชิงจุมพิตที่แสนดูดดื่มของตนไปกลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้เสียอาการเยี่ยงนี้ จากที่จะไปแกล้งอีกฝ่ายไฉนจึงเป็นตนที่โดนแกล้งแทนเสียได้

          “หาเพ้อเจ้อรึ! แล้วหน้าเจ้าแดงอะไรขนาดนี้ ไม่ได้ป่วยดอกใช่ไหม”

          เมขลาปัดมือรามสูรออกก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเป็นเทวดาข้าไม่ป่วยหรอกน่า” เขาพยายามถกเถียงกับตัวเองว่าไม่ได้เขินเพราะรามสูรเสียหน่อย ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเอาแต่ไล่ตีตนอยู่เลยพอมาวันนี้กลับทำเรื่องชวนให้ใจเต้นโดยเจ้าตัวยังทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้นแบบนี้ได้อย่างไรกัน

          “ถึงเจ้าจะป่วยเจ้าก็คงไม่ตายอยู่ดีนี่หรือว่าแค่นี้เจ้าก็ทำตัวไม่ถูกเสียแล้ว อ่อนชะมัด” รามสูรเอ่ยเย้ยหยันขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบตามด้วยการหันมาแสยะยิ้มใส่เมขลา

          “เป็นเจ้าไม่เสียอาการหรืออย่างไรเล่า ทั้งที่ข้าก็หลอกล่อเจ้าอยู่เรื่อยแต่เจ้าก็เอาแต่ปฏิเสธตลอดพอมาวันนี้อยู่ดี ๆ เจ้าก็เป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน ข้า... ข้าก็แค่รับมือไม่ทันเฉย ๆ แบบว่าแค่ไม่ชิน” เมขลารีบแก้ตัวเป็นพัลวัน นึกสงสัยว่าเหตุใดตัวเขาเองจึงกลายเป็นฝ่ายที่เหมือนจะเพลี่ยงพล้ำได้

          “ฮึ ข้าก็นึกว่าเจ้าจะแน่สักเพียงไหนเชียว ที่แท้ก็ไม่เท่าไหร่” รามสูรหัวเราะได้ใจ

          “มาถูกเจ้ากล่าวเช่นนี้ใส่มันก็กระไรอยู่นะ ทั้งที่เจ้ามิได้ต่างจากข้าเสียเท่าไหร่ แตะหลังคอนิดหน่อยเจ้าก็อ่อนไหวจนทำอันใดไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ” เมขลาไม่พูดเปล่าแต่เอามือที่หาที่วางไม่ได้ไปวางบนลำคอของรามสูร

          รามสูรสะดุ้งเฮือกก่อนจะถลึงตาใส่เมขลาและจับข้อมือเรียวบางนั่นไว้แน่นแต่ถึงอย่างนั้นเมขลาก็ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านกับปฏิกิริยาโต้ตอบที่น่ากลัวของรามสูรสักเท่าไหร่ทั้งยังพูดต่อด้วยหน้าตาที่แสนยียวน

          “เจ้าไวต่อสัมผัสนี้น่าดูเลยนี่” 

          “ฮึ เจ้าก็ทำได้แค่นั้นนั่นแหละ มีอะไรน่าอวดกัน แล้วมือของเจ้าน่ะหากไม่มีที่ไว้ข้าจะหักมันทิ้งซะ”

          “แต่ทุกส่วนในร่างกายของข้านั้น เจ้าอยากจะลูบคลำมันมากเท่าไหร่ก็ได้นะ”

          “ผู้ใดอยากจะทำเช่นนั้นกัน! ตัวเจ้าไม่เห็นจะมีอะไรน่าพิศวาสตรงไหน” รามสูรทำหน้าเหยเก

          เมขลาทำหน้าล้อเลียนรามสูร “อืม ข้าก็แค่ผิวเนียน แค่ผิวขาว แค่เนื้อนุ่มละมุน แค่ตัวหอม ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจตรงไหนเลย…สินะ แล้วใครกันที่จ้องข้าไม่วางตาตลอดตอนที่หลับอยู่เล่า”

          “ข้าไม่ได้จ้องตลอดเสียหน่อย เจ้าไปอยู่เกะกะสายตาข้าเอง” รามสูรเบือนหน้าหนี ไม่รู้ทำไมยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตาจนขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายมีตาทิพย์หรืออย่างไรกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้ไปหมดทุกอย่างไม่มีตกหล่นเลยสักนิด

          เมขลากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ก็ถ้าเจ้าไม่ปฏิเสธข้าคงมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ”

          รามสูรตวาดลั่น “หน้าไม่อาย กลางวันแสก ๆ หัดอายฟ้าอายดินบ้างเถอะ!”

          “อายฟ้าอายดิน? อายทำไมกัน ข้าไม่ได้ไปทำกลางแจ้งเสียหน่อย หากถ้าเจ้าอยากทำจริง ๆ ล่ะก็ข้าจะไม่ปฏิเสธ และอีกอย่างนะเจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเมื่อครู่เจ้าทำเรื่องอันใดกับข้า เป็นเจ้าที่เริ่มก่อน มิใช่ว่าเจ้าที่หน้าไม่อายกว่ารึ”

          “ระ เรื่องนั้นมันไม่เหมือนกันเสียหน่อย” รามสูรรีบปฏิเสธน้ำเสียงขาดห้วงนิดหน่อยเป็นเพราะเจ้าตัวของเมขลา แค่พูดอย่างเดียวเพียงพอแล้ว มิเห็นเข้าใจว่าเหตุใดต้องขึ้นมานั่งขนาบบนตัวของรามสูรด้วย

          “งั้นให้ข้าจูบเจ้าคืน”

          “หา! แล้วทำไมข้าต้องทำด้วย”

          “...” เมขลายิ้มทำเพียงชูสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นมาโบกไหวไปมา ไม่มีคำใด ๆ ออกมาจากปากของเขา

          ดูเหมือนรามสูรจะยินยอมทำตามที่เมขลาขอเป็นอยากดีโดยไม่มีปฏิเสธหลังจากที่เห็นท่าทางของเมขลา และแล้วแก้วมณีก็ได้กลับมาสู้อ้อมอกของรามสูรสมใจ พร้อมด้วยรอยแผลบนริมฝีปากเล็กน้อย

 

***โปรดติดตามตอนต่อไป***

 

Twitter:@jantrawayo