ลำธารน้ำใสไหลเย็น ณ ป่าหิมพานต์ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างมารวมตัวกันหลากหลายเพราะเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมสิ่งมีชีวิตมากมายไว้ด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์

           รามสูรเกิดและเติบโตมา ณ ที่แห่งนี้ แค่เพียงลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะพบกับธรรมชาติอันตระการตารอบตัวไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ภูเขา ลำธาร สระน้ำ พืชพันธุ์

           ทุกอย่างล้วนมีชีวิตในตัวของมันเอง อย่างใบไม้ที่ร่วงหล่นก็จักไม่เน่าเปื่อยจนเคืองสายตาแต่จะทับถมและสลายไปอย่างน่าประหลาดใจ อากาศที่กำลังพอดีไม่ร้อนหรือไม่หนาวจนเกินไป

           หากผู้ใดไม่สบายตัวเพียงได้ลองไปแช่ในสระน้ำใด ๆ ก็จะรู้สึกผ่อนคลายในทันที

           หากหิวก็ไปเก็บผลไม้ที่เจอ หรือถ้าง่วงนอนก็ล้มตัวลงได้ตามสะดวก

           ถึงจะเป็นป่าแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นป่าที่มีเหล่าอมนุษย์อาศัยอยู่กันมากมายไม่ว่าจะครุฑ นาค คนธรรพ์ หรือแม้แต่ยักษ์ ทั้งยังเต็มไปด้วยสัตว์อันตรายมากมายที่พร้อมจะขย้ำผู้บุกรุกเข้าไปได้ทุกเมื่อ

           หลาย ๆ ท่านต่างบอกว่าป่าแห่งนี้คือแดนวิเศษ แม้แต่วิมานก็ล้วนทำขึ้นด้วยเงิน ทอง แก้วและเพชร อาหารเลิศรสเพลงบรรเลงอันแสนไพเราะ มองอย่างไรก็เป็นแดนสุขาวดีที่ผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นถึงจะได้มาเยือน

           สำหรับอมนุษย์อย่างรามสูรผู้เห็นมันแทบทุกวันจนชินตาแล้วมันคือเรื่องปกติ ในทุก ๆ วันก็ต้องเจอเหล่ากินรีที่ออกมาเล่นน้ำ คนธรรพ์และวิทยาธรที่ออกมาร่ายรำทำเพลงอย่างสนุกสนานในทุก ๆ วัน หรือครุฑและนาคที่ทำสงครามกันอยู่เนือง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย บางครั้งบางอย่างมันก็น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน แต่พอนานวันเข้ามันก็กลายเป็นสิ่งที่วุ่นวายชวนให้ปวดเศียร ครั้นเมื่อรามสูรได้แก้วมณีแล้ว ตนจึงมิได้เห็นบรรยากาศเช่นนั้นบ่อย ๆ เพราะต้องไปอาศัยอยู่ร่วมกับเทวดาตนหนึ่ง

           ถึงปากของรามสูรจะบ่นอยู่เป็นประจำว่ารู้สึกรำคาญที่จะต้องติดหงักอยู่ในป่าหิมพานต์ตลอดแต่ด้วยนิสัยของรามสูรสุดท้ายก็เทียวมาเทียวไประหว่างวิมานของแล้วมณีและป่าหิมพานต์อยู่ดี

           โดยรากษสสีเขียวนั้นให้เหตุผลว่า ‘หากวัน ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในวิมานโดยที่มิได้ออกไปไหนเลย อีกหน่อยคงได้กลายเป็นหินกันพอดี’ ราหูที่ได้ยินคำกล่าวนี้ยังถึงกับกลอกตาใส่…

           วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่รามสูรถือเอาฤกษ์งามยามดีออกมาโลดแล่นภายนอกในช่วงเวลาแดดร่มลมตก รามสูรรู้สึกว่าตนเป็นโรคอยู่ในวิมานนาน ๆ แล้วจะรู้สึกร้อนเนื้อร้อนตัวจนทนไม่ได้และต้องเหาะออกมานอกวิมาน หลังจากร่ำลากับแก้วมณีสุดที่รักอยู่นานรามสูรก็ลอยล่องออกมา ทุกอย่างในป่าหิมพานต์ยังคงเป็นปกติเฉกเช่นทุกคราที่มาเยือน แม้แต่อาณาเขตลับใต้สระอโนดาตที่ตนเป็นผู้ค้นพบนับจากที่มีชายแปลกหน้ามาบุกรุกก็ยังคงมีสภาพเช่นเดิม

           รามสูรทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นคิดแต่ว่าหากได้นอนสักงีบสองงีบก็คงจะดีมิน้อยแต่ช่างน่าเสียดายซึ่งพอจะหลับตาฟังเสียงบรรเลงอันไพเราะของใบไม้ใบหญ้าเสียดสีกันตามแรงลมที่พัดโชยมาเบา ๆ กลับต้องกลอกตามองบนแทนเพราะเสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังมาจากด้านนอกที่ไม่ใกล้และไม่ไกล ด้วยความหูทิพย์ของตนพอฟังดูแล้วเหมือนว่าต้นเสียงนั้นจะเป็นละแวกชายป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นแดนของป่านารี

           หลังจากที่ความใฝ่รู้ของรามสูรเรียกร้องให้ตามไปก็ได้มาเจอกับกองทัพขนาดย่อม ๆ กำลังทำศึกสงครามระหว่างกันอยู่ คงไม่พ้นเป็นการยื้อแย่งผลนารีไม้พรรณที่ออกลูกเป็นหญิงสาวรูปงามหรือบางครั้งก็บุรุษ? เมื่อมันออกผลแล้วก็จะมีเจ้าประจำอย่างคนธรรพ์ วิทยาธรและกินร บ้างก็มีฤๅษีตบะแตกมาคอยจับจองอยู่ตลอดเพื่อนำไปเสพสังวาส ดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ต้นมักกะลีนั้นออกผลแต่ดูจากกลีบเลี้ยงของมันแล้วก็อีกตั้งสิบวันกว่าผลจะสุกให้เก็บไปได้ มิเข้าใจว่าจะไล่ฟันแย่งชิงกันเพื่อกระไร เมื่อเสพสมกับผลนั่นแล้วภายหลังจากเจ็ดวันผลก็จะเหี่ยวเฉาลงไปอย่างรวดเร็วแท้ ๆ เดิมทีแค่ปัญหาระหว่างเผ่าพันธุ์ครุฑและนาคก็พาให้วุ่นวายและน่ารำคาญมากพออยู่แล้ว ยังจะมีพวกคนธรรพ์และฤๅษีตบะแตกเข้ามาเพิ่มอีก

           รามสูรได้แต่ส่ายหัวไปมามองดูพวกเขาเหล่านั้นร่ายรำอาคมใส่กันอย่างดุเดือด ผู้ใดมีวิชาดีก็งัดออกมาใช้กันหมดอย่างเปล่าประโยชน์ เจ้าตีข้าข้าตีเจ้าสับสนชุลมุนไปหมด

           อมนุษย์สิบกว่าตนยังคงรบรากันอย่างต่อเนื่องเพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วได้สิ่งที่เขาต้องการครอบครองไป บ้างก็บาดเจ็บสาหัสบ้างก็สิ้นชีพเสียชื่อ ณ ตรงนั้น

           รามสูรเพียงแค่จะออกมาเที่ยวเล่นไม่นึกว่าจะต้องมานั่งดูพวกชาวถิ่นทะเลาะกันเพราะเรื่องพวกนี้ ครั้นจะเดินออกจากที่เดิมก็ดูเหมือนจะช้าไปนิด ไม่ว่าข้างหน้าหรือข้างหลังก็ล้วนเต็มไปด้วยเศษซากของอาคมน่าอันตราย จากที่เป็นผู้ชมในคราแรกกลับกลายเป็นว่ารามสูรเข้ามาอยู่ร่วมในวงต่อสู้ด้วยแล้วอย่างไม่ได้ตั้งใจ เนื้อตัวของรามสูรนั้นเต็มไปด้วยโลหิตที่มิใช่ของตน ดาบที่ฟาดกันไปมาเฉี่ยวโดนตัวรามสูรเล็กน้อย บาดแผลไม่ฉกรรจ์ แต่ชะตาชีวิตของผู้ที่ถือดาบนั้นน่าจะสาหัส รามสูรพ่นคำหยาบออกมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะขยับไปทางใดก็มีแต่พวกแมลงขวางหน้ากันเต็มไปหมด ถึงกระนั้นต่อให้บ่นไปก็มิสามารถหยุดสิ่งที่เกิดตรงหน้าได้ จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

           ขวานเพชรคู่กายที่ปรากฏขึ้นของรามสูรถูกกำแน่นในมือ “หากพวกเจ้ายังมิเลิกตีกันอีกละก็ ข้านี่ล่ะที่จะเป็นผู้ส่งเจ้ากลับบ้านเกิดไปเสีย” ถึงแม้บทพูดจะคมคายสะกดจิตใจ แต่ดูเหมือนเสียงจะดังไปไม่ถึงพวกเขาสักเท่าไหร่ ผู้มีอารมณ์โกรธาอยู่แต่เดิมมีหรือจะมาฟัง หากเป็นเช่นนั้นคงมิมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นดอก

           ทันใดนั้น ขวานเพชรอันเลื่องชื่อพุ่งผ่านตัดเอาต้นมักกะลีผลจำนวนมากหักโค่นลงมาส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ แม้จะโชคดีที่มันเป็นต้นที่ยังมิออกผลแต่ถึงกระนั้นก็เสียหายไปเกือบสองในห้าของจำนวนต้นมักกะลีผลทั้งหมด พรรณไม้ในตำนานอาจจะต้องมาสูญสิ้นไปด้วยเงื้อมมือของรามสูรก็เป็นคำพูดที่มิเกินจริง ผู้ที่อยู่ทั่วบริเวณหรือแม้แต่ใกล้เคียงต่างยกมือป้องหูกันแทบไม่ทัน ที่ตีกันอยู่ก็หยุดชะงักวงแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางในทันทีทันใด ที่เดินเล่นเตร็ดเตร่หรือเหาะไปมาอย่างสำราญใจก็เป็นต้องหยุดการกระทำ ณ บัดเดี๋ยวนั้น เพราะรังสีแห่งความกดดันที่มากขึ้นเป็นทวีคูณบ่งบอกให้รู้ว่าขืนขยับแม้แต่ก้าวเดียวชีวิตคงได้จบสิ้นในทันที สัญชาตญาณบอกว่าสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าอาจจะกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว

           หิมพานต์ในคราวนี้กลับมาสงบสุขอย่างเช่นปกติเดิมแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของโศกนาฏกรรม รามสูรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พึงพอใจกับผลงานตรงหน้า ยกตนเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ท่ามกลางจดหมายร้องเรียนที่จะส่งมาถึงตัวอีกมิช้าในภายหลัง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วรามสูรจึงหันหลังเดินควงขวานกลับไปอย่างสำราญใจ แต่ก้าวเท้ายังมิทันพ้นป่ามักกะลีผลได้ดีก็หันมาเจอกับผู้ที่รามสูรมิได้พบเห็นหน้ามาหลายวันแล้ว

           เทวดารูปงามที่ผู้ใดเห็นเป็นต้องละทิ้งวิญญาณ ท่าทางสง่างามที่มาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของเมขลาลอยมาแต่ไกล “ข้ากลับมาจากโพ้นทะเลได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่วก็เลยเหาะมาดู ไม่นึกว่าจะเป็นเจ้า หากอยากได้ผลนารีข้าจะหามาให้เจ้าสักร้อยผลดีหรือไม่ รามสูร…”

           บทสนทนาที่จบลงไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าประโยคต่อมาที่ทั้งสองพูดคุยกันคืออะไร รู้เพียงว่าหลังจากนั้นไม่นานทั่วทั้งป่าหิมพานต์มีแต่เสียงเปรี้ยงปร้างดังไปทั่วพร้อมทั้งสายฝนที่สาดเทลงมาให้ผู้คนก่นด่าและสาปแช่งกันถ้วนหน้า

 

           อันตัวข้าผู้นี้มีนามว่าราหู ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มดาวนพเคราะห์ ส่วนหน้าที่นั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่ หลัก ๆ ก็มีแค่การตรวจดูดวงชะตาของนพเคราะห์และปรับสมดุลให้คงที่ สหายที่ดีต่อกันก็คือพระเสาร์เทวดาผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มดาวนพเคราะห์ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละเผ่าพันธุ์กันแต่ก็กลับคุยกันถูกคอจนมาเป็นเพื่อนกันในที่สุด ส่วนที่เป็นยักษ์เหมือนกันก็ไม่พ้นต้องเป็นรามสูรยักษ์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือแต่ในทางที่… เพราะเป็นผู้ที่อยู่เผ่าพันธุ์เดียวกันเลยทำให้เข้าใจกันได้มากขึ้น อันที่จริงแค่การไม่เป็นศัตรูกับผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้วล่ะ

           สหายของราหูอย่างรามสูรนั้นค่อนข้างมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียวเชียว ไม่ว่าจะยกภูเขาจะแบกหินดินทรายทุกอย่างก็ล้วนทำมาหมดแล้วทั้งสิ้นเว้นแต่ที่ไปม้วนแผ่นดินไว้อันหนึ่งก็แล้วกัน นั่นมันค่อนข้างออกจะสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่นมากไปหน่อย ซึ่งผู้อื่นที่เห็นล้วนต่างชินชาจนไม่อยากไปเสวนาด้วยแล้ว

           อันรามสูรผู้นี้ค่อนข้างชอบสร้างปัญหาให้ผู้อื่นเขาเดือดร้อนรำคาญใจกันอยู่บ่อย ๆ อย่างวีรกรรมล่าสุดนั่นก็ ใช่ อันนั้นไง ที่ไปเหวี่ยงเทพอรชุนจนไปกระแทกเขาพระสุเมรุส่งผลให้เขานั้นเอียงมะเล่มะเท่จะล้มแหล่มิล้มแหล่นั่นล่ะ วุ่นวายจนทำให้คนใหญ่คนโตต้องออกมาจัดการไปหมด แต่หากถามว่าเจ้าตัวสนใจไหม... คำตอบมันก็คงชัดเจนอยู่ว่า'ไม่มีทาง'

           ในขณะที่ราหูกำลังเพลินกับอาหารอันโอชะพร้อมรำลึกความหลังในวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้นก็มีผู้นำจดหมายมามอบให้ตนพร้อมบอกว่าให้ราหูเป็นผู้นำไปรายงานให้ผู้ที่มีชื่อในจดหมาย กำชับว่าจงอ่านให้หมดทุกคำไม่เว้นแม้แต่ชื่อหน้าจดหมาย และชื่อที่ปรากฏในกระดาษนี้ก็ไม่พ้นเป็นสหายรักผู้เรียกนามของตัวเองว่าวีรบุรุษผู้กอบกู้ (ม้วน) แผ่นดิน เนื้อหาในจดหมายช่างยาวเหยียดเห็นแล้วท้อใจ ทั้งหมดล้วนเป็นหัวข้อรายงานรามสูรทั้งสิ้น ราหูไล่เรียงข้อหาของรามสูรทั้งหมด แม้แต่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังถูกใส่มาในจดหมายนี้ด้วย ตนเลยต้องมานั่งจ้องหน้าสบตาอยู่กับสหายของตนที่นั่งทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่รู้ถึงชะตากรรมของตนเองอีก


เนื้อหาในจดหมายจดหมายรายงาน

✧✧۝✧✧

ฉบับที่ ๑๙,๙๗๒

วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งไตรทศาลัย

– ประจำวสันต์ฤดู –

เรื่อง รายงานความประพฤติผิด

ถึง รามสูร

           เนื่องด้วยในช่วงเวลาที่ผ่านมาทางเรา ผู้ดูแลของทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้รับจดหมายร้องเรียนของท่านเป็นจำนวนมาก ทางเราจึงได้ตรวจสอบและพบว่าท่านได้ทำการก่อกวนสร้างความเสียหายต่อเวลาและทรัพย์สินจริง ส่งผลให้ความสมดุลเกิดการเปลี่ยนแปลงและกระทบต่อการทำงานของผู้อื่น ทางเราได้รวบรวมข้อพิพาทบางส่วนเพื่อนำมาแจ้งให้ท่านรับทราบ ดังนี้

           『ก่อความวุ่นวายในงานชุมนุมเทพอันเป็นงานสำคัญ

           『นำอาวุธมีคมออกมาใช้ในที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

           『ไล่กวดเทพที่มาร่วมงานประชุมอย่างไม่ลดละสร้างความตระหนกตกใจและแตกตื่น

           『ทำร้ายร่างกายเทพจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

           『ทำเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นสถานที่สำคัญเอียงอย่างหนักจนเกือบล้มและสร้างความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง

           『กระทำกิริยาอันไม่เป็นการสำรวมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

           『ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมสร้างความรำคาญและหวาดกลัวแก่ผู้อื่น

           『รบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารอารักขาชายแดนหิมพานต์

           『ออกจากวิมานยามวิกาลในช่วงที่ถูกกักบริเวณ

           『เคลื่อนย้ายหินที่น้ำตกอโนดาตส่งผลให้น้ำไหลเชี่ยวกรากรบกวนผู้อื่น

           『ปิดกั้นทางเดินชายป่าหิมพานต์ กีดขวางผู้อื่นที่เดินไปมา

           『เสกฝนในเขตทะเลทรายส่งผลให้ต้นไม้ประจำเขตเสียหาย

           『วางเศียรของตัวเองไม่เป็นที่จนผู้ที่ผ่านมาพบเห็นเกิดอาการตกใจจนเกือบสิ้นสติ

           『โค่นต้นมักกะลีผลและพรรณไม้อนุรักษ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นพรรณไม้อนุรักษ์จำนวนมากกว่ายี่สิบต้น

           『ก้าวเท้าข้ามไปยังเขตมนุษย์เป็นระยะเวลาสองวินาที

           『ทำขวานหล่นจนเฉียดไปโดนผู้อื่น

           『ส่งเสียงดังโวยวายยามวิกาล

           『หยิบปีกของกินรและกินรไปเล่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

           『ถอนรั้ววิมานของคนธรรพ์

           『เหยียบดอกไม้ในสวนที่คนธรรพ์ปลูกไว้

           『เอาขวานเพชรซึ่งเป็นของคู่กายไปจำนำบนโลกา (ขวานเพชรเป็นหนึ่งในของวิเศษและมีความอันตราย) ถือว่าละเมิดกฎห้ามทำความเดือดร้อนให้มนุษย์

           『ก่อกวนผู้อื่นในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์

           『ส่งเสียงดังในเขตงดเสียง

           『รบกวนการสอนของปรมาจารย์ในวิหารศักดิ์สิทธิ์

           『นอนกีดขวางราชรถขัดขวางการทำงานของสุริยเทพ

           『ทำเสาของวิหารศักดิ์สิทธิ์พัง

           『ส่งเสียงดังในวิหารรัตติกาลอันเป็นการรบกวนการทำงานของจันทราเทพ』

           『หมิ่นประมาทจันทราเทพ

           『ข่มขู่จันทราเทพ』

           『ล้มกระถางต้นไม้ในลานพฤกษาของจันทราเทพเป็นจำนวนมาก

           『เดินกระทืบเท้าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ส่งผลให้พื้นเกิดร้อยร้าว

           『เหาะด้วยความเร็วเกินกำหนดในเขตวิหารศักดิ์สิทธิ์

           『ข่มขู่เจ้าหน้าที่ผู้คุมตัวกักบริเวณ

           หลังจากที่ท่านได้ฟังเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้แล้วขอให้ท่านไปรับทราบข้อร้องเรียนทั้งหมดที่วิหารภายในสามวันให้หลังด้วยความสำรวม ไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธเข้าไป หากก่อเหตุวุ่นวายในวิหารศักดิ์สิทธิ์จะทำการริบทรัพย์สินทั้งหมดชั่วคราว เนื่องจากท่านมิได้สังกัดอยู่ที่จาตุมหาราชิกาแล้วข้อร้องเรียนทั้งหมดจึงถือว่าละเว้นแต่อย่างไรก็ตามก็มิอาจลบล้างข้อกระทำได้ จึงมีโทษปรับตามสมควรเพื่อไม่ให้ก่อเหตุอีกในครั้งต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เรียนมาเพื่อทราบ...

วิหารศักดิ์สิทธิ์

…จันทราเทพ…

(...ผู้ดูแลคณะกลุ่มดาวนพเคราะห์…)


           พออ่านจบแล้วราหูก็ทำหน้าละเหี่ยใจในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด “มีสิ่งใดที่เจ้ายังมิเคยทำอีกหรือไม่ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าข้าจัดการปัญหาเหล่านี้ให้เจ้าไปเกือบหมดเรียบร้อยแล้ว เหตุใดจึงมีหลุดรอดมาเพิ่มได้กันอีกเล่า” อีกทั้งระหว่างที่เหาะมายังได้ยินหนาหูมาว่าเมื่อวันก่อนไปไล่ตีเมขลาที่ป่าหิมพานต์เสียงดังจนนึกว่าแผ่นดินไหวเสียอีก ไม่ว่าจะเห็นมาหลายครั้งแค่ไหนแต่ราหูก็ยังมิชินจริง ๆ

           “...” รามสูรผู้โดนราหูบังคับให้นั่งฟังรายงานจนจบได้แต่มองหน้าสหายแล้วกะพริบตาปริบ ๆ ตามมาด้วยสีหน้าที่บอกว่า ‘อืม แล้วอย่างไรต่อ’ ราหูเห็นถึงกับต้องทำการเทศนาในทันทีประดุจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปเสียยกใหญ่ถึงแม้จะอยากตบรางวัลในฐานะที่สามารถทำให้จันทราเทพเลือดขึ้นหน้าได้ก็เถอะ

           เป็นเพราะราหูไม่อยู่วิหารแท้ ๆ จึงให้รามสูรที่เป็นสหายไปคอยดูแทนตน แต่มินึกว่าพอเสร็จธุระแล้วจะกลายเป็นการกลับมาพร้อมกับจดหมายที่มีหัวข้อรายงานอันยาวเหยียดแบบนี้ อีกทั้งเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ยังลงทุนเขียนขึ้นมาด้วยลายมือทั้งหมดโดยไม่ใช้อาคมเลยสักนิด เห็นจันทราเทพดูไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดแต่ก็เป็นผู้ที่ค่อนข้างเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ช่างเลือกหาเลือกได้ถูกเสียจริงเชียว

           เมขลาที่ได้ฟังอยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะหึ ๆ ขึ้นมาและกล่าวว่า “ข้ามิอยู่เพียงแค่สามวันมินึกว่าเจ้าจะขยันสร้างเรื่องได้มากขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเวลาข้าอยู่วิมานเจ้าก็เอาแต่นอนขลุกอยู่ในห้องตลอดเลยแท้ ๆ"

           รามสูรมองหน้าเมขลาแบบเอือมระอาทั้งที่ตนก็ยังมีความผิดอยู่มิน้อยจนไม่มีสิทธิจะไปเคืองผู้อื่นได้ แก้วมณีก็ถูกเมขลายึดเป็นการชั่วคราวทำได้แค่เพียงมองแก้วมณีในมืออีกฝ่ายตาละห้อย ส่วนเมขลาที่ถือแก้วมณีอยู่ในมือก็ยกยิ้มมุมปากยักคิ้วใส่รามสูรไปมา

           ราหูเห็นแล้วยังรู้สึกอดสงสารสหายของตนมิได้ มาดเคร่งขรึมดุดันดูน่าหวั่นเกรงต่อผู้อื่น ใคร ๆ เห็นเป็นต้องหลีกทาง บัดนี้กลับตรงข้ามทุกอย่าง ไม่โวยวาย ไม่ถือขวานเตรียมจะฟันคอผู้ใด ถึงราหูจะแอบคิดว่าบางทีเมขลาอาจจะยึดขวานของรามสูรไปด้วยก็เถอะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเมขลาจะสามารถเอารามสูรได้อยู่หมัดจากอันธพาลโหด ๆ เหลือแค่ลูกกระจ๊อกตัวนิด ๆ อย่างกับเสือสิ้นลายไปแล้ว เมขลาช่างสมกับเป็นเทพไม่กี่ตนที่ราหูชื่นชอบและเลื่อมใส ไม่เหมือนเทพบางตน มีตำแหน่งสูงเสียเปล่าแต่แค่เห็นหน้าแล้วอยากลุกไปจับหัวเอากดน้ำในบ่อน้ำพุหน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์

           ยิ่งได้มาเห็นและพูดคุยกับเมขลาราหูก็ยิ่งรู้สึกว่า อา~ สหายของตนนี่ช่างโชคดีจังเลยนะถึงจะน่าเวทนาแต่ก็กลับเป็นหนูตกถังข้าวสารได้ถึงเมขลาที่เป็นเทพผู้งดงามมาไว้ข้างกายอีก

           ราหูกล่าว “แต่ว่าที่ท่านเมขลาบอกว่ายึดแก้วมณีเจ็ดวันนี่มิน้อยไปดอกหรือ”

           “น้อยบ้านเจ้าสิ สรุปแล้วเจ้าต้องการจะช่วยข้าหรือซ้ำเติมกันแน่”

           ราหูหัวเราะร่า “อะไรกันเมื่อครู่เจ้ายังทำสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เลย อีกอย่างเจ้าชอบก่อเรื่องอยู่บ่อย ๆ โดนเช่นนี้บ้างจะเป็นไรไป ฮ่า ๆ ๆ"

           รามสูรได้ยินถึงกับเดือดดาล ในคราแรกเมขลาบอกว่าจะไม่ให้แก้วมณีตนเป็นเวลาสามสิบวันเสียด้วยซ้ำ ตนถนอมแก้วมณีจนแทบจะเป็นเหมือนประดุจลูกรักของตนมิแพ้ขวานเพชรอยู่แล้ว

           รามสูรจับข้อมืออันน้อยนิดของเมขลาที่ถือแก้วมณีอยู่ ก่อนจะเริ่มเจรจาต่อรองอีกครั้ง "สามวันมิได้หรือ”

           เมขลามองตามมือของรามสูร กุมมือทับอีกที ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มนั้นช่างชวนให้หลงใหลเสียจริงหากมิใช่คำพูดที่ทำให้รามสูรต้องรู้สึกสิ้นหวัง “หากเจ้าต่อรองอีกครั้ง ข้าจะเพิ่มเป็นสามสิบเช่นเดิม ข้าบอกเจ้าไปแล้วนี่นา ก็เจ้าไม่เชื่อฟังข้าบอกแถมยังแอบออกไปป่ามักกะลีผลในตอนที่ข้าไม่อยู่อีก"

           “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าแค่บังเอิญ”

           “ข้าน้อยใจนะ ที่กลับมาก็ต้องมาเห็นผู้ที่เป็นคู่รักของข้ากำลังไปต่อยตีแย่งชิงมักกะลีผลกับผู้อื่นอยู่”

           “ก็ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นไงเล่า ข้าไม่ใช่เจ้านะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าพวกแมลงนั้นมันทำเสียงดังวุ่นวายไปหมด ข้าก็แค่จบปัญหาด้วยการขว้างขวานออกไปซะ ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะไปโดนต้นไม้พวกนั้นจนหักโค่นออกหมดเสียหน่อย” รามสูรเขย่าคอเมขลาจนหัวโยก ไหนบอกว่าเข้าใจแล้ว ไฉนตอนนี้ถึงมาคร่ำครวญอีกได้กันเล่า ครั้นจะฟาดให้สลบตนก็ต้องเป็นผู้แบกเมขลากลับอีก คดีที่มีมากอยู่แล้วก็คงได้เพิ่มพูนมากขึ้นอีกเป็นแน่

           เมขลา “สามสิบวัน”

           รามสูรส่งเสียงชิชะในปากพละมือออกจากคอของเมขลาในทันที เมขลายิ้มอย่างชอบใจชูแก้วมณีที่เป็นของประกันไปมา ยังไม่รวมถึงขวานเพชรที่อยู่กับตัวของเมขลาอีก เพราะเหตุนี้จึงทำให้ไม่ว่าเมขลาจะยั่วยุรามสูรมากเท่าไหร่ก็มิเป็นอันใดเลย แม้จะพอรู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้ก็เถอะ แต่ไม่ว่าอย่างตนก็ขอใช้ช่วงเวลาเช่นนี้ที่มิได้มีมาบ่อยหนักให้คุ้มเสียก่อน

           ราหูที่เห็นเหตุการณ์คู่รักทะเลาะกันถึงกับทำตัวมิถูก มิรู้จะช่วยผู้ใดกันดี ฝั่งหนึ่งก็สหายรัก ฝั่งหนึ่งก็เป็นผู้ที่ตนนับถือ แน่นอนปัญหาการหึงหวงมันก็ต้องมีบ้างอะไรบ้างแต่การต้องมาอยู่ท่ามกลางคู่รักสายฟ้าแลบที่เป็นข้าวใหม่ปลามันนี่มันช่างทำให้ราหูรู้สึกว่าจะเอาตัวไปไว้ที่ก็เกะกะไปหมด หากมิใช่เรื่องใหญ่อันใดตนก็พอจะหลีกทางให้ทั้งคู่ได้หวานแหววกันอยู่หรอก การจิบน้ำชาระหว่างนี้ไปก็คงมิเลว

           “เอาเป็นว่าวันมะรืนนี้ข้าจะไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เอง ฝากท่านราหูไปแจ้งกับจันทราเทพด้วย รบกวนท่านแล้ว” เมขลาที่เมินท่าทีของรามสูรหันมาพูดกับราหู หากให้รามสูรเป็นผู้เดินทางไปเองสงสัยคงจะได้ก่อเรื่องเพิ่มและถูกกักบริเวณอยู่ที่วิหารเป็นแน่

           “แบบนี้ก็ไม่เลว ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอกลับก่อน” ราหูกล่าวลาเมขลาและรามสูร อยู่ต่อก็อาจจะมีสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนขึ้นมาก็ได้ผู้ใดจะไปรู้กัน ก่อนจะไปก็ตบไหล่ของสหายตนสองสามที ในใจก็ภาวนาว่าสหายของตนจะไม่อาละวาดเพิ่มอีกเพราะโดนยึดแก้วมณีนั่นล่ะ

 

***โปรดติดตามตอนต่อไป***

รามสูร:นี่มันคือศักดิ์ศรีแห่งลูกผู้ชายอย่าห้ามพี่ไอน้อง!

อันที่จริงไปนอนกอดกับเมขลาก็ได้อยู่กับแก้วมณีทั้งวันแล้ว มีคนถูกล่อล่วงแน่ๆ

 

 

Twitter:@jantrawayo