ชีวิตที่สะดุดล้มก็เหมือนต้นไผ่ที่โดนโค่น เก็ทใช่ป่ะ มันก็จะล้ม หัวโหม่งพื้น แล้วก็สลบไปเลยยังไงล่ะ

CW : ตัวละครเสียชีวิต, เกิดใหม่(?)

 

 

          หากบังเอิญว่าคุณคือมนุษย์เงินเดือนที่เดินขวักไขว่ตามทางเท้า ตามหาร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านก๋วยเตี๋ยวสักร้านเพื่อบรรเทาความหิวจากการนั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็งจนท้องฟ้ามืดแล้วล่ะก็ บางทีคุณอาจเคยพบเขา 

          นายจารวี ชายโตเต็มวัย อายุราวยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี เกิดวันที่เท่าไรไม่อาจทราบได้ เพียงแต่หน้าตาค่อนข้างไปทางดูได้อย่างมาตรฐานความงามของสังคม ขาวซีดเพราะไม่ค่อยออกแดด จมูกพอจะมีสันอยู่บ้าง ผมดกดำทรงตามสมัยนิยม พูดได้ว่าเปลี่ยนไปเรื่อยทุกไตรมาศ ดวงตาหรือก็... เรียกได้ว่าพอมีประกายแห่งชีวิตเหลืออยู่ แต่แท้จริงอยู่ในสถานะหมดไฟ ประทังชีวิตอยู่ได้ด้วยอำนาจแห่งผลชูรสในบะหมี่เกี๊ยวเจ้าประจำ

          ชีวิตของจารวีนั้น... เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าเบื่อ ใช่แล้ว ทุกคนกำลังจะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่ค่อนข้างน่าเบื่อ ไร้เสน่ห์ มีเพียงอารมณ์ขันปนสิ้นหวังจากการสภาพเศรษฐกิจของประเทศ 

          เติบโตในครอบครัวที่ฐานะทางการเงินพอมีกินมีใช้ พ่อแม่สามวันดีสี่วันตีกัน พี่ชายหัวดีหนึ่งคนที่พ่อแม่ฝากความหวังไว้ได้ และเขา ลูกชายคนเล็กที่พ่อแม่ตามใจ โชคยังดีที่ไม่เสียคนไปใฝ่ไม่ดีเล่นยาหรืออะไรทำนองนั้น

          จากนั้นน่ะหรอ ก็เข้าเรียน เรียน สอบเข้าโรงเรียนมัธยมดี ๆ สักแห่ง แล้วก็ยังต้องเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้ามหาลัย คณะที่พอเชิดหน้าชูตาพ่อแม่ได้ เรียนจบ ทำงานบริษัทดัง ๆ วนลูปหลับ ตื่น ทำงาน โอที เป็นอย่างนี้อยู่สามถึงสี่ปี ก่อนจะสะดุดทางเท้าที่พึ่งซ่อมแซมเสร็จจากเงินภาษีของเขานั่นไง

          ถ้าเกิดสงสัยว่าทำไมชื่อเรื่องเป็นอย่างนั้น ก็ขอให้รับรู้ไว้ นั่นน่ะ คำพูดของนายจารวีนี่แหละ

 

 

          จารวีไม่เคยคิดมาก่อนว่าต้นเหตุที่ทำให้เส้นด้ายชีวิตเส้นกระจ้อยร่อยของเขาต้องถูกตัดฉับ จะเป็นทางเท้าแสนขรุขระที่เขาเดินผ่านอยู่ทุกวัน

          เขาไม่กลัวความตาย ไม่ค่อยกลัวมันเท่าไรนัก ซ้ำยังจินตนาการถึงมันไว้เสียหลากหลายแบบ เพียงแต่ที่จินตนาการไว้ ไม่มีแบบใดที่เวลาชีวิตของเขาสั้นขนาดนี้

          ยี่สิบห้าปี แต่เสียเวลากับการเรียนไปแล้วสิบแปดปี

          ดูแบบตัวอักษรอาจจะไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดไหน

          18 ปี จาก 25 ปี ที่เขาต้องเรียนในโรงเรียน วนลูปโรงเรียน บ้าน โรงเรียน บ้าน 

          แต่ โอ้ มัธยมปลายก็ดีขึ้นมาหน่อย กลายเป็น บ้าน โรงเรียน ที่เรียนพิเศษ

          เพราะฉะนั้น หากให้พูดตามตรงก็คงเป็นความรู้สึกเสียดาย เขายังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ ทั้งไปคอนเสิร์ตศิลปินวงโปรด ซื้อนิยายที่สำนักพิมพ์ยังออกเล่มไม่ครบ กินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรด เรื่องพ่อกับแม่ พี่ชาย

          แต่นึกเสียดายไปก็เท่านั้น ตอนยังมีชีวิตเขาก็ทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ไปหมดแล้ว 

          รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองตายน่ะหรือ?

          โอ้... นั่นง่ายจะตาย

          ถ้าหากว่าคุณเดิน ๆ อยู่ สักพักก็เสียจังหวะสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง แล้วล้มลงหัวฟาดพื้นเสียปวดร้าวไปทั่วหน้าผากและสลบลงในทันที คุณจะไม่คิดหรือว่าตนเองตายแล้ว

          ตายสิ ตายแน่นอน ตายสนิทเลย ไม่น่ามีคนเก็บศพให้ด้วย เพราะทางเข้าที่พักเขาเปลี่ยวยิ่งกว่าอะไรดี

          แต่ถึงอย่างนั้น สักพักเขาก็สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาสักแวบนะ

          เพื่อที่จะโดนทุบหัวให้สลบต่ออย่างไรล่ะ

          เป็นช่วงเวลาที่แปลกมาก แม้จะหลับตาแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่ารอบข้างสว่างไสวและมีแต่สีขาว เกือบคิดไปแหน่ะว่าได้ขึ้นสวรรค์ แต่คนน้ำหน้าอย่างจารวีนี่น่ะหรือจะได้ขึ้นสวรรค์ โน้โน ไม่มีทาง ถึงจะไม่เคยทำร้ายคนแต่เขาก็ตบยุงไปหลายร้อยตัว แย่งของเล่นแมว แอบแซวเวลาแม่ตัดผมทรงใหม่ สารพัดวีรกรรมที่พอจะตีความได้ว่าบาป

          แล้วนอกจากสวรรค์สีขาวโพลนที่เป็นฉากหลังแล้ว ก็มีตัวละครอีกสองสามตัวนะ เป็นก้อนสีอะไรสักอย่าง

          ผมได้ยินเสียงก้อนสีแดงสีน้ำเงิน(?)สองก้อนคุยกันกันด้วย เช่น

          "หมอนี่ตายซะแล้วล่ะ แฟนก็ยังไม่มี น่าเศร้าชะมัด..."

          "โทษตนเองเถอะ ที่ไม่ยอมผูกด้าย บุ๋งๆ บุ๋งๆๆ เส้นใหม่ให้เขาน่ะ" 

          ขอโทษนะที่ต้องใส่บุ๋ง ๆ ไป แต่ผมจำคำเป๊ะ ๆ ไม่ได้

          "ให้ข้าโทษตนเองหรือ?? แล้วใครกันล่ะที่ต---"

          "พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเขาอาจจะตื่นแล้ว?"

          ก้อนสุดท้ายช่างสังเกตชะมัดเลย คนกำลังนอนฟังเพลิน ๆ แต่ผมมองไม่ค่อยออกเลยว่าเป็นสีอะไร

          "ตื่นงั้นหรือ..."

          จากนั้นก็โดนทุบหัวจนสลบอีกรอบ

          และแล้ว ท๊าดาาาาา เวลคัมทูเดอะนิวเวิลลลลด์

          ผมตื่นมาอีกรอบ หัวเจ็บแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมกับโดนจ้องจากพ่อหนุ่มหน้าตาดีเข้าขั้นดารา... คือจริง ๆ ก็ไม่ขนาดนั้น ผมโอเวอร์ไปเอง เอาเป็นว่า.. เอาใหม่

          ผมตื่นมาอีกรอบ หัวเจ็บแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์ และโดนจ้องจากพ่อหนุ่มที่มีรังสีราวกับคุณชายใหญ่จากสักตระกูล

          คนประเภทที่พอเห็นหน้าปุ๊บก็ อู้วววว นั่นมันคุณชาย บุ๋งๆ จากตระกูล บุ๋งๆๆ นี่นา กรี๊ดดดด อร๊าาาาา คุณชายครับ ๆ แล้วก็มีพวกนักข่าวล้อมหน้าล้อมหลังถามเรื่องเศรษฐกิจธุรกิจ บลา ๆ ที่ผมฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนั่นแหละ 

          ใช่ คนประเภทนั้นแหละ

          ใส่สูทเนื้อดีพร้อมเนกไทครบเครื่องทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิเฉียด 40 องศาเซลเซียสด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมเห็นคนแบบนี้ ผมก็จะแบบว่า...

          "สวัสดีครับ"

          เอ่ยทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มนางงามเลยนะ พอดีมารยาทดีน่ะ ^^

 

TALK :

แวะมาเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว ฝากน้องจารวีไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ ลูกชายเราเองค่ะ ลูกชายเราเองงงง โฮรร