ให้ไปเป็นคนรักเพื่อแลกกับลูกแก้วเพียงอย่างเดียวช่างดูเป็นข้อเสนอที่แปลกเสียจริง ใต้หล้านี้คงมิมีผู้ใดคิดทำ เว้นเสียแต่ยักษ์อสูรนามว่า รามสูร ผู้นี้

         "ฮ่า ๆ ๆ ถึงจะไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แค่คราวนี้เจ้าดูลงทุนเกินไปแล้วเพื่อนยาก แล้วเมขลาก็ดันตามน้ำไปกับด้วยอีก" ราหู สหายเพียงหนึ่งเดียวของรามสูรเอ่ยทักท้วงหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างจากปากของรามสูร

         "แล้วอย่างไรเล่า เจ้ามีปัญหากับข้ารึ" รามสูรตอบกลับสหายรักที่ดีที่สุด

         "แค่ลูกแก้วเพียงลูกเดียวเจ้าถึงกับยอมแต่งงานกับเทพผู้นั้นเชียวรึ ถือขวานมากไปจนสติเพี้ยนแล้วหรือเจ้า เอาให้มันพอดี ๆ หน่อยน่า แค่นี้ก็มิมีผู้ใดอย่างจะอย่างกรายมาเฉียดใกล้เจ้าอยู่แล้ว"

         "ทีกับเจ้ายังบุกวิหารเข้าไปเพื่อลอบทำร้ายท่านผู้นั้นเพียงเพราะ...โอ๊ะ!"รามสูรที่จะพูดเรื่องของสหายกลับบ้างเป็นต้องหุบปากฉับเพราะฝ่ามือพิฆาตของราหูที่ฟาดเข้าที่กลางหลัง ความรุนแรงพอที่จะให้ผู้โดนกระทำหน้าคว่ำลงไปสนทนากับพื้นได้

         "ของเจ้ากับของข้ามันไม่เหมือนกันเสียหน่อย ข้าน่ะคำนวณทุก ๆ มาดีแล้ว แต่ของเจ้าน่ะ ดูก็รู้ว่าไม่ได้คิดอะไรเลย เห็นแก่ของเล่นชัด ๆ "

         "ลูกแก้วนั่นมิใช่แค่ของเล่นเสียหน่อย ดูก็รู้ว่าเป็นลูกแก้ววิเศษที่จะสามารถดลบันดาลทุกสิ่งที่ต้องการได้"

         "นอกจากเจ้าแล้วผู้อื่นเขาก็รู้กันมาก่อนหมดแล้วนั่นแหละ"

         "..."

         "เฮ้อ เห็นทีเมขลาจะต้องแปดเปื้อนราคีเพราะเจ้ายักษ์ผู้นี้เสียแล้ว ช่างน่าสงสารดังที่ผู้อื่นว่ากันจริง ๆ นั่นแหละ"

         "เจ้าก็พูดให้มันดี ๆ หน่อย ข้ามิได้ไปฉุดกระชากเจ้าเทพนั่นมาเสียหน่อย เหตุใดถึงเอาแต่ใส่ร้ายข้ากัน"

         "ฮ่า ๆ สหายหากข้ามิได้คบหากับเจ้าข้าก็คงคิดเหมือนผู้อื่นนั่นแหละ อันเมขลาเองก็แทบจะเป็นสมบัติของเหล่าพวกเทพ พวกนั้นต่างทะนุถนอมและเอ็นดูมิแทบต่างกับไข่ในหิน เรียกได้ว่าอีกนิดเดียวก็จะหามขึ้นเสลี่ยงมิให้ได้เดินเองแล้ว"

         "มีแต่พวกตัดสินจากภายนอก" รามสูรสุดจะเอือมระอา

         "ข้าก็หวังว่าสิ่งที่เจ้าทำจะไม่ถึงขั้นที่ต้องเชิญไตรเทพลงมากำราบเจ้าอีกหนดอกนะ" ถึงรามสูรจะเป็นยักษ์ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของเผ่ายักษ์ แต่ความอยากรู้อยากลองหลาย ๆ อย่างของรามสูรมักจะนำพาแต่เรื่องปวดหัวมาให้อยู่เรื่อย ๆ แค่เห็นยิ้มเย็นที่ดูไม่น่าไว้วางใจของรามสูรในตอนนี้ ราหูก็เริ่มรู้สึกเห็นใจเทพเมขลาที่ต้องมาอยู่ร่วมกันกับรามสูรสหายของตนเสียแล้ว

         ถ้าให้ราหูคิดแบบไม่ได้เข้าข้างรามสูรเลย "บางทีให้เจ้าเปิดหน้าให้เทพนั่นได้ชมอาจจะลดความยุ่งยากและวุ่นวายกว่าที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นไหน ๆ" ไม่เข้าใจว่าเพื่อนของตนมีนิสัยชอบทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

         ในเหล่าอมนุษย์ไม่มีใครไม่รู้จักป่าหิมพานต์ ป่าที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะมีได้ บรรยากาศที่แสนอบอุ่นเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นที่สุด ป่าหิมพานต์ก็คือนิยามของคำว่าสวรรค์ดี ๆ นี่เอง แม้จะแฝงไปด้วยอันตรายจากสัตว์ร้ายทั้งหลายที่เป็นเจ้าถิ่น หรืออันธพาลที่แวะเวียนมา แต่ความเป็นเอกลักษณ์ของมัน และจุดหมายที่ได้มาก็คุ้มค่าแล้วที่ได้มาเยือน

         และสถานที่แห่งนี้ได้ทำให้เมขลาได้พบเจอกับอมนุษย์ผู้หนึ่งที่ทำให้เมขลามิอาจละสายตาไปได้เลย อมนุษย์ที่เมขลายอมรับได้อย่างเต็มปาก เสน่ห์ของอมนุษย์ผู้นั้นช่างไม่มีผู้ใดเหมือน เมขลาโหยหาที่จะได้พบอมนุษย์ผู้นั้นมาตลอด แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่ได้เจอ แม้ในภายหลังเมขลาจะแวะเวียนไปที่แห่งนั้นอีกคราเมขลาก็มิเจออมนุษย์ที่ว่าอีกเลย หลังจากนั้นเมขลาก็ไม่แม้นแต่จะคบหาเป็นคู่ควงให้กับผู้ใดอีกเลย จนมาพบกับรามสูร ยักษ์อันธพาลที่เลื่องชื่อที่สุดในแดนสุขาวดี

         ตั้งแต่หัวจรดมิเท้า ยักษ์ผู้นี้ช่างไม่มีอะไรที่งดงาม มีเสน่ห์ และน่าดึงดูดใจเมขลาเลยสักนิด ที่สวมใส่หัวอยู่ก็ดูอัปลักษณ์จนมิอย่างหันไปมองให้เป็นเสนียดตา การกระทำที่บุ่มบ่ามไร้มารยาท อารมณ์ก็เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ ยักษ์ผู้นี้ไม่ว่าจะไปเกี้ยวพาราสีใครก็คงถูกปฏิเสธอย่างมิต้องสงสัยเป็นแน่

         ครั้นเมื่อผู้อื่นได้ยินเรื่องของเมขลาและรามสูร เรื่องนี้ก็กลายเป็นหัวข้อที่มิพูดถึงมิได้ไปเสียแล้ว เหล่าชาวสวรรค์ล้วนประหลาดใจแทบไม่เชื่อสายตาตนเองคิดมิถึงว่าเมขลาผู้เพียบพร้อมจะไปตกลงสมรสกับยักษ์ที่มีแต่ข่าวลือในทางที่แย่ ๆ บ้างได้ยินก็เห็นใจเมขลา นึกสงสารอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของเมขลาตามปกติก็เบาใจลงไปบ้างและยอมรับในสิ่งที่เมขลาเลือก

 

         ราตรีกาลผ่านไปรุ่งอรุณมาเยือน แต่ละวันช่างผ่านพ้นไปอย่างง่ายดาย ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ เว้นแต่เพียงเรื่องราวที่เปลี่ยนไปและชีวิตประจำวันของเมขลาและรามสูร

         "นี่ รามสูร ตื่น ๆ ๆ"

         เมขลาตบที่แก้มรามสูรเบา หวังจะปลุกให้ตื่น ดูเหมือนเพราะฤทธิ์สุราจากเมื่อคืนจะมีผลอยู่จึงทำให้ผู้ที่หลับอยู่ยังไม่รู้สึกตื่นสักเท่าไหร่

         “ถ้าเจ้าไม่ตื่น ข้าจะเอาขวานของเจ้าไปขายแล้วนะ” เมขลาคว้าอาวุธคู่กายอันแสนรักแสนหวงของรามสูรขึ้นมาควงเล่นไปมา “เอ~ หรือว่าจะมอบรางวัลเป็นจุมพิตอันแสนเร่าร้อนจากข้าดีล่ะ” มือเมขลาที่จับขวานของรามสูรควงเล่นในคราแรกเริ่มเปลี่ยนมาเป็นลูบไล้สำรวจไปบนลำตัวของผู้ที่ยังไม่มีที่ทว่าจะตื่นแทน ลูบไปก็เริ่มรู้สึกอิจฉา หน้าท้องของยักษ์เจ้ากรรมช่างเป็นลอนสวยงามอะไรกันเยี่ยงนี้ ถึงจะไม่ยอมรับแต่หน้าท้องของเจ้ายักษ์นี่ก็เป็นอย่างเดียวที่ดึงดูดสายตาของเมขลาได้จริง ๆ ในขณะที่หน้าท้องของตนกลับแบนราบดูไม่มีอะไรเลย ถึงแม้ว่าเทพหลายตนจะบอกว่าหน้าท้องของเมขลานั้นงดงามมากก็ตาม เทียบกับของอีกฝ่ายที่ไม่ว่าจะมองนานแค่ไหนก็รู้สึกสะดุดตานั้น ทำให้เมขลารู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ไหนจะช่วงไหล่ที่กว้างจนเห็นแล้วอยากเข้าไปซบนั่นอีกได้หนุนแทนหมอนคงหลับสบายน่าดู ผิวที่เขียวดุจยอดอ่อนของต้นกล้านั้นก็มีเสน่ห์ไม่น้อย เป็นสีผิวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากเจ้าตัวไม่มีนิสัยเกรี้ยวอย่างกับที่สวมหัวหน้าตาน่าเกลียดคงเป็นที่นิยมไม่น้อย ทั้งที่มีร่างกายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้แท้ ๆ

         เมขลาล้มตัวลงนอนข้าง ๆ รามสูร พลางสำรวจยักษ์ตรงหน้าแต่แม้ขณะตอนนอนก็ยังมิยอมถอดที่ใส่หัวออก เมขลาเองแค่สวมใส่ชฎาเพียงไม่นานก็รู้สึกอยากจะถอดออกอยู่ตลอด ถึงรามสูรจะเป็นยักษ์แรงเยอะแต่มิรู้สึกหนักหัวหรืออัดบ้างหรือไร แม้แต่ยักษ์ตนอื่นก็ยังมีถอดออกมาถือกันบ้างเลย เพราะเหตุนี้ผู้อื่นถึงได้บอกว่าเจ้ายักษ์นี่น่ากลัวพาลให้มิมีใครอยากจะเข้าใกล้คบหาด้วยอย่างไรเล่า

         ขณะที่เมขลาเอื้อมมือไปแตะเศียรครอบของรามสูรนั้นก็ถูกเจ้าตัวคว้ามือเมขลาหมับ น้ำเสียงติดงัวเงียของเจ้าตัวที่ดูยังไม่ตื่นเต็มที่บ่งบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดอย่างมากกับการถูกรบกวนเวลานอน

         “ถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีในการที่เจ้ามารบกวนการนอนของข้า ข้าฆ่าเจ้าแน่” น้ำเสียงที่ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากชวนให้ผู้ฟังเสียวสันหลังนิดหน่อย แต่การรบกวนเวลานอนของรามสูรคืออันดับต้น ๆ ของสิ่งที่รามสูรเกลียดเข้าไส้จริง ๆ

         “เห ตื่นมาเจ้าก็จะเอาเลยรึไง นี่เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ เนอะ สามี~ ใช่หรือไม่ ใครกันนะ ที่หลงใหลในเสน่ห์ของข้าจนบอกว่าอยากมาเป็นคนรักน่ะ” เมขลาเน้นเสียงล้อเลียนประโยคสุดท้าย ท่าทางยียวนกวนประสาทชวนให้ผู้มองมาอย่างรามสูรรู้สึกหงุดหงิด แต่ถึงอย่างนั้นเมขลาก็ยังจ้องมาที่ตนไม่หยุดอยู่ดี

         “ความจริงแล้วเจ้าเป็นเทพที่หลงตัวเองกับกวนประสาทผู้อื่นหรืออย่างไร” รามสูรเริ่มเอือมแต่เพื่อภารกิจสุดยิ่งใหญ่ที่สุดของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งของรางวัลอันงดงามจำเป็นต้องพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด ไหนจะมือที่อยู่ไม่สุขที่พยายามจะถอดเศียรที่สวมอยู่ของรามสูรออกให้ได้ หากเป็นรามสูรในยามปกติเจ้าเทพผู้คงมิพ้นได้ไปรวมร่างเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับเสาเอกที่คำวิมานแห่งนี้ไปเสียแล้ว

         "อะไรกัน ๆ ไหนว่าเราเป็นคู่รักกันแต่ไฉนเลยข้าถึงมิได้เห็นหน้าจริง ๆ ของเจ้ากันล่ะ" เมขลาที่ถูกรามสูรปัดป้องมือออกกล่าวด้วยน้ำเสียงติดปนน้อยใจเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลดละในสิ่งที่ตนกำลังดำเนินการอยู่ดี ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมาเหมือนทะเลาะวิวาทกันกลายเป็นเหตุการณ์ที่อีนุงตุงนังและวุ่นวายพอสมควร

         “ทั้งที่ในตอนแรกเจ้าเอาแต่ตามตื๊อข้าอย่างเดียวแท้ ๆ ทำไมยามนี้เจ้าถึงเอาแต่ขับไสไล่ส่งข้ากันเล่า” เมขลาเริ่มทำน่าเศร้าซุกอกรามสูรไปที จะให้อีกฝ่ายเห็นไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมิได้ทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาดังที่ตนต้องการให้อีกฝ่ายเข้าใจจริง ๆ

         “ข้าจะไปอาบน้ำ” รามสูรมีน้ำเสียงที่อ่อนลง เสียท่าให้เมขลาแล้วจริง ๆ หากตนไม่ไปหลงใหลกับแก้วมณีของผู้มีใบหน้างาม ๆ นั่นก็คงมิย่างกรายเข้าใกล้เมขลาเช่นนี้หรอก ถึงจะหงุดหงิดนิดหน่อย แต่แก้วมณีก็สามารถทำให้รามสูรใจเย็นลงได้ไม่น้อย

         หากเมขลาอ่านใจรามสูรในตอนนี้คงได้แสดงสีหน้าที่บิดเบี้ยวจนเสียภาพลักษณ์ของตนออกมาเป็นแน่

         “เดี๋ยวก่อน” เมขลามิได้รั้งตัวรามสูรไว้เฉกเช่นในตอนแรก แต่กลับนำสิ่งหนึ่งขึ้นมา สิ่งที่ทำให้รามสูรตาลุกวาว ไม่รู้ทำไมเมขลาถึงกระเหี้ยนกระหือที่อยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของรามสูรหนัก ทั้งที่ตอนแรกเป็นผู้เองด้วยซ้ำว่ารามสูรผู้นี้ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ

         "ข้าสามารถมอบแก้วมณีให้เจ้าได้แต่มันก็ต้องมีข้อแม้และข้อแลกเปลี่ยนอยู่ หากเจ้าทำได้"

         "ว่ามาเถิด" ผู้ใดมาเห็นก็ว่ารามสูรแปลก แค่ลูกแก้วลูกเดียวก็สามารถเปลี่ยนท่าทางจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ หากได้เป็นเจ้าของแก้วมณีจริง ๆ จะมิถึงกับกลายร่างเป็นเด็กแรกเกิดเชียวรึที่เพิ่งหัดกินนมมารดาเสียรึ

         "ข้อแรก ข้าจะให้เจ้าไว้แก้วมณีจะเห็นเจ้าเป็นดุจเจ้าของจริง ๆ เช่นเดียวกับข้า เมื่อเจ้าออกไปข้างนอกให้นำมาเก็บคืนไว้ที่หีบเงินนี้ ข้อสองเจ้ามิสามารถนำมันออกจากอาณาเขตวิมานของข้าได้แม้แต่รัศมีเดียว เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจากข้าหรือมิได้อยู่กับข้า หากเจ้าทำ แก้วมณีนี้จะสหายหายไปและข้าก็จะรู้ได้ทันที เจ้าเตรียมรับผลที่ตามมาได้เลย สาม ข้อตกลงของข้าทุกอย่างถือเป็นสิ้นสุด ถึงเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ข้าเชื่อว่าอาคมของน่ะค่อนข้างรับมือกับเจ้าได้ดีทีเดียว และสุดท้าย หากข้ามิได้เห็นใบหน้าจริง ๆ ของเจ้าข้าก็จะมิยกแก้วมณีให้เจ้าเด็ดขาด"

         "เดี๋ยว อันสุดท้ายนี่มัน"

         "เจ้าจะให้ข้าไว้ใจเจ้าที่ข้าไม่เคยแม้แต่จะเห็นใบหน้าจริง แล้วยกแก้วมณีให้ไว้กับเจ้าซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าจะเอาไปใช้ทำอะไรไม่ดีจนเกิดปัญหาร้ายแรงตามมาทีหลังรึ"

         "ให้แก้วมณีกับยักษ์อารมณ์ร้ายอย่างเจ้าก็มิต่างอะไรกับให้เจ้าถือสารพิษขณะที่เจ้ายืนอยู่ปากแม่น้ำหรอก"

         "ชิ เจ้าพูดแรงเกินไปแล้ว ข้ามิได้จะไปทำลายโลกเสียหน่อย"

         "แต่เจ้าก็เคยไปม้วนแผ่นดินเล่นเพราะความคึกคะนองมาก่อนนี่"

         "เรื่องนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร" รามสูรมั่นใจว่าเรื่องนี้มีเพียงแค่ผู้เกี่ยวข้องไม่กี่รายที่รู้เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็มีแต่เบื้องบนทั้งนั้น เรื่องนั้นรามสูรทำไปเพราะนึกสนุกตามประสายักษ์หนุ่มจริง ๆ แต่ไม่หมายความว่าตอนนี้ตนมิได้สมองทึบเสยจนจะต้องทำผิดซ้ำซากซากให้ประวัติซ้ำรอยอีกเสียหน่อย

         "เพราะข้ามิได้สถิตอยู่แต่ในวิมานแบบเจ้าจนมิรู้เรื่องเรื่องราวอะไรเลยเสียหน่อย" การจะสืบหาประวัติอะไรสักอย่างของอมนุษย์ผู้หนึ่งสำหรับเมขลาแล้วมิใช่เรื่องอย่างอะไรเลย แค่ขยิบตานิดเดียว ข่าวต่าง ๆ ก็พร้อมจะมาหาเมขลาเองแล้ว

         "ชิ ถ้ามิใช่วันข้างแรมข้าก็มิสามารถถอดที่สวมหัวอยู่นี่ออกได้"

         "ฮ่า ๆ ๆ น่าขันดีนี่ เจ้ามิอยากถอดออกจนถึงต้องล้อข้าเล่นเชียวรึ"

         "ไหนว่าเจ้าเก่งอาคมทำไมมิลองใช้มันตรวจกับข้าดูเล่าว่าที่ข้าพูดเป็นจริงหรือไม่" ถึงจะดูเป็นไปได้อยากแต่ที่รามสูรกล่าวนั้นคือเรื่องจริง มิรู้ไปโดนสิ่งใดเข้า เศียรครอบที่รามสูรนั้นใส่อยู่ทุกวันกับมิสามารถถอดออกได้ในวันที่เป็นข้างขึ้นจนถึงวันที่เป็นข้างแรมก็สามารถถอดออกได้ตามปกติ ไม่ว่าจะใช้อาคมใด ๆ หรือพยายามงัดออกก็ไม่สามารถถอดมันออกได้ เดือดให้รามสูรต้องทนใส่อยู่เป็นครึ่งเดือน หลังจากที่มั่นใจแน่แท้แล้วจึงแก้ปัญหาโดยวิธีการไม่ใส่เศียรครอบในช่วงที่เป็นข้างขึ้น แต่เจ้ากรรม ข้างขึ้นหนนี้รามสูรกลับลืมเสียสิ้นและเผลอตัวใส่เศียรครอบในวันที่เป็นข้างขึ้นเสียได้

         หากถามว่าเหตุใดจึงต้องใส่เศียรครอบนี้ทุกวัน สำหรับเผ่าพันธุ์ยักษ์แล้วสิ่งนี้เหมือนเป็นของประดับที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และอำนาจของแต่ละตน แม้เผ่าพันธุ์จะมองว่าน่าเกลียดและอัปลักษณ์ แต่สำหรับรามสูรแล้วนี่มันคือศิลปะชัด ๆ

         "มิน่าล่ะ ข้ายื้อยึดฉุดกระชากกับเจ้าถึงเพียงนั้นเจ้านี่ก็ยังมิยอมหลุดออกมาเลย"เมขลาได้ฟังก็ก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของรามสูรแล้วค่อยบรรจงถอดเศียรออกอย่างช้า ๆ ดั่งอภินิหารเศียรครอบที่ว่าดันถอดออกอย่างง่ายดายดุจว่าคำรามสูรกล่าวไปเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด

         "จะ จูบเนี่ยนะ" มันจะเกินไปแล้วหรือไม่ แล้วสิ่งที่รามสูรลำบากในคราแรก ทำทุกอย่างจนแทบจะตัดคอตัวเองออก ชักจะไร้เหตุผลและอยู่เหนือหลักความเป็นจริงเกินไปเสียแล้ว

         "เจ้าควรไปอาบน้ำจริง ๆ นั่นแหละ" ไม่อยากจะเชื่อว่ารามสูรสามารถทนใส่เจ้านี่เกือบครึ่งเดือนได้จริง ๆ หนวดและเคราเฟิ้มเป็นเพราะเจ้าตัวมิสามารถดูแลได้ มองอย่างไรก็มิต่างจากฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรมาร้อยปีเลย หรือรามสูรจะเจตนาให้อิศวรเห็นใจและลงมาประทานพรให้งั้นรึ เช่นนั้นคงเป็นอะไรที่รันทดจริง ๆ

         "ที่เจ้าหน้าแดงข้าจะคิดว่าเป็นเพราะเจ้าอึดอัดจากการที่เจ้าใส่หน้ากากนาน ๆ หาใช่เพราะเขินที่ข้าจุ๊บหน้าผากเจ้าก็แล้วกัน"

         "ชิ ผู้ใดจะไปเขินเพราะเจ้ากัน" รามสูรไม่ว่าเปล่ามือที่ปัดแขนของอีกฝ่ายชวนให้แทบจะเซล้มไปอีกครา ส่วนตนก็เดินออกจากห้องนอนไปในทันที

         "แหม ช่างรุนแรงเสียจริงนะ"ยามนี้ไม่ได้มีสิ่งใดมาปกปิดใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ยิ่งทำให้เมขลาเห็นสีหน้าของรามสูรได้ชัดเจน ใบหน้าที่มองขวางจนเห็นแล้วปวดตาแทน คิ้วที่ขมวดเข้าหากันจนเกือบจะรวมร่างจนอดนึกสงสัยว่าตนได้ไปดึงเกศาอีกฝ่ายให้แหว่งหรือถึงได้โกรธากันเช่นนี้หรือเปล่า

         บางทีหากลองกำจัดหนวดเคราที่ขึ้นอยู่ให้หมดไปอาจจะดูน่ามองขึ้นมาอีกนิดหรือไม่

         "ข้าเพียงแต่ดีใจที่ถอดเศียรครอบนี่ได้โดยมิต้องรอให้ถึงข้างแรมต่างหาก" รามสูรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ลูบเศียรไปมา คิดแล้วก็ช่างน่าขัน จะมีผู้ใดที่ถูกสาปให้เศียรที่ตนใส่อยู่ทุกวันกัน

         "แล้วแก้วมณี" พอคิดเรื่องอื่นได้ไม่ทันไรรามสูรก็วกกลับเข้ามาที่แก้วมณีต่อ

         "กรีดเลือดของเจ้าออกมาสาบานเสียจากนั้นก็..."

         ยังมิทันทีเมขลาจะกล่าวจบดีรามสูรก็คว้าขวานคู่ใจของตนมากรีดแขนพร้อมกว่าคำสาบานเสร็จสรรพและยอมรับในเงื่อนไขที่เมขลาตั้งทุก ๆ อย่าง เมขลางง แก้วมณีของตน มันไปต้องตาต้องใจขนาดนั้นเลยหรือ 

         แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ อีกทั้งเมขลาก็เป็นเทพที่รักษาสัญญาเป็นอย่างยิ่ง จึงมอบแก้วมณีให้ดังที่อีกฝ่ายต้องการจริง ๆ  แก้วมณีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือที่พอไปอยู่กับรามสูรก็ดูเล็กลงทันที 

         "ว่าแต่ข้าจะได้ประโยชน์อันใดจากการให้แก้วมณีเจ้ากัน"

         รามสูรที่ละความสนใจจากแก้วมณีครู่หนึ่งหันมาตอบเมขลาอย่างมั่นใจโดยไม่คิดอะไร "ก็ได้ข้าเป็นคู่ครองอย่างไรเล่า"

         "คู่ครองของเจ้าคืออะไรกัน" เมขลาถามย้ำ

         "คงเป็นผู้ที่อยู่กินร่วมกันเฉกเช่นผัวเมียกระมัง" รามสูรครุ่นคิด

         "เจ้าในสภาพนี้ถึงเป็นข้าก็ทำกับเจ้าไม่ลงจริง ๆ รามสูรเอ๋ย" เมขลาเอ่ยคำที่ตนอยากพูดมาเนิ่นนาน "ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้ามีพละกำลังมากข้าเลยเก็บไว้ข้างกายเผื่อไว้ใช้งานหนัก ๆ ได้ต่างหาก อันลูกแก้วลูกนั้นก็มิได้สลักสำคัญกับข้า แต่ก็มิได้ไร้ค่าขนาดมอบให้ผู้ใดก็ได้ กล่าวถึงเช่นนี้แล้ว ฉะนั้นเจ้าก็ควรไปหาสิ่งตอบแทนที่ทำให้ข้าพึงพอใจที่แลกแก้วมณีกับเจ้าเสีย" กล่าวเสร็จก็เดินจากไปทิ้งให้รามสูรที่ยังเห่อแก้วมณีงุนงงกับตัวของเทพผู้นั้น

 

***โปรดติดตามตอนต่อไป***