2 ตอน 01 | toy
โดย passiongood
01
สมัยเรียนกวดวิชาที่ดาวองก์ อาจารย์ปิงเคยกล่าวว่า ‘อย่าบอกเลิกใครก่อนสอบ อย่าทะเลาะกันก่อนสอบ ถ้าไม่รักกันแล้วจริงๆ ให้ทนผ่านช่วงสอบไปก่อน ไม่รักกันแต่อย่าทำลายชีวิตกัน’ ผมจำแม่น ท่องได้ขึ้นใจว่าเราต้องไม่ทำลายชีวิตใครด้วยวิธีร้ายกาจแบบนั้น แต่ปัจจุบันผมโดนบอกเลิกก่อนบินสามวัน แย่ปะ
แต่เอาเหอะ .. ถึงไม่โดนชิงบอกก่อน
ผมก็จะขอเลิกอยู่ดีนั่นแหละ
“พี่ไม่ร่าเริงเหมือนทุกทีเลย เหม่อตั้งแต่ตอนบรีฟแล้ว ไม่สบาย?”
“เปล่า”
“หรือว่าเสียใจที่ได้บินกับผม”
“บ้าน่า”
ผมหัวเราะเบาๆ ใส่ติณณ์ ลูกเรือ [1] น้องใหม่ที่เพิ่งติดปีกไม่ถึงปีแต่บินด้วยกันบ่อยมาก ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกับสองมือที่พยายามแย่งถาดครัวซองต์ที่แคทเทอริ่ง [2] เพิ่งโหลดเข้าเครื่องทำเอาผมรู้สึกผิดเล็กๆ ที่เอาแต่หมกหมุ่นในความคิดทั้งๆ ที่อยู่ในเวลางาน ไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านั้นติณณ์พูดอะไรบ้าง
แย่จริงๆ เลย
“เห็นพี่ห่อเหี่ยวแบบนี้ผมแกล้งไม่ลงเลย”
“จะแกล้งกันทุกไฟลต์เลยว่างั้น”
เรายืนวุ่นวายกันอยู่ในแกลลี่ [3] เพื่อเช็กความเรียบร้อยของอาหารและเครื่องดื่มหลังจาก Pre-Flight and Security Check [4] โซนที่ต้องรับผิดชอบเรียบร้อย การถามตอบเป็นไปโดยมือเราไม่หยุดดึงเลื่อน unit และ cart ออกมาเช็ก เป็นเรื่องปกติมากของบรรดาลูกเรือ ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในเครื่องเราแทบไม่ได้หยุดยืนคุยกันเฉยๆ เว้นเสียแต่ว่า Ground time [5] เยอะจริง
เนื่องจากงานของเราต้องทำแข่งกับเวลา ยิ่งรูทบินสั้นๆ อย่าง Domestic [6] ที่บินวันละหลายตุบยิ่งหัวหมุนตั้งแต่เครื่องยังไม่ take off ยัน landing เราต้องอุ่นอาหารรอ พอเครื่องขึ้นได้สักพัก Fasten Seat Belt Sign [7] ดับลงก็ต้องลุกกันพรึบพรับมาเข็น cart เสิร์ฟอาหารให้ผู้โดยสารอย่างรวดเร็ว กว่าจะเสิร์ฟครบมานั่งพักไม่ทันหายเมื่อยก็ต้องลุกไปไล่เก็บถาดเพราะแป๊บเดียวเครื่องก็จะ landing ผมถึงชอบไฟลต์บินไกลๆ ยังไงล่ะ
อย่างน้อยก็ไม่ต้องเร่งรีบมาก
มันเหนื่อยจริงนะครับ
เนี่ย อีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็จะได้เวลา boarding ผู้โดยสารแล้ว
“เหมือนถอดวิญญาณมาทำงานมากใช่ปะ พี่เพิ่งเลิกกับแฟน”
“เฮ้ย! หมายถึงกัปตั ..”
“ไม่เอ่ยชื่อเขาเลยก็จะดีมาก”
“ขอโทษครับ”
ผมปรายตามองคนที่ปิดปากฉับและทำท่ารูดซิปปากอย่างขำๆ เป็นที่ทราบกันว่าก่อนหน้านี้ผมคบหากับนักบินร่วมสายการบินคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายมีเสน่ห์และเท่มากทั้งตอนอยู่ในชุดธรรมดาและชุดยูนิฟอร์ม คือจริงๆ แล้วเขายังเป็น Co-pilot [8] แต่อีกไม่นานก็ได้เพิ่มขีดที่บั้งแล้วแหละ
ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมภาวนาขอให้ได้บินไฟลต์เดียวกับเขาตลอด
แต่ต่อจากนี้ไป .. ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย
เดินสวนกันในศูนย์ฝึกอบรมลูกเรือก็ไม่เอา
“that means, I can ask you out?”
“are you serious?”
“กฤตยชญ์”
“ครับ!”
ผมตบบ่าติณณ์สามทีแทนคำพูด ‘หวังว่านายจะพูดแหย่กันเล่นเฉยๆ นะ’ ก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านโซน business class มาหาเพอเซอร์ [9] ที่หน้าเครื่อง เธอยื่นเอกสารปึกใหญ่ที่เราเรียกกันว่า Passenger Manifest ให้ผมอ่านคร่าวๆ ในนั้นประกอบด้วยลิสต์รายชื่อพร้อมหมายเลขที่นั่งของผู้โดยสารทุกคนที่ on board ในไฟลต์นี้แบบแยกเป็นโซนๆ ผู้โดยสารที่รีเควสท์ special meal ผู้โดยสารที่ขอความช่วยเหลือพิเศษและอื่นๆ เธอใช้ปากกาเคาะบนไฮไลท์สีเขียวสะท้อนแสงที่วงไว้ตรงคำว่า UM คาดว่าพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินน่าจะเป็นคนทำเอาไว้
“เฟอร์นัลโด มาร์ติน เวลสัน สามสิบเอ็ดอัลฟา [10] ”
ผมอ่านชื่อหนูน้อยซีท 31A ในเอกสารแล้วยิ้มแห้งๆ ให้เพอเซอร์ที่มองผมด้วยสายตาเอ็นดูเต็มประดา ถามว่าผมทราบได้ยังไงว่าเป็นเด็ก ก็เพราะ UM ที่ว่านี่ย่อมาจาก Unaccompanied Minor หรือเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่เดินทางคนเดียวยังไงล่ะครับ นั่นหมายความว่าเพอเซอร์จะมอบหมายหน้าที่พิเศษนี้ให้ลูกเรือที่ประจำอยู่โซนดังกล่าวดูแลเจ้าหนู UM ตลอดการเดินทาง
และใช่ .. คือผมเอง
“เพิ่งเคยเจอเคสยูเอ็มครั้งแรกเลยใช่มั้ยเนี่ยเรา”
“ครับ”
“ชอบเด็กหรือเปล่า”
“อ่า .. ชอบนะครับ”
ผมเกาแก้มแก้เขิน ค้อมหัวยิ้มให้กัปตันที่เดินกลับเข้า Cockpit [11] ไปพร้อมเสื้อสะท้อนแสง ใจจริงอยากตอบแบบหยอกๆ ว่าชอบมาก ยกเว้น infant ที่มักแผดเสียงร้องตลอดไฟลต์จนผมอยากกุมหน้าร้องไห้ในห้องน้ำ แต่ก็เข้าใจได้นะครับ ทารกกับความกดอากาศเป็นอะไรที่น่าเห็นใจอยู่แล้ว
ว่ากันตามตรง ผมรักเด็กจะตาย ไม่ติดอะไรเลยที่ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กแสนเก่งที่เดินทางข้ามทวีปเพียงคนเดียว กลัวก็แต่จะเอาใจน้องได้ไม่ดีเท่าที่ควร สภาพจิตใจผมยิ่งไม่ค่อยเต็มร้อยซะด้วย
แต่เอาวะ .. ต้องรอดดิ!
อะไรที่เป็นหน้าที่ผมทำได้ดีทั้งนั้นแหละ
“ตอน boarding รับเอกสารจากกราวด์สตาฟแล้วเอามาให้พี่ด้วยนะคะ พวกเอกสารต่างๆ กับพาสปอร์ตของน้องยูเอ็มเราจะต้องเป็นคนเก็บ”
“ได้ครับผม” ผมพยักหน้าหงึกหงัก คุยกับเพอเซอร์ต่ออีกหน่อยก่อนที่เธอจะยก interphone และกรอกเสียงหวานๆ แจ้งลูกเรือทุกชีวิตบนเครื่องให้เตรียมพร้อม เพราะเราจะเริ่ม boarding ผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้ว
ผมวิ่งกลับมาประจำตำแหน่งประตูโซนแรกของ economy class ติณณ์ยืนยักคิ้วทำหน้าทะเล้นรอผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว ลืมชมไปเลยแฮะว่าวันนี้เซตผมมาหล่อมากๆ แต่ช่างเถอะ เอ่ยปากชมเดี๋ยวก็ได้หยอดผมไม่พัก
“welcome on board, sir.”
“เซอร์เขายิ้มแบบมีเลศนัยให้พี่ด้วยอะ”
ศอกผมแทงเข้าซี่โครงติณณ์ที่ยืนยิ้มยกมือไหว้ต้อนรับผู้โดยสารอยู่ข้างกัน ด้วยความขี้เล่นของติณณ์ หน้าที่และสถานการณ์ต่างๆ ที่พบเจอทำให้ผมสะบัดเรื่องรกสมองออกไปได้บ้าง แต่ไม่แน่ใจนักหรอกว่าทันทีที่ถึงโรงแรมผมจะนั่งร้องไห้ตาปูดเหม่อถึงรักที่พังลงแบบยับเยินแล้วอีกมั้ย
สถานการณ์วันไฟลต์เต็มก็จะประมาณนี้แหละครับ วุ่นวายกันสุดๆ ตอนลำเลียงผู้โดยสารเข้าเครื่อง มีบ้างที่ยืนออหน้าหงิกงอกันหน้าประตูเพราะคนข้างในยังจัดวางสัมภาระไม่เสร็จสิ้นสักที ผมเดินยิ้มหวานขอทางแทรกเบียดแถวในเครื่องมาจัดระเบียบ overhead locker ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยแฮนด์แครี่ใบโต เพื่อนลูกเรือแต่ละคนเดินกันขาขวิดเลยครับ บอกเลยนะว่าไฟลต์ BKK-ZRH ที่บินด้วย Boeing 777-300 แบบจุผู้โดยสารเต็มลำน่ะหรรษาที่สุดแล้ว!
UM ของผมเดินเข้าเครื่องมาตอนผู้โดยสารนั่งกันเกือบหมด
ผมส่งยิ้มทักทายน้องอย่างเป็นมิตร น้องเขาสูงแค่เอวผมเองครับ แถมยังหน้าตาน่ารักมากๆ ด้วย ผมเปิดซองสีน้ำตาลที่น้องกราวด์ฯ ยื่นให้เพื่อเช็กเอกสารที่จำเป็นของเด็กน้อยนี่ว่าครบถ้วนหรือเปล่า เลยได้เห็นข้อมูลในพาสปอร์ต น้องเขาเกิดปี 2012 แสดงว่าก็เพิ่งจะแปดขวบเอง เก่งจริงๆ เลยนะตัวก็แค่เนี้ย
“bye, P’ Bambie.”
“bye bye Martin, safe flight and hope to see you again.”
ไม่แปลกใจสักนิดเลยครับว่าทำไมน้องเขาสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับกราวด์สตาฟแสนน่ารักคนนั้น ก็เพราะน้องเขาถือพาสปอร์ตสวิส แถมหน้าก็ยุโรปจ๋ามาเลย เอาจริงๆ ผมทราบตั้งแต่เห็นชื่อแล้วแหละว่าไม่ใช่คนไทยแน่ๆ
ผมยืนมองน้องโบกมือล่ำลาเธอที่ assist มาส่งถึงหน้าเครื่อง เห็นแววตาใจหายแล้วใจแป้วจนต้องปลอบน้องว่าไม่เป็นอะไรนะ พี่จะรับช่วงต่อและดูแลน้องเป็นอย่างดีตลอดการเดินทางเช่นเดียวกับที่เธอคนนั้นทำ พอได้ยินแบบนั้นน้องเลยหันมาส่งยิ้มให้ผม ยื่นมือมาจับให้พาเดินไปยังที่นั่ง 31A ของตัวเอง สัมภาระติดตัวของน้องมีแค่แฮนด์แครี่ใบเล็กๆ สีดำซึ่งผมยกเก็บบนชั้นวางให้แล้ว
“please feel free to tell me if you need help, ok?”
“thank you krub!”
ผมขยิบตาให้เด็กที่จับ headphone ซึ่งคล้องไว้ที่คอมาสวมใส่ อยากจะหยุมแก้มเป็นก้อนๆ ของน้องเล่นชะมัด แต่ทำไม่ได้หรอกครับ ได้แต่นึกมันเขี้ยวในใจว่าใครนะใครช่างจับน้องแต่งตัวน่ารักมากๆ เสื้อยืดขาวทับด้วยแจ็กเก็ตดำ กางเกงวอร์มสีเทาและสนีกเกอร์ไนกี้ นี่มันสายแฟตัวจิ๋วชัดๆ
น้องมาร์ตินเอ่ยขอบคุณด้วยเสียงเล็กๆ อีกครั้งหลังจากที่ผมรัดเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จเรียบร้อย ผมเหลือบมองที่นั่ง 31B ที่ยังว่าง คิดกับตัวเองว่าคุณผู้ชายจะเดินทางหรือเปล่า อ้อ .. ที่มั่นใจว่าเป็นผู้ชายเพราะ UM จะถูก assign ให้นั่งข้างผู้ใหญ่เพศเดียวกันเสมอครับ
มันเป็นกฎที่พวกเราและพนักงานเช็กอินทราบดี
“มีออฟโหลดเหรอติณณ์”
“ไม่มีครับๆ เห็นกราวด์ฯ หน้าเครื่องบอกว่าอีกสามคนอยู่ในเกต”
ร่างผอมเพรียวเดินสำรวจความเรียบร้อยอย่างกระฉับกระเฉงก่อนกลับไปยืนรอผู้โดยสารสามคนสุดท้ายหน้าประตู พูดคุยสัพเพเหระกับกราวด์ฯ หน้าเครื่อง และมันเป็นวินาทีสั้นๆ นั้นเองที่เขาหายใจสะดุดเพียงเพราะได้เห็นหนึ่งในสามของผู้โดยสารที่เดินเข้ามาใน boarding bridge
แม้ว่าค่ำคืนนั้นจะมืดสักแค่ไหน แต่ทอยไม่ได้เมา แถมยังจดจำรายละเอียดของใครบางคนได้ค่อนข้างแม่นยำ ส่วนสูงที่น่าจะเฉียดหรือเกิน 190 เซนติเมตรเตะตาเป็นอันดับแรก เขาเดินมาพร้อม Rimowa สีเงิน ใบหน้ายุ่งๆ บ่งบอกว่าคงกำลังหงุดหงิดกับอะไรสักอย่าง มือซ้ายเสยเส้นผมสีอ่อนที่น่าจะได้มรดกตกทอดมาจากพันธุกรรมขึ้นไปลวกๆ นั่นทำเอาทั้งน้องกราวด์ฯ และทอยหยุดสิ่งที่จะพูด ร่างสูงโปร่งในชุดสำหรับเดินทางชิลๆ อย่าง Louis Vuitton Double Face Hoodie และ jersey joggers ที่พอเหมาะพอดีกับเรียวขายาว ขาจัมพ์เต่อๆ เผยให้เห็นข้อเท้าสวยๆ ของเขาและ V.N.R Sneaker นั่น ... ทอยคิดว่ามันคงจะเกินไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง
เขาเปลี่ยน boarding bridge เป็น runway ได้ไง
ไม่ยุติธรรมเลย
“หล่อเนอะพี่! สตาฟในเกตกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่เลย”
“อือ”
“หน้าฝรั่งแต่เขาพูดไทยได้นะคะ”
ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจาก last pax
ถามว่าทำไมถึงจำเขาได้ทั้งที่เราคุยกันแป๊บเดียว
แถมในที่มืดสลัวมากๆ ขนาดนั้น
คงมีไม่กี่คนที่หน้าคล้ายลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ตอนเล่นเป็นแจ็ค ดอว์สัน
และผมเพิ่งเห็นชัดๆ .. ว่านัยน์ตาของเขาเป็นสีฟ้า
เหมือนกับกลุ่มพายุเมฆหมอก
“...”
“wa— welcome on board. can I have your seat number, please.”
“thirty-one b.”
“okay. follow me this way, sir.”
เราทำหน้าเรียบตึงใส่กันเฉยเลย ผมว่าเขาน่าจะจำกันได้นะ ..
แต่เขาต้องเป็นคนประเภทที่ว่าไม่ทักทายใครก่อนแหงๆ แหละ สภาพผมในความทรงจำที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ ของเขาต้องตลกมากแน่ มีที่ไหนไปร้องไห้ฟูมฟายให้คนแปลกหน้าฟังเป็นตุเป็นตะ แถมยังแย่งบุหรี่มาจากมือเขาอีก บ้าเอ๊ย!
พอเจอกับเขา on duty เลยพาให้ทำตัวไม่ถูกจริงๆ
“...”
“น้องเดินทางคนเดียวครับ เลยจำเป็นต้องนั่งใกล้ๆ กับลูกเรือ”
บังเอิญว่ามันใกล้คุณด้วย ผมเอ่ยประโยคหลังในใจ อธิบายออกไปทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ถาม แต่ผมเห็นว่าเขาเก็บสัมภาระไว้บน overhead locker สลับกับมองเด็กจิ๋วที่นั่งล้วงเยลลีรูปหมีกินหงับๆ คิ้วขมวด และก็ยังทำหน้างงๆ ตอนนั่งลงเหมือนอยากจะถามผมว่าเขาต้องนั่งข้างเด็กตัวกระจิ๋วหลิวนี่จนถึงซูริคเลยเหรอ
ครับ ・ー・
แต่โปรดอย่าสงสารเขาเลย
สงสารผมที่นั่ง Jump seat [12] หันหน้าเข้าหาเขาตลอดไฟลต์เถอะ
แล้วไฟลต์ไทม์สิบสองชั่วโมง
ให้ตายเหอะโรบิน T_T
﹆
“kids need to eat a lot ..”
“nah.”
“one more bite, at least.”
“nah.”
“...”
ทอยหยุดเข็น cart เพื่อเติมน้ำผลไม้และกาแฟให้ผู้โดยสารที่นั่งหมายเลข 31AB ประจวบเหมาะมาเห็นภาพน่ารักอย่างตอนที่เค้กทำหน้านิ่งๆ ปากเคี้ยวพาสตามัสมั่นไก่แต่พยักพเยิดหน้าบอกเด็กจิ๋วที่นั่งข้างกันว่ากินแฮมเบิร์กในถาดของตัวเองหน่อย ไม่ใช่ว่าล้วงกินแต่เยลลีนั่น
เหมือนคุณพ่อมาดดุเลยแฮะ
“ทำหน้าโหดบอกเด็กแบบนั้นเขาไม่ยอมฟังหรอกครับ”
“...”
“วัยกำลังรั้นน่ะ”
คนโดนบอกม้วนเส้นพาสตาเข้าปากอีกคำ มองข้อมือสวยๆ ที่กำลังรินกาแฟใส่แก้วให้เขาก่อนจะย้ายสายตาไปหยุดที่รอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่อีกคนใช้กับเจ้าหนูมาร์ตินที่นั่งฮัมเพลงดีดขาไปมาแต่ยังไม่ยอมตักอาหารเข้าปากเป็นคำที่สองสักที อีกอย่างเขาไม่ได้ทำหน้าโหดใส่เจ้าเปี๊ยกนี่เลย แค่บอกว่าเป็นเด็กต้องกินเยอะๆ แต่ฟังกันที่ไหน อมไว้อีกต่างหาก
“who want more orange juice, put your hands up.”
“me!”
“...”
“I gave you two cups of juice. stop hold food in your mouth, okay?”
“OK!”
เจ้าของนัยน์ตาคมสีเหมือนพายุลอบยิ้มกับถาดอาหารตัวเองเมื่อเห็นว่าสองคนนี้เริ่ม make a deal กัน มาร์ตินรีบเคี้ยวรีบกลืนแฮมเบิร์กลงคอก่อนอ้าปากโชว์คุณสจ๊วตว่าไม่มีอะไรเหลือเลยได้น้ำส้มเพิ่มสองแก้ว ความที่เขาไม่เคยคลุกคลีกับเด็กมาก่อนเลยไม่เข้าใจหรอกว่าวิธีการหว่านล้อมให้เด็กเลิกอมข้าวต้องทำยังไง จะหลอกล่อเอาอาหารคำใหม่เข้าปากจะต้องงัดเอากลยุทธ์แบบไหนมาใช้ถึงจะได้ผล
จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเลย
ว่าน้องจะกินไม่กิน
หากคุณสจ๊วตไม่บอกกันว่าฝากน้องแป๊บนึงนะ
“coffee, please.”
“yes, sir.”
ไม่ทันไรก็หันไปเสิร์ฟกาแฟให้ผู้โดยสารท่านอื่น
ไหนจะต้องคอยเวียนมาเทคแคร์เด็กเปี๊ยกนี่อีก
คงเหนื่อยแย่เลย
แต่ก็ยังยิ้มตลอด
“eat your hamburg.”
“nah.”
“please, Martin.”
“I’ ll wait P’ Toy.”
ทอย
ใช่เขาจริงด้วยแฮะ
ใครบางคนแค่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ มองเด็กแสบที่ยังไม่หยุดล้วงเยลลีกินลับหลังพี่ทอยของเขา .. คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าต้องใช่คนเดียวกันแน่ จำหน้าได้ แค่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร กลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาหาเรื่องคุย
“มาแล้ว”
“เยลลีเต็มปากเลย” แต่ก็เหมือนจะหาเรื่องคุยไปแล้ว
“มาร์ติน”
คนที่เพิ่งเสร็จธุระจากการเวียนเสิร์ฟกาแฟให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆ หรี่ตามองเด็กแสบที่ขยับปากเคี้ยวหงับๆ และกลืนหลักฐานทั้งหมดลงคอ ทอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้มาร์ตินที่ซ่อนถุงเยลลีไว้หลืบเบาะ เขาเข้าใจ นิสัยทานข้าวแต่ละคำย๊ากยากตอนเด็กเขาก็เป็น ไม่ต่างจากมาร์ตินเท่าไหร่นักหรอก
Child meal ที่ผู้ปกครองของน้องสั่งมาเป็นแฮมเบิร์กหมูเสิร์ฟคู่กับผักต้มหลากสีและขนมปังกรอบ มีคัสตาร์ดพุดดิงและแตงโมหั่นรูปหัวใจเป็นของหวาน ทอยมองถาดอาหารน้อง คงต้องใช้วิธีปราบเซียนสักหน่อย
“isn’ t it delicious?”
“ปมมายหิว”
“ว้าา แย่จัง!”
“...”
“ถ้าในท้องมีแต่เยลลี เวลามาร์ติน poo-poo จะออกยากมากนะ”
“เหรอครับ ..”
“ครับ พี่ทอยเคยเป็น”
คนที่ม้วนเส้นพาสตาเข้าปากลอบขำ แอบมองคุณสจ๊วตนั่งยองๆ ตรงหน้าเด็กจิ๋ว มือข้างนึงยังยึดจับ cart ในขณะที่อีกข้างหยิบส้อมตัดแบ่งแฮมเบิร์กเป็นชิ้นๆ ก่อนจิ้มป้อนใส่ปากเด็กเปี๊ยก .. มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามอย่างการได้เห็น Geminids Meteor Shower บนไฟลต์บินไปออสโลคราวก่อน ไม่เหมือนกับที่เห็น Fujisan ชัดๆ ในวันที่ท้องฟ้าโปร่งตอนใกล้ถึงนาริตะ เป็นเพียงภาพเหตุการณ์แสนธรรมดา แค่สจ๊วตคนนึงยิ้มกว้างออกมาเพราะดีใจที่เด็กน้อยคนนี้ยอมทานอาหารมื้อแรกบนไฟลต์บิน แต่มันกลับตรึงสายตาเขาไว้ เผลอไผลไปกับรอยยิ้มที่จะบอกว่าสวยมากก็ไม่น่าเกินจริงเลย
ไม่เกินจริงสักนิด
“yummy?”
“yummy. I need the bigger one.”
“here you are!”
เป็นครั้งแรกที่เค้กรู้สึกว่าการนั่ง economy class มันก็ไม่ได้แย่ แค่เขาไม่ค่อยชิน ด้วยนิสัยชอบความเป็นส่วนตัว บวกกับต้องการความสงบและสเปซที่เพียงพอสำหรับการเหยียดแข้งขาที่ยาวมากๆ ทำให้การเดินทางในทุกครั้งที่ผ่านมาของเขาวนเวียนอยู่แค่ first class และ business class เขาไม่ใช่คนติดหรู แค่จ่ายแพงเพื่อแลกกับความสะดวกสบายที่มากกว่า นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการเดินทางในครั้งนี้ทำเขาหงุดหงิดเอาซะมากๆ เพราะมันค่อนข้างกะทันหันไปหน่อย
การต้องกลับบ้านเกิดอย่างเร่งด่วน จองตั๋วสามวันก่อนบิน แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่มีสิทธิ์เลือกมากมายเหมือนจองล่วงหน้าเป็นเดือนๆ แต่ใครจะคิดล่ะว่า business class จะเต็มมันทุกไฟลต์ แถมยังเจอแจ็กพอตจองไฟลต์ที่ผู้โดยสารเต็มลำในคราวที่จำเป็นต้องนั่ง economy จริงๆ ไอ้เดินทางโดยสายการบินอื่นก็ทำได้นั่นแหละ แต่มันก็ลำบากต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ตะวันออกกลาง ซึ่งมันจะเหนื่อยและยืดระยะเวลาออกไปอีก สู้บินตรงจากนี่ไปถึงปลายทางเลยมันดีกว่าอยู่แล้ว
เขาไม่ชอบทำอะไรยุ่งยาก
และนับว่าโชคดีที่เมมเบอร์การ์ดระดับ Emerald ช่วยให้เขาได้ที่นั่งที่จัดว่าดีที่สุดมาครอง เพราะถึงแม้จะไม่ใช่ Exit seat แต่มันเป็นที่นั่งคู่แถวแรกที่ leg space กว้างจนเขาสามารถเหยียดขายาวๆ ได้เต็มที่ ดีกว่าต้องนั่งเข่าชนในพื้นที่คับแคบจนถึงปลายทาง ได้เข้าไปนั่งสงบอารมณ์ในเลานจ์เงียบๆ ก่อนมาขึ้นเครื่อง
และพบเจอภาพเหตุการณ์น่ารักๆ ระหว่างเดินทางข้ามไทม์โซน
ไม่แย่เลย
“มาร์ตินกินผักเก่งจังเลยครับ”
“มาร์ตินชอบพัก”
“ผัก”
“ผัก”
ต้องยอมรับเลยว่าทอยในยูนิฟอร์มของสายการบินประจำชาติน่ะสง่ามากๆ ลุค on duty มีเสน่ห์ไม่แพ้ลุคเที่ยวกลางคืนเลย เขาไม่แปลกใจที่อีกคนมีดีกรีเป็นถึงสจ๊วตสายการบินแห่งชาติ ด้วยส่วนสูง หน้าตา รอยยิ้มที่สวยมากๆ และ service mind ที่แสดงออกผ่านทางคำพูดและการกระทำ
นี่ล่ะมั้ง.. ที่มาของประโยคโอเวอร์ที่เคยสงสัยว่าจะเป็นไปได้ยังไง
ยิ้มแล้วโลกสดใส
“ผมฝากน้องอีกแป๊บนึงนะครับ”
“...”
“bon appétit, good boy. ok?”
“sure!”
“นี่คุณ”
เค้กมองบางคนที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเข็น cart กลับไปอย่างงงๆ ไม่แน่ใจนักว่าประโยคนั้นเป็นการมอบหมายหน้าที่แบบไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือเป็นเพียงประโยคร้องขอธรรมดาๆ ที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ เพียงแต่ว่าเขางงๆ กับตัวเองเหมือนกันที่ทวนประโยคที่อีกฝ่ายเพิ่งบอกให้เด็กเปี๊ยกนี่ฟังอีกรอบ และจิ้มแครอทต้มชิ้นเล็กจ่อปากให้มันงับเข้าไปเคี้ยว
อะไรวะ
บทบาทพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นเหรอ
﹆
“Ladies and gentlemen, this is your captain speaking. We are now experiencing some turbulence, for your safety please remain seated and keep your seat belts fastened. Avoid standing up or going to the lavatories at this time until the seat belt sign is turn off, thank you.”
ความปั่นป่วนในอากาศกับเครื่องบินเป็นเรื่องปกติ
แต่การที่บางคนกอดอกจ้องหน้าเขาไม่ละ
ทอยว่ามันไม่ปกติ ..
“・ー・”
คนที่นั่งหลังตรงแด่วบน Jump seat หันหน้าเข้าหาผู้โดยสารฝั่งซ้ายแถวแรกยกมือขึ้นจับใบหน้าและผมของตัวเองเมื่อเริ่มรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเวลาโดนมองนานๆ เขาไม่ได้จะกล่าวโทษว่าคนมองไม่มีมารยาทหรอก แค่ทอยคิดว่าอีกฝ่ายคงอยากจะพูดอะไรกับเขาแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ... ล่ะมั้งนะ
แบบว่าเรานั่งจ้องหน้ากันเฉยๆ ไม่พูดอะไร
อยากงีบแต่งีบไม่ลง
ส่วนติณณ์ที่นั่งฝั่ง starboard เฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว
“เอ่อ ผู้โดยสารต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”
“...”
กริบ
เยี่ยมไปเล้ย!
เหมือนเอ่ยกับลมกับฟ้าชัดๆ
“แค่สงสัยว่าคุณจะกำมันจนเปื่อยคามือหรือเปล่า”
“หะ หา? ..”
“...”
“เอ่อ ไม่—”
“ใส่ในซองขยะเด็กนี่ก่อนมั้ย”
ทอยแบมือออกเมื่ออีกคนพยักพเยิดหน้านิ่งๆ นั่นมาที่กำปั้นบนตักของเขา ลืมไปแล้วด้วยนะเนี่ยว่ากำมันเอาไว้ ไม่ได้ลุกไปทิ้งสักทีเพราะเครื่องยังสั่นไปมากับสภาพอากาศที่ย่ำแย่ภายนอก แต่จะว่าไป นี่มันเป็นการชวนเริ่มบทสนทนาที่โคตรจะน่ารักมากเลยไม่ใช่เหรอ
“ผมเจอบ่อยมากเลยครับ ผู้โดยสารแปลกๆ น่ะ”
“...”
เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งมองอีกคนคลี่กระดาษทิชชูที่ถูกขยำจนยับและพบว่ามันไม่ใช่ทิชชูเปื้อนคราบสกปรกแต่อย่างใด หากแต่ในนั้นมีข้อความเขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยพออ่านได้ว่า ‘seeing your smile makes my day, I really want to talk with you more. call me +41 xxxxxxxxx’
ไม่ต้องเดาก็พอทราบได้ว่าผู้โดยสารสักคนในไฟลต์ให้เขามา เค้กนึกขำกับตัวเองที่รู้สึกชอบใจใบหน้าและน้ำเสียงที่ไม่ได้เจือปนความมั่นหน้าหรือตั้งใจจะอวดเวลาเอ่ยประโยคนั้น อีกคนพูดมันด้วยน้ำเสียงเอือมๆ ไม่พอยังกรอกตาเกือบจะเป็นเลขแปดตอนพูดคำว่าแปลกด้วยเสียงกระซิบ
แน่ไม่เบา
นินทาผู้โดยสารบนไฟลต์เลย
“เขาเอาแต่กินไอ้นี่จนซองเกลื่อนไปหมด”
“ครับ เขาเป็นแค่เด็กน่ะคุณ”
พวกเขาคุยกันเสียงเบาในจังหวะทอยเอื้อมแขนไปทิ้งทิชชูในซองเยลลีที่หมดแล้วของมาร์ติน เค้กวางซองคืนบนตักเด็กที่หลับคอพับคออ่อนอย่างน่ารัก เห็นเปิดการ์ตูนเอาไว้แต่ชิ่งหลับไปตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย เด็กน้อยหนอเด็กน้อย พอกินอิ่มก็หลับป๊อก โชคดีที่มาร์ตินเก่งมากๆ ไม่มีงอแงเลย
“ขอบคุณนะครับ”
“อืม”
“เอ้อ .. คุณครับ!”
“...”
“เรื่องบุหรี่วันนั้น ขอโทษจริงๆ เดี๋ยวผมซื้อในดิวตี้ฟรีคืนให้นะ”
“that’ s fine.”
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ไม่เห็นต้องทำหน้าสำนึกผิดขนาดนั้นด้วย
“จริงนะครับ?”
เค้กไม่ได้ตอบกลับอะไรไป เขาแค่ประหลาดใจเล็กน้อยว่ารอยยิ้มนั้นมันมีเวทมนตร์ซ่อนอยู่หรือเปล่า ทำไมเขาถึงดึงสายตากลับมายากเย็น เริ่มจะเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของผู้โดยสารคนนั้นที่อุตส่าห์เขียนข้อความลงทิชชูแล้ว
เพราะใบหน้าที่ปราศจากร่องรอยของน้ำตา
และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์นั่น
really made someone’ s day
﹆
แบบแผน อุดมการณ์ ทฤษฎีต่างๆ ที่ยึดเหนี่ยวมาตลอดเริ่มจะออกอาการผิดรูปผิดร่าง แปรปรวนไปหมดตั้งแต่เขายืนกอดอกปล่อยให้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองที่มี priority tag สูงที่สุดอย่าง Emerald คล้องเอาไว้กับ baggage tag number หมุนวนอยู่บน baggage carousel หมายเลข 8 การกระทำแปลกๆ ที่เขายังหาคำตอบมาตอบตัวเองไม่ได้ว่าเขารออะไร
ในเมื่อเดินทางคนเดียว
ร่างสูงโปร่งที่ยืนกอดอกมองกระเป๋าตัวเองหมุนวนผ่านหน้าไปเป็นรอบที่สามประหลาดใจที่มีใครกระตุกชายเสื้อเขาเบาๆ พอเหลือบไปมองก็พบว่าตัวการอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเขามากจนคิดว่าผีอำซะแล้ว
“dude!, bye :)”
“...”
ตาคมมองเด็กเล็กที่เอาแต่โบกมือลาเขาและเดินจากไปพร้อมพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินที่เข็น luggage trolley ให้ ได้แต่งงๆ ว่าเขาไปเป็น dude ของเจ้าเด็กนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่
หรือเพราะว่าแบ่งเยลลีกันกิน
เพื่อนรักต่างวัยเหรอ
“ไงคุณ! มาเช็กอินช้าใช่เปล่า กระเป๋าถึงยังไม่มาสักที”
“นิดหน่อย”
เขาตอบในจังหวะที่เข้าไปช่วยบางคนยก Samsonite Oyster ใบใหญ่ลงจากสายพานโดยที่เจ้าของไม่ได้ร้องขอให้ช่วย คนที่ดูหล่อเท่มากๆ ในชุดยูนิฟอร์มค้อมหัวให้แทนคำขอบคุณก่อนหันไปมองเพื่อนๆ ลูกเรือที่ยังยืนคุยรอกระเป๋าแล้วพบกับสายตามีเลศนัยของติณณ์
เค้กที่มีความลังเลในใจปรายตามอง Rimowa สีเงินขนาด 29 นิ้วของตัวเองหมุนวนบนสายพานผ่านหน้าไปเป็นรอบที่สี่ก่อนกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อเรียกความมั่นใจที่ปกติมีมากกลับคืน เขารู้สึกไม่เป็นตัวเองเท่าไหร่ มันแจ่มชัดเกินไปจนเขาเองยังประหลาดใจว่านี่เขายืนรอการมาถึงของบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่สิ รอการมาถึงของใครบางคนขนาดนั้นเลยเหรอ
ทั้งที่ผ่าน immigration มาในช่อง citizen
แถมกระเป๋ายังติด priority tag
แต่ก็ดันมายืนแหงกอยู่ตรงนี้นานสองนาน
เพื่อรอเจอใครบางคนอีกรอบ ..
“โอ๊ะ คุณถือพาสปอร์ตสวิสด้วยเหรอครับ!”
“...”
“เอ่อ .. ก็ไม่น่าแปลกใจนี่เนอะ”
“...”
หน้าฝรั่งจ๋าขนาดนั้น ทอยคิดในใจ เกาแก้มแก้เขินที่ดันอุทานออกมาซะดังเลยตอนเหลือบเห็นพาสปอร์ตเล่มสีแดงในมือของอีกคน น่าอิจฉาชะมัด การได้เป็นประชากรของประเทศอันดับหนึ่งที่เขาใฝ่ฝันว่าอยากมาอยู่แบบถาวรน่ะ มันดีสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนสรวงสวรรค์ที่ตั้งอยู่จริงบนพื้นโลกเลยนะ!
เขาน่ะทำได้แค่ไปๆ มาๆ เวลาทำงานเท่านั้น
เหตุผลหลักของการเป็นลูกเรือล่ะ
เที่ยวฟรี แหะๆ
“พี่ทอย ไปกัน!”
“อ่า โอเคๆ ผมไปก่อนนะครับคุณ”
“ทอย”
“หาา?”
ทอยที่หมุนตัวเตรียมออกวิ่งไปรวมกลุ่มกับลูกเรือที่เดินนำด้วยกัปตันและนักบินผู้ช่วยหยุดชะงัก หันหลังกลับไปมองคนที่เรียกชื่อเขาด้วยใบหน้างงๆ แถมงงหนักกว่าเก่าเมื่อคนที่ความสูงใกล้เคียงกันยื่นกระดาษทิชชูแผ่นยับๆ ให้ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง แน่นอนล่ะว่าเขาแบมือรับมาด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ
“ผมนึกได้ว่าบุหรี่ที่คุณปาทิ้งมันแพง ถ้าคุณยินดีจะซื้อคืนก็โอเค”
“...”
“ทักมาแล้วกัน ผมจะส่งภาพยี่ห้อไปให้”
เค้กบอกแค่นั้นก่อนเดินไปยกกระเป๋าที่หมุนมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ออกจากสายพาน ขายาวก้าวฉับๆ จากไปพร้อม luggage trolley ทิ้งให้ลูกเรือที่ทั้งรีบทั้งงงยืนคลี่กระดาษทิชชูออก ทอยพบว่ามันเป็นข้อความที่เขียนด้วยปากกาเหมือนที่เขาได้รับนับไม่ถ้วน แต่แผ่นนี้ต่างออกไปตรงไม่มีประโยคเฟลิร์ตเลี่ยนๆ มันเป็นเพียงไอดีไลน์ เขาเลยยัดมันเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ แทนที่จะโยนทิ้งไปแบบที่ชอบทำ
อะไรของคุณเขานะ
[1] Cabin Crew - พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารในเที่ยวบินนั้นๆ
[2] Catering - บริการอาหารและเครื่องดื่ม
[3] Galley - ครัวบนเครื่องบิน ใช้สำหรับอุ่น, เตรียมอาหารเพื่อบริการแก่ผู้โดยสาร
[4] Pre-Flight and Security Check - การตรวจเช็กอุปกรณ์ต่างๆ บนเครื่องบินรวมถึงอุปกรณ์ฉุกเฉิน
[5] Ground time - ระยะเวลาที่เครื่องจอดรอผู้โดยสารที่ boarding gate หรือ remote bay
[6] Domestic - เที่ยวบินภายในประเทศ
[7] Seat Belt Sign - สัญญาณรัดเข็มขัดนิรภัย
[8] Co-pilot - นักบินผู้ช่วย นั่งฝั่งขวา มีหน้าที่ควบคุมการบิน เช็กระบบฯ เหมือนกัปตันแต่อำนาจการตัดสินใจรองจากกัปตัน
[9] Purser - หัวหน้าลูกเรือ
[10] NATO phonetic alphabet - การออกเสียงตัวอักษรของการสื่อสารทางวิทยุและการบิน เพื่อป้องกันความเข้าใจที่ผิดพลาด
[11] Cockpit – ห้องบังคับเครื่องบิน
[12] Jump seat - ที่นั่งลูกเรือ พับขึ้นเองได้เมื่อลุกขึ้น
tbc.
#เดิมพันของเค้ก
เหตุเกิดจากคิดถึงงานสายการบิน ಥ‿ಥ
ไม่ต้องห่วงว่าจะค้างคา แต่งจบเรียบร้อยคับ!
ส่งกำลังใจมาเยอะๆ นะคะ รัก.