1 ตอน เหตุเกิดแห่งความวุ่นวาย
โดย จันทราวาโย
ณ ดินแดนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพอสูร นางฟ้านางสวรรค์ นางอัปสรต่าง ๆ ดูเหมือนในขณะนี้จะดูครึกครื้นกันเป็นพิเศษและมากขึ้นกว่าปกติ เป็นเพราะวสันตฤดูได้เวียนวนมาถึง อันเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้จัดงานสังสรรค์กันขึ้นมาเพื่อเพิ่มความรื่นเริงบันเทิงใจและความสนุกสนานให้แก่เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ถึงงานนี้ผู้เป็นเทพจะจัดขึ้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะมาร่วมงานไม่ได้หรอกนะ ซึ่งงานนี้ก็ช่างไม่ต่างกับวันรวมญาติเลยทีเดียว
แม้แต่เมขลาที่เป็นเทพผู้มีหน้าที่คอยปกปักษ์รักษามหาสมุทรก็ได้มาร่วมงานนี้ด้วยเช่นกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงอย่างไรเจ้าตัวก็ค่อนข้างจะชื่นชอบงานรื่นเริงเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว หากว่าตนไม่มามันก็คงช่างน่าเสียดาย งานที่อมนุษย์มากมายมารวมตัวกันเยอะแยะเช่นนี้ เห็นทีก็มีแต่กำไรล้วน ๆ
เมขลานั้นค่อนข้างเป็นที่รักของทุกคน ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใดก็จะมีแต่ผู้ที่ให้การต้อนรับเต็มไปหมด เมขลามีนิสัยที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย รอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์เหมือนเป็นบ่วงล่อลวงให้ผู้คนไปติดกับแล้วยินยอมพลีกายถวายชีวิตให้ น้ำเสียงนั้นก็ช่างหวานไพเราะเสนาะหู หากได้ฟังก่อนนิทราคงหลับฝันดีไปตลอดกาล
ว่าด้วยเรื่องความงดงามของเมขลานั้นก็ถึงกับเป็นที่โด่งดังทั้งในหมู่ทวยเทพและเผ่าพันธุ์อื่นอยู่มิน้อย ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็จะงามเหมือนได้ บางครั้งผู้ที่พบเห็นเมขลาในคราแรกก็ถึงกับเกิดการเข้าใจผิดได้เลยว่าเจ้าตัวเป็นสตรีและตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ในภายหลังว่าเทพผู้นี้จริง ๆ แล้วเป็นบุรุษเพศ
และขึ้นชื่อว่าอมนุษย์ไม่ว่าเพศไหนในก็ล้วนมิสลักสำคัญอยู่แล้ว นี่คือข้อที่ได้เปรียบกว่ามนุษย์ธรรมดาล่ะนะ และยิ่งกับเมขลาที่ครองตัวเป็นโสดมิมีผู้ใดเป็นคู่ครองแล้วยิ่งทำให้เหล่าเทพทั้งต่างต่อแถวตามลำดับและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะพยายามว้าใจของเมขลามาให้ได้ แต่เมขลาเองก็มิเคยที่จะสนใจหรือชายตามองผู้ใดเลยสักนิด เป็นอันว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างสิ้นหวังกันไปทุกราย
ดวงแก้ววิเศษของเมขลาที่พวกเขาเรียกกันว่าแก้วมณีก็ดูเข้ากันกับเจ้าตัว ไม่ว่าจะเหาะไปแห่งหนใดเขาก็จะถือเอาแก้วมณีดวงนี้ไปด้วยเสมอ แสงที่ทอประกายระยิบระยับกอปรกับรูปลักษณ์ที่ดูสวยงามของเมขลาช่างเป็นอะไรที่น่าดูชมเสียจริง ๆ
ถึงอย่างนั้นแดนสรวงสวรรค์ก็มิได้มีแค่เหล่าทวยเทพ เผ่าพันธุ์ที่มีอำนาจไปไม่น้อยกว่ากันเลยก็จะมียักษ์อสูรผู้น่าหวาดหวั่นเหล่านี้ ถึงจะเป็นศัตรูกันแต่เวลาที่มีงานสังสรรค์ก็จะยอมสงบศึกกันชั่วคราว จะให้ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดไปมันก็คงจะมิได้
อันว่ายักษ์นั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับเทพ แต่ก็มิได้เหมือนเสียทีเดียว แค่รูปลักษณ์ก็จะดูออกได้มิยากเลย ถึงมิได้เชี่ยวชาญด้านอาคมเท่าเทพ แต่ด้านพละกำลังนั้นค่อนข้างเป็นที่ประจักษ์และอันตรายพอดู ซึ่งยามที่เจ้าพวกนี้อยู่อย่างสันติสุขมันก็ดีอยู่หรอก แต่เมื่อใดที่มีเขี้ยวยาว ๆ งอกออกมานั่นหมายความว่าพวกเขากำลังโกรธและหายนะก็ได้มาเยือน ณ ที่เห่งนั้นแล้ว บางตนก็มีนิสัยแปลก ๆ ที่ชอบใส่เศียรครอบหัวหน้าตาประหลาดเอาไว้ ถึงจะบอกเห็นผลว่าต้องการให้ผู้อื่นเกรงกลัวแต่เห็นแล้วก็ออกจะน่าขันเสียมากกว่า
และยังมีราษกอีกตนหนึ่ง เขามีนามว่า "รามสูร" นามเดิมคือ หิรัญ หรือเหมหิรัญ แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ทำให้มิมีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้ ร่างกายช่างกำยำแข็งแรงนั้นก็ดูสวยงามน่าชื่นชมอยู่หรอก แต่หน้าตาที่บอกบุญไม่รับนี่ช่างเป็นภัยต่อผู้อื่นไปทั่วจริง ๆ รามสูรเองก็ค่อนข้างเป็นที่โด่งดังไม่แพ้เมขลาอยู่เหมือนกัน ทั่วทั้งไตรภพต่างลือกันว่ารามสูรคือสุดยอดยักษ์อันธพาล ผลงานของรามสูรคือเที่ยวระรานผู้อื่นไปทั่วจนมีมิผู้ใดอยากเข้าใกล้ เป็นผู้ที่มิมีใครอยากจะเข้าไปยุ่งด้วยมากที่สุด เพราะพลังกายก็มากพออยู่แล้ว มิหนำซ้ำยังจะมีขวานวิเศษอยู่ด้ามหนึ่งเรียกขานว่าขวานเพชรเป็นอาวุธประจำกายอีก ยิ่งทำให้ไม่มีผู้ใดที่จะสู้อิทธิฤทธิ์ของยักษ์ผู้นี้ได้เลย
ย้อนความกันมาก็มากแล้ว กลับมาที่งานสังสรรค์เช่นเดิม
เรื่องมันเริ่มเมื่อตอนที่เทพผู้พิทักษ์มหาสมุทรได้เหาะมาพร้อมกับแก้วมณีเที่ยวชมงานตามปกติเฉกเช่นผู้อื่นเขาปฏิบัติกัน เดชะบุญดันผ่านไปพบเจอเจ้ารามสูรเข้า รามสูรเองก็ไม่เคยเจอเมขลามาก่อนนึกว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปหาได้มีอะไรน่าสนใจไม่ แต่หากสายตาที่หันไปสบพบเข้ากับแก้วมณีในมือของเมขลา ได้เห็นแสงแวววับไปมาก็รู้สึกสนออกสนใจอยากจะลองเข้าไปดูใกล้ ๆ แต่ผู้ที่ถือแก้วมณีอยู่นั้นก็ช่างเหาะไปไวเสียกระไร ครั้นจะหยุดเรียกนางผู้นั้น ก็กลัวว่าจะพลัดหลงคลาดสายตากันเลยต้องเร่งเหาะตามไปเรื่อย ๆ
เมขลาที่อยู่ ๆ ก็มีอสูรยักษ์ที่ไหนไม่รู้เหาะไล่ตามก็รู้สึกตกใจจนเกือบจะสบถคำหยาบคายออกมา เมื่อได้พินิจพิเคราะห์ดี ๆ ขวานที่เป็นเอกลักษณ์นั่นก็พอจะทำให้เมขลารู้ได้ว่าผู้ที่เหาะมาเป็นใคร พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูสนใจแก้วมณีของตนก็เลยอยากลองยั่วโทสะอีกฝ่ายให้มีน้ำโหดู ลองควงลูกแก้วไปมาบ้าง โยนเล่นบ้าง หรือแม้แต่หมุนไปมาให้เกิดแสงสะท้อนจนชวนให้ตาแทบจะบอด
ฝ่ายรามสูรได้เห็นเมขลาทำเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ยามแก้วมณีสะท้อนแสงก็ยิ่งงดงามกระตุ้นให้อยากสิ่งนั้นมาไว้ครอบครองกับตนเข้าไปใหญ่ จึงรีบไล่เหาะตามอย่างไม่ลดละ พอใกล้ขึ้นมาหน่อยก็คิดจะขว้างขวานในมือดักหน้าให้ผู้เป็นเจ้าของแก้วมณีหยุด ผู้ที่มาร่วมงานเห็นต่างก็พากันหนีกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง ในใจก็ต่างก็ภาวนาให้ตนมีชีวิตรอดกลับวิมานของตัวเองไป งานรื่นเริงในคราแรกที่ผู้คนต่างมารวมตัวและนัดพบกันกลับกลายเป็นเหตุการวิกฤตที่ต้องพากันหนีตายไปเสียแล้ว
ด้านรามสูรที่ยังมิรู้ตัวว่าตนได้เป็นต้นเหตุที่ให้งานรื่นกลายเป็นงานล่มก็ยังคงเหาะไล่ตามเมขลาอยู่ต่อไป แต่ไม่ทันไรแสงประกายของแก้วมณีก็ส่องสะท้อนออกออกมาอีกคราให้แสบตาจนเผลอเขวี้ยงขวานออกไปโดยไม่รู้ตัว เสียงขวานที่ร่วงลงกระทบกับพื้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งแดนสรวงสวรรค์ หากเมขลามิมีความว่องไวติดตัวขวานนั่นคงได้ตัดหัวของเมขลาไปแล้ว แค่โยนลูกแก้วไปมาถึงกับต้องลงไม้ลงมือกะฆ่ากันให้ตายเลยเชียวรึ ถึงกระนั้นเมขลาก็ยังมิเลิกสะบัดแก้วมณีไปมาให้เกิดแสงสะท้อนสร้างความลำบากในการลืมตาให้กับอีกฝ่ายถึงกระนั้นเมขลาก็ยังมิเลิกสะบัดแก้วมณีไปมาให้เกิดแสงสะท้อนสร้างความลำบากในการลืมตาให้กับอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน “อรชุนพ่อเทพรูปงามผู้ชำนาญในการแผลงศรที่ได้มาร่วมงานเช่นกัน เห็นว่าอยู่ดี ๆ ผู้คนที่มาสังสรรค์ต่างพากันหนีหายไปกันหมดเหลือแค่ตนเพียงผู้เดียวจึงออกตามหาและได้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์นี้พอดีก็เข้ามาห้ามปรามไม่ให้รามสูรไล่กวดเมขลาแต่เหมือนจะเป็นซ้ำเติมรามสูรเสียมากกว่า ด้วยความเจ็บตาไม่หายจากแสงของแก้วมณีที่สาดมาโดนให้หัวเสียอยู่นิดหน่อยน้ำตาก็ไหลไม่หยุด บวกกับเทพหน้าไหนก็ไม่รู้ที่โผล่มาถึงก็เข้ามาโวยวายใส่โดยไม่ฟังเหตุผลอะไรเลยก็ให้โกรธเลือดขึ้นหน้าพาลใส่อรชุนและด่าทอต่างๆ นานา ทางอรชุนเองก็ไม่น้อยหน้า กล่าวกับรามสูรว่าข้าไปเหยียบหัวเจ้าหรือ ก็ไม่ เป็นยักษ์แล้วอย่างไร ตัวข้าเองก็ปราบมารอสูรมานับไม่ถ้วน แม้แต่ทศกัณฐ์สิบหน้ายี่สิบมือ ข้าก็เคยจับมันมัดได้ กับเจ้าที่มีแค่สองมือคิดหรือว่าจะบังอาจมาสู้กับตัวข้าได้ รามสูรก็มิน้อยหน้า วีรกรรมตนเยอะแยะเล่าวันนี้ก็มิรู้ว่าจะหมดเมื่อใด ไม่ว่าใครก็ต่างเกรงกลัวในฤทธิเดชของตนกันทั้งนั้น เพียงแค่เห็นเงาก็ต้องหลีกหนีไปให้ไกล ยังมินับวีรกรรมอีกพันกว่าที่ได้ไปทำมา
อรชุนได้ยินถึงกับส่ายหัวเอือม พอฟังอีกฝ่ายว่าเสร็จก็เหาะเข้าปะทะกับรามสูรทันที รามสูรที่มิได้ไล่ตามเมขลาแล้วหันมาอรชุนรับมือกับอรชุนที่เข้ามาแบบมิได้ทันตั้งตัว อรชุนที่มือคว้าหัวยักษาในทางซ้ายกับมือในทางขวาที่จับพระขรรค์ก็กะฟันลงไปเต็มที่ แต่รามสูรก็หลบได้ทันแต่ไม่พ้นโดนพระขรรค์เฉี่ยวจนเป็นบาดแผลเล็กน้อยที่ไม่ถึงกับเหวอะหวะ
และเพื่อไม่ให้ตนน้อยหน้าแค้นนี้ต้องชำระ พอหลุดจากการจับกุมได้รามสูรก็สกัดเข้าที่ขาของอรชุนจนล้มลงจากนั้นก็เหยียบเข้าที่บ่าเงื้อขวานเตรียมที่จะบั่นหัวอรชุนให้ขาดสิ้น แต่ดันเสียหลักจากการที่อรชุนดิ้น จนกลายเป็นรามสูรที่ล้มลงไปนอนคว่ำและเป็นอรชุนที่ขึ้นมาคล่อมทับรามสูรแทน มือของตนก็ถูกจับไขว้หลังไว้ไหนจะโดนเท้าทั้งสองข้างเหยียบซ้ำเพื่อไม่ให้ยักษ์อสูรหลุดรอดอีกเป็นครั้งที่สอง แต่การต่อสู้ก็ย่อมต้องมีจังหวะของมัน พอสบโอกาสที่อรชุนเผลอไปเสี้ยวขณะหนึ่ง รามสูรก็ได้คว้าเอาข้อเท้าของอรชุนที่เหยียบมือของรามสูรอยู่นั้นจับเหวี่ยงทันที จนไปฟาดกับเขาพระสุเมรุ ทำให้เขาทรุดเอนไปด้วยพละกำลังของยักษ์รามสูรที่มากมหาศาล เกิดเสียงดังกัมปนาทกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภพภูมิ อรชุนที่ถูกรามสูรจับเหวี่ยงฟาดกับเขาหมดสติในทันที เดือดร้อนให้เหล่าเทพยาดาอารักษ์ทั้งหลาย ฤๅษีชีไพร ครุฑ นาค คนธรรพ์ ต้องมาหาทำพิธีชะลอเขาพระสุเมรุไม่ให้ทรุดเอียงเพิ่มกันให้วุ่นวายไปหมด งานสังสรรค์สุดแสนหรรษาก็เป็นอันต้องยกเลิกไป ส่วนตัวต้นเรื่องก็เดินลอยชายละลิ่ว หาได้เดือดร้อนกับสิ่งที่ตนเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นมาไม่
ถึงกระนั้น.. ตอนที่รามสูรจัดการกับอรชุนได้แล้วดูเหมือนเรื่องของแก้วมณีเองก็จะถูกรามสูรลืมไปเสียสิ้นเลย เมขลาที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอยู่ไม่น้อยก็ให้รู้สึกขันนิดหน่อย เหตุการณ์เหล่านี้มันช่างเกิดขึ้นไวเสียจริง ๆ งานสังสรรค์เป็นอันต้องเลิกราไป เพียงเพราะยักษ์เอาแต่ใจตนเดียว เมขลาเริ่มรู้สึกสนใจรามสูรอยู่นิดหน่อย ในขณะเดียวกันก็แอบน้อยใจนิด ๆ นี่เขาโดนเมินแล้วหรืออย่างไร ทั้งที่ในตอนแรกกะว่าจะหยอกเล่นนิด ๆ หน่อย ๆแท้ ๆ แถมยังเป็นครั้งแรกที่เมขลาโดนเมินอีกต่างหาก มาไล่ตามแล้วก็ทิ้งไปเช่นนี้รึ ไม่ทำกันเกินไม่หน่อยแล้วมั้ง
“นี่เจ้า” เมขลาที่เหาะตามหารามสูรจนเจอได้อย่างไรมิทราบได้ ยื่นมือไปตรงหน้าของรามสูร
รามสูรที่กำลังจะเหาะกลับวิมานของตนหันมาตามเสียงเอ่ยทัก และสายตาดันไปสบกับแก้วมณีเข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตนยังมีสิ่งที่ตกค้างอยู่ "จริงสิ ข้าจะคุยกับแม่นางเรื่องแก้วมณีนั่นอยู่พอดี แต่เจ้าเทพนั่นดันทำให้ข้าเสียเวลาเสียก่อนจึงลืมเรื่องนี้เสียสนิท "
"แม่นาง? รึ" เมขลาทวนสรรพนามที่ยักษ์อสูรผู้นั้นเรียก กระเดือกที่คอหนาปานนี้ยังจะเรียกแม่นางอีกหรือ จะเรียกว่าชินกับเรื่องนี้ก็คงมิได้ แต่เมขลาก็เข้าใจอยู่หรอกเรื่องรูปลักษณืของตัวเอง ผู้อื่นจะเข้าใจผิดมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ครั้นจะให้ตนเปลื้องผ้าแล้วออกมาเดินโทงเทงเพื่อที่ผู้อื่นจะได้มิเข้าใจผิดมันก็จะกระไรอยู่ ตนยังมิอยากโดนเนรเทศออกจากที่นี่
"แล้วที่เจ้ามาหาข้าเจ้ามิได้จะยกแก้วมณีนั้นให้ข้าหรอกรึ" รามสูรชี้ที่แก้วมณีแล้วทึกทักไปเอง แววตานั้นก็จดจ้องไปที่แก้วมณีอย่างไม่ละ หากมิติดว่าอยู่ต่อหน้าผู้อื่นรามสูรคงเอาหน้าไปชนกับแก้วมณีแล้วมองดูใกล้ ๆ แล้ว
"..." ให้ยกแก้วมณีให้รึ เมขลาถึงกับพูดมิออกเลยทีเดียว เจ้ายักษ์ผู้นี้เอาปัญญาที่ไหนมาคิด แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธขึ้งทำเหมือนว่าตนไปขโมยแก้วมณีแล้วถูกจับได้อย่างไรอย่างนั้น แม้สายตาจะมิใช่เช่นนั้นก็เถอะ บอกให้ยกแก้วมณีให้รึ ทั้ง ๆ ที่เมขลาก็ว่าตนยังมิเคยได้พูดออกไปสักคำ ทั้ง ๆ ที่คุยกับตนเหตุใดถึงมิมองหน้ากับคู่สนทนา เหตุใดจึงมองแต่แก้วมณีตาไม่กะพริบ ไม่แม้แต่จะชายตาแลมาที่เมขลาผู้เป็นเจ้าของแก้วมณีเลยสักนิด ทั้ง ๆ เมขลาเป็นถึงเทพที่บรรลุขั้นโสดาบันแล้วเลยนะ ถึงแก้วมณีจะน่าสนใจแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเมขลาแล้วสิ่งที่รามสูรควรจะมองไม่แบบไม่ละสายตาควรจะเป็นเมขลาผู้นี้สิ หาใช่แก้วมณี เกิดมาไม่เคยเห็นลูกแก้วหรืออย่างไรกัน “ข้ายังมิได้เอ่ยคำไหนเลยว่าจะยกแก้วมณีให้เจ้า อีกอย่างนี่เป็นของที่ข้าหวงมาก เป็นเรื่องยากที่ข้าจะยกให้ผู้อื่นได้ง่าย ๆ หากเป็นคู่รักของข้าก็ว่าไปเสียอย่าง”
รามสูรหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างไรแก้วมณีนั้นก็ช่างงดงามจริง ๆ หากตนได้มีไว้ในครอบครองคงจะดีไม่น้อย ที่ดึงดันก็เพราะแบบนี้ เมื่อครู่ก็ดันมัวแต่จับแมลงน่ารำคาญจนเผลอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “งั้นเจ้าก็จงมาเป็นคู่สมรสของข้าเสียสิ” รามสูรยื่นข้อเสนอ ช่างเป็นข้อเสนอที่ไม่ได้คิดไตร่ตรองอะไรเพิ่มเติมเลย
"อะไรนะ?" เมขลาถึงกับสะดุ้งจนเกือบทำแก้วมณีร่วง สรุปแล้วผู้ใดเป็นเจ้าของแก้วมณีกันแน่
"ทั้งที่เจ้าก็เป็นเทพ แต่หูเจ้ากับหูหนวกดอกรึ เจ้าควรดีใจด้วยซ้ำที่ได้แต่งงานกับข้าผู้นี้ ได้ยินแล้วก็ยกแก้วมณีให้ข้าเสียสิ" รามสูรพูดไปหัวเราะไป นึกภาคภูมิใจในตนเอง ดุจว่าตนเป็นพระที่ไปโปรดเมขลาให้พ้นจากทุกข์ทั้งสิ้นในขณะที่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม
เมขลาถึงกับกุมขมับเศียรครอบที่ปิดบังใบหน้าทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่าภายใต้นั้นเจ้าตัวทำสีหน้าอย่างไร แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็เดาได้ว่าเจ้าตัวคงทำสีหน้าแบบภูมิใจในตัวเองอยู่ ทั้งที่เมขลาก็ไม่เข้าใจว่าไปเอาความมั่นหน้านี้มาจากไหน ทั้ง ๆ ที่ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดมาออกคำสั่งให้เมขลาไปทำตามดอก ช่างเป็นยักษ์ที่คิดอะไรได้ง่าย ๆ เสียจริง "ไม่รู้สิ นะหากเจ้า ลองกอดขาขอร้องอ้อนวอนข้า ขอให้ข้าเห็นใจข้าอาจจะเก็บไปลองคิดดูก็ได้ ข้าไปล่ะ" ว่าเสร็จเมขลาก็หันหลังกลับ แต่ยังไม่ทันที่เมขลาจะได้ก้าวเท้าออกไปดี ก็ต้องหยุดนิ่งเพราะมือของรามสูรที่รั้งไว้
"ก็ไหนเจ้าบอกว่าถ้าเป็นคนรักเจ้าก็จะยกแก้วมณีให้อย่างไรเล่า ข้าก็เลยจะเป็นคนรักให้เจ้านี่ไง" รามสูรเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนร้องขอ
"เจ้าคิดดีแล้วหรือรามสูร" แต่ถึงกระนั้นเมขลาก็ยังรู้สึกขัดใจกับที่เจ้าตัวมิยอมมองหน้าตนอยู่ดี
รามสูรมีท่าทีที่ดูกระตือรือร้น “ที่จริงเจ้ามาอยู่กับข้าเลยก็ได้ อืม ไม่สิ หากเจ้ากังวลใจ งั้นข้าจะย้ายเข้าไปอยู่กับเจ้า วันนี้ข้าก็ไปได้เลย”
“เจ้านี่มัน”
“เจ้ายังจะเล่นตัวอีกหรืออย่างไร” หลังจากที่เงยหน้าพูดพึมพำอยู่ผู้เดียว ในที่สุดรามสูรก็ก้มหน้าหันมาคุยกับเมขลา
“ตามนั้นก็ได้” แม้จะถกเถียงกับตนเองมากมายแต่สุดท้ายเมขลาก็ยอมตกลงรับข้อเสนอที่อีกฝ่ายร้องขอมาอยู่ดี ถึงอย่างไรเมขลาก็มิได้เสียหาย ถึงจะไม่น่าไว้ใจ แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เมขลาเลือกตกลงไป บางทีอาจจะมีเรื่องดี ๆ มาพร้อมกันก็ได้
รามสูรที่ได้ยินก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ภายใต้เศียรครอบประหลาดนั่น ในใจก็โลดเต้นไปมา โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานภัยร้ายที่สุดจะได้คืบคลานเข้ามาหาตนเสียแล้ว
**************โปรดติดตามตอนต่อไป**************
Comments (0)