บทที่ 2




 

โรงเรียนของกวีเป็นที่มีหอพักให้นักเรียนที่ทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬาหรือวิชาการสามารถเข้าพักได้ฟรี แม่พาผมไปพบครูเรียบร้อยแล้วเธอก็พาผมมาส่งที่หอพักต่อ



 

“เดี๋ยวแม่ต้องกลับแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาได้ตลอดเลยนะวี แม่เมมเบอร์แม่ลงในโทรศัพท์ไว้ในแล้ว” เธอพูดก่อนส่งสมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งมาให้ผมก่อนจะขับรถออกไป



 

“วี?! วี!” ใครคนหนึ่งส่งเสียงทัก เมื่อผมหันไปมองตามต้นเสียงก็พบชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม รูปร่างผอมสูง สวมแว่นตาหนาเตอะดูคงแก่เรียนคนหนึ่งยืนอยู่


 

“ขอโทษทีแต่ฉันจำใครไม่ได้ทั้งนั้นหละ” ผมตอบกลับไปโดยไม่ปกปิดความเย็นชาในน้ำเสียง



 

“อะ...อืม นั้นสินะฉันลืมไปเลย” เขาพูดเสียอ้อมแอ้ม ก่อนจะพูดต่อว่า

“งั้นเริ่มจากนะนำตัวเเล้วกัน ฉันชื่อน้ำเหนือ จะเรียกว่าน้ำ หรือไอ้น้ำก็ได้ ถึงนายจะจำไม่ได้เเต่เราเป็นเพื่อนรวมห้องเเละเพื่อนซี้ที่สนิดกันสุด ๆ แล้วในเเก๊งสามตัวร้อยของพวกเราจะมีมะนาวอีกคนหนึ่งเเต่ตอนนี้ยัยนั่นติดเรียนเลยส่งฉันให้มารับนายเเทน” น้ำเหนือเเนะนำตัวด้วยเสียงร่าเริง

“ฉันว่านายอาจจำห้องพักตัวเองไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะนำทางให้เอง”



 

“อืม งั้นฝากด้วยแล้วกัน” ผมตอบรับอย่างง่ายดายเพราะก็กังวลว่าจะไปถามใครดีว่ากวีหรือตอนนี้ก็คือผมพักอยู่ห้องไหน



 

พอตกลงกันได้แล้วน้ำก็พาผมไปเอากุญแจสำรองก่อนจะพาผมขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นหก ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าห้องที่อยู่มุมสุดในชั้น



 

“นี้ห้องพักของนาย” น้ำพูด พร้อมทำท่าเชื้อเชิญให้ผมไขกุญแจเข้าไปในห้อง



 

เมื่อเปิดเข้าไปในห้องพักผมก็พบว่ามันเป็นหอพักแบบมีห้องน้ำในตัว พร้อมเครื่องเรือนต่างๆ อย่างละสองชิ้นไม่ว่าจะเป็น โต๊ะอ่านหนังสือ ตู้เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งเตียงนอน



 

“พักห้องล่ะสองคนเหรอ? ” ผมถาม



 

“ช่าย...แต่นายไม่ได้พักกับฉันนะ เพราะโรงเรียนออกกฎให้เด็กเรียนกับเด็กกิจฯพักด้วยกันน่ะ” น้ำอธิบาย



 

“แล้วใครพักอยู่กับฉัน? ” ผมถามต่อ เพราะดูจากสภาพโต๊ะหนังสือที่ไม่มีหนังสือว่าอยู่บนนั้นเลยสักเล่ม แต่กลับมีรองเท้ากีฬาละลูกฟุตบอลเข้ามาจับจองพื้นที่เเทนผมก็พอเดาได้ว่าเจ้าของของพวกมันคงไม่ใช้คนที่ชื่นชอบการเรียนเท่าใดนัก



 

“คนที่พักกับนายชื่อเอื้อกานต์ เรียนห้อง 5 คนล่ะห้องกับพวกเรา เขาเป็นดาวทีมฟุตบอลโรงเรียนด้วยนะ พึ่งถูกจับมาเป็นเมทนายตอนม.5 นี้หละ”



 

“เอื้อกานต์เหรอ? ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาเป็นไงบ้าง” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะถ้าเอื้อกานต์คือคนเดียวกับเอื้อเด็กชายในรูปที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกับผม ทำไมแม่ถึงเล่าว่าเราแค่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันไม่เล่าเรื่องที่เขาเป็นรูมเมทให้ผมฟังด้วย



 

“อืม...ปกตินายก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องเอื้อให้ฉันฟังเท่าไหร่นะ แต่ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ล่ะมั้ง เพราะตอนมะนาวถามว่ามีรูมเมทเป็นหนุ่มฮ็อตประจำโรงเรียนเเล้วเป็นไงบ้าง นายก็อารมณ์เสียใหญ่เลย” น้ำเล่า



 

ถ้าเอื้อกานต์คือเพื่อนสมัยเด็กของผมก็หมายความว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับเขาไม่ค่อยดีหรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่เพื่อนกันเหมือนแต่ก่อนแล้วสินะผมคิด ต่อจากนั้นผมก็พูดคุยกับน้ำเหนือต่ออีกสักพักก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไปเรียน ในขณะที่วันนี้ผมขอพักอยู่ที่ห้องต่อ



 

“ถ้ามีปัญหาก็โทรหาฉันได้นะ ถึงวันนี้ฉันมีเรียนพิเศษเลยจะกลับดึกแต่ก็รับสายได้ตลอดโทรมาเลยไม่ต้องเกรงใจ เอาเบอร์มะนาวด้วยมั้ย? ” น้ำเหนือพูดในระหว่างที่เราสองคนทำการลกเบอร์โทรกันก่อนที่น้ำเหนือจะกลับไปเรียน ผมตอบปฎิเสธข้อเสนอของเขาเพราะการได้เบอร์โทรของคนอื่นมาโดยยังไม่ได้ถามความสมัครใจของเจ้าของก่อนผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาท




 

ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาในห้องจนเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงที่เข็มสั้นของมันชี้เข้าใกล้เลขแปดเข้าไปเต็มที พอสมองรับรู้ว่านี้เลยเวลาอาหารเย็นแล้วร่างกายก็ส่งเสียงท้องร้องออกมาเป็นการประท้วง ผมได้แต่ถอนหายใจเพราะรู้สึกขี้เกียจจะลุกออกไปหาอะไรกิน ทำให้เสียงประท้วงนี้ยังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ



 

“ก็ไม่รู้นิหว่าว่าร้านขายข้าวอยู่ตรงไหน” ผมบ่นให้ร่างกายของกวีฟัง



 

ในตอนนั้นเองประตูห้องก็ถูกใครคนหนึ่งเปิดออกหน้าเข้าดูตกใจที่เห็นว่ามีใครนอนอยู่ในห้องไม่แพ้ผมที่ตกใจเพราะว่ามีใครก็ไม่รู้เปิดประตูเข้ามา



 

“สะ สวัสดี” ผมทักทายอย่างเสียไม่ได้



 

“วีเหรอ!?!” จากนั้นเขาเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผมอย่างรีบร้อน ก่อนจะใช้มือใหญ่ๆ ของเขาจับไปตามเนื้อตามตัวของผมราวกับกำลังพิสูจน์ว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้มีตัวตนอยู่จริง



 

“เอ่อ คือขอโทษทีเถอะ แต่การโดยใครก็ไม่รู้มาจับเนื้อจับตัวแบบนี้มันอึดอัดนะ” ผมพูดพร้อมปัดมือของเขาออก



 

“ใครก็ไม่รู้? ”



 

“ก่อนหน้านั้นอาจรู้จัก แต่ตอนนี้ฉันความจำเสื่อมอย่าว่าแต่นายเลยพ่อแม่ฉันก็จำไม่ได้”



 

“ความจำเสื่อม? นั้นสินะ จริงๆ เราก็ได้ยินมาเหมือนกันแต่พอได้เจอหน้านายก็เลยเผลอดีใจจนลืมเรื่องนั้นไปเลย งั้นก่อนอื่นต้องนะนำตัวก่อนสินะ”

“เราชื่อเอื้อ เอื้อกานต์เป็นเพื่อนสมัยเด็กของนาย แล้วตอนนี้ก็เป็นรูมเมนของนายด้วย”



 

ชายตรงหน้าตัวสูงกว่าผมประมาณสิบกว่าเซ็น ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างที่คนที่ออกกำลังกายทุกวันควรจะมี ผิวกายคล้ำแดดจากกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมในหน้าคมสันที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ ทำให้พอมองชายตรงหน้าให้ดีๆ ก็รู้สึกได้ถึงเค้าลางความคล้ายคลึงกับเด็กชายเอื้อที่ผมเห็นในรูปภาพ



 

แต่ที่ได้ฟังจากคำที่น้ำเหนือเล่ามาดูเหมือนว่ากวีจะไม่ได้สนิทสนมกับเอื้อแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมชายที่ชื่อเอื้อที่อยู่ต่อหน้าผมคนนี้ถึงได้สดงท่าทีต่างจากคำบอกเล่าขนาดนี้ อีกอย่างตัวตนของเอื้อที่ผมสัมผัสได้ก็ดูเขาเป็นคนสดใส เขาน่าจะเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างรักได้ไม่ยากเลย



 

ในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดท้องเจ้ากรรมก็ดังส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอีกครั้ง



 

“หิวข้าวเหรอ? ” เอื้อถามพร้อมโปรยรอยยิ้มใจดีออกมาอีกครั้ง ผมได้แต่พยักหน้าขึ้นลงเป็นการตอบรับเพราะรู้สึกอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้

“งั้นรอเราเปลี่ยนชุดแป๊บนึงนะ เดี๋ยวจะพาไปหาอะไรกิน หรือว่าจะให้เราออกไปซื้อของกินมาให้ดี? ”



 

“ฉันออกไปกับนายดีกว่า ใช้ให้นายซื้อมาให้ฉันว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”



 

“ฮ่า ๆ ๆ วีนี่ยังขี้เกรงใจเหมือนเดิมเลยนะ” เอื้อพูดพร้อมกลับหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากตู้ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป



 

“เหมือนเดิมงั้นเหรอ” ผมย้ำคำนั้นกับตัวเอง ทุกคนจะรู้สึกยังไงถ้าวีที่พวกเขาเห็นตรงนี้ไม่ใช่วีที่พวกเขารู้จักอีกต่อไป