4 ตอน 1 〖เทพน้อย ผู้โง่เขลาเบาปัญญารนหาที่ตาย〗
โดย ถั่ว งอก'フ'
〖ภาค เทพตกเมฆ เดนสวรรค์ ร่างอวตาร〗
ลั่วฟางหยุน 〖ตัวรอง〗 จากเส้นเรื่องขนาน ทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด ทั้งถูกขายเป็นทาส ถูกจับไปค้าประเวณี ถูกย่ำยีเสียจนไม่เหลือชิ้นดี!
ลำบากให้ ลั่วฟางหยุน 〖ตัวรอง〗 จากอีกเส้นเรื่องที่อวสานไปแล้วต้องหวนกลับมา แก้ไขให้เส้นเรื่องขนานนี้กลับมาสู่จุดอวสานให้ได้เสียที! อนิจจา...ช่างงามหน้าเสียจริง! ดันถูกพากลับมาสวมบทบาทแทนเจ้าลูกเต่า ตอนที่มันกลั้นใจตายไปอย่างน่าอัปยศอดสู
ขณะร่วมเตียงกับแม่ทัพใหญ่เยี่ยนฮวาฮู่!
1 〖เทพน้อย ผู้โง่เขลาเบาปัญญารนหาที่ตาย〗
โลกที่จำแนกตัวละครออกมาเป็น ๔ เหล่า
ตัวเอก ตัวรอง ตัวร้าย และตัวประกอบ
เคยสงสัยหรือไม่ ว่าท่านเป็นเหล่าไหน
มั่นใจรึว่า ปณิธานอันแรงกล้าที่ท่านยึดมั่นนักหนาเป็นสิ่งถูก
ตลกร้ายที่สิ่งนั้นจะถูกจะผิด ขึ้นอยู่ว่า... ท่านใช่ตัวเอกหรือไม่
หนึ่งในแปดประมุขสวรรค์ เทพอาวุโสผู้ปกครองชั้นฟ้า และร่วมกันปกปักษ์ รักษาดินแดนแห่งเมืองมนุษย์ โดยยึดถือแคว้นฝูเป็นหลัก เพราะพิธีบวงสรวงอลังการยิ่งกว่าแคว้นใด เทพผู้นั้นเป็นถึงเทพพยากรณ์
กล่าวได้ว่า แคว้นฝู จะรุ่งเรืองหรือล่มจม ขึ้นอยู่กับคำทำนายของเทพอาวุโสองค์นี้…
บรรดาเทพอาวุโสยืนห้อมล้อมประจำแปดทิศ มองดูเจ้าของแส้จามรี สถิตประจำตำแหน่งทิศอุดร คอยหมุนกระดานทรงแปดเหลี่ยมให้ลูกแก้วกลิ้งขลุก ๆ วนรอบสามหนตามจำนวนภพ อันได้แก่ ภพสวรรค์ ภพมนุษย์ และภพมาร จากนั้นจึงผละมือออก คอยท่าให้ ‘โชคชะตา’ หรือการ ‘เสี่ยงทาย’ นำพาลูกแก้วให้ไปตก ณ อุบัติยุคความหมายใด
ทันตาเห็น ที่ลูกแก้ววิเศษสลักคำว่า ‘โลกา’ กลิ้งตกร่องอุบัติ ณ ยุคความหมายว่า
กลียุค!
บรรดาเทพอาวุโสเหลือบมองเทพพยากรณ์ ดีดลูกคิดรางแก้ว คำนวณเวลาที่จะอุบัติยุคดั่งกล่าว ด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ทบทวนอย่างถี่ถ้วนด้วยการก้ม ๆ เงย ๆ พินิจพิเคราะห์ข้อความ เปรียบเทียบเคียงบนม้วนมหาตำราสีทองอร่าม คลี่แผ่หลาอย่างลอยล่องบนผืนอากาศ
ครั้นเสียงดีดลูกคิดกระทบรางดังต๊อกแต๊กได้สงบลง
เทพพยากรณ์จึงแผลงสำแดงเดช แถลงไขการทำนายในเร็วพลัน
แคว้นฝูจะต้องเผชิญกับกลียุคในไม่ช้า!
ร่างอวตารของพญามารโค่นล้มราชวงศ์หลี่สำเร็จ
นำพาเหล่าสมุนจัญไรผงาดจากใต้พิภพ
เข่นฆ่าล่ามนุษย์อย่างโหดเหี้ยมเพื่อความสำราญใจ
จำต้องให้แปดประมุขสวรรค์อวตารลงไปบำเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่งมีชีวิตเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์!
เคราะห์กระหน่ำซ้ำร้ายว่ายามนั้นมนุษย์จะล้มตายเป็นผักปลา สตรีลดน้อยลงเป็นเหตุให้ขาดประชากรถือกำเนิด
สมควรแล้วที่จะรังสรรค์เทพน้อยองค์ใหม่มาช่วยกอบกู้ เทพที่บันดาลให้บุรุษสามารถตั้งครรภ์ในช่วงเวลาอัปรีย์เช่นนี้ และยังต้องเป็นเทพแห่งการอุ้มบุญเพื่อตั้งท้องยอดวีรบุรุษผู้เกรียงไกร!!
เหตุฉะนี้… เป็นเวลาหลายวันหลายคืนที่ประมุขสวรรค์ทั้งแปดร่วมกันประสานพลัง เพื่อเนรมิตเทพผู้มีสองเพศในกายาเดียวขึ้นมา!
ปุจฉา เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
วิสัชนา หมายความว่า แม้แต่ท่านเทพพยากรณ์ ก็อาจทำนายคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน
กลียุคที่ว่านั้น… จะบังเกิดในอีกสามร้อยปีข้างหน้า!
อนิจจา ถึงแม้ว่าช่วงเวลาของเทพจะไม่ต่างจากการถอนหายใจทิ้งไปราว ๆ สักหนึ่งก้านธูป กระนั้นเมืองมนุษย์กลับยาวนานหลายต่อหลายชั่วอายุคน
หากลองมองหาข้อดีในการเป็นกระต่ายตื่นตูมของทวยเทพนี้ คงจะเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะให้ประมุขสวรรค์อวตารลงมาบำเพ็ญบารมีรอกลียุคมาเยือนไปพลาง ๆ เป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่า…
บัดนี้ ‘เทพสองเพศ’ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
โอ้ เทพน้อยที่หมายจะให้ปฏิบัติภารกิจ ตามสอยห้อยติดประมุขสวรรค์ ลงไปดลบันดาลให้บุรุษสามารถตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร และทำหน้าที่อุ้มบุญตั้งท้องยอดวีรบุรุษ ผู้กอบกู้อาณาจักรเคียงคู่กับตำนานแห่งพระโพธิสัตว์มาโปรด
แต่เห็นที... กว่าเทพน้อยตนนั้นจะได้เชิดหน้าชูตา ก็คงต้องรอไปอีกสามร้อยปี
จึงยังคงมีเวลามากพอ...
มีเวลามากพอ ที่พวกปากหอยปากปู จะประดิษฐ์ถ้อยคำนินทาลับหลังอย่างหยามเกียรติเทพครึ่งบุรุษครึ่งสตรีองค์นี้อย่างสนุกสนาน!
ด้วยรูปลักษณ์เยี่ยงบุรุษหนุ่มน้อยวัยขบเผาะ กอปรกับเนินอกนูนน้อยไม่ถึงกับอวบอิ่ม อีกทั้งยังสามารถผลิตน้ำนมได้ และมีอวัยวะดั่งเพศโยนีของสตรีที่มาควบคู่กับลำลึงค์ห้อย ณ หว่างขา
คล้ายว่าจะเป็นชายชาตรีทั้งแท่งก็ไม่ใช่ จะเป็นดรุณีสาววัยแรกแย้มก็ไม่เชิง ทว่า เทพน้อยผู้นี้ก็เป็นที่รักใคร่ของประมุขสวรรค์ทั้งแปด คอยประคบประหงมดุจไข่มุกขาวกลางฝ่ามือมาโดยตลอด จวบจนกระทั่ง ก่อเกิดความตะขิดตะขวงใจในหมู่เทพน้อยกันเอง ว่าเหตุใดเทพน้อยตุ้งติ้งจอมฉอเลาะนี่ จึงได้พำนักอย่างเอ้อระเหย มิได้มีหน้าที่ภาระงานใดให้เหนื่อยยาก
เกรงว่าเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่แปดประมุขสวรรค์หลอกให้ตายใจอยู่สุขสบายไปก่อนชั่วคราวกระมัง เพราะเมื่อถึงคราที่กลียุคนั้นมาเยือนคราใด ผู้ที่จะตกทุกข์ได้ยาก ลำบากไม่ต่างจากมนุษย์ ก็คือเทพน้อยองค์นี้
แต่ไฉนเลย เทพน้อยองค์อื่นจะยอมรับได้ ทั้งที่ตนเป็นเทพจิปาถะคอยช่วยเหลือมนุษย์งก ๆ
ครั้นกลับขึ้นมาบนสวรรค์ ก็ต้องปรนนิบัติแปดประมุขที่ตนอยู่ใต้อาณัติอย่างยากลำบาก หนนี้ยังมีเทพครึ่งบุรุษครึ่งสตรีที่วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มมาให้รับใช้อีก
แต่แล้ว ช่วงเวลาที่จะได้เอาคืนก็มาถึง เมื่อแปดประมุขสวรรค์อวตารลงไปบำเพ็ญบารมี เตรียมพร้อมเผชิญกับกลียุค ไร้ผู้คอยให้ท้ายเจ้าตัวเกียจคร้านเสียที!
เหตุฉะนี้ ยามเทพน้อยองค์ใหม่ออกจากที่พำนัก มาเดินทอดน่องชมทิวทัศน์อย่างนวยนาดบนสรวงสวรรค์ กริยาท่าทางจริตจะก้าน ราวกับเทพธิดาที่ถูกฟูมฟักมาด้วยความทะนุถนอม อากัปพินอบพิเทา คล้ายจะล่อลวงเทพบุรุษทั้งหลายบนแดนสรวงให้หลงใหลนี้ ชวนให้อยากบดขยี้เสียจริง
ท่ามกลางสวนพฤกษาถูกปลูกโดยน้ำมือคนธรรพ์ ขนาบข้างบันไดทองคำทางขึ้นสู่แดนสรวง พบพานร่างแน่งน้อยยืนเกะกะขวางทาง
จำต้องเป็นคนธรรพ์ที่คอยหลบหลีกกีดกัน มิให้เท้าของเทพน้อยตนนี้เหยียบย่ำพื้นที่ปลูกอยู่ร่ำไป
ท่าทีที่จะช่วยก็ไม่ช่วยแหล่ แต่มาเสนอหน้า ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชี้มือชี้ไม้ ปากเอ่ยถามว่านั่นคือดอกอะไร นี่คือดอกอะไร
กริยาท่าทางราวกับเป็นอนุชายาเจ้ากี้เจ้าการของแปดประมุขสวรรค์เสียจริง
ชะรอยว่า เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้
กลายเป็นที่โจษจันว่า อาทิตย์อัสดงในวันนั้น...
ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน สีแดงเฉกเช่นแก้มของเทพน้อย ซึ่งผุดระเรื่อขึ้นมาด้วยความอับอาย หลังจากถูกฉุดกระชากออกมาจากสวนอันเต็มไปด้วยคนธรรพ์ที่ง่วนอยู่กับการเพาะปลูก บัดนี้ เทพน้อยองค์ใหม่จอมทะเล่อทะล่ากำลังถูกตำหนิชุดใหญ่โดยเทพน้อยรุ่นพี่
เจ้าของดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา พองแก้มอย่างน่าขย้ำฟัดอย่างมันเขี้ยว
เมื่อถูกกระเซ้าเย้าแหย่ล้อเลียนจนหัวร่อขบขัน พลางตบท้ายด้วยการกลั่นแกล้งสารพัด ทั้งทางกายก็ดี ทางวาจาก็มากมี!
หาว่าเขาเป็นเทพพิกลพิการบ้างล่ะ
หาว่าเขาเป็นเทพไม่สมประกอบบ้างล่ะ
หาว่าเขาเป็นเทพวิปริตวิปลาสบ้างล่ะ
ปิดฉากอย่างแสลงหูที่สุด เท่าที่เคยได้ยินจากเหล่าเทพน้อยกเฬวรากสำรอกออกมา
ก็คือคำว่า ‘เทพลักเพศ’ นี่แหละ!
ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก ที่มิอาจวิ่งหน้าตั้ง พลางกระดิกหางไปฟ้องเทพอาวุโสองค์ใดได้เลย
เนื่องด้วยเหล่าประมุขสวรรค์ล้วนอวตารลงไปบำเพ็ญบารมี เตรียมบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ตามถ้อยคำพยากรณ์
เช่นนี้ตลอดสามร้อยปี เขาต้องทนฟังเสียงกดขี่ต่อว่าและด่าทอจากบรรดาเหล่าเทพยดาสันดานเสียต่อไปอย่างงั้นหรือ...!
แต่ใครเล่าจะทนไหว!
ถ้อยคำผรุสวาท จึงหลุดออกจากปากของเทพสองเพศเป็นครั้งแรก
“พวกเจ้า...ช่างดูถูกเหยียดหยามข้าอย่างสนุกปาก คงมีดีแค่ฝีปากเป็นเลิศสินะ ฮึ แต่ในกะโหลกคงกลวงโบ๋และกมลสันดาลต่ำช้ายิ่งกว่าสมุนของพญามารอีกกระมัง!”
หนึ่งในเทพน้อยรุ่นพี่จอมเกเร เป็นเทพผู้ดูแลเหล่ามัจฉา ได้ยินดังนั้นก็พลันฉุนจนเลือดขึ้นหน้า รีบอ้าปากเอ่ยสวนกลับทันควัน
“แล้วเจ้ามีดีอะไร! ข้าดูแลเหล่ามัจฉาทั้งน้ำจืดน้ำเค็มด้วยความยากลำบาก! หรือแม้ในบ่อบึงกลางศาลาที่เจ้านั่งเอาเท้าราน้ำเด็ดเม็ดบัวแทะกินอย่างสำราญ! ข้าเห็นแต่ว่าวัน ๆ เจ้าเอาเดินลอยชายหน้าไม่อาย ชูคออย่างผยองจองหอง ประหนึ่งเป็นเจ้าของตำหนักทวยเทพ!”
เทพน้อยหน้าใหม่กระอึกกระอัก อารามตระหนก อากัปใจกล้าปากดีเมื่อครู่ได้มลายหายไปสิ้น ด้วยความที่เขาไม่เคยต้องมาต่อปากต่อคำ ฤาขึ้นเสียงหรือเถียงใส่ผู้ใดมาก่อน
“ขะ ข้ามีดีมากกว่าเจ้าก็แล้วกัน!”
เทพเลี้ยงปลาจิปาถะแค่นหัวเราะสมเพช “มีดีที่รูก้นจะถูกชำเราจนกลวงโบ๋ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคณิกาในภายภาคหน้าน่ะหรือ!”
กล่าวจบ ก็ตบท้ายด้วยเสียงสรวลของบรรดาเทพน้อยจิปาถะ
เทพสองเพศตัวน้อยกัดปากด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างอับอายถึงขีดสุด
แปดประมุขสวรรค์ ล้วนแต่คอยเป่าหูว่าเขาจะเป็นผู้ให้กำเนิดวีรชนผู้กอบกู้กลียุค เป็นมารดาผู้อุ้มบุญ คอยอุ้มชู และเลี้ยงดูมหาวีรบุรุษ!
เขาย่อมมีดีมากกว่าเทพเลี้ยงปลากระจอก ๆ ตนนี้เป็นไหน ๆ !
ดูท่า...หากมิได้ตอกกลับให้หน้าหงาย คงต้องถูกรังแกอย่างนี้เรื่อยไปเป็นแน่!
“คอยดูเถิด! เจ้าเทพเลี้ยงปลา! ข้าจะลงไปภพมนุษย์! ไปทำให้เจ้าได้เห็นกับตาว่าข้ามีดีกว่าเจ้า!”
บรรดาเทพจิปาถะต่างส่งเสียงถ่มถุยน้ำลาย แต่ไร้เสลดของเหลวใด ๆ พ่นออกมายามส่งสายตาอย่างเย้ยหยัน ประกอบกับคำพูดของเทพเลี้ยงปลา
“เพ้ย! นอกจากจะไร้ประโยชน์แล้วยังโง่เง่าอีก รนหาที่ตายแท้ ๆ”
เจ้าของอาภรณ์เนื้องามที่คล้ายว่า คงจะได้รับมาจากหนึ่งในเทพอาวุโสประทานให้สวมใส่ ก้าวย่างสามขุมกึ่งวิ่งไปเฉียด ‘เส้นขอบฟ้า’ หรือก็คือปลายสุดของขั้นบันไดแห่งสุราลัย
ปลายรองเท้ายื่นออกมาจากใต้ชายกระโปรงรุ่มร่าม หากก้าวพลาดไปแม้นิดเดียว คงได้ร่วงหล่นลงไปสมใจปรารถนา
มือเรียวกำมั่นที่สาบเสื้อใกล้ทรวงอกอันเต้นเร้า ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
มีเสียงรบเร้าตะโกนแว่วมาว่า ให้กระโดดลงไปถ้าแน่จริง คล้ายว่าไม่มีเทพจิปาถะจอมเกเรตนใดเชื่อว่า เทพน้อยที่ถูกประคบประหงมจะใจกล้าบ้าบิ่นมากพอ
แต่แล้ว
เพียงแค่ทิ้งน้ำหนักลงไป ณ ปลายเท้าที่ยื่นออกไปจากเส้นขอบฟ้า ฉับพลันก็ร่วงตกลงไป ฝ่ากลุ่มก้อนปุยเมฆชั้นแล้วชั้นเล่าในชั่วพริบตา
เทพน้อยผู้ถูกเหยียดหยาม ไม่แม้แต่ตระเตรียมของวิเศษอันใด พกสอยห้อยติดกายไว้ใช้ในยามยาก ราวกับถือดีไม่เจียมตน เพราะแม้แต่ทวยเทพผู้ยิ่งใหญ่ยังมิอาจทำใจหาญกล้า ลงไปจุติที่ภพมนุษย์อย่างมือเปล่าเล่าเปลือยเยี่ยงนี้
อนึ่ง ครั้นจะลงไปภพมนุษย์โดยไม่อำลา บอกกล่าวชี้แจงให้แดนสรวงสวรรค์รับรู้เป็นกิจลักษณะ เป็นเรื่องเป็นราวไว้ว่า จะลงไปเพื่อทำภารกิจอันใด หรือลงไปเพราะถูกขับไล่กันแน่
กระโดดลงไปพรวดพราดราวกับ ‘ตกเมฆ ตกสวรรค์’ เช่นนี้
มีหวังเจ้าตัวโง่งมนั่น คงร่วงหล่นตกลงไปรวดเดียวถึงยังภพมาร และได้ประสบพบเจอกับเรื่องน่าสยดสยองไม่รู้ลืม เห็นทีคงได้พยายามตะเกียกตะกายกลับขึ้นมาภพมนุษย์ด้วยความหวาดผวาเป็นแน่แท้!
และนั่น...เป็นอย่างที่เจ้าเทพเลี้ยงปลาปรามาสไว้ไม่ผิดเพี้ยน
ไร้ประโยชน์
โง่เง่า
รนหาที่ตาย
เวลาตกฟากสำคัญไฉน
สำคัญที่ดวงดาราจะเรียงตัวกันอย่างไร และเทพแห่งดวงดาราเหล่านี้จะได้ยลโฉมเด็กน้อยที่ตนต้องคอยอุปถัมภ์ เกื้อหนุนค้ำจุนให้ดวงชะตารุ่งโรจน์ ดั่งแสงสุกสกาวในยามราตรี
หากแต่การทะเล่อทะล่าลงมา ไม่ดูเวล่ำเวลาว่า ดวงชะตาถูกวางอย่างเหมาะเจาะเอาไว้ ให้ผงาดเป็นใหญ่ในอีกสามร้อยปีข้างหน้า
ดังนั้นจึงไร้ซึ่งเทพอาวุโสองค์ใดช่วยลงมาอวยพร และบอกกล่าวให้ดวงดารามาเรียงตัว เป็นดาวประจำตัวเพื่อปกปักรักษาคุ้มภัย
เทพน้อยตนนั้น หลังจากตะเกียกตะกายขึ้นมาจากภพมาร จึงได้รางวัลปลอบขวัญเป็นเวลาตกฟากเป็น ‘คืนเดือนมืด’ อับแสงดาว ไร้แสงจันทร์ ทุกอย่างมีเพียงความดำสนิท มืดมิดราวกับรู้นิมิตอนาคตได้โดยมิต้องเคาะกระดองเต่าทำนาย
แต่ก็คงกล่าวได้ว่าดวงชะตาจะเป็น ‘ตอนต้นดี ตอนปลายร้าย’ ไม่ต่างจากครั้งที่แปดประมุขสวรรค์กกตัวเทพน้อยเอาไว้ให้เสวยสุขสำราญในตอนต้น และเมื่อกลียุคมาเยือนคราใด ตอนปลายร้ายจะปรากฏดุจเคราะห์กรรมกระหนำซ้ำเติม
สำหรับการตกเมฆลงมาของเทพน้อยหน้าใหม่ ก็กล่าวได้ว่าตอนต้นดี เพราะมารดาของเขาเป็นหญิงงดงามโสภี จึงถูกเลี้ยงดูปูเสื่อด้วยความมั่งมีเงินทอง กินอิ่มนอนหลับ มีข้าทาสบริวารคอยปรนนิบัติไม่ต่างจากครั้งที่กินเล่นนอนเล่นบนที่พำนักของแปดประมุขสวรรค์
แต่ตอนปลายร้าย... ก็ได้มากล้ำกรายในที่สุด
ลั่วฟางหยุน ลงมาเกิดเป็นบุตรชายนอกสมรสของโหรหลวง เลื่องชื่อลือนามแห่งแคว้นฝู
เลื่องชื่อลือนามในด้านการหมกมุ่นกับศาสตร์พยากรณ์ จนสติฟั่นเฟื่อน!
หากพบสิ่งใดผิดแผกไป ไม่มีปรากฏในคัมภีร์โหราศาสตร์ สิ่งนั้นคืออาเพศ!
ไม่เว้นแม้แต่บุตรชายในไส้ของตนเอง!
แรกเริ่มเดิมที ลั่วฟางหยุนเป็นเด็กชายน่ารักจิ้มลิ้ม จวบจนเติบใหญ่ได้ราวสิบสี่หนาว กลับพบว่ามีเหตุการณ์ที่เลือดไหลเลอะเปรอะเปื้อนไปทั่วเตียง
คราแรก ข้ารับใช้หน้าซีดเผือด คิดว่าคุณชายน้อยจะป่วยตายหรืออย่างไร แต่เมื่อตามแพทย์มาตรวจดูจึงได้รู้ว่า
ลั่วฟางหยุนมีระดูเยี่ยงสตรีออกมาจากอวัยวะสืบพันธุ์ ณ หว่างขา
ทั้งที่ยังมีแก่นกาย แต่กลับไร้ถุงหุ้มเนื้อลูกตุ้มน้อยอันจิ๋วทั้งสองเสียแล้ว ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เสียงใสราวกับดรุณีวัยสาว เอวคอดกิ่ว หน้าอกแบนราบเริ่มนูนเป็นเนิน
ลั่วฟางหยุนถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวประหลาด!
ยังดีที่การแพทย์ของแคว้นฝูนับว่าก้าวหน้ากว่าแคว้นอื่น จึงพบว่าแก่นกายท่อนลำน้อย มีไว้เพียงท่อลำเลียงน้ำปัสสาวะ ขณะที่ช่องกลีบบุปผานี้มีไว้เพื่อให้ใช้สืบสกุลผลิตทายาท
คราแรก โหรหลวงคิดขายบุตรไปเป็นทาสให้ไกลหูไกลตาด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ แต่กลับขลาดเขลาที่จะถูกสืบสาวราวเรื่องมาได้ว่า เจ้าหนุ่มหน้าตาสดสวยผู้นี้เป็นบุตรของตน และตนอาจจะถูกประหารโทษฐานให้กำเนิดทายาทตัวประหลาด นำพาอาเพศมาสู่แคว้นฝูนี้ได้ จึงตัดสินใจเด็ดขาด หมายจัดฉากให้เกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายให้แก่บุตรชาย
โอ้ แต่แล้วยังดี ดั่งสวรรค์ยังพอมีเมตตาปราณี นำพาใครผู้หนึ่งมาช่วยคุ้มกะลาหัวลั่วฟางหยุน เจ้าเทพตกเมฆผู้นี้
ระหว่างทางนำบุตรชายไปส่งประตูยมโลก โหรหลวงจอมฟั่นเฟื่อนกลับไปเจอเข้ากับนักพรตรูปงามรูปหนึ่ง
ราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดก็มิปาน
แรกพบในป่าไผ่สูงเสียดฟ้า เงาอึมครึมทึบแสงยากจะคาดเดาเวลา
เสียง แสก ๆ ของยอดไผ่สีกันไปมา ชวนให้วังเวงนัก
ล้อม้าหยุดชะงัก เมื่อพบว่าไร้วี่แววนักฆ่า ที่จ้างวานให้มาซุ่มดักรอคอยแกล้งทำท่าปล้นรถม้าของทางโหรหลวง
เมื่อบิดาใจยักษ์ใจมารออกจากรถม้ามาด้วยความงุนงง ก็พบเข้ากับนักบวชพเนจรน่าเลื่อมใสเสียจนต้องลงไปประสานมือขอเสวนาว่า เห็นวี่แววกลุ่มคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่ เพื่อหลอกถามหานักฆ่าที่ตนแอบจ้างวานมา
กลับพบว่า นักฆ่าพวกนั้นซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอนจนแยกย้าย กลับตัวกลับใจมุมานะสู่หนทางธรรมเสียแล้ว
เสียงเสวนาของนักพรตรูปนี้ คล้ายว่าจะเย่อหยิ่งแต่เสนาะหูยิ่ง อีกทั้งยังคลับคล้ายคลับคลาในความทรงจำ
ยามนั้น ลั่วฟางหยุุนขมวดคิ้วเรียวงามมุ่น แง้มม่านออกมาเชยชมโฉมนักบวชรูปนั้น เด็กหนุ่มแลเห็นแสงฉัพพรรณรังสีเรืองรอง สมกับเป็นร่างอวตาร
ใบหน้างามเอิบอิ่ม ทว่า ฉาบไปด้วยความเย็นชาดุจน้ำแข็งต้องแสงอาทิตย์ เรือนเกศาซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แย้มให้เห็นไรผมสีดำขลับตัดกับผิวกายขาวหยวกดุจเนื้อหยกละเอียด ไม้ขักรขระสีทองมีเดรัจฉานสัตว์เลื้อยคลานไร้ขาตัวสีขาวปลอดเกี่ยวพันรัดอยู่
ที่สำคัญ มีนัยน์ตาสีดำเยี่ยงมนุษย์ หากแต่ประกายสีอำพันยากจะสังเกต หากมิใช่ผู้ที่มีตาทิพย์เยี่ยงเทพน้อยจุติลงมา...
เขาคือ... นักบวชงูขาวพเนจร หนึ่งในปางอวตารของ ‘ต้าเทียนไป่เสอ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดประมุขสวรรค์เทพอาวุโส หนึ่งในเทพบู๊ทั้งสี่
สี่เทพบุ๋น สี่เทพบู๊ รวมกันเป็นแปดเทพอาวุโส
แปดประมุขสวรรค์ผู้เกรียงไกร
ลั่วฟางหยุนประดักประเดิดระคนหวาดกลัว ‘เจ้านาย’ จะจับได้ว่า ตนนั้นหุนหันพลันแล่น กระทำการใจกล้าบ้าบิ่น กระโดดลงมาจากสวรรค์เพื่อเกิดใหม่ในร่างของหนุ่มน้อยหน้ามนผู้นี้
ทว่า เทพบู๊ผู้นี้มองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ว่า เด็กหนุ่มคือ เทพสองเพศ ที่ตนและสหายช่วยสร้างขึ้นมา สืบเนื่องจากการคำนวณชะตาแว่นแคว้นผิดพลาด
เดิมทีควรจะวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่บนสวรรค์มิใช่รึ
เหตุจึงมาอยู่ที่นี่ได้...
แต่ถึงแม้ว่า เทพบู๊ผู้นี้จะมีอุปนิสัยหยิ่งทะนงตนเป็นทุนเดิม แต่เพราะยามนี้เขากำลังบำเพ็ญบารมี หนึ่งในสามของหนทางสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์
ด้วยบารมีแห่ง ‘รักอนตกาล’
อันว่าด้วยการอวตารของประมุขสวรรค์เพื่อให้บรรลุหนึ่งในบารมีดังนี้
เมตตานิพพาน ปัญญานิรันดร และรักอนตกาล
รักอนตกาลนี้...ซึ่งต้าเทียนไป่เสอได้ตีความว่า มันคือการมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีความรัก และเห็นอกเห็นใจแก่เหล่าสรรพสัตว์ โดยที่เขาได้ ‘ตั้งเงื่อนไข’ ครองตนเป็นพรหมจารี ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกีย์…
ณ เวลานี้ ได้พบเจอโหรหลวงสติฟั่น หมายจะฆ่าแกงบุตรชายที่เกิดมาผิดแผกไปจากเพศกำหนด กลุ่มนักฆ่าที่ตนกำราบไปเมื่อครู่ ก็คงถูกจ้างวานมาโดยบุรุษเบื้องหน้า
ต้าเทียนไป่เสอนึกตรึกตรองได้ว่า เห็นทีตนควรแสดงถึงความรักแก่สัตว์โลกผู้โง่งมตนนี้ด้วย นักบวชงูขาวพเนจรจึงเอ่ยปากขอให้ท่านโหรเลี้ยงดูเด็กคนนี้ต่อไป
ด้วยเดชะแห่งคำกล่าวของร่างอวตารนั้น เป็นดุจดั่งประกาศิตสวรรค์ มันจึงล้ำค่าและศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะกล่าวเพียงเพื่อช่วยให้เทพน้อยผู้นี้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ ต้องถนอมไว้ใช้งานยามกลียุคมาเยือน
เนื่องจากเทพน้อยที่ลงมาภพมนุษย์แล้ว กลับไม่ได้กระทำตามหน้าที่ หากตายไปก็จะกลายเป็นเพียงผีเร่ร่อน รอวันเวียนว่ายตายเกิดในภพมนุษย์…
ครั้นมือหนาของนักบวชขยับเปลี่ยนตำแหน่งจับเตรียมกระทุ้ง เจ้างูขาวจึงเลื้อยพันขึ้นไปยังยอดไม้อย่างรู้งาน
เสียงกระทุ้งไม้ขักขระลงพื้นดังขึ้นหนึ่งหน กังวานดุจระฆังเหง่งหง่างอย่างไร้ที่มาที่ไป ชวนอัศจรรย์ใจโหรหลวงยิ่งนัก
❝ ประสกอย่าได้ละอายใจคิดว่า กำลังเลี้ยงดูตัวประหลาดที่มีสองเพศเลย ตถาคตยอมฝ่าฝืนกฎสวรรค์ เพื่อเผยลิขิตชะตาในภายภาคหน้าให้ประสกได้รู้แจ้งว่า บุตรของประสกผู้นี้ จะได้สามีดุจพระโพธิสัตว์อวตารลงมาโปรด และบุตรที่เกิดจากครรภ์ของเขาจะได้เป็นยอดวีรบุรุษ ❞
นับว่า เจ้าเทพน้อยตนนี้ ยังพอมีวาสนาได้พบพานร่างอวตารของหนึ่งในประมุขสวรรค์ แม้ว่าจะฝ่าฝืนลิขิตฟ้าลงมายังภพมนุษย์ก่อนเวลาอันควร และจากเหตุการณ์ที่ต้าเทียนไป่เสอช่วยชีวิตเทพน้อยเอาไว้
ลั่วฟางหยุนจึงได้ยึดถือคติมั่น หมายจะทำให้พวกเทพน้อยบนชั้นฟ้าได้ประจักษ์ว่า อิทธิฤทธิ์ของเขาเป็นอย่างไร
เขาต้องตั้งครรภ์ เขาต้องหาพ่อพันธุ์ที่ดี
และเลี้ยงชูเด็กในท้องออกมาให้เป็นยอดวีรบุรุษ!
แต่คงจะลืมไปกระมังว่า ตนเองกระโดดลงมาจากสวรรค์เพียงลำพัง มิได้บอกกล่าวเทพอาวุโสตนใดให้มาคอยคุ้มกันภัย หรือช่วยวางแผนดวงดาวให้เรียงตัวกันงดงาม ในเวลาตกฟากของบุตรในครรภ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่ทั้งแปดประมุขสวรรค์กำลังง่วนกับการบำเพ็ญบารมีของตน อย่างเอาเป็นเอาตาย!
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
ลั่วฟางหยุนกำเริบเสิบสาน เชิดหน้าชูคอว่าตนเป็นลูกรักของสวรรค์ ทั้งชีวิตไม่เคยลำบาก หนีลงมาจากแดนสรวง
แม้บังเอิญพบเจอกับเทพอาวุโสกลับไม่ได้ถูกตำหนิติเตียนให้รู้สำนึก ทึกทักไปเองว่าทุกอย่างช่างง่ายดายอย่างไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่น
แม้แต่บิดาใจคดยังกลัวร่างอวตารของประมุขสวรรค์จนหัวหด คิดกลับใจรีบพาเขากลับมาจวน และเพิ่มจำนวนคนรับใช้ให้มากขึ้นเป็นทวี
รับสั่งให้ปรนนิบัติพัดวีขัดสีฉวีวรรณเป็นอย่างดี
เพื่อรอคอยวันที่ ‘สามีดุจพระโพธิสัตว์อวตารลงมาโปรด’ มาปรากฏ
อีกทั้ง ยังป่าวประกาศให้เป็นที่กล่าวขาน ว่าตนมีบุตรชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ และโพนทะนาว่าลูกในท้องของเขา หากคลอดออกมาจะได้เป็นยอดวีรบุรุษ!
ครั้งหนึ่ง มีพวกปากคอเราะร้าย นินทาว่ากล่าวเหยียดหยามได้แม้แต่เด็กที่ยังไม่ได้มาเกิดในครรภ์ว่า…
ลั่วฟางหยุนจะท้องได้ ต้องถูกสมสู่ทางรูทวาร และเมื่อคลอดก็คล่องออกมาจากรูที่โดนสมสู่
มิเท่ากับว่า บุตรของลั่วฟางหยุนออกมาจากช่องทางเดียวกับ... ก้อนอาจม หรอกรึ!
ดังนั้น บุตรในครรภ์ที่ยังไม่มีตัวตนจริง ๆ ของลั่วฟางหยุน จึงถูกล้อเลียนว่าเป็น ‘ก้อนอาจมน้อย’ เป็นเวลาสักพักหนึ่ง
กระนั้น จวนท่านโหรหลวงยังมีผู้คนมากมาย แห่แหนมาหมายจะยลโฉมหน้าหนุ่มน้อยหน้ามนที่สามารถตั้งครรภ์ได้
ลั่วฟางหยุนยิ่งผยองได้ใจ แสร้งทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเรื่องก้อนอาจม
แม้จะชำเลืองสายตามองแขกเหรื่อทั้งหลายที่เร่เข้ามาเกี้ยวพาราสีตนอย่างสนุกสนาน ทว่า ก็ดูแคลนอยู่ในใจว่า ผู้ที่จะได้เป็นสามีของตนนั้น หาใช่ตาสีตาสาหน้าตาบ้าน ๆ เยี่ยงปุถุชนที่มายืนมุงทุกวี่ทุกวันนี้เป็นแน่
นานวัน ลั่วฟางหยุนยังคงได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่หมายตาหมายปอง พูดถึงไปทั่วเป็นเช่นนี้ วันแล้ว วันเล่า
จนกระทั่ง... ดรุณีสาวปักปิ่นในวัยสิบห้าหนาว กลายเป็นสาวเต็มกายพร้อมแต่งออกเหย้าออกเรือนไปแทบหมดบ้านหมดเมือง
ทว่า ลั่วฟางหยุนผู้ที่เป็นบุรุษก็มิใช่สตรีก็ไม่เชิงในวัยสิบแปดหนาว
ยังชะเง้อคอรอคอยอยู่ในเรือนอย่างไร้วี่แววว่า เมื่อใดสามีดุจพระโพธิสัตว์อวตารลงมาโปรดจะปรากฏ
ไม่ใช่ว่าไร้ผู้ใดมาสู่ขอ แต่คนพวกนั้นหรือ จะสู้สามีในคำทำนายของเขาได้
ลั่วฟางหยุนยึดถือเรื่องที่ว่า หากบารมีไม่ทัดเทียมกัน แต่ขืนดันทุรังตบแต่งกันไป ก็คงคล้ายกลับดวงตก
ลั่วฟางหยุนจึงยอมอดทนอดกลั้น ฟังเสียงนินทาของพวกข้ารับใช้ว่าเขาขายไม่ออกไปก่อน แล้วค่อยตอกหน้าหงายด้วยสามีผู้สง่างามในภายหลัง
อนิจจา ชะรอยการถูกตามใจจนเสียคน ทำให้ลั่วฟางหยุนใจร้อนลนลาน พานหงุดหงิดกับทุกสิ่งระหว่างรอคอยอย่างไร้จุดหมาย
นานวันเข้า เริ่มหวั่นใจวิตก ถึงขนาดยกนิ้วมือเรียวงามขึ้นมากัดเล็บพลางขบคิดว่า... ชักช้าต่อไปอย่างนี้คงไม่ได้การ!
เจ้าเทพเลี้ยงปลานั่นอาจจะคงหัวเราะเยาะเย้ยเขาอยู่เป็นแน่!
อีกทั้งเขาเป็นถึงลูกรักสวรรค์ ขยับเขยื้อนตัวหนึ่งทีก็ได้พบร่างอวตารของประมุขสวรรค์แล้วตั้งหนึ่งองค์ จะมัวนั่งกินนอนกินอย่างสบายใจเฉิบไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาด!
ลั่วฟางหยุนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะคัดอักษรยามทบทวนเหตุการณ์
ตั้งแต่ครั้งที่ตนเป็นเทพตกเมฆตกสวรรค์ลงมา เขาเคยร่วงลงไปจนถึงภพมาร แต่ไม่มีสิ่งใดมากล้ำกราย ไร้ริ้วรอยอันใดขีดข่วน
กลับขึ้นมาภพมนุษย์ก็ได้เกิดเป็นบุตรนอกสมรสของโหรหลวงผู้ร่ำรวย
ได้เกิดมามีใบหน้าสละสวย และถึงแม้เกือบตายก็ยังถูกช่วยเอาไว้
ด้วยเหตุการณ์ ‘โชคช่วยไม่ถึงเคราะห์คราวซวย’ ทั้งหลายเหล่านี้ จึงได้หล่อหลอมให้เทพน้อยตกเมฆมีความจองหองลำพองขนว่า
สวรรค์ย่อมเข้าข้างตน เพียงแค่ย่างกรายเท้าออกไปจากบ้าน ก็คงหอบหิ้วพระโพธิสัตว์กลับมาเป็นสามีได้สมใจปรารถนาเสียที!
ลั่วฟางหยุนในวัยสิบแปดปี จึงหนีออกจากเรือน!
ข้านี่ช่างสมกับเป็นลูกรักสวรรค์เสียจริง
ลั่วฟางหยุนคิดอย่างลำพองใจกับการผจญภัยหลังจากก้าวขาย่างกรายออกมาจากจวน
เพราะแม้แต่การบังเอิญได้พบมารร้ายตัวฉกาจ ที่หน่วยปราบมารปล่าวประกาศว่าให้ระวังอย่าง มารราคะแห่งรถม้าวังวสันต์ เขาก็ยังรอดมาได้อย่างปลอดภัยทุกประการ
แม้จะเจ็บระบม ‘ส่วนนั้น’ อยู่บ้าง…
กล่าวถึงมารราคะตนนั้น เป็นมารเจ้าสำราญ ชอบขี่รถม้าไปในยามราตรี เพื่อคว้าผู้ที่ถูกใจหมายปองฉุดขึ้นมาย่ำยี แต่ลั่วฟางหยุนกลับไม่ได้ถูกรังแกแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่า มารราคะตนนั้นเสนอตัวเป็นสารถีให้ เพราะชื่อเสียงระบือลือนาม เกี่ยวกับความงามของบุรุษท้องได้ ทำให้มารราคะชื่นชม
ครั้นเข้ามาภายในรถม้า กลับพบตุ๊กตาร่างสูงใหญ่เทียบเท่าคนเป็นอยู่ตัวหนึ่ง สวมหน้ากากปิดบังโฉม ทรงเครื่องแต่งกายราวกับเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการ
ทว่าถูกมัดเชือกด้วยเงื่อนหน้าตาประหลาด อีกทั้งยังถูกถกให้บางสิ่งออกมาอวดนอกร่มผ้า ผงาดง้ำอย่างน่าหวาดผวา
ลั่วฟางหยุนถามไถ่ว่า เหตุใดตุ๊กตาตนนี้จึงมีองคชาติที่ตั้งตระหง่าน แล้วเขาควรจะนั่งเบียดตุ๊กตาอย่างไร... ในเมื่อรถม้าคับแคบเพียงนี้
จึงบังเกิดเสียงหัวร่ออย่างชอบใจของมารราคะที่ด้านนอกรถม้า ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดที่ว่า
ลองให้เทพน้อยตกเมฆตกสวรรค์ผู้นี้ถกกางเกงออก แล้วนั่งขี่ไปบนลำลึงค์นั้น จะได้นั่งอย่างมั่นเหมาะ ประหนึ่งใช้ตักของตุ๊กตาตนนี้เป็นเบาะเนื้อ
ลั่วฟางหยุนโง่เขลา ไม่เคยเรียนรู้เรื่องวิธีการเสพสังวาสและตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ อีกทั้งยังคิดลำพองใจว่า ตนได้รับการช่วยเหลือจากทุกสารทิศแม้กระทั่งมาร จึงทำตามคำบอกของสารถีผู้หวังดี อย่างหลงกลเต็มเปา
เมื่อพินิจได้ว่ารูก้นนั้นคงเล็กไป ลั่วฟางหยุนจึงใช้ร่องกลีบบุปผาของร่างแน่งน้อยครอบลำกายผงาด ค่อย ๆ กัดฟันสอดเข้ามาอย่างยากลำบาก
ไม่ทันไร ล้อรถม้าบดกับก้อนหินจึงกระแทกทับลงมาอย่างจัง ให้จุกเสียดทั่วท้องระบมทั่วกลีบน้อย ๆ รู้สึกร้าวลามไปทั่วเชิงกรานและไขสันหลัง
ตุ๊กตาตัวยักษ์นี้มีเสียงอุดอู้อยู่ในลำคอ เนื้อเสียงทุ้มต่ำ ฟังแล้วรู้สึกขนอ่อนลุกชันที่ลำคอ
ลั่วฟางหยุนนั่งทับแน่นิ่งไม่ได้ทำสิ่งใด เพราะโขดหินกับล้อรถม้าได้อำนวยสร้างจังหวะไปตามทางแทนเสียแล้ว
ร่างกายรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนว่าช่องทางที่มีเจ้าสิ่งนั้นเสียบคาได้หลั่งน้ำลื่นเมือกออกมาชโลมเสียจนเมื่อเกิดแรงกระทบ จึงเกิดเสียงเฉอะแฉะพิลึก
และไม่ใช่เพียงในกายของลั่วฟางหยุนที่หลั่ง… เจ้าตุ๊กตาตัวนี้เองก็ได้ฉีดน้ำข้น ๆ หลายระลอกเข้ามาด้วยเช่นกัน
ลั่วฟางหยุนร่างกายกระตุกสั่นเทา มาพร้อมกับอาการร้อนผะผ่าวทั่วไปหน้า สมองตื้อหัวหมุนเคว้ง อ่อนเพลียแรงเสียจนเอนตัวลงไปพักพิงกับร่างบึกบึน
แผงอกล่ำยังคงขยับขึ้นลง ราวกับกำหนดลมหายใจเข้าออก ด้วยขนาดกายที่ใหญ่โตกว่าตนมากโข ลั่วฟางหยุนจึงตั้งชื่อให้มันในใจว่า ‘เจ้ายักษ์’
เมื่อถึงที่หมาย ซึ่งมารราคะอ้างว่าได้บังเอิญพบพานผู้ที่ดูมีรัศมีบุญอิ่มเอิบเดินเพ่นพ่าน ลั่วฟางหยุนจึงผุดลุกจากตักกว้างมาสวมกางเกงอย่างทุลักทุเล โดยที่ไม่คิดเอะใจตุ๊กตาตัวนั้นสักนิด ก่อนจะเอ่ยขอบคุณสารถีงามพิลาสและแยกย้ายไปตามทางของตน
หารู้ไม่ว่า ตุ๊กตาตัวนั้นคือคนตัวเป็น ๆ คือเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ที่มารราคะจับมาทรมานเล่นในค่ำคืนนี้
ครั้นเจ้าตุ๊กตาคนเป็น ถูกรีดเค้นน้ำจนองคชาติเหี่ยวเฉาเสียแล้ว
อีกทั้งยังมีกลิ่นกายหอมกรุ่นของลั่วฟางหยุนทาบติด สมกับเป็นจอมหลงตัวเองที่พรมน้ำปรุงหอมฉุยเสียจนฉุน มารราคะหมดอารมณ์จะเล่นกับเจ้าตุ๊กตา
มารชั่วจึงปล่อยเขาทิ้งไว้ข้างทาง จากนั้นรีบตะบึงห้อรถม้าเคลื่อนหนี ไม่รีรอให้การสกัดจุดนั้นคลายตัวจนถูกมนุษย์ผู้นี้มาเล่นงานคืน
เสียงล้อรถบดไปตามทาง มาราคะเคลื่อนรถม้าหลบท้องฟ้าที่ใกล้จะรุ่งสาง รอคอยยามราตรีมาเยือนอีกคราเพื่อออกล่าอีกครา
ขณะเดียวกัน ลั่วฟางหยุนเดินกระเผลกในป่าใหญ่ ด้วยความรู้สึกปวดระบมช่วงล่างยิ่งนัก
ความรู้สึกเสียวกระสันกับการเสร็จสมอารมณ์หมายด้วยตุ๊กตาของมารราคะ ช่างถือเป็นการเปิดหูเปิดตาเทพน้อยเสียจริง
แต่ได้ลองเรียนรู้วิธีการนี้กับตุ๊กตา คงไม่นับว่า... เป็นการ เสียบริสุทธิ์ หรอกกระมัง?
สามีดุจพระโพธิสัตว์อวตารมาโปรดหรือ…
ลั่วฟางหยุนพึมพำกับตนเองเพียงลำพัง กลางป่าไผ่ไร้ข้ารับใช้ติดตาม
เทพน้อยตกสวรรค์เคาะกำปั้นลงฝ่ามือพึงระลึกได้ว่า ที่ผ่านมา ตนเคยพบเห็นก็มีเพียง ต้าเทียนไป่เสอ ผู้หล่อเหลา
หรือจะเป็นเขา... ต้องเป็นเขาแน่ ๆ สามีดุจพระโพธิสัตว์อวตารลงมาโปรด!
ลั่วฟางหยุนหูแว่ว ได้ยินเสียงบ่วงทองคำของไม้ขักขระอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อแอบตามไปก็ได้ประจักษ์กับตา
สวรรค์เข้าข้างข้าเสียจริงด้วย!
ใครกันนะที่เป็นลูกรักสวรรค์!
ก็ลั่วฟางหยุนผู้นี้อย่างไรเล่า!
แต่จะใช้คำว่า พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ก็กระไรอยู่… เพราะท่านนักบวชงูขาวพเนจรมิได้มีจิตใจเลือดเย็นอํามหิตเยี่ยงโจโฉ การบำเพ็ญบารมีนี้ก็เพื่อโปรดชาวมนุษย์ เพื่อประโยชน์แห่งโลกหล้า
สำหรับเงื่อนไขที่ต้าเทียนไป่เสอได้ตั้งไว้คือ ‘ครองตนเป็นพรหมจารี ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลกีย์’
ทว่า การที่มานั่งขัดลำกายของตนกลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้ ก็เพื่อขจัดพิษกาม ที่ถูกมารราคะแห่งรถม้าวังวสันต์สาดเข็มทิ่มแทงมา ยามประมือกันก่อนหน้านั้น... นับว่าไม่ผิดกฎ!
แต่เพราะความไม่รู้เดียงสาของลั่วฟางหยุน ไร้ทักษะมารยาด้านการยั่วยวน จึงได้โผล่พรวดพราดทะเล่อทะล่าโผล่เข้าไปคารวะ ขัดจังหวะของร่างอวตารแห่งประมุขสวรรค์ เขาจึงไม่อาจสำเร็จกิจขับเอาพิษกามออกมาได้ และหากยังฝืนทำต่อหน้าคนอื่นนั้น อาจจะเข้าข่ายหมิ่นเหม่ผิดกฎได้
ต้าเทียนไป่เสอจัดแจงอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ ขบฟันเอ่ยขานรับเจ้าเด็กหนุ่มน้อยหน้ามนคนโง่งมนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
มันถามมากเสียจนเรียกได้ว่า เซ้าซี้อย่างน่ารำคาญ สายตาจากดวงตากลมคู่นั้น เหลือบมองกระโจมกลางหว่างขา พลางกลืนน้ำลายอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เอ่ยปากไถ่ถามว่าท่านนักบวชไปโดนอะไรมา...
ต้าเทียนไป่เสอมิได้ตะขิดตะขวงใจ เพราะอย่างไรลั่วฟางหยุนผู้นี้ ก็เป็นถึงเทพน้อยที่ตนเคยประคบประหงมเป็นอย่างดีร่วมกับสหาย หวังจะใช้เทพน้อยผู้นี้เป็นมือเป็นเท้ายามกลียุคมาเยือน เป็นเครื่องมือ เป็นสัตว์เลี้ยง
ร่างอวตารแห่งเทพบู๊จึงพินิจพิเคราะห์ เขาคงไว้วางใจลั่วฟางหยุนได้กระมัง
นักบวชงูขาวพเนจรจึงเล่าให้ฟังว่า ตนถูกพิษกามจากมารตนหนึ่งมา และออกปากว่า อยากจะหาถ้ำสักที่หนึ่ง เพื่อเก็บตัวขับพิษออกไป
สองหนุ่มจึงออกเดินทางร่วมกัน โดยที่ไม่นานก็พานพบถ้ำกลางหุบเขาสมใจปรารถนา เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นมา พร้อมเสียงกระทุ้งไม้ขักขระดังก้องในโถงถ้ำ
ทว่า เพียงจะก้าวขาตามแผ่นหลังกว้าง เจ้างูขาวบนไม้นักพรตกลับชูคอขู่ฟ่อไม่ให้ลั่วฟางหยุนได้ย่างกรายตามมาในถ้ำ
ท่านนักบวชพเนจรจึงได้ยัดแผ่นยันต์และกำไลลูกประคำใส่กำมือเรียว พลางบอกว่า ให้ลั่วฟางหยุนคอยท่าเฝ้ารักษาการณ์อยู่นอกถ้ำ รุ่งสางตนจะออกมาตบรางวัลให้กับบุญคุณการช่วยเหลือนี้เป็นอย่างงาม
หลังจากร่างอวตารแห่งต้าเทียนไป่เสอ ฝากฝังให้ลั่วฟางหยุนคอยเฝ้าถ้ำแห่งนี้ กำชับบอกให้หนุ่มน้อยคอยขับไล่สิ่งใดก็ตาม ที่หมายจะมายั่วยวนให้ไกลออกไป
โดยไม่ได้เอะใจว่า มีหนึ่งคนที่พยายามยั่วยวนมาโดยตลอดอย่างไม่ลดละ ทว่า มันคงดูงุ่มง่าม เงอะงะ เฟอะฟะ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเสียจนดูไม่ออกกระมัง...
แต่แล้ว ลั่วฟางหยุนก็ตัดสินใจฉกฉวยโอกาส ซึ่งที่แท้จริงแล้วคือเค้าลางแห่งหายนะ
เทพน้อยตกเมฆผู้นี้ รู้ทั้งรู้แก่ใจว่า ท่านนักบวชถูกพิษกามและพยายามกางอาณาเขตขังตนเองเอาไว้ในถ้ำ ไม่ให้กระทำต่ำทรามอันขัดต่อการบำเพ็ญบารมีที่ตั้งใจเอาไว้
กระนั้นลั่วฟางหยุนยังแอบลักลอบเข้าไปภายใน ซ้ำยังเรียกหาเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออก
ยามนั้น อสูรงูขาวคู่กายคอยลาดตระเวนอยู่ด้านนอก ไร้สัตว์อสูรรับใช้คอยยั้งสติ นักพรตหนุ่มจึงตบะแตกด้วยพิษราคะถาโถม ก่อกำเนิดกิจกรรมการสรรค์สร้างทายาทแห่งร่างอวตารของหนึ่งในประมุขสวรรค์ทั้งแปด
เมื่อรุ่งสางมาเยือน อสูรงูขาวเลื้อยกลับมาพบเจอภาพบาดตาบาดใจ มันจึงฉกเข้าที่ข้อเท้าของผู้ที่หมายจะแก่งแย่งเจ้านาย พ่นพิษร้ายที่ไม่ได้ทำให้ตายเฉียบพลัน แต่ไร้ซึ่งยาถอน
ก่อนจะเลื้อยไปตามร่างเปลือยเปล่าที่คุ้นเคย เพื่อปลุกนายของมัน ด้วยการฟาดหางบนใบหน้าหล่อเหลา
ยามนั้น ได้เกิดปรากฏการณ์บางสิ่ง ต้าเทียนไป่เสอลืมตาเบิกโพลงอย่างตื่นตะลึง มองอากาศธาตุอันว่างเปล่า
ราวกับมีสาสน์ลงทัณฑ์จากสวรรค์ล่องหนปรากฏก็มิปาน!
เห็นทีว่าคงจะเป็นเช่นนั้น การละเมิดเงื่อนไขบรรลุบารมีที่ตั้งไว้ ทำให้บารมีที่สั่งสมมานานปีจึงถูกริบรอน หนทางเดียวที่จะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ได้ คือต้องตั้งตนบำเพ็ญเพียรใหม่ ด้วยร่างอวตารใหม่ และตั้งเงื่อนไขใหม่
...ที่ผ่านมากลายเป็นโมฆะ!
ท่านประมุขแทบกระอักเลือด ใบหน้าเขียวคล้ำโกรธเกี้ยวโกรธา มือหนาคว้าบีบคอระหงของมารหัวขนตัวน้อยอย่างจังให้ผุดตื่นจากฝัน กายอ้อนแอ้นสะดุ้งโหยงตัวสั่นเทาอย่างหวาดผวา
ในยามนี้ นักบวชกลับกลายเป็นมีผมยาวสีขาวดอกเลาทั่วทั้งศีรษะ นัยน์ตาสีอำพันจ้องเขม็งแค้นเคือง งูเผือกพาดบนลาดไหล่ราวผ้าแพรเทพยดาอ้าปากแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ๆ
เทพอาวุโสทรงเครื่องด้วยแต่งกายคุ้นหน้าคุ้นตา ลั่วฟางหยุนอย่างเลือนราง ตอกย้ำว่าครั้งหนึ่ง ตนเป็นเพียงเทพน้อยในตำหนัก ที่ถูกตามใจจนเสียคนโดยเจ้านายทั้งแปดองค์
บัดนี้ทำเสียเรื่อง เสียจนเจ้านายเดือดร้อน! อาจจะพานไปกระทบถึงกลียุคให้เลวร้ายเกินจินตนาการ หากว่าต้าเทียนไป่เสอมิได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์เทียบเท่าประมุขสวรรค์องค์อื่น!
ลั่วฟางหยุนประนมมืออ้อนวอนขอให้เทพอาวุโสจงให้อภัย อ้างว่าเห็นแก่บุตรในครรภ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาในไม่ช้า
ต้าเทียนไป่เสอคืนร่างจริงหมายกลับไปยังสวรรค์ ได้สดับฟังก็พลันคิ้วกระตุก
เจ้าตัวโง่งมนี่ช่างกล้าแอบอ้างบุตรในครรภ์ที่เกิดมาจากความพลาดพลั้ง ความเห็นแก่ตัว
ฉวยโอกาสในยามที่ผู้อื่นลำบาก!
ฤาอยากได้สามีเป็นพระโพธิสัตว์จนตัวสั่นหรือไร!
ช่างงามเสียจริง!
ประมุขสวรรค์อยากจะลงทัณฑ์เทพน้อยอย่างสาสม จึงปรามาสและสาปส่งโจรเด็ดบุปผาผู้นี้ว่า
❝ ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าหักหลังข้า ทำลายความเชื่อใจที่ข้ามีให้แก่เจ้า สมใจแล้วหรือไม่ หึ เจ้าเทพลักเพศตัวกระจ้อย ที่บังอาจช่วงชิงพรหมจรรย์จากกายาอวตารของข้าเอ๋ย หากปรารถนาจะตั้งครรภ์ให้ข้านัก ก็จงเลี้ยงดู เดนสวรรค์ ผู้นี้ให้ตราบนานเท่านาน จนกว่ามันจะได้เป็นยอดวีรบุรุษ โดยไร้เทพองค์ใดเกื้อหนุน
มิฉะนั้น แม้นตายเจ้าก็จะต้องหวนกลับมา ยังช่วงเวลานี้ เพื่อทำในสิ่งที่เจ้าฝักใฝ่ เสียจนนำมาซึ่งวิบัติของข้าอยู่เช่นนี้ตลอดไป! ❞
ด้วยฤทธิ์วาจาศักดิ์สิทธิ์แห่งประมุขสวรรค์ จึงขับไล่เทพผู้น้อยว่า หากแม้นลั่วฟางหยุนตายก็ไม่สามารถไปสวรรค์ได้นับแต่บัดนั้น ต้องวนเวียนอยู่กับคำสาปเลี้ยงดูเดนสวรรค์ที่กำเนิดในครรภ์
ติดอยู่ในห้วงแห่งงูกินหาง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘มหาวิบัติ’ โดยแท้จริง...
ครั้นเมื่อลั่วฟางหยุนกลับมา ก็เสแสร้งทำเป็นว่า หายไปเที่ยวเล่นลืมวันลืมคืน นานนับร่วมเดือนที่ผ่านพ้น และแสร้งทำเป็นบังเกิดการเลื่อมใสในรสพระธรรม บอกกับบิดาผู้เป็นโหรหลวงว่า ต้องการเก็บเนื้อเก็บตัว… หมายถึง บวชชีเพื่อละทางโลก
แต่จะบวชได้อย่างไร! ในเมื่อร่างกายหาใช่ชายจริงหรือหญิงแท้ไม่!
อีกทั้ง แลดูเหมือนว่า โหรหลวงจะมิยอมเพิกเฉยบุตรชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป ลั่วฟางหยุนจึงถูกจับพิรุธได้ และถูกตรวจร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ผลออกมาแล้วว่า ลั่วฟางหยุนกำลังตั้งครรภ์! เจ้าลูกไม่รักดีตั้งครรภ์! กับผู้ใดก็ไม่ยอมบอก เอาแต่ส่ายหน้าไปมา และร่ำไห้หามารดาของมันที่ตายจากไปแล้ว!
โหรหลวงนวดขมับอยู่ราว ๆ ชั่วอึดใจ ครั้นชำเลืองมองลูกชายที่คงจะขายไม่ออกนี้ ทั้งที่เมื่อหลายวันก่อน ยังคงมีชนชั้นสูงมากมายวางสินสอดราคาดีให้ประเมิน
แต่ฉุกคิดได้ว่า
เรื่องนี้หากผีไม่บอก หากเทพไม่กล่าว
หากเขาไม่แพร่งพราย หากลูกชายไม่เปิดปาก
ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อย่างไรลั่วฟางหยุนก็ยังคงขึ้นชื่อว่าเป็นของล้ำค่าหายาก เป็นถึงบุรุษที่สามารถตั้งครรภ์ได้เพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า ดังนั้น โหรหลวงจึงหวนกลับมา สวมหมวกบิดาใจคด ตัดสินใจจัดแจงสร้างละครฉากใหญ่ คิดเร่ขายของมีตำหนิ
เร่งป่าวประกาศหาบุตรเขยมาตบแต่งเจ้าลูกไม่รักดีนี่ออกไป หวังใช้สถานการณ์ก่อนที่ท้องจะโตกว่านี้ รีบใส่ลั่วฟางหยุนลงตะกร้าชะล้างมลทิน
หากแต่งออกไปมีสามี วันดีคืนดีเกิดท้องใหญ่ท้องโย้ก็จะได้ไม่เป็นที่ครหา เพราะช่วงเวลากำลังเหมาะสมพอดีกัน!
หากถามไถ่ว่าลูกใครในครรภ์ ก็ลูกมันคนนั้นที่ได้แต่งกับเจ้าลูกไม่รักดีผู้นี้ไงเล่า!
แม้นหนนี้ไม่ได้มีสามีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ไม่ต้องคาดหวังให้บุตรในครรภ์เป็นยอดคน
ขอแค่คลอดออกมา ไม่พิกลพิการก็พอ!
จากเหตุการณ์นั้น ลั่วฟางหยุนทนทุกข์กับห้วงแห่งงูกินหางอย่างไม่มีวันหลุดพ้น ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสมรสสามีคนใหม่ คนแล้วคนเล่า ล้วนแต่มาตะเภาเดิม ๆ
พวกหน้าเนื้อใจเสือ…
มองลั่วฟางหยุนเป็นเพียงแค่ของมีค่า ของประดับเสริมบารมี เมื่อตนเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครองบุรุษท้องได้เพียงหนึ่งเดียวผู้นี้!
ลั่วฟางหยุนไม่ต่างจากสมบัติที่ผลัดกันเชยชม เปลี่ยนมือสามีไปเรื่อยในทุก ๆ การวนวกกลับไปประสบกับการสาปแช่งของต้าเทียนไป่เสอ... เพราะไม่ว่าอย่างไร ลั่วฟางหยุนก็มิอาจเลี้ยง ‘เดนสวรรค์’ ให้กลายเป็นวีรบุรุษได้เพียงลำพัง โดยไร้เทพองค์ใดค้ำจุน
อีกทั้ง ไม่ว่าจะวกกลับมาคราใด บุตรในครรภ์ของเขาที่เชื่อมั่นนักหนาว่า บิดาคือเทพบู๊ผู้ยิ่งใหญ่ ล้วนแต่คลอดออกมาเป็น สตรี
แล้วเช่นนี้ เขาจะเลี้ยง นาง ให้เป็นยอดคนอย่างไร ช่างไร้หนทางเสียจริง…
ครั้นหวังจะพึ่งบุญสามี...
บรรดาสามีที่ตบแต่งไป ไม่มีผู้ใดประกอบด้วยสันดานดี มีวาสนาเป็นคู่บุญบารมี พอจะช่วยอุ้มชูบุตรในครรภ์ได้เลย ทุกครั้งมักจะจบลงที่เมืองหลวงแคว้นฝูถูกตีแตกพ่าย ด้วยการก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์หลี่
ลั่วฟางหยุน จึงทั้งถูกขายเป็นทาสบ้างล่ะ ถูกนำไปเร่ค้าประเวณีบ้างล่ะ สารพัดจะถูกย่ำยี แปรเปลี่ยนจากเทพน้อยบนชั้นฟ้า กลายเป็นเพียงเศษเดนมนุษย์
ที่ผ่านมา... ลั่วฟางหยุนประสบพบเจอกับการตายน่าอนาถ ราวกับสวรรค์ลงทัณฑ์
ล่าสุดก็กลั้นใจตายไปอย่างน่าอัปยศอดสู
ขณะร่วมเตียงกับแม่ทัพใหญ่ เยี่ยนฮวาฮู่
.
.
.
มีเสียงครางในลำคอแว่วมาคล้ายว่า
‘อ้อ ๆ เช่นนั้นรึ ข้ารับทราบแล้ว’
เจ้าหน้าที่พิทักษ์เส้นเรื่อง จึงกล่าวพลางถอนหายใจหน่าย ๆ มือจับป้านชายกขึ้นรินให้ตนเอง หวังดื่มดับกระหาย หลังจากร่ายมหากาพย์ความผิดพลาดอันยาวเหยียด
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ณ ฝั่งเส้นเรื่องขนานก็วุ่นวายประมาณนี้แล อ๊ะ ถึงแม้ว่า เจ้า… อะแฮ่ม ข้าหมายถึง ลั่วฟางหยุน ในเส้นเรื่องนั้นจะเป็นเพียง…
〖ตัวรอง〗
ทว่า เขาก็สามารถนำพาให้บังเกิดผลกระทบมากมายเกินจะคาดเดา แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งจะจบลงได้ ด้วยความที่ ‘เจ้า’ เป็นตัวละครที่แสนฉลาด เก่งกาจ มากความสามารถ
ด้วยเหตุฉะนี้ ‘เจ้า’ จึงถูกเรียนเชิญมาสวมบทบาทแทนลั่วฟางหยุนที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวผู้นั้นไงเล่า...”
สิ้นคำจากเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์เส้นเรื่อง เทพน้อยผู้นอนเอกเขนกอย่างเสวยสุขอยู่ดี ๆ ถึงกับกลืนเม็ดองุ่นลงไปติดในลำคอพลัน
อุก!
ลั่วฟางหยุนผู้นี้ ตาลีตาเหลือกใช้มือของตนทุบอกชกตี ทั้งเพื่อทำให้ตนสำรอกเม็ดองุ่น ทั้งเพื่อระบายความอัดอั้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราว ณ เส้นเรื่องขนานดังกล่าวเมื่อครู่
เทพน้อยยกมือเรียวขึ้นมาป้องปากที่อ้าเพื่อไอโขลกใหญ่ ภายหลังพ่นเม็ดองุ่นเจ้ากรรมออกมา
หน้าผุดสีแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาเล็ดอย่างอเนจอนาถ เพราะอาการสำลักระคนแค้นเคืองในใจไม่น้อย
ครั้นขยับปากพูด ก็ได้ยินเสียงขบฟันดังกรอด ๆ
“บัดซบ! ทั้ง ๆ ที่เนื้อเรื่องของข้าจบไปแล้วอย่างงดงาม แต่ข้ากลับต้องมาสวมบทบาทเป็นเจ้าลูกเต่านั่นเพื่อแก้ปัญหาแทนมันหรือนี่!”
Comments (0)