3 ตอน เคยพบกันมาก่อน
โดย จันทราวาโย
"หา! เมขลาพูดกับเจ้าถึงขนาดนั้นเลยรึ แล้วเจ้าทำอย่างไรต่อ" ราหูที่ได้ฟังคำเล่าจากรามสูรทั้งหมดถึงกับของขึ้นแทนสหายตน
"อืม ทันทีที่ข้านึกได้ข้าก็ชกเสยคางไปอยู่ แต่เจ้านั่นมันดันหลบข้าทัน" สาเหตุก็เป็นเพราะเจ้าเทพนั่นจะดึงพู่ที่ตนห้อยไว้กับขวานออกต่างหาก
"ถึงกับลงไม้ลงมือเลยรึ! ข้าก็ได้ยินมาว่าเมขลามีความว่องไวเป็นอย่างมาก ช่างสมคำร่ำลือ แต่มันก็ยากที่จะเชื่อจริง ๆ นั่นแหละ และยิ่งอยู่กับเจ้าด้วยข้าก็ว่ามันไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ หากเมขลาจะพูดเยี่ยงนี้ ฮ่า ๆ ๆ" ถึงราหูจะพูดไปหัวเราะไปแต่ในใจก็แอบระแวงว่าศีรษะของตนจะอยู่มิติดบ่าเหมือนกัน
"เป็นข้าแล้วมันทำไมกัน!"
"ยัง ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะพ่อ"ราหูล่ะอยากจะทราบว่าสหายตนไปแอบมุดอยู่ในหลืบไหนกัน เหตุใดถึงได้ตกข่าวเช่นนี้ ผู้อื่นล้วนทราบกันทั้งแผ่นดินว่ามีแต่ผู้ที่ชังน้ำหน้ารามสูร รามสูรเป็นยักษ์อันธพาล นั่นคือเรื่องจริง โดดเด่นในเรื่องใช้กำลังกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชอบไล่อาละวาดผู้อื่นไปทั่ว เป็นที่หวาดหวั่นยิ่งนัก ไหนจะวีรกรรมอื่น ๆ ที่แม้แต่ราหูก็ยังไม่รู้อีก ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้และไม่รับรู้อะไรด้วยซ้ำ ขนาดโดนเกลียดไปทั่วแล้วยังไม่รู้ตัวอีก หายใจเข้าหายใจออกก็เป็นแก้วมณีจริง ๆ กลืนลงท้องไปได้คงกลืนไปแล้ว
"อืม ตอนอยู่ป่าหิมพานต์ข้าก็ค่อนข้างเนื้อหอมอยู่ มีผู้ที่เข้าหาข้าตั้งมาก ไม่แพ้เมขลาผู้งดงามของเจ้าดอก"
"ไม่ได้ดูดีขึ้นเลย อีกอย่างเจ้าไปเอาความหลงตัวเองมาจากไหนกัน ที่เข้าหาน่ะ เป็นเพราะมาสาปแช่งกับทำร้ายเจ้าต่างหากเล่า มีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ก็ปาฏิหาริย์แล้วเพื่อนยาก" ราหูรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจกับสหายของตน เป็นเพราะรามสูรนั้น ซื่อ บื้อ ทื่อ หรืออย่างไร นิสัยช่างขัดกับภายนอกทุกอย่าง ดูไม่น่าเป็นยักษ์เสเพลอย่างที่ใคร ๆ ว่า กันได้เลย หากไม่เป็นเพราะรามสูรสามารถจับเทพเหวี่ยงไปฟาดกับเขาพระสุเมรุจนเอียงได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วล่ะก็ ราหูคงเป็นห่วงรามสูรอยู่ไม่น้อย
"แค่นั้นทำอะไรข้ามิได้หรอก"
"แล้วที่หัวติดกับหน้ากากของเจ้าจนเอาออกไม่ได้เล่า"
"มันเป็นแค่กลไกของตัวเศียรต่างหาก"
"หากเจ้าโดนผู้อื่นวางยาพิษใส่ข้าก็มิแปลกใจแล้ว"
"ยาพิษทำอะไรพวกเราที่เป็นยักษ์ไม่ได้เสียหน่อย"
"ประชด! เพราะพละกำลังมากนั่นแหละ เจ้าถึงต้องหัดระวังตนไว้บ้าง" ราหูมิได้กลัวเพื่อนตนบาดเจ็บ แต่กลัวสภาพสยดสยองของพวกนั้นที่เข้ามาระรานรามสูรต่างหาก ให้เพียงหน้ากากของรามสูรอัปลักษณ์อย่างเดียวก็พอแล้ว อย่าให้หน้าของเพื่อนร่วมโลกต้องอัปลักษณ์ไปอีกเพราะโดนบดขยี้ด้วยน้ำมือของสหายผู้นี้เลย แค่นี้เผ่าพันธุ์ยักษ์ก็แทบจะมองหน้าผู้ใดไม่ติดแล้ว ยิ่งผู้อื่นเห็นว่าแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็ยิ่งเสี่ยงที่โดนกำจัดได้ง่าย อย่าให้จำนวนสมาชิกในเผ่าพันธุ์ลดลงไปมากกว่านี้เลย
"ผู้ที่โดนจักรของพระอินทร์ขว้างใส่ตัวบังอาจกล้ามาสอนข้ารึ" น้ำเสียงที่ดูจริงจังของรามสูรตรงข้ามกับสีหน้าที่ดูล้อเลียนสุด ๆ
"จะบอกว่าแม้แต่ข้ายังเอาตัวมิรอดรึ เร็วปานนั้น หลบทันก็บ้าแล้ว"พูดแล้วก็น่าโมโห หากมิเป็นเพราะสองพี่น้องตัวดีทุกอย่างที่รามสูรทำก็คงราบรื่นไปแล้ว
"ก็เป็นข้าคงมิมีทางที่พวกเทพจะรู้ว่าข้าแปลงกายแน่ ๆ" รามสูรยักไหล่
"เฮอะ หากเจ้าแปลงกาย ข้าว่าคงไม่พ้นถูกจับได้ตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว"เจ้านี่ช่างพูดมาได้อย่างมิอายปากตัวเองอีกแล้ว ถึงการแปลงกายของรามสูรทำได้ไม่ถือว่าแย่และออกจะดีเสียด้วยซ้ำ แต่ทักษะการลบกลิ่นอายและตัวตนของยักษ์นั้นแทบเรียกได้ว่าน่าสมเพชที่สุด เหมือนเอาหนวดไปติดที่หน้าช้างแล้วบอกว่าเป็นแมวนั่นแหละ มิต้องหันหน้าไปมองก็รู้ได้ว่าเป็นรามสูร และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสะกดรอยตามใครเลย หากมิรู้ตัว ผู้นั้นก็คงหูหนวก ตาบอด จมูกไม่รับกลิ่น สัมผัสตายด้านเป็นแน่แท้ ให้รามสูรสวมเศียรครอบไว้เฉย ๆ อย่างที่เจ้าตัวทำตลอดยังดูเป็นการปลอมตัวมากกว่าที่แปลงกายเสียด้วยซ้ำ
"จะว่าไปแก้วมณีก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ" เมื่อดูท่าทีแล้วว่าตนจะโต้แย้งอะไรไม่ได้รามสูรจึงเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าตาเฉยทั้งที่รามสูรพูดเรื่องลูกแก้วซ้ำไปมาแทบจะไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้ว
"ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้ามิไปหาวิธีทำให้เมขลาหลงรักเจ้าอย่างที่เมขลาบอกเล่า แก้วมณีจะได้เป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์อย่างไรล่ะ"
"ดูเหมือนเจ้าเทพผู้นั้นจะชอบผู้ที่มีหน้าตาน่ารัก รูปร่างบอบบางมากกว่านะ ข้าแค่ไม่มีคุณสมบัติที่ตรงตามที่ต้องการ ถึงอย่างไรการที่ต่างคนต่างอยู่มิมาข้องเกี่ยววุ่นวายก็มิเห็นจะเป็นอันใดเสียหน่อย" อีกอย่างรามสูรชอบแก้วมณีมิได้ชอบเมขลาเสียหน่อย ถึงเมขลาจะกล่าวอะไรมารามสูรก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดีนั่นแหละ "ไว้ข้าจะไปคิดหาดูก่อน..." แต่ถ้าลองดูก็ไม่เสียหาย
"หากแก้วมณีเป็นสิ่งมีชีวิต ข้าคงคิดว่าเจ้านั่นคงทำมนตร์เสน่ห์ใส่เจ้าเป็นแน่แท้ จะหลงรักทะนุถนอมอะไรกันปานนี้" จ้องเข้าไป ลูปไล้มันเข้า หากคู่ครองของราหูเป็นเฉกเช่นสหายของตน ราหูคงทำลายแก้วมณีทิ้งเสียเป็นแน่
"หากแก้วมณีมีชีวิตดังเจ้าว่า ข้าคงไปแต่งกับแก้วมณีจริง ๆ นั่นแหละ "รามสูรกล่าวออกมาโดยมิต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
หากเมขลาผ่านมาได้ยินบทสนทนานี้เข้าคงต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่ แม้แต่ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรยังละจากสิ่งที่ทำและหันมามองเมขลา รามสูรเป็นผู้ใดกัน เป็นเพียงยักษ์ที่ถือศีลสักข้อยังทำไม่ได้ แถมยังอยู่ใกล้ชิดกับเมขลา มีของดีอยู่ตรงหน้า แต่กลับมิสนใจเมขลาเลย ทั้งที่ผู้อื่นล้วนอิจฉารามสูรอยู่เป็นนิจ ช่างเป็นยักษ์ที่เลือดเย็นยิ่งนัก น่าสงสารเมขลาเสียจริง
อุปนิสัยของเผ่าพันธุ์ยักษ์อสูรนั้น ต่อหน้าผู้อื่นเป็นอย่างไร ลับหลังก็เป็นเช่นนั้น ถึงบางครั้งจะดูดุร้ายเกรี้ยวกราดจนถูกเกลียด ก็หาได้สนใจไม่
เมขลาหาได้เป็นเทพที่ใจดี อบอุ่น อ่อนโยน เรียบร้อย กิริยางดงามอย่างที่ใคร ๆ พร่ำบอกให้รามสูรได้ยินเลย โดยเฉพาะราหูสหายของตน แต่ที่รามสูรเห็นมันมิใช่เช่นนั้นเลยเสียนิด
“อ่า ข้าไปทำให้ผู้อื่น หรือ เจ้าเองก็คิดว่าข้าเป็นเช่นนั้นหรอกรึ” เมขลาครุ่นคิด
“ก็ดูเป็นเช่นนั้น” แท้จริงแล้วรามสูรไม่เคยเชื่อข่าวลืออะไร เพราะไม่ได้สนใจมากกว่า หากบอกว่าเมขลาเป็นเทพที่ดูไม่น่าไว้วางใจ สำหรับรามสูรข่าวลือนี้ดูเป็นความจริงและน่าเชื่อได้เสียมากกว่า
“หืม เช่นนั้นเจ้าก็กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารจริง ๆ รึ”
“ข้ามิเคยทำเช่นนั้นเสียหน่อย แม้แต่ข้ามป่าหิมพานต์ไปยังเขตมนุษย์ไม่ได้รับอนุญาต ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินเนื้อมนุษย์เลย” รามสูรแย้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนแรกที่ไปกุข่าวลือขึ้นมาว่ายักษ์นั้นกินมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้ภาพลักษณ์ที่ดูแย่อยู่แล้วกลับยิ่งแย่เข้าไปอีก ยิ่งกับรามสูรซึ่งไปทำวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่มา จึงถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยังมนุษยโลกเด็ดขาดหากไม่อยากกลับชาติไปเกิดใหม่อีกครั้ง หากว่าผู้ที่สร้างข่าวลือนี้ขึ้นมาเอาตามองดูเสียหน่อยก็น่าจะรู้แล้วแท้ ๆ เอาแต่เสพข่าวสร้างความสนุกอย่างเดียวโดยไม่รู้จักคิดแยกแยะและพิจารณาถึงเหตุผล สมควรกลับไปเกิดใหม่ยิ่งนัก
“ข้าเองก็มิใช่แก้วมณีที่อยู่ในมือของเจ้าเสียหน่อย จะมาให้ข้านิ่งสงบเป็นพระจำศีลอย่างที่เจ้าว่าหรือ” เมขลาทำหน้าหงอย สำหรับรามสูรแล้วเมขลาช่างเป็นเทพที่ใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้คุ้มเสียจริง ๆ
"พระจำศีลก็ไม่เลวนี่จะได้ดูน่าเชื่อถืออย่างที่เจ้าว่าจริง ๆ" แต่เทพทุกตนก็ดูเหมือนพระจำศีลจริง ๆ ที่ว่าขยับนิดขยับหน่อยก็ต้องสำรวม แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ โดนเอาคืนแล้วทำเป็นเรียกร้อง แถมถือว่าตนอยู่สูงสุดอีกต่างหาก
"เจ้าจะหาว่าข้าสร้างภาพหรือรามสูร"
"เปล่านี่ ข้าพูดรึ" ถ้าตัดทิฐิและความอคติออกไปหรือบางทีอาจจะเป็นรามสูรที่คิดมากไปเองก็เป็นได้ เกี่ยวกับเมขลาน่ะ
เมขลามิได้ใส่ใจกับคำตอบก่อนหน้าของรามสูรเท่าไหร่ เทียบจากสีหน้าของเจ้าตัวแล้วมองอย่างไรก็ตรงข้ามกับคำตอบที่ให้มา อีกอย่างที่เมขลาสนใจกลับเป็นใบหน้าของรามสูรที่ไม่มีเครื่องอำพราง ไม่มีหนวดเครารุงรังที่รกจนดูน่ากลัวเสียมากกว่า
"มีปัญหากับหน้าข้ารึ" แม้รามสูรจะขึ้นชื่อเรื่องความหน้าหนา ไร้ยางอายใด ๆ แต่ท่าทีของเมขลาที่จดจ้องมาที่รามสูร มือก็เริ่มไล้ไปตามกรอบหน้าอสูรที่ยังตกในภวังค์ หรือว่านี่จะเป็นการกดดันอย่างหนึ่งของพวกเทพกัน
เมขลาละจากใบหน้าของรามสูร "จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็รู้สึกว่าเหมือนเคยพบเจอเจ้ามาก่อน" คุ้นหน้าจนถึงกับยอมยกแก้วมณีให้เลยเชียว
'เมื่อวาน ที่วิมาน ทั้งวัน' หากรามสูรตอบตามที่ตนคิดจริงละก็... "เมื่อวานข้าก็อยู่ที่วิมานทั้งวัน จะมิคุ้นได้อย่างไร" ความที่ปากไวเท่าความคิดรามสูรเลยหลุดพูดไปเสียแล้ว
"กับสหายของเจ้า มิใช่ข้า" เมขลายังคงยิ้มร่ามีความสุขเหมือนได้เจอของดีอยู่เลยจนถึงเมื่อครู่ หากเป็นยักษ์คงมีเขี้ยวผุดออกมาและอาละวาดไปทั่วแล้ว
น้ำเสียงที่เยียบเย็นของเทพผู้นี้ที่แม้แต่รามสูรได้ฟังยังเสียวสันหลังวาบ ถ้าเป็นผู้อื่นคงวิ่งหนีตายหาทางรอดกันแล้ว
"แหม พูดเหมือนน้อยใจข้าไปได้ ทั้ง ๆ ที่พ่อเทพเนื้อหอมเองก็ไปพลอดรักกับเทพหนุ่ม ๆ ไม่ซ้ำหน้ากันทุกวันแท้ ๆ " ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็ยังพอว่าหน่อย
"ถูกจับได้เสียแล้วหรือทั้งที่ข้าปกปิดเป็นความลับแล้วแท้ ๆ" เมขลาทำทีท่าแสร้งว่าตกใจ "หรือว่าเจ้าแอบตามข้ามากันล่ะ" ทั้งที่ความจริงแล้วก็จงใจให้เห็นจริง ๆ
"กระทำกันโจ่งแจ้งเสียปานนั้น หากเป็นผู้ที่โง่งมก็คงไม่รู้นั่นแหละ เรื่องอย่างว่าก็เบา ๆ บ้างเถิด ไหนเจ้าบอกว่าต้องรักษาภาพลักษณ์มิใช่หรือ น่าขายหน้านัก" ไม่อยากจะเชื่อว่าจะไม่มีใครเห็นเลย พวกที่คลั่งไคล้เมขลาคงหลับหูหลับตากันน่าดู ทั้งที่โดนเมขลาหลอกลวงเข้าแล้ว รามสูรยังจำสีหน้าที่เมขลาหันมาเย้ยหยันตนเองได้ดี ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไป ทำไม?
"หากเจ้าอยาก ข้าจะลองหลับหูหลับตาทำกับเจ้าก็ได้นะ ไอ้เรื่องอย่างว่าน่ะ"
รามสูรพูดไม่ออก และไม่รู้จะสรรหาคำใด ๆ มาพูดกับเมขลาแล้วจริง ๆ พูดเฉย ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมากระซิบที่ข้างหูด้วย ตนว่าตนก็มิได้หูหนวก แล้วไอเรื่องที่ว่ามันมิใช่ว่าต้องทำกับคู่รักของตนรึ ดูเหมือนทฤษฎีนี้จะใช้ไม่ได้กับเมขลาเสียแล้ว อีกท่าทียียวนกวนประสาทของเมขลานี่มันอะไรกัน หากไม่ได้กวนรามสูรสักชั่วยามละก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้หรือ เทพผู้น่าเลื่อมใสรึ เทพสับปลับปลิ้นปล้อนเสียมากกว่า หากบอกว่ารามสูรเป็นยักษ์ชอบวกไปเรื่องแก้วมณีบ่อย เมขลาก็คงเป็นผู้ที่ชอบวกไปเรื่องลามกบ่อยเหมือนกันกระมัง อยากให้สหายของตนได้มาเห็นเมขลาที่เจ้าชอบอวยนักอวยหนาในตอนนี้เสียจริงเชียว ไม่รู้ว่าจะยังยืนกรานแบบเดิมอยู่หรือไม่ การที่ชอบมายุ่มย่ามใส่รามสูรหากเป็นแค่ครั้งสองครั้งก็พอว่า และไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุใดช่วงหลัง ๆ ถึงได้บ่อยขึ้น ๆ ทุกที
“ขวานเพชรเจ้าดูงดงามนะ แต่เจ้าไม่ควรเอามาถือเล่นบ่อยเช่นนี้หรือไม่” ในสายตาของเมขลาแล้ว ขวานเพชรของรามสูรช่างโดดเด่น แต่แฝงไปด้วยความอันตราย หากถือไม่ดีแล้วไซร้ เกรงว่าจะต้องหามส่งหมอเทวดาเป็นแน่แท้ เมขลาไม่เข้าใจว่าใครช่างเป็นผู้ออกแบบขวานเล่มนี้ ไม่ว่าจะด้านไหนก็แหลมคมพร้อมจะปลิดชีพผู้ที่เข้าใกล้ได้ตลอดเวลา ส่วนหัวของขวานดูเหมือนจะถูกประกบเชื่อมกับตัวด้ามด้วยชิ้นส่วนที่เป็นเพชรซึ่งมีลักษณะคล้ายเถาวัลย์ แม้จะดูว่ารับน้ำหนักส่วนหัวไม่ไหวแต่ค่อนข้างมีความแข็งแรง ปลายด้านหลังของคมขวานที่ควรพาดติดด้ามขวานกลับโค้งและชี้ตั้งขึ้นฟ้า มันแหลมและคมพอที่จะใช้เสียบใครสักคน ส่วนบนของด้ามขวานนั้นก็มีเพชรเล็ก ๆ อีกชิ้นหนึ่งลักษณะคล้ายทวนยื่นเกินออกมานิดหน่อย ห้อยประดับด้วยพู่สีดอกนิลุบล ช่างดูอ่อนโยนแตกต่างกับขวานแต่กลับงดงามเข้ากัน ไม่น่าเชื่อว่าขวานเพียงแค่นี้จะสามารถตัดผ่าเขาพระสุเมรุได้โดยที่ขวานมิเป็นอันใดเลย เวลาที่เมขลาเห็นรามสูรจับขวานนี้ทีไรแล้วรู้สึกเสียวสันหลังเป็นทุกครา หากมิได้ดื่มน้ำอมฤต อันตัวเทพเนื้อหอมผู้นี้คงสิ้นชีพเสียชื่อไปหลายพันคราแล้ว ให้ยักษาถือลูกแก้วอย่างเดียวเช่นเดิมนั่นก็ดีแล้ว
"ข้าถือขวานก็ถือที่มือของข้า ไยถึงไปหนักที่หัวเจ้า ไม่เอาด้ามขวานไปเสียบหัวก็บุญโขเท่าไหร่แล้ว” แก้วมณีนั่นก็เก็บไว้ให้ดีเถิด อย่าให้เห็นว่าเผลอเชียว รามสูรผู้นี้จะเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวมิให้ตัวเจ้าของได้แตะต้องมันเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าแก้วมณีจะอยู่กับตนตลอดเวลาก็เถิด ถ้าไม่ติดเรื่องพันธสัญญาที่ตนได้กรีดเลือดให้คำมั่นไปละก็...
"อย่าพูดว่าไม่ ทั้ง ๆ ที่เจ้ากำลังเอาขวานนั่นฟาดมาที่ข้าแล้วสิ" เมขลาไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร แต่เสาเอกของวิมานซึ่งถูกออกแบบสร้างมาอย่างงดงามตระการตาด้วยช่างฝีมือดีที่สุดในไตรภพ ค่อย ๆ พังลงไปต่อหน้าต่อตาอย่างยับเยินมิเหลือชิ้นดี บุญยังเหลือที่วิมานนั้นถูกสร้างด้วยวิธีการเหนือธรรมชาติเกินสุดจะจินตนาการได้ มันจึงมิได้ถล่มลงมาทั้งหมด
เห็นทีเมขลาคงต้องหาทางกำราบขั้นเด็ดขาดให้ยักษ์เห่อลูกแก้วมิกล้าทำลายข้าวของต่อหน้าเมขลาอีกต่อไปแล้วล่ะ
"ยิ้มอันใดของเจ้ากัน สติเพี้ยนไปแล้วรึ น่าขนลุกเป็นบ้า" ทั้งที่เมขลาก็รู้อยู่แล้วว่ารามสูรบ้าจี้ยังจะชอบเอามาสัมผัสเล่นอีก คราแรกว่าจะเข้าไปดูอาการที่บาดเจ็บเพราะตน แต่เห็นยิ้มอยู่ผู้เดียวเป็นบ้าเป็นหลังเช่นนี้ ดูท่าคงจะมิได้เจ็บปวดอะไร มิรู้ว่าชื่นชอบความเจ็บปวดหรืออย่างไร นับวันก็ยิ่งเห็นแต่นิสัยที่แปลก
"เรื่องวันนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปก่อน"
"มารดาเจ้าสิ! เก่งกาจนักก็ซ่อมเอาเองเถิดวิมานของเจ้าน่ะ" พูดเสร็จก็เดินจากไปทิ้งให้เมขลาไว้ท่ามกลางกองซากปรักหักพังที่รามสูรเป็นผู้ทำ
"ต้องเป็นวิมานของเราสิ มิใช่ของข้าเพียงผู้เดียวเสียหน่อย" เมขลาต้องการความยุติธรรม
บางครั้งในยามว่าง รามสูรก็จะออกมานั่งชมวิวเล่นข้างนอกตัววิมาน ถึงไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่เมขลาช่างจัดสรรทุกอย่างได้ดีจริง ๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากแท่นบรรทมจนออกจากตัววิมานทุกอย่างล้วนลงตัวไปหมด ไม่มีสิ่งใดที่ขัดตาจนชวนให้หงุดหงิดแม้แต่น้อย หากไม่รวมเมขลาเข้าไปด้วยล่ะนะ สวนพฤกษาที่ล้อมรอบสระน้ำตรงกลางนั้นก็ดูดีร่มรื่นไม่แพ้สระอโนดาตในป่าหิมพานต์ ทำให้รามสูรฝังตัวอยู่ที่แห่งนี้ได้ทั้งวันโดยไม่ออกไปไหนเลย หากไม่มีธุระจำเป็น
สายตาของอสูรยักษ์กวาดมองไปเรื่อยตามความเคยชินในขณะที่ทอดกาย ณ มุมมุมหนึ่งของสวนอย่างทุกที
“นี่ เมื่อครู่เจ้าแอบมองข้าใช่หรือไม่” เมขลาที่โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงชะโงกหน้าเข้ามาหา ทำเอารามสูรที่นอนอยู่ถึงกับสะดุ้งจนผิดวิสัยยักษ์ที่ระวังตัวตลอด
“ไม่ใช่เสียหน่อย” หากแอบมองรามสูรคงมิสะดุ้งจนตัวโยนเช่นนี้
“แต่เจ้ายิ้มด้วยนี่นา” เมขลายังคงคาดคั้นไม่เลิก
“แล้วอย่างไร เจ้ามีปัญหากับข้ารึ ไหนว่าเจ้าต้องออกไปตรวจตรามหาสมุทร เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
เมขลาไม่ตอบรามสูร ความเงียบทำให้รามสูรรู้สึกกังวล คงไม่ได้น้อยใจอะไรหรอกใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าเทพนี่คงประหลาดเกินไปแล้ว
“คิดถึงข้าจนทนไม่ไหวแล้วหรือ” หลังจากที่เงียบไปเมขลาก็เอ่ยขึ้น
“??” รามสูรขมวดคิ้ว แค่ตอบให้ตรงคำถามมารดาเจ้าจะตายหรืออย่างไรกัน
“ข้าน่ะคิดถึงเจ้าจนรีบตรวจมหาสมุทรแล้วรีบกลับมาที่วิมานนี้เลยนะ หากเป็นในยามปกติ ข้าคงไปเที่ยวเล่นจนรุ่งสางก็ยังไม่กลับโน่นแหนะ” เมขลาล้มตัวลงนอนบนตักของรามสูร ไม่รู้ว่าทำไมพักหลังมานี้เมขลาช่างติดรามสูรเป็นลูกลิงนัก ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องแตะเนื้อต้องตัวหรือมากอดมาหอมตลอด ช่วงแรกรามสูรมักจะบอกปัดไปตลอด พอหนักเข้าก็เริ่มชินแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ ยกเว้นคำพูดที่ยังกวนประสาทไม่เปลี่ยนนั่น ทั้งที่ตอนแรกทำท่าทีเหมือนรังเกียจไม่อยากจะมายุ่งด้วยแท้ ๆ
หรือเทพนั่นจะไปตรวจตรามหาสมุทรมากเกินไปจนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเลยทำให้มีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป หากเป็นเหตุผลนี้ก็ดูน่าเชื่อถือได้อยู่ หากเป็นเมขลาด้วยแล้วจะป่วยง่ายมันก็ไม่แปลก แต่ในความคิดลึกของรามสูร คิดว่าเมขลาน่าจะถูกสลับวิญญาณกับผู้อื่นมากกว่า แก้วมณีจะสามารถรักษาอาการของเมขลาที่เป็นได้หรือไม่กัน
***โปรดติดตามตอนต่อไป***
คุณยักษ์กำลังคิดพิจารณาเหตุผลที่มารองรับความแปกของท่านเทพอยู่ค่ะ
Comments (0)