​           เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่รามสูรรู้สึกว่าตนติดอยู่ในที่ซึ่งไม่คุ้นเคย ณ ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันจนทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นลดลง แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดที่จะมองไม่เห็นอะไรเลย รอบ ๆ ตัวของรามสูรนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดแตกต่างกันออกไปกว้างไกลจนสุดสายตา แต่ที่เหมือนกันคงจะเป็นสีสันของมัน สีโกเมนตัดกับหมอกขาวทึบและบรรยากาศที่อึมครึมชวนอยากหนีออกไปให้ไกล ผู้ใดจะมาอยากนั่งกินลมชมวิวอยู่ในที่แห่งนี้กัน เสียงที่ได้ยินก็อื้ออึงประดุจว่าตัวอยู่ใต้บาดาล ทุกย่างเท้าที่ก้าวเดินก็ดูหนักหน่วงไปหมดจะเคลื่อนไหวก็มิได้ดั่งใจนึก พยายามเดินไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางออกเจอ มองไปทางไหนก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่ที่นี่เฉกเช่นตน ทุกอย่างดูไร้ตัวตนไปหมด ว่างเปล่า เงียบสงบจนเหมือนว่าถูกสร้างมาเพื่อตนโดยเฉพาะ

​           ในขณะที่รามสูรครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยในระหว่างที่เดินแหวกว่ายท่ามกลางดงดอกไม้ที่ดูน่าอันตราย ไม่นานตนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ปลายเท้าอันเปลือยเปล่า มีเพียงกำไลข้อเท้าที่สวมไว้ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งถึงตอนนี้ตนจะมิได้ขยับส่วนใด ๆ ของร่างกายเลยก็ตาม แม้ว่าจะชำเลืองมองดูก็กลับมิพบอะไรเลย มีเพียงดอกไม้พลิ้วไหวเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่ไม่มีลม แต่ถึงจะวิเคราะห์ไปก็มิได้มีคำตอบลอยขึ้นมาให้อยู่ดีตนจึงกระชากและถอนเอาไม้ดอกที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ เต็มไปหมดออกอย่างไร้ความปรานี ดอกไม้ที่ดูสวยงามบอบบางเหล่านั้นเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ถึงกระนั้นรามสูรก็ไม่รู้สึกระคายผิวอะไร แต่ไม่ว่าจะถอนออกไปมากเท่าไหร่ก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นพื้นเลยสักนิด แม้แต่หญ้าทั้งหลายก็ยังป็นสีแดงสด ช่างแปลกยิ่งนักและไม่ว่าจะเค้นพลังออกมาใช้มากเท่าไหร่แต่ทุกท่วงท่าที่ขยับก็ดูเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิดไปเสียหมด ครั้นเมื่อรอบ ๆ ไร้พืชพันธุ์ไม้ขึ้นขวางทางตามที่รากษสต้องการแล้วถึงเช่นนั้นก็ไม่เจอสิ่งต้องสงสัยที่ตนตามหาอยู่ดี ทั้ง ๆ  ที่มั่นใจว่าตนมิได้คิดไปเองแน่ ๆ แล้วมันคืออะไรกัน?

​           แต่ไม่ทันได้คิดนานรามสูรก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อสัมผัสเย็นที่ว่านั้นได้ขึ้นมาอยู่บนแผ่นหลังแกร่งที่ไร้อาภรณ์ใด ๆ ปกปิดอย่างรวดเร็วจนขนลุกชัน มือของเขารีบปัดป้องมันออกไปทันทีตามสัญชาตญาณ และสิ่งที่ได้เห็นนั้นคืองูสีแดงสดตัวเขื่องเกือบเท่า ๆ แขนของตนความยาวไม่ต่ำกว่าสองวาที่หันมาสบตาและแลบลิ้นไปมาใส่เขา สีของมันนั้นกลืนไปกับดอกไม้และต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ ไม่แปลกที่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

​           รามสูรเดินต่อไปโดยมิสนใจเจ้าอสรพิษพิลึกนั้น สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการหาทางที่จะออกไปจาก ณ ที่แห่งนี้ถึงกระนั้นยิ่งเดินหนีออกห่างมากเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าเจ้างูตนนี้เลื้อยตามเข้ามาใกล้มากเรื่อย ๆ

​           “เจ้าจะตามข้ามาให้ได้อะไรกัน” รามสูรหยุดคุยกับสัตว์เลื้อยคลานตรงหน้า มันชูคอขึ้นเล็กน้อยส่งเสียงฟ่อ ๆ เหมือนคำตอบรับก่อนที่จะเลื้อยขึ้นมาบนตัวของรามสูรอีกครั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน แต่รามสูรก็มิได้ปล่อยให้เจ้างูจอมซุกซนนี่ได้ทำตามใจนึก เขาคว้าลำตัวยาวเหยียดของมันออกก่อนที่มันจะเลื้อยขึ้นไปสูงมากกว่านี้ แต่ทุกอย่างก็ดูอืดอาดมิทันใจ แม้ว่าจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเพียงแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่เหมือนนำหินหนักหลายตันมาถ่วงไว้ที่แขนขาทำให้ทุกอย่างช้าลงไปหมด ทั้งเจ้างูนี่ก็ดันทะลึ่งเลื้อยพาดไหล่ไหลผ่านหลังคอของเขาจนกลายเป็นว่าตอนนี้ตนถูกพันทั้งตัวไปเสียแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเป็นเต่าคลานของตน ยิ่งพยายามจะงัดแงะออกมากเท่าไหร่ อสรพิษตัวนี้กลับรัดแน่นมากกว่าเดิมจนรู้สึกหายใจติดขัด หัวของมันที่วนเวียนอยู่ใบหูและหลังคอของเขาชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ สัมผัสที่เย็นเยียบในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นร้อนวูบวาบในทุกครั้งที่มันขยับ แม้ว่าตนจะลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้นเพื่อหวังว่าหนามแหลมคมของดอกไม้จำนวนมากโขนี่จะทำให้งูที่เกาะมิปล่อยขยับหนีออกไปบ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นผลสักเท่าไหร่ ยิ่งตนดิ้นมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จวนเจียนจะหายใจไม่ออก รามสูรหน้านิ่วคิ้วขมวดคิดแค้นในใจว่าหากตนหลุดรอดไปได้ เห็นทีเจ้างูนี่คงต้องได้ลงหม้อแกงหรือไม่ก็ผัดเผ็ดเป็นอาหารมื้อถัดไปให้ตนเป็นแน่ งูบ้าอะไรตัวเหนียวเป็นบ้า หากเป็นงูปกติทั่วไปป่านนี้คงได้ตัวแหลกคามือของตนไปแล้ว ตนเป็นถึงยักษ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดเชียวนะ กับอีแค่งูตัวเดียวก็ยังเอาชนะไม่ได้น่ะหรือ อับอาย ช่างน่าอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก รามสูรได้แต่รู้สึกเสียดายกับตนเองที่ไม่เลือกทุบหัวมันทิ้งในคราแรก

​           ไม่มีจุดไหนที่ตนมิถูกอหิสีแดงแสบตานี่สัมผัส รากษสอย่างรามสูรทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ให้มันเลื้อยไปมาสำรวจตามใจชอบ เพราะถึงอย่างไรตนก็ขยับมิได้อยู่ดี ทำได้เพียงค่อย ๆ หายใจก็เท่านั้น เขามิใช่พระอิศวรและไม่เข้าใจว่างูตนนี้จะมาพันรอบคอของตนเพื่อกระไรกัน

​           รามสูรสะดุ้งเฮือกใหญ่พยายามคว้าอากาศหายใจให้ได้มากที่สุดหลังผ่านสถานการณ์อันยากลำบาก สายตาเหม่อมองเพดานที่ราบเรียบ ดูเหมือนสิ่งที่ตนพบเจอจะเป็นแค่เพียงความฝัน แต่มิรู้ว่าทำไมสัมผัสอันหนักอึ้งนั้นก็ยังคงติดตัวตนอยู่ ลองขยับตัวทีก็ยังลำบากเช่นเดิม แต่ครุ่นคิดอยู่มินานรามสูรก็ได้คำตอบเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสของลมหายใจที่รดผ่านต้นคอ เป็นพ่อเทพรูปงามนามว่าเมขลาที่นอนตะกายกอดตนอย่างสบายใจมิรู้ร้อนรู้หนาวประดุจว่าตนเป็นหมอนหนุนของเจ้าตัว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวคงจะหลับอย่างมีความสุขและฝันดีไม่น้อยในขณะที่รามสูรนั้นต้องไปเจอสิ่งที่ทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด ก่อนนอนก็ทำเสียงดังจนน่ารำคาญ พอนอนไปแล้วก็ยังจะมาสร้างความยากลำบากให้กับตนอีก เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรืออย่างไร

​           ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ ครั้นจะให้รามสูรนอนต่อก็คงจะไม่หลับ ทั้งตัวของตนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ พอจะขยับตัวให้หลุดจากอีกฝ่ายก็มิสามารถทำได้ เพราะเจ้าตัวนั้นเกาะหนึบเป็นลูกลิง พยายามปลุกให้ตื่นแต่กลับกลายเป็นว่าเมขลาส่งเสียงงึมงำแล้วเข้ามากอดตนแน่นกว่าเดิมแล้วก็นอนต่อ ไม่มีส่วนไหนที่ไม่แนบชิดติดกันทั้งที่หลับอยู่แท้ ๆ แต่มือกลับบีบคลึงบริเวณบั้นท้ายของตนเสียได้

​           เสียงฝ่ามือหนาของรามสูรที่ฟาดไปที่แขนของผู้ที่มือบอนดังเพี้ยะจนขึ้นสีแดงฝาด ๆ เป็นริ้วรอยตามแรงที่มากระทบ ทำให้เมขลาผู้หลับไหลตื่นขึ้นจากนิทราในทันทีทันใด

​           เมขลาร้องเสียงโอดโอยมือก็ลูบแขนตัวเองป้อย ๆ “อะไรกันนี่เจ้าพยายามจะฆ่าข้าหรืออย่างไรกัน”

​           “อย่างเจ้าคงมิตายง่าย ๆ ดอก เจ้ารัดข้าแน่นจนหายใจไม่ออก อีกทั้งเมื่อคืนเจ้าก็ยังทำเสียงน่าละอายจนข้านอนมิได้อีก ผู้ใดใช้ให้เจ้ามานอนร่วมกันกับข้ากัน” รามสูรทำหน้าไม่สบอารมณ์

​           “อะไรกันทั้ง ๆ ที่ปกติเวลานอนเจ้าก็ไม่หายใจอยู่แล้วนี่นา เจ้าจะตายเพราะขาดอากาศหายใจได้อย่างไร แล้วที่ว่าเสียงอะไรนั่น เจ้าหมายถึงเรื่องอันใด” เมขลาเอียงคอทำหน้างง

​           นัยน์ตาของรามสูรเบิกกว้าง “ถะ ถึงมิได้หายใจมัน ก็อึดอัดจนข้าขยับตัวไม่ได้อยู่ดี แล้วไอ้ช่วงเวลาสองยามนั่น เจ้าจะว่ายังไง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสียงของเจ้ามันดังไปจนทั่วทั้งวิมานไม่ว่าผู้ใดจะมาก็คงล้วนได้ยินกันหมดนั่นแหละ” รามสูรอธิบายเสียงหลง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงรู้สึกกระวนกระวาย ในใจก็กร่นด่าเมขลาเป็นร้อย ๆ ครั้ง โทษฐานที่รู้มากและอีกอย่างเสียงดังกังวานขนาดนั้นเมขลากลับจะบอกว่าตนมิเข้าใจแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก

​           เมขลานึกทวน ช่วงเวลาสองยามตนนั้นยังอยู่ในห้องโถงของตนเพื่อจัดการงานอยู่ หากจะมีเสียงดังก็แค่ช่วงที่บริวารของตนเข้ามาขอความช่วยเหลือ เช่นนั้นแล้วก็คง…

​           “อุ๊บ ฮ่า ๆ ข้าขอโทษที่ทำเสียงดังจนรบกวนเจ้า แต่ว่าเสียงที่เจ้าได้ยินฟังอย่างไรก็มิใช่แบบนั้นเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงจินตนาการว่าเป็นแบบนั้นกัน” เมขลาหลุดขำจนเกือบสำลัก ตีมือชอบอกชอบใจ “ข้าก็แค่ทำการรักษาให้สหายที่บาดเจ็บสาหัส มันก็ต้องมีร้องโอดโอยกันบ้างสิ แล้วเสียงมันก็ไม่ได้อลังการอย่างที่เจ้าว่าเสียหน่อย เจ้ากล่าวเกินไปแล้ว” เพราะเป็นแผลที่ได้จากคำสาปหากยิ่งใช้อาคมของเทพแผลจะลุกลามหนักขึ้นและแย่กว่าเดิม การใช้ผงจากเกล็ดของมังกรที่เมขลาได้มาจากวังบาดาลในการรักษาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ผลข้างเคียงของมันก็คืออาการปวดแสบปวดร้อนประดุจไฟเผาแต่ละจุดที่ตัวผงได้ซึมซาบลงไป หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอก็คงถึงขั้นที่อาจจะหมดสติไปเลยก็ได้ ไม่รู้ว่ารามสูรนั้นจะเข้าใจเมขลาผิดไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว

​           รามสูรหน้านิ่งตัวค้างอยู่นานสองนาน มือไม้ที่อยู่ข้างตัวเกะกะไปหมดจนไม่รู้จะนำไปวางไว้ที่ไหนดี รู้สึกอับอายจนอยากจะหมุดแผ่นดินหนีเสียขณะนั้นเลย “แต่ก็เป็นความผิดของเจ้าอยู่ดีนั่นแหละที่ทำให้ขอนอนมิหลับ แถมพอหลับไปแล้วก็ต้องตื่นอีกครั้งเพราะเจ้าอีก”

​           “งั้นคราวหน้าข้าจะทำเบา ๆ ไม่ให้เจ้ารู้สึกตัวเป็นอย่างไร”

​           “ไม่มีครั้งต่อไปอีกเป็นแน่ ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้ามิมีอะไรน่าสนใจก็ไปหาอย่างอื่นที่เจ้าบอกว่าดีนักดีหนาสิ จะมายุ่งกับข้าทำไม” รามสูรพูดน้ำเสียงก่อนจะเอนกายลงนอนคลุมโปงตัดขาดการสื่อสารจากโลกภายนอก

​           “เจ้าหึงข้า” ดูเหมือนเมขลาผู้นี้จะทำให้รากษสตรงหน้าน้อยใจจริง ๆ เสียแล้วสินะ

​           “ไม่ใช่” รามสูรส่งเสียงอู้อี้ภายใต้ผ้าที่คลุมทั้งตัวอยู่

​           “ทำไมกัน ผู้ใดเห็นก็ว่าเป็นเช่นนั้น” เมขลาอมยิ้มพลางเขย่าก้อนผ้าห่มที่นอนมิรู้มิชี้ไปมา

​           “ข้าบอกว่าไม่ใช่”

​           “งั้นเจ้าก็ออกจากผ้าห่มแล้วมาคุยกับข้าดี ๆ สิ”

​           รามสูรลุกพรวดขึ้นมาในทันทีจนทำเอาเมขลาสะดุ้งเล็กน้อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง “จริงด้วยสิ เมื่อคืนข้าจำได้ว่าเหมือนจะเจอบริวารผู้หนึ่งที่ลักษณะคล้ายเจ้ามาก ๆ ”

​           เมขลามีสีหน้าที่ดูเยือกเย็นกว่าเดิม ถึงหน้าจะยิ้มแต่ตากลับมิได้ยิ้มตามอีกทั้งสายตายังกวาดมองไปยังด้านหลังของรามสูรที่มีแสงเรืองรอง “อืม ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปเจอเขาได้อย่างไร แต่หากครั้งหน้าเจ้าเจออีกก็ให้แสร้งเมินไปเสีย เจ้านั่นชอบพูดอะไรไร้สาระอยู่เรื่อยน่ะ”

​           “ข้าว่าเป็นเจ้าที่ชอบพูดอะไรไร้สาระมากกว่าอีก” รามสูรบ่นพึมพำเบา ๆ ถึงกระนั้นแม้จะเป็นความคิดเมขลาก็ยังได้ยินทุกคำของรามสูรที่เอ่ยถึงเมขลาอยู่ดี

 

​           กองดอกแก้วขนาดมหึมาที่วางพะเนินอยู่ตรงหน้าจนต้องนึกสงสัยว่าดอกไม้ที่ไปเก็บมานั้นสูญพันธุ์ไปแล้วหรือยัง

​           ถึงจะไม่มีผู้ใดบอกเมขลาก็พอจะรู้ได้ว่าใครเป็นผู้ที่ทำเช่นนี้

​           เมขลานั้นค่อนข้างชอบกลิ่นของดอกแก้วมากเป็นพิเศษ กระทั่งรอบ ๆ วิมานนั้นก็เต็มไปด้วยต้นแก้วล้อมรอบไปทั่วทั้งบริเวณส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว

​           หลังจากที่เมขลาเคยบอกเรื่องนี้ไปลอย ๆ กับรามสูร ใครจะคาดคิดว่าในทุก ๆ วันก็จะมีกองดอกแก้วมากมายมาอยู่ที่ห้องทำงานของเมขลาเรื่อยมาไม่ว่าในวันนั้นรามสูรจะอารมณ์ดีหรือจะหงุดหงิดจนเขี้ยวโผล่ออกมาก็ตาม

​           แม้ปากและท่าทางของเจ้าตัวเวลาอยู่ต่อหน้าเมขลาจะดูเหมือนมิค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่นัก แต่เบื้องหลังผู้ใดจะรู้กันว่าการกระทำของรามสูรนั้นมักทำให้เมขลาแปลกใจอยู่บ่อย ๆ แม้จะโผงผางไปบ้างหรือบางครั้งปากก็มักไม่ค่อยตรงกับใจแต่ที่จริง ๆ แล้วก็ค่อนข้างเป็นยักษ์ที่ซื่อตรงอยู่ไม่น้อย ช่างน่าเศร้าที่ความไม่มีเล่ห์เหลี่ยมของรามสูรอาจจะทำให้ถูกลวงได้ง่าย ๆ

***โปรดติดตามตอนต่อไป***

โหดขนาดนั้นใครจะไปกล้าหลอกท่านรามสูรได้กันเจ้าคะนายท่าน555

ขอตั้งกองกำลังประท้วงคุณเมขลาข้อหากอดคุณรามสูรแน่นเกินไปจนฝันร้าย พระจะลงโทษอย่างหนักค่ะ

Twitter:@jantrawayo