​           ใคร ๆ ก็ต่างพูดว่าการพบกันของเมขลาและรามสูรนั้นคือโชคชะตาที่จะกลายเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งบางอย่างดูมิสมเหตุสมผลไปบ้าง

​           บรรยากาศที่เงียบสงบถูกแทนที่ด้วยเสียงของเนื้อกระทบเนื้ออันหยาบโลน

​           "อ๊ะ อ๊า! เบา ๆ หน่อย"

​           "อะไรกัน เจ้าคิดว่าของแบบนี้มันควบคุมได้งั้นหรือ!"

​           เป็นฝ่ามือพิฆาตของรามสูรที่ฟาดลงไปที่ไหล่ของเมขลาเต็ม ๆ ความรุนแรงพอที่จะทำให้กระดูกแหลกละเอียดเป็นชิ้น ๆ ได้ ไหล่ที่สั่นไหวไปมากับใบหน้าที่เหยเกบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ ดูท่าว่าจะบาดเจ็บสาหัสมิใช่น้อย สาเหตุก็ไม่พ้นมือที่อยู่มิสุขของเมขลาอีกเช่นเดิม สัมผัสที่ทำให้รามสูรรู้สึกเสียววูบวาบจนขนลุกขนพอง หากขวานเพชรอยู่ใกล้ตัว เมขลาคงได้หัวหลุดออกมาจากบ่าสมใจ มิว่าใครหน้าไหนก็ชอบมายุ่งวุ่นวายกับพื้นที่บนแผ่นหลังของตนกันไปหมด

​           "กระดูกสันหลังของข้ามิใช่พิณเสียหน่อย เจ้าจะมาดีดหาพระแสงของ้าวอะไร"

​           "งั้นถ้าเจ้าเป็นพิณจริง ๆ เจ้าจะยอมให้ข้าดีดจริง ๆ หรือไม่ เช่นนั้นแล้วถึงให้ข้าดีดทั้งวันก็มิเลวเลยนี่"

​           เมขลามิงานอดิเรกคือชื่นชอบการแกล้งผู้อื่น

​           แผ่นหลังที่ดูแข็งแรงของรามสูร แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่แตะเบา ๆ แม้เพียงนิด ก็เป็นชนวนความโกรธให้รามสูรได้ไม่น้อย เมขลารู้ดีว่าที่รามสูรโกรธเพราะมันเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของเจ้าตัว แต่ถึงจะยิ่งห้ามมันก็กลับเหมือนเป็นการยิ่งยุมากกว่า

​           ทั้ง ๆ ที่รามสูรสัมผัสคืนบ้าง แต่เจ้าเทพนั่นกลับทำสีหน้าชอบใจจนน่าหมั่นไส้ จะไม่มีจุดที่อ่อนไหวในร่างกายบ้างเลยหรืออย่างไรกัน แบบนี้แทนที่จะได้เอาคืนก็กลายเป็นว่าอารมณ์เสียมากกว่าเดิม หากทำท่าทีขัดขืนนิดหน่อยก็จะรู้สึกขอบคุณมากแท้ ๆ น่าโมโหเป็นบ้า ตนมิใช่เด็กเสียหน่อยทำไมถึงจะต้องมาหงุดหงิดด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้กัน

​           'จงทำให้เจ้าเทพนั่นหายไปซะ' เพราะมีแก้วมณี ลูกแก้วสารพัดนึกในมืออยู่แล้ว ก็ใช้วิธีนี้ไปเลยก็สิ้นเรื่อง แก้ปัญหาที่ต้นเหตุไปเลย

​           "ทำให้ข้าหายไปเสีย ดูเหมือนความคิดของเจ้าจะดังไปนะรามสูร แล้วอีกอย่างแก้วมณีถึงจะขอได้ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างที่ขอนั่น หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวข้า แล้วข้ามิได้เป็นผู้ที่ใช้เสียเอง มันไม่อาจสัมฤทธิ์ให้เจ้าได้หรอกนะ" เมขลาหัวเราะ หึหึ อสุรามิใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรือ หากขอให้หายไปก็เท่ากับว่าเมขลาสิ้นชีพ แต่ตนนั้นเป็นอมตะ จะตายได้อย่างไรกัน หรือจะลองใช้ล่องหนแกล้งหายตัวไปให้เจ้าตัวดีใจเล่นดีไหมนะ

​           "งั้นเจ้าก็ไสหัวออกไปซะ!!" ในเมื่อแก้วมณีทำมิได้ งั้นรามสูรก็จะหาวิธีออกไปเอง

​           "เจ้าได้รับสิทธิ์ให้มาอยู่วิมานของข้า แล้วเจ้าก็ไล่ข้าให้ออกจากวิมานของตัวเองเนี่ยหรือ ช่างเลือดเย็นยิ่งนัก" ผู้มาอาศัยชักจะได้ใจเกินไปแล้ว

​           "ชิ ไหนว่าเป็นเทพที่มีภาพลักษณ์ที่ดีไง ข้าจะไปแฉเรื่องของเจ้าให้หมดเลย คราวนี้เจ้าจบเห่แน่ เมขลา"

​           "หืม~ท่านรามสูรมิอยากได้แก้วมณีแล้วหรือ เอ~ทำอย่างไรดีล่ะ ความลับของข้าจะถูกเปิดเผยแล้วหรือนี่ ถึงข้าจะมิเอาแก้วมณีมาขู่เจ้า แต่เจ้าคิดจริงหรือว่าผู้อื่นจะเชื่อเจ้ากันน่ะ อย่างมากก็คงคิดว่าเป็นมุกตลก ตัวอย่างก็มีให้เห็น อย่างตอนงานสังสรรค์คราวที่เป็นอย่างไรล่ะ"เมขลายิ้มเยาะ อา~ รามสูรช่างมิรู้ความเป็นไปของสังคมของชาวสวรรค์เสียเลย ถึงจะน่าเศร้าแต่พวกเทพนั้นล้วนแต่ปกป้องกันเองอยู่แล้ว ต่อให้ความจริงจะเป็นเช่นไร หากมิใช่พวกเดียวกันแล้วละก็พวกเขาเหล่านั้นก็จะใส่สีตีความจนสามารถพลิกจากขาวเป็นดำได้ในทันที เพราะผู้ที่ฟังและพูดต่อมิได้มาอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ อย่างไรล่ะ มิว่าผู้ใดก็ย่อมเชื่อพรรคพวกของตัวเองมากกว่าเผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูกันอยู่แล้วนี่นา ก็ข่าวลือนี่เนอะ

​           "ชิ" รามสูรส่งเสียงไม่พอใจในปากเป็นครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าตนจะใช้เวทมนตร์คาถาสะกดให้เมขลาอยู่นิ่ง ๆ ยังมิสามารถทำได้เลย หากตนหนีออกไป ก็จะมิได้รับแก้วมณี ทางเลือกคือมีแต่จะต้องอยู่กับเจ้าเทพนี่เท่านั้น ถ้าแก้วมณีเนรมิตคู่มือวิธีการทำให้เมขลาเชื่องได้ก็คงดี

​           "แหม ทำไมท่านรามสูรถึงทำเหมือนว่าตนเป็นเหยื่อไปได้เล่า ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นผู้ที่เริ่มก่อนแท้ ๆ หากเจ้าพูดจาไพเราะเสนาะหูให้ข้าได้ฟังก่อนละก็ ข้าคงประเคนสมบัติทุกอย่างให้เจ้าไปแล้วแท้ ๆ เห็นอย่างนี้แต่ข้าก็มิได้เกลียดเจ้าเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงกลับทำเหมือนว่าเกลียดข้าจริง ๆ มากเสียขนาดนั้นกันเล่า เจ้าอยากได้แก้วมณีข้าก็ให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการ แม้ข้าจะมิได้ผลประโยชน์อันใดเลยก็ตาม "

​           "เดี๋ยวสิ ข้า...แล้วทำไมเจ้าถึงร้องไห้กันเล่า เมื่อครู่ยิ้มเย้ยข้าอยู่แท้ ๆ " รามสูรแทบทำตัวมิถูก มือไม้พันกันไปหมดกับอารมณ์ของเมขลาที่เปลี่ยนรูปแบบได้อย่างรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทันและหาเหตุผลมิได้ แม้ว่าตนจะทำตัวกร่างไปทั่วก็เยอะ แต่มิเคยเห็นผู้ใดมานั่งน้ำตาตกใส่ตนเช่นนี้เลย จับโยนลงบ่อน้ำพุจะหายไหมนะ

​           เมขลากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"ใช่สิ จะทำเช่นใดได้กันเล่า ก็เจ้าเป็นยักษ์อันธพาลที่ชอบเอาแต่ใช้กำลังใส่ผู้อื่นไปทั่ว ฝีปากก็แพ้ใครในใต้หล้า แม้แต่ข้าก็ยังโดนเจ้ารังแกข่มเหงมามิใช่น้อย"

​           "ฟังกันบ้างสิเจ้าบ้า"รามสูรพยายามเขย่าตัวอีกฝ่ายเพื่อเรียกสติ วิญญาณก็มิได้หลุดออกไปนี่ ทำไมพูดอะไรพร่ำเพ้อเช่นนี้ ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ทำให้ตนรู้สึกใจเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง ปกติถ้าร้องไห้มันต้องน่าเกลียดจนดูมิได้ไม่ใช่หรือ แต่ถึงกระนั้นมันก็ดูน่าสงสารอยู่ดี

​           "ข้ามิรู้แล้ว รับผิดชอบมาเสีย" เมขลายังคงร้องไห้โฮมิหยุดพร้อมทั้งก้มหน้างุดโผเข้ากอดและซบหน้าลงบนอกของรามสูร ส่วนมือของเมขลาก็ยังไวอยู่เหมือนเดิมมิน้อย

​           ถึงรามสูรจะมิชอบใจที่มือผู้อื่นโดยเฉพาะเทพผู้มีนามว่าเมขลา มายุ่งกับหลังของตนแต่ครั้งนี้รามสูรจะยอมให้ก็แล้วกัน เห็นว่าเศร้าเพราะตนหรอก มิงั้นฝ่ามือคงได้เป็นการทุบแรง ๆ ไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายมิใช่การลูบเบา ๆ เช่นนี้เป็นแน่

 

อดีตกาล นานมาแล้ว

​           ที่ป่าหิมพานต์ ณ ส่วน ๆ หนึ่งที่เป็นแดนลึกลับมีเพียงแค่รามสูรเท่านั้นที่รู้ สถานที่ลับใต้สระอโนดาตที่รามสูรเป็นผู้ค้นพบและได้ไปจับจองเป็นของตนเอง

​           ที่สิงสถิตหลัก ๆ ของรามสูรรองจากวิมานของตน บรรยากาศดูอบอุ่นมิแพ้ข้างนอก ดูสงบและเป็นส่วนตัว รามสูรมักจะชอบมานอนทอดกาย ณ ที่แห่งนี้ ตรงกลางนั้นโล่งกว้างมีหญ้าขึ้นเป็นพรมธรรมชาติที่ดูแล้วสบายตา ต้นไม้ที่ล้อมรอบเป็นกำแพงกีดกั้นทุกสิ่งจากภายนอก มิแปลกเลยที่จะเป็นสถานที่ที่มิมีผู้ใดพบ

​           และครั้งนี้ก็เป็นเหมือนอย่างปกติเฉกเช่นทุกทีที่รามสูรตั้งใจมาพักผ่อน ณ ที่แห่งนี้

​           แต่ดูเหมือนว่ารามสูรจะมาถึงช้าไป สถานที่ที่เคยมีแค่รามสูรเท่ากับมีบุคคลอื่นเข้ามานอนทอดกายเปลือยท่อนบนพิงกับโขดหินอยู่ในจุดที่เป็นที่ประจำของรามสูรเพิ่มเสียอย่างนั้น เทพงั้นรึ รามสูรมิค่อยถูกกับพวกเผ่าพันธุ์นี้สักเท่าไหร่ เรียกได้ว่าอคติไปเลย ที่ก็ตั้งเยอะแยะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องเป็นที่ที่ตนใช้เป็นประจำด้วย ที่ที่ซึ่งตนจัดตกแต่งไว้อย่างดีจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของตนอยู่แล้ว นึกจะนอนก็นอนไปเลยโดยมิคิดจะสำรวจตรวจดูหน่อยหรืออย่าไงว่าที่ตรงนี้ยังไงก็ต้องมีผู้อื่นมาใช้แน่ ๆ น่ะ

​           "ข้านึกว่าที่แห่งนี้จะมีเพียงข้าที่รู้เสียอีก เพราะไม่ว่าข้าจะมากี่ครั้งก็ไม่เคยมีผู้ใดมาที่แห่งนี้เลยแม้ผู้เดียว แล้วมาแอบมองผู้อื่นหลับเช่นนี้ ไม่ดีเลยนะ" ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรามสูรจ้องอีกฝ่ายมากเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้ผู้ที่หลับอยู่ในคราแรกแรกรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาเสียแล้ว

​           "ข้าก็คิดว่าไม่มีใครเข้ามาเหมือนกันนั่นแหละ ดันมีเจ้าตัวน่ารำคาญอย่างเจ้ามาอยู่เสียได้"

​           ว่าแต่เราเพิ่งพบกันครั้งแรกแท้ ๆ เหตุใดจึงหาว่าข้าเป็นตัวน่ารำคาญเสียแล้วเล่า หรือว่าเจ้าจะรู้จักข้ากัน"

​           "ไม่รู้ แล้วเจ้านะ สีหน้าไม่เห็นจะดูเหมือนตั้งใจขอโทษข้าจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ ทำแบบนี้อย่าทำเลยดีกว่า"สำหรับรามสูรไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็น่ารำคาญทั้งหมดนั่นแหละ

​           "ทั้ง ๆ ที่พูดกับข้าอยู่แม้แต่หน้าของข้าเจ้ายังไม่มองเลยแล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าทำแบบนั้นจริง ๆ แล้วก็เจ้าจะหันหลังให้ข้าแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่"

​           "ของอย่างนี้ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าก็รู้แล้ว และข้าไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปหาเจ้าด้วย ไสหัวออกไปได้แล้ว" รามสูรตอบคู่สนทนาในท่ากอดอก เป็นท่าทางที่ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็คงหมั่นไส้จนขอสมัครเป็นคู่อริของรามสูรอีกตน

​           “ใจร้ายจังเลยนะ ถึงอย่างไรข้าก็จะออกไปอยู่แล้ว มีงานที่ต้องไปทำต่อน่ะ น่าเสียดายจังเลยนะ ข้าชักจะถูกใจเจ้าเข้าแล้วสิ เจ้ามีนามว่ากระไรหรือ ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่หากรู้ชื่อเจ้าไว้ข้าจะได้คิดบัญชีถูกไงเล่า” นิ้วเรียวสวยของบุรุษแปลกหน้าเชยคางของรามสูรอย่างช้า ๆ แต่เจ้ายักษามิได้ติดใจเอาความอะไรทำเพียงแค่ถอยหน้าหนีเท่านั้น

​           “งั้นก็จำใส่กะโหลกส่วนที่ลึกที่สุดของเจ้าให้ดีล่ะเจ้าเทพงั่ง ข้ามีนามว่ารามสูร แต่ถึงเจ้าคิดจะแก้แค้นข้าต่อให้ถล่มวิมานข้าก็มิยั่นเจ้าหรอกนะ ดูก็รู้ว่าเจ้ากับข้ามันคนละระดับกัน อย่าเสียเวลาน่าน้องชาย” รามสูรหัวเราะร่าตบไหล่บุรุษดังปุ ๆ จนผู้ที่โดนตัวเซจวนจะล้ม ตนเองมีฉายาเป็นถึงราชาแห่งยักษ์เลยนะ ท้าทายได้ผิดตัวแล้ว หาเรื่องอายุสั้นหรืออย่างไรกัน

​           “ข้าชื่อ----- งั้นข้านี่แหละจะเป็นผู้ที่จะสยบเจ้าในคราที่เจอกันครั้งหน้าเอง” ผู้เอ่ยคำมั่นอย่างมั่นอกมั่นใจน้ำเสียงถึงจะดูเป็นเรื่องล้อเล่นแต่สีหน้ากลับจริงจังจนน่ากลัว

​           “อืม ข้าจะจำไว้ละกัน” รามสูรตอบแบบส่ง ๆ ถึงกระนั้นรามสูรก็มิได้ฟังคำพูดใด ๆ ของคู่สนทนาหลังจากที่ตนพูดประโยคสุดท้ายออกไปอีกเลย เพราะมัวแต่ลำลึกความหลังถึงความยิ่งใหญ่ของตนไม่เลิก สิ่ง ๆ ต่างๆที่อยู่รอบตัวล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่ธาตุอาการที่ไร้ตัวตนทั้งสิ้น จนผู้ที่บุกรุกสำหรับรามสูรเดินจากไปไกลแล้ว รามสูรก็ยังคงจมอยู่ในความคิดของตนเองอยู่

​           นานเนิ่นนานที่รามสูรจะละจากความคิดของตนแล้วล้มตัวลงนอนอย่างที่ตั้งใจไว้ในคราแรกที่มา ณ ที่แห่งนี้

​           “แล้วไฉนเจ้าถึงมิเห็นจะจำข้าได้อย่างที่ปากว่าเลยล่ะ” เมขลาโวยขึ้นมาหลังจากทวนถามถึงเรื่องที่พบกันในครั้งแรกกับรามสูร แอบรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย แล้วกล่าวต่อว่า “เห็นไล่ตามไม่เลิกนึกว่าจำได้ดังที่พูดจริง ๆ แต่กลับตามมาเพราะอยากได้แก้วมณีเรอะ แล้วเศียรอัปลักษณ์ที่สวมใส่ไว้นั่นมันอะไรกัน รสนิยมใหม่งั้นรึ น่ากลัวเป็นบ้า แล้วไหนจะจับเทพอรชุนเหวี่ยงไปฟาดกับเข้าพระสุเมรุจนเอียงแล้วหนีกลับวิมานอย่างหน้าตาเฉยอีก อันธพาลสมคำร่ำลือเสียจริง”

​           “ข้าเคยเจอกับเจ้ามาก่อนหน้านี้อีกหรือ?” รามสูรถามทในเรื่องที่เมขลากล่าวมา

​           “ก็ที่เจ้าเคยไล่ข้าออกไปเพราะข้าไปนอนทับที่ของเจ้าไงเล่า ต่อให้ข้าไปถล่มวิมานเจ้าก็ไม่หวั่น แถมยังตบหลังข้าจนแทบจะตัวเซตั้งหลายครา” เมขลารีบอธิบายเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง

​           รามสูรครุ่นคิด “อืม” สีหน้างุนงงดูก็รู้ว่ายังไงก็จำเรื่องที่เมขลาบอกมิได้

​           เมขลากล่าว "นี่เจ้าไม่จำเลยนี่นา" ใบหน้าสวยแสดงอาการว่าไม่พอใจ นั่นมันเป็นสำคัญเป็นครั้งแรกที่ทำให้เราได้มาพบกันเลยนะ เหตุใดมีเพียงตนจำได้เพียงผู้เดียวกัน จำได้กระทั่งตาสีนุ่มลึกที่บ่งบอกว่าตนไม่พอใจสุด ๆ ที่มีผู้อื่นมาแย่งที่ของตนเอง

​           แม้ว่าเมขลาจะโมโหนิดหน่อยที่ถูกผู้อื่นรบกวนการนอน และก็ต้องอีกยอมรับว่าตนนั้นเป็นฝ่ายผิดจริง ๆ แต่การพูดจาแบบนั้นมันใช้ได้เสียที่ไหนกันเล่า แล้วมีอย่างที่ไหนมายืนหันหลังคุยกับตนเป็นสาวน้อยที่แอบมาลอบพบรักกับชายหนุ่มรึ ที่สนใจในคราแรกก็เพราะรู้สึกว่ายักษ์ตนนี้มีอะไรที่แปลกไม่เหมือนผู้อื่นที่เมขลาพบเจอมาก่อนเลย ทั้งบทพูดก็ดูทะนงตนสุด ๆ ตนก็ลองหยั่งเชิงไปดูบ้างเผื่อว่าเจ้ายักษ์ผู้นี้จะนึกออกแล้วตกใจบ้าง ถึงจะลองคิดเข้าข้างตัวเองว่ารามสูรอาจจะแค่กวนเฉย ๆ แต่ว่าเขากลับจำไม่ได้เลยจริง ๆ เนี่ยนะ แบบนี้ก็ดูเหมือนว่าเมขลาตามตื๊อรามสูรเลยน่ะสิ

​           เมขลาอยากทิ้งตัวลงไปในมหาสมุทรแล้วปล่อยตัวลงให้ดิ่งสู่วังบาดาลซ้ำไปซ้ำมาสักสิบรอบ

​           รามสูรที่เห็นว่าเมขลานิ่งไปเลยก็อดนึกสงสัยมิได้ว่าเป็นกระไร โดยที่ยังไม่รู้ตัวว่าต้นเหตุนั้นก็มาจากตนเอง แต่ยังมิได้ถามไถ่อะไร เมขลาก็ผุดยิ้มขึ้นมาอย่างผู้เสียสติ แล้วพูดขึ้นมาว่า "ไม่เป็นไร ๆ " แต่สำหรับรามสูรน่ะ เมขลาเป็นสุด ๆ มิละเมอก็จิตหลุดออกจากร่าง สองอย่างนี้มิอย่างใดก็อย่างหนึ่ง ขืนยังเป็นบ่อย ๆ เกรงว่ามิพ้นต้องตามหมอมารักษาแล้ว เห็นแก่ความเป็นผู้อยู่อาศัยร่วมกัน

***โปรดติดตามตอนต่อไป***

ก็ตอนที่คุยกันเค้าหันหลังใส่เธอเอาอะไรมาจำได้เล่า พี่ชายจ๋าอย่าได้เศร้าไปเลยเดี๋ยวเจ้าจันจะปลอบใจคุณเอง เอ๊ะ ไม่ดีสินั่นของลูกกก

เย่ๆๆ คัมแบคแล้วค่าา ในที่สุด!!! กว่าจะเค้นสมองออกมาได้5555 บาดแผลไม่มีผลต่อจิตใจ ๆ นักอ่านงงอยู่ดี ๆ นังคนเขียนก็เปลี่ยนพาร์ทเฉยเลย ทำไมตอนที่ทำจริงกับที่คิดมันถึงได้แตกต่างกันเยี่ยงนี้ รู้สึกว่าต้องไปหาไอเทมบำรุงสมองด่วน ๆ เลยค่ะ เป็นพาร์ทที่คิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรให้มันไหนลื่นดีน้า ว่าจะเขียนซักสามตอนจบแท้ ๆ ทำไมมีตอนที่สี่ที่ห้ามาได้นะเนี่ย 

ได้ลองไปอ่านบทประพันธ์พระราชนิพนธ์บทระบำตลกแล้วหัวบ่คืนมากค่ะ555 นั่งหัวเราะคนเดียวตอนตีสอง เมขลากับรามสูรที่เคยได้เรียนมาตอนประถมดูยิบย่อยไปเลยค่ะ สนุกมากกก ทุกคนต้องได้ลองไปอ่านกันบ้างแล้ว นี่มันคือการเอาตัวละครในตำนานมาแกงชัด ๆ แล้วก็มีศัพท์ที่เราไม่รู้เยอะเลยค่ะ ได้เจอศัพท์ใหม่ ๆ เต็มไปหมดเลยเปิดโลกมากค่ะ พอรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้างขอโทษที่ตอนเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียนภาษาไทย

 

Twitter : @jantrawayo